New Release BLY แปล : เพราะรักเธอผู้ทุกข์ใจ - เพราะรักเธอผู้งดงาม 3

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : เพราะรักเธอผู้ทุกข์ใจ - เพราะรักเธอผู้งดงาม 3

โพสต์ โดย Gals »

เพราะรักเธอผู้ทุกข์ใจ I



ตอนเช้าไปมหาวิทยาลัย ตอนบ่ายมีถ่ายแบบนิตยสารกับประชุมงานที่สถานีโทรทัศน์ การเป็นทั้งนักศึกษาและนักแสดงพร้อมกันนั้นเหนื่อยแสนสาหัส โดยปกติแล้วคิโยอิจะปิดท้ายด้วยการไปฟิตเนสเพื่อเรียกเหงื่อก่อนกลับบ้าน แต่วันนี้เขาแวะมาที่สำนักงานต้นสังกัด
“สวัสดีครับ ได้ยินว่าบทละครของอุเอดะซังมาถึงแล้ว?”
นี่ครับ สตาฟยื่นซองสีน้ำตาลปึกหนาให้
ความหนักของกระดาษในมือปลุกความตื่นเต้นของคิโยอิให้ลุกโชน ในที่สุด...
อุเอดะ ฮิเดกิ โปรดิวเซอร์และนักเขียนบทละครเวทีระดับท็อปคลาส มีผลงานมากมายทั้งในและต่างประเทศ หลังลองไปออดิชันมาแล้วหลายต่อหลายครั้งแต่โดนปฏิเสธมาโดยตลอด ในที่สุดคิโยอิก็จะได้ขึ้นไปยืนบนเวทีของโปรดิวเซอร์ที่ตนปลาบปลื้มมานาน
“ได้แสดงละครเวทีของอุเอดะซังเร็วขนาดนี้ อย่างกับความฝันเลยเนอะ เทียบกับนักแสดงหน้าใหม่ด้วยกันแล้ว เธอมาแรงอย่างเห็นได้ชัด แม้ต้องแลกด้วยการพัวพันกับคดีบ้าคลั่งนั่น แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า”
ผู้จัดการสึกะพยักหน้าด้วยความตื้นตัน
“ตอนเห็นหน้าคิโยอิคุงเต็มไปด้วยเลือด ฉันคิดว่าชีวิตนักแสดงคงจบสิ้นเสียแล้ว แต่คดีนั่นกลับเป็นเหตุจูงใจทำให้อุเอเดะซังติดต่อมา เราไม่อาจรู้ได้จริงๆ ว่าโอกาสจะวิ่งเข้ามาหาที่ไหนเมื่อไร”
ประธานบริษัทยามากาตะเอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งเช่นกัน จากข่าวกอสซิปเรื่องความรักของอันนะ นักแสดงรุ่นพี่สังกัดเดียวกับคิโยอิ บานปลายกลายเป็นคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังคิโยอิ เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการบันเทิงเมื่อปีที่แล้ว ถึงตอนนี้คิโยอิยังโมโหทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาอยากจับคนร้ายมาต่อยให้น่วม อยากใช้ส้นรองเท้าขยี้หมอนั่นให้กลายเป็นเนื้อบด ทว่าคดีนั้นก็กลายเป็นชนวนทำให้คิโยอิดังเป็นพลุแตก
“เอาละ”
คิโยอิหายใจเข้าลึกๆ ก่อนฉีกซองเอกสารดังแควก อ๊ะ ทั้งยามากาตะและสึกะต่างเบิกตาโต “นั่นมันบทละครของผู้ยิ่งใหญ่ในวงการเลยนะ เปิดให้มันทะนุถนอมกว่านี้หน่อยสิ” คิโยอิไม่เข้าใจว่าทั้งสองจะบ่นไปเพื่ออะไร สิ่งสำคัญคือตัวบทที่อยู่ข้างในต่างหาก ซองจะเป็นไงก็ช่างมันเถอะ เขาตั้งหน้าตั้งตาฉีกซองต่อ ก่อนขยำซองเป็นก้อนกลมและขว้างทิ้งลงถังขยะ
“ทำไมถึงทำอะไรลวกๆ แบบนี้”
“หน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่นิสัยนี่คนละเรื่องเลยเนอะ”
คิโยอิเมินยามากาตะกับสึกะซึ่งกำลังบ่นกระซิบกระซาบ เขานั่งลงบนโซฟา พาดขายาวๆ ไขว้กัน ก่อนพ่นลมหายใจ ฟู่ พร้อมมองหน้าปก ชื่อเรื่องคือ ‘The Locust’
“โลคัสต์ แปลว่าตั๊กแตนสินะ”
สึกะค้นหาความหมายผ่านสมาร์ตโฟน ตั๊กแตน? เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรเนี่ย ความอยากรู้อยากเห็นยิ่งเพิ่มทวี คิโยอิพลิกบทละครพึ่บๆ
“อ๊ะ ดูเป็นคิโยอิคุงมากเลย”
ยามากาตะชี้ที่หน้ากระดาษ
‘ขืนพูดจาไร้สาระมากกว่านี้ ฉันจะใช้ส้นรองเท้าขยี้นายให้กลายเป็นเนื้อบด’
หัวใจของคิโยอิเต้นแรง สิ่งที่เขาคิดเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วปรากฏเป็นตัวอักษรตรงหน้า
“นี่ต้องเป็นบทของคิโยอิคุงแน่ๆ”
ละครเวทีของอุเอดะนั้นมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง นอกจากนักแสดงนำแล้ว นักแสดงคนอื่นจะไม่รู้เลยว่าตัวเองได้รับบทอะไรจนกว่าจะถึงวันแถลงข่าว
“นั่นสิ บทของนักแสดงหน้าใหม่ส่วนมากจะเป็นการเขียนบทตามนักแสดงนี่นะ”
การเขียนบทตามนักแสดง คือเทคนิคการเขียนบทละครอย่างหนึ่งโดยกำหนดตัวนักแสดงก่อน และเขียนบทให้เข้ากับเอกลักษณ์ของนักแสดงคนนั้นๆ วิธีการนี้มักถูกนำมาใช้เวลาให้ไอดอลซึ่งไม่มีประสบการณ์การแสดงมารับบทนำ หรือบางครั้งอาจเลือกเรื่องต้นฉบับที่เหมาะกับเอกลักษณ์ของนักแสดงคนนั้นๆ ตั้งแต่แรกเลย นอกจากนี้ยังมีนักเขียนบทบางคนใช้เทคนิคนี้เพื่อความสมจริง โดยไม่เกี่ยวว่านักแสดงคนนั้นจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ...
“เขาใส่ใจคิโยอิคุงมากเลยเนอะ”
ประโยคนั้นทำให้คิโยอิคิ้วขมวด คำว่าใส่ใจนั้นฟังดูดีก็จริง แต่พูดตามตรง นั่นเท่ากับว่ายังกังขาในทักษะการแสดง ผู้ที่ได้แสดงละครเวทีของอุเอดะล้วนเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมของวงการ จริงอยู่ว่าฝีมือการแสดงของตนในตอนนี้ยังห่างชั้นอยู่มาก คิโยอิเข้าใจดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งมั่นว่าจะทุ่มเทอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่นี่อะไร ยังไม่ทันเริ่มก็โดนจำกัดความสามารถซะแล้ว ไม่สนุกสักนิด
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็ละครเวทีเป็นการเดิมพันครั้งเดียว พลาดไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อนึกถึงหน้าตาและชื่อเสียงของคนอื่นๆ แล้ว เขาก็ต้องเอาให้ชัวร์แหละ คิดเสียว่าการได้ร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดี เก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้เยอะๆ”
“ไปเรียนรู้แต่ได้เงินเนี่ยนะครับ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
“นักแสดงชื่อดังทุกคนก็เติบโตมาแบบนี้ทั้งนั้น อุเอดะซังอุตส่าห์เขียนบทให้เหมาะกับเธอ ถือว่าเป็นเกียรติจะตาย ‘ใช้ส้นเท้าบดขยี้ให้เป็นเนื้อบด’ แถมมีเขียนวงเล็บต่อท้ายด้วยว่า (หัวเราะทางจมูก) นี่มันคิโยอิคุงชัดๆ สมกับเป็นโปรดิวเซอร์มือทอง มองเห็นตัวจริงของคิโยอิคุงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งที่เวลาอยู่ข้างนอกทำตัวเป็นแมวเชื่องแท้ๆ”
“แต่ตอนไปออกรายการ ‘แวนด้าลูกหมาน้อย’ กลับแสร้งทำตัวเป็นแมวเชื่องไม่รอด”
“ตอนนั้นเล่นเอาแย่เลย ระหว่างที่ทุกคนกำลังกรี๊ดกร๊าดกับความน่ารักของน้องแวนด้า กล้องตัดมาที่คิโยอิคุงทำหน้าเย็นชาใส่ลูกหมาน้อยอยู่คนเดียว นั่นมันอุบัติเหตุระหว่างถ่ายทำชัดๆ”
“เธอไม่ชอบสัตว์กับเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมคืนก่อนอัดรายการยังเจอเรื่องให้อารมณ์เสียอีกสินะ”
“ขนาดลูกหมาตัวน้อยแสนน่ารักยังแยกเขี้ยวใส่ได้ ฉันว่าเธอต้องประสบความสำเร็จกับบทบาทนี้แน่ๆ ไม่มีนักแสดงหน้าใหม่คนไหนไร้ความเมตตาปรานี ไร้อารมณ์ และพูดจาแข็งกร้าวเหนือกว่าคิโยอิคุงอีกแล้ว”
นี่กำลังชมหรือด่าอยู่กันแน่ เอาเป็นว่าทั้งสองต่างโห่ร้องด้วยความดีใจที่บทละครถูกเขียนให้เหมาะกับคิโยอิ ในขณะที่คิโยอินั่งฉุนเฉียวอยู่นั้น สตาฟคนหนึ่งก็ชงกาแฟมาให้พร้อมพูดให้กำลังใจ “พยายามเข้านะครับ”
“นี่เป็นละครเวทีของอุเอดะซัง รับรองว่าต้องไปได้สวยอย่างแน่นอน เตะพวกแอนตี้ให้หงายเงิบไปเลยนะครับ”
“พวกแอนตี้?”
“อ้อ นี่ๆ ว่าแต่คิโยอิคุง เรามาอ่านบทกันเถอะ”
พวกสึกะเอ่ยแทรกทำเฉไฉ คิโยอิปิดหนังสือบทละครดังฟึ่บ
“พวกแอนตี้อะไร?”
คิโยอิถามเสียงเข้ม ยามากาตะกับสึกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ข่าวความรักระหว่างอันนะกับคิริยะ เคสึเกะ สมาชิกวงไอดอลแห่งยุคเป็นชนวนก่อให้เกิดคดีหน่วงเหนี่ยวกักขังคิโยอิตามมา คดีนี้ได้รับความสนใจในวงกว้าง ส่งผลให้คิโยอิกลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว มีแฟนคลับติดตามมากมาย และแน่นอนพวกแอนตี้ก็มีมากขึ้นตามมาด้วย
“ครึ่งหนึ่งเป็นแฟนคลับของนักแสดงหน้าใหม่คนอื่น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นแฟนคลับของคิริยะคุง”
“หา? ถ้าแฟนคลับของคิริยะจะหาเรื่องใคร ก็ควรเป็นอันนะแฟนสาวของเขาหรือเปล่า?”
“อันนะโดนจนน่วมอยู่แล้ว แต่คดีของคิโยอิคุงเป็นเหตุให้อันนะกับคิริยะคุงเปิดตัวคบกันอย่างเป็นทางการ แถมภาพถ่ายแบบลงนิตยสารยังมีรูปพวกเธอสามคนอยู่ด้วยกันอีก เพราะแบบนี้แหละ”
“คนพวกนี้ก็แค่โมโหแล้วพาล”
“แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นพวกเขาก็ไม่มีที่ให้ระบาย หากโจมตีอันนะโดยตรงมันจะดูเหมือนอิจฉาอันนะใช่ไหมล่ะ มันมีบางพวกที่ชอบพูดจาถากถางแฟนคลับที่หลงรักดาราแบบเป็นจริงเป็นจัง คนพวกนั้นเลยเลี่ยงโจมตีเป้าหมายโดยตรงมาระบายความไม่พอใจใส่คิโยอิคุงที่ทำให้ความรักของทั้งสองประสบความสำเร็จแทน”
“แต่ความจริงคนพวกนี้ก็หลงรักคิริยะเป็นจริงเป็นจัง และอิจฉาอันนะใช่ไหมล่ะ?”
“แต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ พวกเขาไม่อยากถูกมองว่าเป็นแบบนั้น”
“โคตรทุเรศเลย”
คิโยอิกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ไหนขอดูหน่อยซิ เขาลองค้นหาชื่อตัวเองในทวิตเตอร์ ข้อความด่าทอขึ้นเรียงราย เริ่มต้นจากการหยิบยกคำพูดส่วนหนึ่งในรายการโดยไม่สนใจบริบทหน้าหลังมาตัดสินว่าคิโยอิเป็นคนเย่อหยิ่ง วางก้าม นิสัยเสีย บางคนร้ายกาจถึงขนาดกุเรื่องขึ้นมาทั้งหมดและด่าทอซ้ำไปซ้ำมา
“...อย่าจิตตกไปล่ะ?”
ยามากาตะพูดด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “หา?” คิโยอิเอียงศีรษะสงสัย
รูปร่างหน้าตาและนิสัยที่เหนือกว่าคนอื่น สองสิ่งนี้ทำให้คิโยอิกลายเป็นศูนย์กลางของวงล้อมมาตั้งแต่อดีต ทว่าสองสิ่งนี้ก็เคยทำให้ถูกหมั่นไส้จนโดนขับไล่ออกนอกวงล้อมมาแล้ว คิโยอิมีความทนทานต่อทั้งเจตนาดีและเจตนาร้าย รากฐานนิสัยเหล่านี้มาจากชีวิตในวัยเด็กอันแสนเปล่าเปลี่ยว ตอนนี้แค่โดนด่าคำสองคำไม่สะทกสะท้านหรอก
“ผมไม่ได้รู้สึกดี แต่ไม่จิตตกหรอกครับ พฤติกรรมแบบนี้ถ้าฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทรับรองไม่รอดสักราย ผมแค่ทำเป็นมองไม่เห็น เจ้าพวกนี้กลับยิ่งได้ใจ ถ้าไม่โง่ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว ในทางกลับกันต้องขอบใจด้วยซ้ำที่ช่วยปลุกกระแสให้ผมเป็นที่พูดถึง”
ยิ่งพวกแอนตี้ด่าทอมากเท่าไร แฟนๆ ที่รักเขาก็จะยิ่งให้กำลังใจมากขึ้นเท่านั้น ความเห็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบขับเคี่ยวกันอย่างคึกคัก ต่อให้เป็นคนดีขนาดไหน แต่หากไม่มีกระแสดาราก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหา พวกแอนตี้เอ๋ย ช่วยปั่นกระแสฉันให้มากกว่านี้อีกสิ
“เธอนี่ประสาทแข็งดีจริงๆ พวกเราดูงี่เง่าไปเลยที่เป็นห่วง”
“แต่ก็จริงนะ ยิ่งพวกแอนตี้พยายามมากเท่าไร ความรักของแฟนๆ ก็จะยิ่งเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้น”
“ดูแอ็กเคานต์นี้สิ สุดยอดเลย โยงไปศาสนาโน่น”
สึกะให้ดูแอ็กเคานต์ที่ใช้ชื่อว่า ‘ก้อนหิน’ ซึ่งทวีตข้อความสรรเสริญคิโยอิไม่เว้นวัน ก็ชวนให้รู้สึกดีอยู่หรอก แต่ติดตรงเนื้อหานี่สิ...
‘เมื่อพระเจ้าตรัสจงมีแสง แสงจึงกำเนิด เมื่อพระเจ้าตรัสจงมีคิโยอิ โซ คิโยอิ โซจึงเกิด #คิโยอิโซ #พระเจ้า #ผู้สร้างฟ้าดิน’ ‘ถนนที่เขาเดินในละคร เพราะเป็นเวลากลางดึกไร้ผู้คน ฉันเลยลองก้มกราบดู #คิโยอิโซ #ตามรอยละคร’ ‘ไอศกรีมที่เขาชอบกิน เลียรสชาติต้องห้ามแผล็บๆ #คิโยอิโซ #บาปกับการลงทัณฑ์’
...นี่มันอะไร โคตรน่าขยะแขยง
คิโยอิเลื่อนหน้าจอ ทุกทวีตล้วนเข้าใจยากในระดับชวนผวา
...พวกแอนตี้ยังเข้าใจง่ายกว่าอีก
คิโยอิขนลุกซู่ แต่แล้วก็ต้องกลั้นหายใจเมื่อสายตาไปสะดุดอยู่ที่ภาพภาพหนึ่ง เจ้าของทวีตรูปถ่ายนิตยสารแฟชั่นที่มีคิโยอิ ตรงมุมภาพถ่ายติดนิ้วซึ่งกำลังกดหน้านิตยสารเอาไว้ ต้องเป็นนิ้วของเจ้าของแอ็กเคานต์แน่...
“...ฮิระ?”
เอ๋ พวกยามากาตะต่างหันขวับมามอง
“แอ็กเคานต์นี้ คือฮิระคุงเหรอ?”
“มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเจ้าตัวหรือเปล่า?”
“ตรงนี้ นิ้วโป้งซ้ายตรงมุมภาพ มีไฝตรงข้อพับนิ้ว”
คิโยอิชี้ พวกยามากาตะหรี่ตามองภาพด้วยความสงสัย
“อ้อ จริงด้วย มีไฝเนอะ เม็ดเล็กนิดเดียวเอง”
“ฮิระไม่ผิดแน่”
คิโยอิพูดอย่างมั่นใจพลางสลับขาที่นั่งไขว้ห้าง
“ถึงจะฟันธงด้วยสีหน้ามั่นใจขนาดนั้นก็เถอะ...”
“แต่จะว่าไป คนที่ทวีตแบบนี้ได้นอกจากฮิระคุงก็ไม่มีใครแล้วล่ะ”
ถูกต้องเลย ในโลกนี้ไม่มีใครทำตัวน่าขยะแขยงได้เท่าฮิระแล้ว
“ฮิระคุงคือแฟนหนุ่มของคิโยอิคุงที่เล่าลือกันใช่ไหมครับ? ว่ากันว่าหล่อมาก เป็นถึงลูกศิษย์ของโนกุจิ ฮิโรมิ ช่างภาพชื่อดัง แถมยังเป็นคนถ่ายภาพอันนะซังกับคิริยะ เคสึเกะเซตเปิดตัวคู่รักอย่างเป็นทางการด้วย ในวงการเขาลือกันให้แซ่ดว่าเป็นช่างภาพอนาคตไกล”
สตาฟที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยปากถาม ยามากาตะพยักหน้าหงึกๆ
“ใช่แล้ว ฮิระคุงคนนั้นแหละ แต่นั่นเป็นแค่ภาพเบื้องหน้าเท่านั้น”
“มีภาพเบื้องหลังด้วยเหรอครับ?”
“ให้พูดตรงๆ เลย ฮิระคุงเป็นแฟนคลับตัวยงที่คอยตามคิโยอิคุงแทบทุกงาน”
สตาฟตกตะลึง
“เป็นแฟนกันอยู่แล้ว ทำไมต้องคอยตามด้วย?”
“เรื่องนั้นฉันเองก็อยากถามเหมือนกัน”
คิโยอิ ยามากาตะ และสึกะประสานเสียงตอบ
ฮิระ คาซึนาริเป็นเบ๊ของคิโยอิสมัยมัธยมปลาย จากสตอล์กเกอร์พัฒนามาเป็นแฟนคลับตัวยงผู้สวมหมวก แว่นกันแดด ผ้าปิดปาก สามไอเทมศักดิ์สิทธิ์และไล่ตามเชียร์คิโยอิแทบทุกงาน จนคนในสำนักงานต้นสังกัดต่างตั้งฉายาให้ว่านายพิรุธ ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นแฟนหนุ่มตัวจริงของคิโยอิด้วย
“เอ๋... สุดยอด...”
สตาฟยิ้มตอบแต่สายตากลับเบนไปทางอื่น เสียงในใจเล็ดลอดออกมาว่า...ไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไร นั่นสิ ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่น ฉันเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน แม้แต่คิโยอิยังเข้าใจเป็นอย่างดี
ตัวคิโยอิก็ไม่ได้อยากมีแฟนเป็นผู้ชายประหลาดน่าขยะแขยงแบบนี้หรอก แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ นายจะเข้าใจความรู้สึกขมขื่นของฉันบ้างไหมเนี่ย
“ว่าแต่ไฝเม็ดเล็กแค่นี้ก็มองออกด้วย”
“แสดงว่ารักกันหวานชื่น ถึงจะในระดับที่เข้าใจยากก็เถอะ”
ตอนบอกว่าแอ็กเคานต์นี้คือฮิระ เห็นทำท่าไม่อยากเชื่อ แต่ตอนนี้ทั้งยามากาตะกับสึกะต่างพากันยิ้มมีเลศนัย ไม่มีอะไรจะดูหมิ่นเหยียดหยามกันได้มากกว่านี้แล้ว ขณะคิโยอิกำลังกล้ำกลืนฝืนทนอยู่นั้น สมาร์ตโฟนของเขาก็ส่งเสียงดัง ไลน์จากเจ้าของแอ็กเคานต์เจ้าปัญหานั่นเอง
‘เลิกงานเร็วกว่ากำหนด อาหารเย็นวันนี้คือโครเกต์กุ้ง’
อาหารจานโปรดของคิโยอิ หึ เขาพ่นลมออกทางจมูกก่อนลุกขึ้นพรวด
“ผมกลับล่ะ”
“ไลน์จากฮิระคุงเหรอ?”
“เปล่า”
คิโยอิยัดบทละครเวทีใส่กระเป๋าก่อนรีบหันหลัง “แล้วเจอกันครับ”
“ต้องเป็นไลน์จากฮิระคุงแน่ๆ”
“คิโยอิคุงนี่ดูง่ายกว่าที่คิดเนอะ”
คิโยอิได้ยินเสียงหัวเราะของพวกยามากาตะดังไล่หลังแต่ไม่มีกะจิตกะใจต่อปากต่อคำ เขาวิ่งลงบันไดแบบข้ามขั้นก่อนกระโจนขึ้นรถแท็กซี่ ไม่บ่อยนักที่ฮิระซึ่งกลับบ้านช้าเป็นประจำจะถึงบ้านเร็วอย่างวันนี้

เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป ฮิระออกมายืนรอรับอยู่แล้ว
“คิโยอิ เหนื่อยไหม อาหารเสร็จแล้ว ส่วนอ่างอาบน้ำก็ใกล้พร้อมลงอาบได้เลย”
“อื้อ”
คิโยอิถอดรองเท้าทิ้งกระจัดกระจาย “ขออันนี้ก่อน” เขาบอกพลางโอบแขนรอบลำคอของฮิระและดึงเข้ามาแนบชิด ไซ้ปลายจมูกเข้ากับซอกคอ ฮิระตัวสั่นสะท้าน
“คิ คิ คิโยอิ เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น?”
ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรียนหนักงานเยอะ แถมไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกันหนึ่งสัปดาห์ เรื่องแค่นี้ช่วยรู้หน่อยสิ และช่วยทำตัวให้คุ้นชินสักที ถ้านับตั้งแต่กึ่งๆ อยู่ด้วยกันที่บ้านป้าของฮิระจนย้ายมาอยู่ด้วยกันโดยสมบูรณ์ที่แมนชันนี้ รวมกันก็เป็นเวลาตั้งปีครึ่งแล้ว เวลาแฟนกลับมาบ้านแล้วกอดไม่ต้องตื่นตระหนกทุกครั้งก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องถามเหตุผลด้วย รีบกอดตอบเร็วๆ เข้าสิ นี่ต่างหากคือสิ่งที่คนเป็นแฟนควรทำ
“จูบ”
คิโยอิยื่นริมฝีปากพร้อมทำหน้ามุ่ย ลูกตาดำของฮิระขยายกว้างอย่างรวดเร็ว ฮิระค่อยๆ ขยับมือโอบเอวดึงคิโยอิเข้ามาสวมกอดไว้ ก่อนโน้มริมฝีปากลงมาประกบมอบรสจูบแสนดูดดื่ม นี่แหละ ปฏิกิริยาที่ถูกต้องของคนเป็นแฟนกัน
“ทำไมวันนี้กลับเร็ว?”
คิโยอิถามทั้งที่ร่างกายยังแนบชิดกันอยู่
“นักแสดงชายที่มีคิวถ่ายแบบติดปัญหา กลับมากองถ่ายไม่ได้”
“เอ๋ ลักกี้”
คราวนี้คิโยอิเป็นฝ่ายมอบจูบให้ หลังจู๋จี๋กันตรงหน้าประตูจนหนำใจคิโยอิก็ส่งกระเป๋าให้ฮิระก่อนเดินตรงไปอาบน้ำ ส่วนฮิระแยกไปห้องนอนเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บ
คิโยอิใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมพลางเดินออกมายังห้องนั่งเล่น พบฮิระกำลังทำความสะอาดกล้องอยู่
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ กินข้าวเลยไหม?”
คิโยอิพยักหน้า ฮิระเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ห้องครัวด้วยสีหน้าแช่มชื่น
คิโยอินั่งลงบนโซฟา เขาใช้ไดร์เป่าผมไปพลางแอบสังเกตฮิระไปพลาง
...วันนี้เชยระเบิดเหมือนเดิม
ในฐานะลูกศิษย์ของช่างภาพชื่อดังแถวหน้าของวงการบันเทิง ฮิระคงได้เห็นดารานายแบบนางแบบแทบทุกวันจนเบื่อ ทว่าเขากลับไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ ยังเหนียวแน่นกับการแต่งตัวสไตล์ฟาสต์แฟชั่น ใส่เสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางเกงชีโน่ตลอดทั้งปี ขนาดเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังตัดผมที่ร้านตัดผมแถวบ้านซึ่งเป็นลูกค้าประจำตั้งแต่สมัยชั้นประถม และไม่รู้ทำไมถึงต้องไว้ผมหน้าม้าปิดบังลูกตาให้ดูอึมครึม น่าเสียดายจริงๆ ทั้งที่สูงยาวเข่าดี หน้าตาหล่อเหลา หากรู้จักดูแลตัวเองเสียหน่อยก็จัดอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาแท้ๆ...
“จะว่าไป ฮิระ”
ครับ ฮิระซึ่งกำลังจัดจานกับตะเกียบขานรับพร้อมหันขวับมาทางนี้
“นายเล่นทวิตเตอร์ใช่ไหม”
ฮิระตัวแข็งทื่อ “มานี่” คิโยอิเรียก ฮิระหน้าซีดเผือด ค่อยๆ เดินมานั่งท่าทับส้นเท้าตรงหน้าโซฟา ท่าทางเหมือนนักโทษโดนจับขึ้นศาลสมัยเอโดะ คิโยอิกอดอกก้มมองฮิระ
“นายแอบทำอะไรแปลกๆ โดยไม่บอกฉัน”
“ฉะ ฉันขอโทษ ตะ แต่ ฉันไม่ได้โพสต์อะไรแปลกๆ เลยนะ”
“นายโพสต์แต่เรื่องแปลกๆ ล่ะสิไม่ว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลย ฉันแค่เขียนสรรเสริญคิโยอิในฐานะแฟนคลับเท่านั้น”
ฮิระทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เห็นแล้วอยากจับนักโทษคนนี้แห่ประจานรอบเมืองซะจริง
“ก็นั่นแหละที่มันแปลก นายเป็นคนรักของฉันไม่ใช่เหรอ ช่วยแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาให้สมกับที่คบหากันหน่อยสิ ไล่ตามเอย ให้กำลังใจผ่านโซเชียลมีเดียเอย เลิกทำตัวเป็นแฟนคลับสักที”
“แต่เดิมทีฉันก็เป็นแฟนคลับของคิโยอิ...”
“เลิกเดี๋ยวนี้”
คิโยอิมองตาขวาง นัยน์ตาดำหลังเส้นผมหน้าม้าหดเล็กลงด้วยความหวาดกลัว
“นายเข้าใจความรู้สึกของฉันที่โดนแฟนหนุ่มไล่ตามทุกวันบ้างไหม ไม่สิ เพราะนายไม่เข้าใจต่างหากเลยไล่ตามได้ทุกวี่ทุกวัน รู้หรือเปล่าว่าคนที่ต้นสังกัดมองฉันด้วยสายตายังไง ไม่สิ เพราะนายไม่รู้ต่างหากเลยไล่ตาม... เฮ้ย อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ พวกเขาบอกว่าเรารักกันหวานชื่นในระดับที่เข้าใจยาก ทั้งที่ความจริงคนที่เข้าใจยากคือนายคนเดียว ส่วนฉันเป็นมนุษย์ปกติ ฟังนะ ฉันจะไม่พูดซ้ำสอง เลิก เดี๋ยว นี้”
คิโยอิใช้พลังสายตาทั้งหมดที่มีจดจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ฮิระเหี่ยวเฉาประหนึ่งเรี่ยวแรงเหือดหาย
“...ครับ จากนี้ไปฉันจะพยายามทำตัวให้สมกับเป็นคนรัก จะไม่ไล่ตาม จะเลิกเล่นทวิตเตอร์ ส่วนฐานะแฟนคลับของคิโยอิ โซ วันนี้ฉันขอประกาศจบ จบ จบ จบ จบ”
ฮิระพูดคำว่าจบการศึกษาไม่ออกและเริ่มติดอ่างอย่างรุนแรง ติดอ่างเป็นโรคที่ทำให้ฮิระตกอยู่ในชั้นฐานพีระมิดแบ่งชนชั้นมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย อาการของฮิระเริ่มดีขึ้นหลังเข้ามหาวิทยาลัย ทว่าเวลาเครียดมากๆ ก็จะกำเริบอีก จบ จบ จบ จบ ปากของฮิระพะงาบๆ อยู่อย่างนั้น ในขณะที่ความสิ้นหวังเริ่มแผ่กระจายทั่วใบหน้า
“ฉะ ฉันเข้าใจแล้ว ใจเย็นๆ ผัดผ่อนไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องจบการศึกษาตอนนี้หรอก”
คิโยอิพูดปลอบโยนพลางรู้สึกแปลกๆ เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งฮิระเสียอย่างนั้น แต่จากมุมมองของฮิระนี่อาจไม่ใช่แค่ ‘เหมือน’ แต่เป็นการกลั่นแกล้งโดยสมบูรณ์ต่างหาก ฮิระไม่ได้เพิ่งมาเริ่มแปลกเอาตอนนี้ เขาทำตัวน่าขยะแขยงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว ตนต่างหากที่ไปชอบผู้ชายพรรค์นี้เอง ดังนั้นถ้ามีใครต้องยอม ก็ต้องเป็นตัวเองนี่แหละ?
...เอ๋ ใช่เหรอ?
หลังครุ่นคิดสักพักร่างกายของคิโยอิก็สั่นสะท้านก่อนที่สติจะกลับคืนมา ไม่สิ ทำไมตนต้องเป็นฝ่ายยอมด้วย พออยู่ต่อหน้ามนุษย์วิปลาสอย่างสุดโต่ง สามัญสำนึกของตัวเองก็พลอยสั่นคลอนตาม ทว่าตนไม่ได้พูดอะไรผิด หนักแน่นเข้าไว้ อย่าตกหลุมพลางความน่าขยะแขยงนั่น
“ไม่ต้องตอนนี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่านายต้องเลิกเล่นทวิตเตอร์”
ครับ... ฮิระพยักหน้าด้วยท่าทีรวดร้าว
“ว่าแต่ของแบบนั้นมีอะไรน่าสนุก อย่างกับถังขยะ มีแต่พวกสมองเพี้ยนชอบโจมตีดารามารวมตัวกัน ถึงมีแฟนคลับมาช่วยโต้กลับให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้างก็เถอะ”
“อ๊ะ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกแอนตี้ก็จะสาบสูญไปเอง”
จู่ๆ แววตาของฮิระก็เปลี่ยนไป แสงอันตรายสะท้อนวาบจากดวงตาหลังผมหน้าม้านั่น
“อะไรของนาย พูดซะเสียงเข้มเชียว นี่คิดจะแก้แค้นจริงเหรอ หยุดเลยนะ”
คิโยอิหวนนึกถึงสมัยมัธยมปลาย ฮิระเคยอัดพวกที่กลั่นแกล้งคิโยอิเพราะความอิจฉาจนเลือดท่วมมาแล้ว ถึงตอนปกติเป็นคนเรียบร้อย แต่ถ้าฮิระฟิวส์ขาดขึ้นมาจะกลายเป็นอีกคนทันที
“ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก คนพวกนั้นเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาบนถนนโลกันตร์เอง ฉันไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงทำอะไรเลย การกระทำของพวกแอนตี้ไม่ต้องใช้ความพยายาม พวกเขาแค่ด่าทอคนอื่นเพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองสูงส่งขึ้น เหมือนกับการดื่มเหล้าสูบบุหรี่นั่นแหละ สมองจะค่อยๆ พังทลายไปทีละนิด สมองจะสะสมแต่คำว่าบ้า โง่ ไปตายซะ เรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว สรุปคือ คำพูดสกปรกที่ด่าทอคิโยอิจะสะสมเข้าไปในสมองของพวกแอนตี้เอง และตัวแอนตี้ก็จะป่วยใจ ในทางกลับกันหากเปรียบเทียบกันแล้ว การกระทำของแฟนคลับที่จริงใจนั้นยอดเยี่ยมกว่าเป็นไหนๆ การสรรเสริญความงามของคิโยอิด้วยคำพูดไพเราะจะทำให้สมองของคนคนนั้นสวยงามยิ่งขึ้น กลายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และโลกของเราก็จะสงบสุขขึ้น อย่างที่นักร้องเร็กเกชื่อดังเคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘คำพูดจากปากของเธอจะมอบชีวิตให้เธอ และคำพูดจากปากของเธอจะปลิดชีวิตเธอ’ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมดคือ พวกแอนตี้เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการรวมตัวกันด่าทอคนอื่นในโลกออนไลน์ จนสามัญสำนึกค่อยๆ สวนทางกับโลกความจริง พอพวกเขาออกมาในสังคมก็จะไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าคิโยอิคือดาวจรัสแสง และหงุดหงิดกับสิ่งที่ขัดกับความเข้าใจของตัวเอง เมื่อถึงขั้นนั้นการรับรู้ของพวกเขาก็จะผิดเพี้ยนไปจนไม่อาจเข้าใจได้ว่าคนปกติมองการด่าทอผู้อื่นเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจขนาดไหน พวกเขาจะยิ่งโจมตีคิโยอิด้วยถ้อยคำสกปรกมากขึ้น และแล้วแม้แต่เมนที่พวกแอนตี้คอยเชียร์อยู่ก็จะโดนสังคมมองด้วยสายตาแปลกๆ ตามไปด้วย สุดท้ายพฤติกรรมแอนตี้คิโยอิ = ทำให้เมนของตัวเองต้องอับอาย นั่นเป็นการทรยศต่อเมนตัวเองอย่างสูงสุด หากเป็นแฟนคลับตัวจริงละก็ ถึงจุดนั้นคงไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำร้ายตัวเองได้...”




+++++++++++++++++++++++++++++++
ผลงานเรื่องใหม่ของนักแสดงหน้าใหม่ที่มีความหล่อเป็นจุดขาย คือบทดาราตลกขายไม่ออก!? ทั้งที่เป็นละครเวทีของโปรดิวเซอร์ที่คิโยอิใฝ่ฝัน แต่เขากลับต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครที่ห่างไกลจากตัวเอง แค่ตอนซ้อมก็ถูกสั่งให้แสดงใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากใบหน้าหล่อๆ นี้เป็นอุปสรรค งั้นฉันจะทิ้งมันให้ดู...!! หลังกลัดกลุ้มอยู่นาน ในที่สุดคิโยอิก็ตัดสินใจเพิ่มน้ำหนัก 20 kg เพื่อละครเวที!! แต่เขาไม่อยากให้ฮิระหนุ่มคนรักเห็นสภาพน่าเกลียดของตัวเองจึงประกาศขอแยกกันอยู่ชั่วคราว คิโยอิคือพระเจ้า คือดวงดาวที่ฉันเทิดทูน ฉันขาดคิโยอิไม่ได้...!! บททดสอบที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดนี้สร้างความปั่นป่วนให้กับฮิระ!?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”