New Release BLY แปล : แม่ทัพซ่อนลายกับสหายลึกลับ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : แม่ทัพซ่อนลายกับสหายลึกลับ

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
เลือดผสมโสมม


เจี่ยซานรักการดื่มสุรา
มักจะพบเห็นเขานั่งดื่มสุราอยู่ที่ร้านเล็กๆ ของผู้เฒ่าจางในหมู่บ้าน
พอมีเงินก็จะสั่งให้ผู้เฒ่าจางแล่เนื้อหัวหมูมาให้เล็กน้อย ครั้นขัดสนก็หักเหรียญทองแดงออกเป็นครึ่งซีกให้พอแลกสุราดื่มได้สักถ้วย
ครั้งหนึ่งเขาเคยขุดเจอหยกหยาบครึ่งก้อนในบ้านโกโรโกโสที่แม้แต่นกยังดูแคลนจะขี้ใส่ก็เมาหัวราน้ำไปได้เป็นสิบวัน สาเหตุที่ร้านสุราเล็กๆ เท่าฝ่ามือของผู้เฒ่าจางยังประคับประคองกิจการมาได้ถึงสามปีห้าปี ล้วนแต่ต้องขอบคุณเจี่ยซานคนตะกละผู้นี้
เมื่อเขาดื่มจนเมา เสื้อตัวสั้นจากผ้าเนื้อหยาบก็จะถูกถอดออก เปลือยร่างกายส่วนบนนั่งอยู่ริมถนนหลวง ร้องเพลงสือปามอ ในลำคอ หญิงสาวในหมู่บ้านที่ได้ยินเสียงต่างก็พากันหลีกหนีให้ไกลห่าง ดังนั้นเจี่ยซานจึงสามารถรักษาความโสดไว้จนถึงปัจจุบัน แม้แต่แม่สื่อพ่อสื่อสักคนก็ยังไม่มี
เจี่ยซานไม่ใช่คนของหมู่บ้านนี้ เขาเป็นทหารปลดระวาง
เมื่อสามปีก่อนแคว้นเทียนเฉาขับไล่แคว้นชี่ตันออกไป แผ่นดินไร้ซึ่งสงคราม ม้าศึกถูกปล่อยกลับป่าทางใต้ไม่ทำการศึกใดๆ ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้ทหารที่มีอายุประจำการมากกว่ายี่สิบปี หรือทหารชราที่มีอายุเกินห้าสิบขึ้นไปสามารถถอดยศทหาร ปลดชุดเกราะและกลับภูมิลำเนาได้
แม้ภายนอกของเจี่ยซานจะดูตกต่ำน่าเวทนา แต่ความจริงเขาอายุเพียงสามสิบเท่านั้น เขารับเบี้ยพระราชทานจากฮ่องเต้มาลงหลักปักฐานในหมู่บ้านนี้ ตอนที่เขาดื่มสุราจนเลอะเลือนก็มีคนถามว่าเขาปลดยศทหารได้อย่างไร
“นี่ เรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่รู้หรือ! ตอนข้าสิบขวบก็ร่วมออกรบกับกองทัพใหญ่คอยเป็นลูกมือให้แพทย์สนาม นับดูแล้วก็ครบยี่สิบปีไปตั้งแต่เนิ่นแล้ว ต้องถอดยศได้เป็นธรรมดา” เขาเอ่ยอย่างได้ใจในขณะที่เมากรึ่ม
ชาวบ้านต่างพากันถอนหายใจ
ออกรบตั้งแต่สิบขวบ?
เป็นทหารมาแล้วยี่สิบปี?
เจ้าเจี่ยซานคนนี้คุยโวโดยไม่กลัวเนื้อหนังถลอกเสียจริง คำพูดคำจามีแต่คำหลอกลวง
เจี่ยซานไม่รู้วิธีเพาะปลูก
ซ้ำคนผู้นี้ยังแสนเกียจคร้าน
ออกจากบ้านเมื่อตะวันขึ้นสูงเท่าสามก้านไผ่
เลยเที่ยงวันไปไม่ทันไรก็กลับมา
หญ้ารอบบ้านไม่เคยถาง
ดินถล่มปิดทางน้ำไหลก็ไม่ซ่อมแซม
ที่ดินขนาดสองเฟิน ครึ่งที่แบ่งให้เขานั้นเพาะปลูกมาก็หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลีหรือมันเทศต่างก็เหี่ยวแห้งใกล้เฉาตาย ผลผลิตที่ได้พอจะเป็นเสบียงให้หนึ่งชีวิตเท่านั้น
หมู่บ้านชิงเหลียงอยู่ห่างจากชายแดนแคว้นชี่ตันไปประมาณสามร้อยลี้ ผู้คนส่วนมากคือทหารปลดระวางและคนพื้นที่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเคยถูกทำลายเพราะสงครามอยู่หลายครั้ง แต่ช่วงสามปีมานี้ไม่มีสงคราม ชาวบ้านเริ่มจะมีช่องทางทำมาหากินและดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข
วันที่สามเดือนสาม เจี่ยซานยกหัวขึ้นอีกทีก็รู้ว่าตนนั้นหลับยาวไปถึงเที่ยงวันแล้ว หลังจากลุกขึ้นอย่างสะลึมสะลือและดื่มเหล้าที่เหลืออยู่อีกสองตำลึง จนหมด ก็ตัดสินใจว่าจะไปเอาเหล้าจากผู้เฒ่าจางอีกสองชั่ง หลังจากเดินผ่านพ้นประตูไปได้เพียงสามร้อยถึงห้าร้อยก้าวเท่านั้น ก็เหลือบไปเห็นกลุ่มของเหลวสีแดงที่ริมแม่น้ำซีเหลียง เจี่ยซานสะดุ้งวาบก่อนจะหันซ้ายแลขวาและปีนลงไปตามคันดิน
เมื่อแหวกพุ่มต้นอ้อออกก็พบว่ามีร่างของคนผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในน้ำอย่างที่คาดไว้ เจี่ยซานเข้าไปใกล้เพื่อทดสอบลมหายใจ สัมผัสปลายนิ้วแผ่วเบา ลมหายใจออกน้อยกว่าลมหายใจเข้า คิดว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว
เจี่ยซานนั่งครุ่นคิดอยู่ริมฝั่ง
ลุกขึ้นยืนแล้วก็ยังเดินวนอยู่สองรอบ
และครุ่นคิดอีก
สุดท้ายก็เงยหน้าแล้วถอนหายใจ ตบไปที่หน้าขาหนึ่งฉาดก่อนจะกระโดดเข้าพุ่มอ้อและพาร่างคนผู้นั้นขึ้นฝั่ง
เขานอนคว่ำหอบอยู่ที่ริมฝั่งอยู่นาน ก่อนเอ่ยอย่างลำบาก “ดูไม่ออกเลย หนักกว่าวัวควายเสียอีก” แล้วเมื่อพลิกตัวก็ต้องตกตะลึง
คนที่นอนอยู่บนพื้นนั้นสวมเกราะหนังของชาวชี่ตัน มีดเดินป่าคาดไว้ที่เอว ในมือกำคันธนูไว้แน่น รู้ได้เลยว่าเป็นทหารชี่ตันที่ลอยตามกระแสน้ำของแม่น้ำซีเหลียงมา
“นี่มัน...ซวยจริงๆ” เจี่ยซานพึมพำกับตัวเอง
ผ่านไปสักพักเขาลูบใบหน้าไล่หยดน้ำออกจนหมด จากนั้นแบกร่างคนบนพื้นขึ้นหลังแล้วปีนขึ้นคันดินอย่างยากลำบาก เมื่อมองซ้ายมองขวาไม่พบผู้ใดเดินผ่านถึงเดินย่องกลับเข้าบ้านตนเองอย่างมีพิรุธ ทำราวกับโจรยกเค้าก็มิปาน
ทหารตัวน้อยจากชี่ตันที่สลบไม่ได้สติคนนั้น ที่เอวถูกแทงเข้าหนึ่งดาบ ปากแผลเปิดกว้าง เลือดกระหน่ำไหลออก ตลอดการเดินแค่ไม่กี่ก้าวกลับทำให้เสื้อตัวสั้นของเจี่ยซานถูกย้อมไปด้วยเลือดเกือบทั้งตัวแล้ว
เขานำร่างเล็กของทหารคนนั้นวางไว้บนเตียงและเร่งรีบตัดเกราะหนังออก เมื่อปัดผมที่บดบังออกก็ต้องนิ่งตะลึงอย่างอดไม่ได้
ทหารตัวน้อยอายุคงไม่เกินสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี คิ้วหนาดำขลับ จมูกโด่งเป็นสัน มิรู้ว่าดวงตาจะโตหรือไม่ แต่ขนตาก็ยาวจนน่าตกใจ ไม่มีความหยาบคายบ้ากำลังของชาวชี่ตันทั่วไป แต่คล้ายกับลูกครึ่งชาวฮั่นและชาวชี่ตันเสียมากกว่า ดังนั้นจึงมีความสงบเสงี่ยมของชาวฮั่นอยู่หลายส่วน
เขาจัดการกับร่างกายของคนผู้นี้อย่างสมควร ใช้รอยไหม้จากก้นหม้ออุดปากแผล และเย็บด้วยเข็มเย็บผ้าที่ขอยืมมาจากสตรีแต่งงานแล้วเรือนข้างเคียง สุดท้ายนำเหล้าฮวาเตียวที่เก็บรักษาไว้เป็นเวลานานจากมุมกำแพงมาราดบนบาดแผลเพื่อฆ่าเชื้อ
“นี่คือฮวาเตียวที่หมักมาเกือบสิบปีเชียวนะ” เจี่ยซานเอ่ยอย่างเจ็บปวด “เอาพวกเจ้ามาใช้เสียของจนได้”
กว่าจะวุ่นวายกับร่างที่บาดเจ็บเสร็จสิ้นก็ล่วงเลยไปถึงเวลาบ่าย เจี่ยซานออกไปหาอาหารกินอย่างลวกๆ เมื่อกลับมาถึงก็ทิ้งตัวนอนหลับบนโต๊ะในห้องโถง พอตื่นด้วยความสะลึมสะลือ เห็นรอบด้านมืดมัวก็รู้สึกตัวตื่นว่าหลับไปจนถึงเที่ยงคืน
พลันนึกถึงอีกร่างหนึ่งในบ้านที่จะตายแหล่มิตายแหล่ขึ้นมาจึงรีบลุกขึ้นมา พอก้าวเท้าเดินไปได้ครึ่งก้าวเท่านั้นก็รู้สึกเย็บวาบจากวัตถุหนึ่งซึ่งกำลังวางทาบอยู่ที่ลำคอ
“เจ้า...เป็นใคร” สำเนียงของอีกฝ่ายฟังดูประหลาด ราวกับไม่ใช่ชาวฮั่น
“บอกมา!” ใบมีดเย็นถูกกดให้ประชิดยิ่งขึ้นจนเจี่ยซานเริ่มรู้สึกเจ็บ ลำคอตอนนี้รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกตัดในเวลาอันใกล้
“ข้าบอกแล้วๆ!” เขาตกใจจนเอาแต่พูดซ้ำ “ข้าคือเจี่ยซาน ที่นี่คือหมู่บ้านชิงเหลียง”
อีกฝ่ายหอบหายใจหนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นอีก “เจ้า...ช่วยข้า?”
“ข้าเป็นคนช่วยเจ้าไว้ ข้าคือผู้มีพระคุณ เจ้าจะเนรคุณไม่ได้นะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเนรคุณเป็นอย่างไร มันก็คือ...”
“หุบปาก” อีกฝ่ายกดเสียงต่ำ
เจี่ยซานยอมหยุดปากแต่โดยดี
ต่อมามีดบนคอเขาเริ่มขยับไหว ทำเอาเจี่ยซานตกใจจนตัวแข็งทื่อ
อีกฝ่ายหายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็หยุดไป มีดเล่มนั้นละออกจากคอเขา เจี่ยซานก้าวเท้ายาวผละหนีและดึงร่างของเด็กหนุ่มมาไว้ในอ้อมอก
ยกมือแตะหน้าผาก
ร้อนผ่าวอย่างที่คาด
“ตัวร้อนปานนี้ยังจะลุกขึ้นมาอีก” เจี่ยซานสบถ “ชิ”
เจี่ยซานจัดการร่างของเด็กหนุ่มเรียบร้อยแล้วก็นอนหลับจนฟ้าสาง เมื่อตื่นมาก็ถือกาสุราไปซื้อสุรากับผู้เฒ่าจาง สั่งผัดถั่วลิสงมาหนึ่งจานแกล้มกับสุราให้พอกรึ่ม กว่าจะเดินโซซัดโซเซกลับไปถึงบ้านก็เที่ยงวันแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงนอนอยู่ เมื่อสำรวจดูอีกเจี่ยซานก็รู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เด็กคนนี้ตัวร้อนจนแขนขาเกร็ง ริมฝีปากแตกแห้ง แม้แต่ผิวก็แห้งจนแตกลาย
เจี่ยซานรีบออกไปตามหมอ เมื่อวิ่งมาถึงหน้าประตูก็สะดุดเข้ากับธรณีประตู ล้มลงไปคลุกกับพื้นอย่างหมดสภาพ ครั้นลุกขึ้นสำรวจร่างกายก็พบว่าสายรองเท้ายังขาดอีก
สุดเขตตะวันตกของหมู่บ้านมีหมอยาจกอยู่ท่านหนึ่งซึ่งปลดระวางในเวลาเดียวกับเจี่ยซาน งานปกติคือรักษาเป็ดไก่ติดโรค หรือช่วยวัวควายทำคลอด ถือว่าเป็นหมอมือดี เพียงแต่รักษาให้คนมักจะทำรุนแรง จนชาวบ้านขนานนามว่า ‘มือพิษ’ แต่เขาก็มิวายเสริมคำว่า ‘หมอเทวดา’ เพิ่มเติมเข้าไป แม้ชาวบ้านจะครหา แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อทั้งหมู่บ้านมีหมอเพียงคนเดียว หมอเทวดาก็หมอเทวดา ดีกว่าไม่ได้รักษาก็แล้วกัน
เมื่อเจี่ยซานไปถึง ประตูจากเศษไม้ซอมซ่อเปิดแง้มอยู่กึ่งหนึ่ง เขายืนตะโกนเรียกจากประตู “หมอหวัง หมอหวัง! มีคนจะตายแล้ว! รีบออกมาได้แล้ว” เจี่ยซานทั้งตะโกนทั้งกระโดดอยู่หน้าประตู ผ่านไปหนึ่งเค่อ หมอหวังที่ถูกเรียกถึงได้เดินโงนเงนออกมาในชุดสีขาวสะอาดตา เขาถามขึ้นทั้งที่ยืดกอดอก “มีธุระอะไร”
เจี่ยซานถุยน้ำลาย “หวังอวี่เฉิง เจ้าปล่อยให้ข้ายืนเมื่อยอยู่ตั้งนาน เป็นแค่หมอยาจกแท้ๆ ยังวางท่าเป็นซิ่วไฉ อีก?”
หมอหวังกลอกตา “ไม่มีเรื่องให้ช่วย ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนแล้ว”
พูดจบก็หมุนตัวจะกลับเข้าเรือน
เจี่ยซานเป็นคนใจร้อน ยกเท้าถีบประตูเศษไม้จนกระเด็นก่อนจะเข้าไปดึงเขาออกมา “ที่บ้านข้ามีคนกำลังจะตาย เจ้าจะมารักษาให้หรือไม่”
“นี่ๆ!” หมอหวังร้อนรนขึ้นมา คว้าประตูเป็นการรั้งตัวไว้ “เจ้าให้ข้านำกล่องยาไปด้วยสิ!”
มือหนึ่งของเจี่ยซานจับหมอไว้ อีกมือหนึ่งสะพายกล่องยา วิ่งไปที่บ้านราวกับรีบไปเกิดใหม่ เมื่อคืนฝนตกหนัก รอจนหมอหวังไปถึงบ้านฟางซอมซ่อของเจี่ยซาน เสื้อคลุมของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปครึ่งตัว
“เจี่ยซาน เจ้าคนบุ่มบ่าม!” หมอหวังโมโหขึ้นมา “นี่คือชุดคลุมตัวเดียวที่ข้ามีเลยนะ”
“ค่อยว่ากันภายหลัง เจ้าดูอาการก่อน” เจี่ยซานเลิกผ้าห่มออก
หวังอวี่เฉิงนิ่งงันไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “นี่คือ...ชาวชี่ตัน?”
“คาดว่าเป็นลูกครึ่ง” เจี่ยซานตอบ “เก็บมาจากดงอ้อเมื่อวานนี้ บาดเจ็บสาหัส”
หมอหวังฟังเรื่องราวพลางมัดแขนเสื้อเตรียมวินิจฉัย
“...นี่คือสิ่งใด” หมอหวังชี้ไปยังจุดที่มีรอยเย็บ
“ข้าไปขอเข็มจากสตรีบ้านฝั่งตรงข้ามมาเย็บให้”
“ได้ฆ่าเชื้อหรือไม่”
“ทำสิ ข้าใช้เหล้าฮวาเตียวที่บ่มมานานกว่าสิบปีนั่น” เจี่ยซานพูดอย่างเจ็บปวด
“...นี่นับว่าเป็นการฆ่าเชื้อเสียที่ไหน” หมอหวังหันมาถลึงตาใส่เขา “วัตถุสีดำเป็นตะโกที่ยัดไว้ข้างในคือสิ่งใดอีก”
“อ้อ” เจี่ยซานตอบ “รอยไหม้ก้นหม้อของข้าเอง”
“สามปีมานี้บ้านเจ้าไม่เคยก่อไฟทำครัว รอยไหม้ก้นหม้อจากที่ใดกัน!” หมอหวังกัดฟันกรอด “เจี่ยซานเจ้าคนสมองน้อย! เจ้าทำมั่วซั่วเช่นนี้ มิน่าเล่าเด็กนี่ถึงจะได้อายุสั้น”
เจี่ยซานตกใจ “อะไร เขาจะตายแล้วหรือ!?”
หมอหวังยิ้มเย็น “หึ มี ‘หมอเทวดามือพิษ’ อย่างข้าอยู่ตรงนี้ พญายมผีน้อยยังต้องถอยไปสามส่วน “ในระหว่างที่เอ่ยไปด้วยนั้นก็มิรู้ว่าเขารักษาส่วนใดของร่างเด็กหนุ่มไปบ้าง
เด็กหนุ่มที่ไม่ได้สติส่งเสียงร้องน่าเวทนา
เจี่ยซานถอยร่นพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป ไอ้บ้าเอ๊ย มือโหดอย่างที่เล่าลือจริงๆ!
หมอหวังรักษาคนเจ็บอยู่ภายใน เสียงร้องโอดครวญดังมิขาดสาย เจี่ยซานที่อยู่ข้างนอกก็ตกใจจนกระวนกระวาย รีบนำชุดเกราะของเด็กหนุ่มคนนั้นฝังกลบไว้ข้างนอกบ้าน
ของที่ติดตัวเด็กคนนั้นมีสภาพซอมซ่อ รอยบิ่นตามดาบมีอยู่มากมาย ธนูก็ทำขึ้นอย่างไม่ประณีต แต่กลับพบเจอตั๋วเงินมูลค่าห้าสิบตำลึงที่ช่องลับด้านในของชุดเกราะนั่น เจี่ยซานยิ้มร่าอย่างเบิกบานขึ้นมาทันที
ต่อมาก็ค้นเจอเสือหยกชิ้นหนึ่ง ผลึกใสผุดผ่องเนื้อละเอียดมันวาว ขาวผ่องราวกับไขมันแกะ แค่มองดูก็รู้ถึงมูลค่ามหาศาลของมัน เกรงว่าตั๋วเงินราคาห้าสิบตำลึงอีกหลายใบคงไม่มากพอจะซื้อมัน
แต่เจี่ยซานกลับไม่รู้สึกยินดี
เขายกก้อนหยกขาวที่เป็นรูปร่างเสือนั่นส่องกับแสงอาทิตย์ ตรงกลางของมันมีเงาดำ ราวกับมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน
“เป็นของมีค่า” หวังอวี่เฉิงเดินออกมาจากข้างในพลางเช็ดคราบเลือดบนมือ
เจี่ยซานที่นำหยกมาถือเล่นอยู่ในมือครึ่งค่อนวันเอ่ยถาม “เขาไม่เป็นอะไรแล้วหรือ”
“หลับไปแล้ว กระดูกเขาหักอยู่หลายส่วน คาดว่าคงต้องพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ไม่ตายแน่” หวังอวี่เฉิงหยิบหยกก้อนนั้นจากมือเจี่ยซานขึ้นมา จ้องดูสักพักก็วางกลับที่เดิม “นี่คือตราสัญลักษณ์ติดกายแม่ทัพขั้นหนึ่งของแคว้นเรา ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่ชิ้น เจ้าทหารคนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว”
เจี่ยซานขานรับ “อือ”
“เจ้าบอกว่าเขาลอยมาจากแม่น้ำซีเหลียง เหนือจากหมู่บ้านเราไปตามแม่น้ำอีกสองร้อยกว่าลี้ก็คืออวี่โจว เดินไปอีกห้าร้อยลี้ก็คือด่านเป่ยเหลียว หลายวันมานี้ได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่าจะมีขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงมาที่อวี่โจว” หมอหวังพึมพำ “เจี่ยซาน เกรงว่าคนผู้นี้คงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว บางทีอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรง”
เจี่ยซานส่ายหัว ผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด “หมอหวัง ผู้แซ่เจี่ยมีเรื่องจะขอร้อง”
“ว่ามา”
“คือว่า...เงินทองแดงอันน้อยนิดที่ผู้แซ่เจี่ยมีติดตัวได้นำไปบูชาอวัยวะภายในของร่างกายนี้หมดแล้ว ดังนั้นเงินค่ารักษานี่...”
หวังอวี่เฉิงมุมปากกระตุกเอ่ยอย่างอดกลั้น “ช่าง...ช่างเถอะ ถือว่าข้าทำบุญทำทาน ช่วยหนึ่งชีวิตได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
“เจ้าสร้างสิบสี่ชั้นไม่ดีกว่าหรือ?” ตาของเจี่ยซานหรี่ลงพลางเล่นหูเล่นตา
“หา?” เจดีย์มีถึงสิบสี่ชั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ให้ข้ายืมสักสิบเหรียญทองแดงได้หรือไม่” เจี่ยซานถูมือไปมา เอ่ยถามอย่างประจบสอพลอ
หวังอวี่เฉิงสะอึก สูดหายใจเข้าลึกอยู่นานก่อนจะหยิบเหรียญทองแดงห้าเหรียญมาจากใต้แขนเสื้อ “โธ่เว้ย ชาติที่แล้วข้าทำกรรมอะไรไว้กันแน่”
“นี่มันแค่ห้า...”
หวังอวี่เฉิงกัดฟันขบกรามแน่น “อยาก จะ ลอง ลิ้ม รส ชาติ มือ พิษ หรือ ไม่!?”

***

บ้านของเจี่ยซานแบ่งเป็นส่วนในกับส่วนนอกแค่สองส่วนเท่านั้น ด้านนอกก่อเพิงเป็นห้องสุขา ตรงกลางเป็นลานบ้าน ที่ลานบ้านปลูกต้นทับทิมอายุสิบกว่าปีไว้ สิ่งก่อสร้างจากดินเหนียวเพียงหนึ่งเดียวนั้นคือเรือนครัวที่อยู่อีกฟากของลานบ้าน
ผู้ชายในบ้านนี้ออกไปเป็นทหารและเสียชีวิตที่ชายแดน หญิงม่ายที่เลี้ยงดูลูกสาวไม่ไหวจึงฆ่ารัดคอลูกและแขวนคอตัวเองตายตามกันไป
ผู้คนต่างกล่าวว่านี่คือบ้านผีสิง ไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่หลายปีแล้ว
เจี่ยซานไม่มีเงิน และไม่มีความสามารถด้านการปลูกเรือน
เลยแค่กำจัดหญ้ารกร้างก็ย้ายเข้ามาอยู่เลย
คืนที่ย้ายเข้ามา ไม่มีผ้าห่มให้คลายหนาว รู้สึกถึงเพียงลมเย็นที่พัดมาเป็นระลอก เจี่ยซานตื่นขึ้นมากลางดึก ฟังเสียงลมนั่นที่คล้ายคลึงกับเสียงร้องไห้โศกศัลย์ของสตรี ชวนให้รู้สึกเศร้าใจอย่างเหลือแสน วันที่สองจึงออกไปหาซื้อกระดาษเนื้อหยาบ นำกลับมาทำเป็นเงินกระดาษด้วยตัวเอง ทั้งยังซื้ออาหารจากแป้งสาลีแต้มจุดสีแดง เมื่อถึงยามตะวันตกดิน เขาจุดธูป ตั้งเครื่องเซ่นไหว้ พร้อมกับเผาเงินกระดาษไปให้
“ชาตินี้ต้องจากไปก่อนเวลาอันควร ไปเกิดเป็นคนใหม่ชาติหน้าแล้วกัน” เขาเอ่ย “ครั้งหน้าอย่าได้เกิดมาในพื้นที่ชายแดนที่มีแต่สงครามอีกเลย”
จากนั้นเขาก็ดื่มเหล้าอย่างเบิกบาน กินอาหารจากแป้งสาลีที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้โดยไร้ซึ่งความละอาย เอนหัวลงนอนไปทั้งอย่างนั้นด้วยฤทธิ์สุรา ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่รู้สึกถึงลมเย็นพัดผ่านอีกเลย
เจ้าเด็กหนุ่มนี่ยึดเตียงเพียงหนึ่งเดียวในบ้านนี้มาสามวันสามคืนแล้ว
เจี่ยซานพลิกตัวนอนในห้องรับแขกอย่างไม่สบายตัวจึงดันร่างของเด็กหนุ่มเข้าไปด้านในของเตียงเตา และกลับไปนอนที่เตียงของตนอย่างสบายอุรา
ในเช้าตรู่วันที่สี่ เจี่ยซานฝันว่าถูกหินก้อนใหญ่ทับจนหายใจไม่ออก
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเด็กหนุ่มนั่นกำลังนั่งคร่อมอยู่ที่ท้องเขา ในมือถือมีดผ่าฟืนของเจี่ยซานไว้พลางจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก
เจี่ยซานพะงาบปากใกล้จะขาดใจ งอขาขึ้นพร้อมกับเอ่ย “จอมยุทธ์ แม้ว่าข้าจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตอบแทนเช่นนี้ อีกทั้งร่างกายเจ้าอ่อนแอ รอจนหายแล้วค่อยทำก็มิ...”
มีดผ่าฟืนตัดผมของเจี่ยซานไปแล้วส่วนหนึ่ง
“ข้าถาม เจ้าตอบ” สีหน้าอารมณ์ของเด็กหนุ่มไม่ต่างจากตอนแรก เขาออกคำสั่งสั้นๆ
“ได้” เจี่ยซานในตอนนี้เชื่อฟังอย่างถึงที่สุด
“เจ้า...เป็นใครกัน”
“เจี่ยซาน อาชีพเพาะปลูก เป็นชาวไร่” กล่าวคำสุดท้ายนั่น แม้แต่ตัวเจี่ยซานเองก็อดที่จะหน้าแดงด้วยความละอายไม่ได้
“ที่นี่คือที่ใด”
“หมู่บ้านชิงเหลียง”
“เหตุใดเจ้า...ข้า?” ภาษาฮั่นของเด็กหนุ่มเหมือนกับจะมีแต่คำศัพท์ง่ายๆ เขาพูดติดขัดและยังคลุมเครือ
เจี่ยซานได้ยินประโยคเหล่านั้นก็พ่นขำออกมา แต่ขำยังไม่สุดเสียงก็ถูกมีดที่เด็กหนุ่มจ่อมาที่ตาขู่จนต้องกลืนเสียงหัวเราะลงคอ
“รีบตอบมา”
“แค่ก...เจ้ามาตามแม่น้ำซีเหลียง ลอยมาติดคันดิน ข้าเป็นคนแบกเจ้ากลับมา ก่อนหน้านี้ยังเชิญหมอมาให้เจ้า ใช้เงินข้าไปสองตำลึง ข้าไม่ใช่คนเลว” เจี่ยซานตะล่อมอย่างเป็นขั้นตอน “ดูสิว่าข้าช่วยเจ้า ไม่ได้ส่งตัวให้ทางการ เจ้าเป็นชาวชี่ตันสินะ?”
คิ้วของเด็กหนุ่มกระตุก ก่อนจะกดมีดลงอีกพร้อมถามเสียงต่ำ “เสือหยก...อยู่ที่ใด?”
“เสือหยก?” เจี่ยซานทำหน้าเหลอหลาตามด้วยใบหน้าของคนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เจ้าหมายถึงหยกประดับนั่นสินะ ข้าขายไปแล้ว มิเช่นนั้นจะเอาเงินจากที่ใดมารักษาเจ้าล่ะ”
“ขายแล้ว!?” เด็กหนุ่มคนนี้หลอกง่ายอย่างที่คิด ทันใดนั้นเขาก็คว้าคอเสื้อของเจี่ยซาน ดึงรัดคอเขาจนแน่น “ขายให้ผู้ใด”
“ไม่...แค่ก...ไม่รู้” เจี่ยซานกลั้นลมหายใจจนใกล้จะขาดใจ
“เอาคืนมา!”
“เอา...คืน...ไม่...ได้...” เจี่ยซานกลั้นลมหายใจจนหน้าเขียวและเอ่ยอย่างยากลำบาก
“เอาคืนไม่ได้เจ้าก็ตายซะ”
ประโยคนี้ช่างพูดได้คล่องปากเสียจริง
เจี่ยซานกลอกตาพลางคิดในใจ มือของเด็กหนุ่มจับคอเขาอย่างแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก เจี่ยซานคิดว่าตัวเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
“ชาวชี่ตัน...ปฏิบัติ...เช่นนี้...กับ...ผู้มีพระคุณหรือ?” เขาดิ้นรนหาทางรอด
ในชั่วพริบตาที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะขาดใจตาย เด็กหนุ่มก็คลายมือออก
เจี่ยซานปีนลงข้างเตียง หายใจหอบสูดลมเข้าปอดทั้งยังไอเสียงดัง
เด็กหนุ่มเดินลงจากเตียง ห่อตัวด้วยผ้าชิ้นหนึ่งแล้วเดินไปข้างนอก
“นี่!” เจี่ยซานอ้าปากค้าง ผ่านไปสักพักกว่าจะตั้งสติได้
“นี่! เจ้าจะไปไหน?”
“ไปเอาหยก...คืนมา” เด็กหนุ่มยังคงเดินต่อไป
“ซี่โครงเจ้าหัก เอวบาดเจ็บ รอให้หายก่อนแล้วค่อยไป” เจี่ยซานรีบตามไป โชคดีที่ตอนนี้ข้างนอกไม่มีผู้คนพลุกพล่าน มิเช่นนั้นคงสร้างความตื่นตระหนกเป็นแน่แท้
เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบปราดหนึ่ง “อย่ามายุ่ง”
“เอ่อ...” เจี่ยซานหยุดลงก่อนจะถามอีกครั้ง “ ข้าว่านะจอมยุทธ์ อาจารย์น้อย วีรบุรุษน้อย เจ้า...”
“หุบปาก” เด็กหนุ่มพูดกับเขาอีกสองคำ
เจี่ยซานเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าจะไม่กลับไปจริงหรือ”
เด็กหนุ่มยังคงเดินกะเผลกต่อไป
“ไม่กลับไปแน่นะ?”
เด็กหนุ่มก็ยังไม่สนใจเขา
เจี่ยซานถอนหายใจ “เจ้าบังคับข้าเองนะ”
เขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย สายตาดับวูบแล้วล้มลงกับพื้นในทันที
เจี่ยซานโอบร่างที่ไม่ได้สติของเด็กหนุ่ม ใช้มือซ้ายปัดผมที่ปรกใบหน้าและพูดอย่างจนใจ “เจ้าจะเชื่อฟังข้าบ้างไม่ได้หรือไร ข้าเจ็บมือนะ”
เพื่อรักษาชีวิต
เจี่ยซานเก็บเครื่องโลหะในบ้านออกจนหมด เหลือเพียงมีดผ่าฟืนในมือเด็กหนุ่มที่ไม่ว่าจะงัดออกมาอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงวัน
ครั้งนี้เขาไม่หนี นอนแผ่อยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน สายตาจ้องมองแต่ด้านบน
เจี่ยซานรวบรวมความกล้านำน้ำไปวางไว้บนหัวเตียง เสียงของถ้วยกระทบกับหัวเตียงดัง ‘กึก’ นัยน์ตาของเด็กหนุ่มถึงได้ขยับหันมามองเขา เจี่ยซานสะดุ้งโหยง กระโดดถอยหนีไปที่ประตูห้อง อธิบายเสียงตะกุกตะกัก “จอมยุทธ์น้อย ไข้เจ้าเพิ่งลด ดื่มน้ำเยอะๆ จะได้หายไวๆ”
ก็มิรู้ว่าเด็กหนุ่มจะได้ยินคำพูดนั่นหรือไม่
ผ่านไปสักพักเด็กหนุ่มจึงค่อยๆ หยัดกายขึ้น นิ้วมือสั่นระริกเคลื่อนไปจับถ้วย ถ้วยใบนั้นสั่นไปสั่นมา น้ำในถ้วยกระฉอกออกมาเกือบครึ่ง
เจี่ยซานทนดูภาพนั้นไม่ได้เลยปราดเข้าไปช่วยประคองถ้วยยกขึ้นจรดริมฝีปากของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มคล้ายกับกระหายมานานถึงกลืนน้ำลงอึกใหญ่อย่างอดใจรอไม่ไหว เสียงดื่มน้ำอึกๆ ดังในลำคอคล้ายลูกวัวกำลังดื่มน้ำ
หลังจากดื่มหมด เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองตรงมาที่เขาพร้อมกับพูดเสียงกระด้าง “เอาอีก”
“ได้” อย่างไรเสียน้ำนี่ก็ไม่ต้องใช้เงินแลกมาอยู่แล้ว
เจี่ยซานรีบวิ่งไปตักน้ำจากโอ่งน้ำมาสองกระบวยใส่เหยือก และนำกลับไปรินให้เขาอีกถ้วย ยกถ้วยขึ้นชิดริมฝีปาก กระดกถ้วยให้เขาดื่มน้ำ
หลังจากเด็กหนุ่มดื่มไปทีเดียวสามถ้วยรวด เรี่ยวแรงก็เหมือนจะกลับมา เขาช้อนตาขึ้นมองเจี่ยซาน เจี่ยซานพลันรู้สึกว่าคงเป็นเพราะน้ำหลายอึกที่ดื่มลงไป ดวงตาของเด็กหนุ่มถึงได้ดูชุ่มชื่น ทั้งโตทั้งกลม
“เจ้าชื่ออะไร” เจี่ยซานเอ่ยถาม
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มฉายประกายงุนงง ครู่ต่อมาคล้ายกับเพิ่งเข้าใจคำถาม เขาจึงตอบ “อูปาเอ่อร์”
“อูปาเอ่อร์” เจี่ยซานพึมพำชื่ออีกฝ่าย “อูปาเอ่อร์ ข้าชื่อว่าเจี่ยซาน”
“ข้ารู้ เจ้า...เคยบอก” เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ
“อ้อ ใช่...” เจี่ยซานพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าตรู่ที่เด็กหนุ่มขึ้นคร่อมร่างของเขาเพื่อจะเค้นถามบางอย่าง เขาที่บังเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนจึงยกมือขึ้นตั้งใจจะเกาผม แต่ผลปรากฏว่าเขาคลำไม่พบ ถึงนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ตัดผมของเขาไปแล้ว
ทรงผมของเจี่ยซานตอนนี้ดูคล้ายกับวงแหวน สองข้างยาว ตรงกลางสั้น จะมัดเกล้ายังเกล้าไม่ขึ้น
“ครั้งหน้า...น้ำนั่น” อูปาเอ่อร์เหมือนจะไม่พอใจ “อุ่นร้อนก่อนค่อยให้ข้าดื่ม”
เจี่ยซานเลิกคิ้ว “ได้สิ”
เขาก็แค่โมโหคนไม่เป็น
“อยากดื่มชา” อูปาเอ่อร์เปรย
เจี่ยซานเอ่ยทันที “...ข้าไม่มีเงินซื้อใบชา”
สีหน้าของเด็กหนุ่มถมึงทึงขึ้นมาทันใด แกว่งมีดผ่าฟืนในมือไปมา “ชา”
เจี่ยซานรีบถอยกายหนีชิดกำแพงพลางยิ้มแห้ง “ได้ๆๆ ชาก็ชา”
อูปาเอ่อร์เหมือนกับจะพอใจในที่สุด เขาซุกกายใต้ผ้าห่มแล้วเปรยขึ้นอีกครั้ง “หิว”
“อะไรนะ?”
“ข้า...หิว”
“เช่นนั้นให้ข้าไปหาของให้กิน?” เจี่ยซานถามอย่างระมัดระวัง
อูปาเอ่อร์นอนหงายอยู่บนเตียง วางท่าเหมือนตนเป็นนายท่านเสียเหลือเกิน “ร้อนด้วยนะ”
“...ได้ เอาร้อนด้วย” เจี่ยซานเดินออกมาโดยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เขาออกมายืนแหงนหน้ามองฟ้าอยู่ในลานบ้านแล้วพ่นหายใจยาว “สวรรค์ จะกินจะดื่มจะถ่ายก็ต้องให้ดูแล ข้าจะเอาเงินจากไหนมาตั้งมากมายกัน!”
ในหมู่บ้านมีครอบครัวร่ำรวยอยู่ครอบครัวหนึ่ง ทำกิจการขายรองเท้าผ้า ได้ยินมาฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาหมู่บ้านใกล้เคียงทั้งสิบหมู่บ้าน ตั้งแต่นายอำเภอได้สวมใส่รองเท้าจากร้านเขาแล้วก็กลายเป็นร้านรองเท้าผ้าชั้นนำอันดับต้นๆ ของอำเภอ ทุกคนที่มาขอร้องจำต้องขานเรียกเขาด้วยความเคารพว่า...ปรมาจารย์หลิว
รูจมูกของปรมาจารย์หลิวผู้นี้เชิดสูงยิ่งนัก เดินเหินไปไหนตาไม่มองพื้น ทั่วทั้งร่างประดับด้วยอัญมณีของมีค่า กลัวว่าคนจะไม่รู้ว่าเขาคือปรมาจารย์หลิวช่างทำรองเท้าผ้าคนนั้น
รองเท้าฟางที่เท้าสานพื้นรองเท้าไปกว่าสิบชั้น ความสูงประมาณสามนิ้วได้
เจี่ยซานยากจนขัดสน ไม่มีเงินมากพอจะซื้อรองเท้าผ้า ต้องเย็บรองเท้าฟางมาสวมใส่ด้วยตัวเอง ครั้งนี้พอไม่มีเงินแล้วก็ต้องนึกถึงปรมาจารย์หลิวเป็นธรรมดา เขาคว้าตั๋วเงินมูลค่าห้าสิบตำลึงนั่นออกมาจากใต้ก้อนอิฐมุมกำแพงห้องโถง เมื่อถือมันมาถึงหน้าประตู ไตร่ตรองอยู่สักพักก็หมุนตัวกลับ
ตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึงเป็นสมบัติของเจ้าเด็กนั่น ข้างบนยังมีตราประทับของร้านรับแลกอยู่ หากนำมันออกไปคิดว่าคงจะสร้างหายนะให้ตัวเขาได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายเขาก็เก็บตั๋วเงินไว้ที่เดิมและยกอิฐอีกก้อนขึ้น หยิบกล่องใบหนึ่ง เปิดกล่องใบนั้นแล้วเอาแหวนมรกตวงหนึ่งออกมา เขามองมันอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเก็บแหวนวงนั้นไว้ในอกเสื้อ หลังจากนำอิฐกลับไปวางที่เดิมแล้วก็เดินออกมา




+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เจี่ยซานเป็นทหารปลดระวางที่ถอดเกราะมาอาศัยอยู่ในชนบท ยามว่างก็ร่ำสุรา ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน นอนหลับจนบ่ายคล้อย แต่เพียงเพราะช่วยทหารบาดเจ็บของแคว้นศัตรูคนหนึ่งไว้ ชีวิตเหลวไหลอันสุขสบายจึงเกิดการพลิกผัน!

...สวี่ลู่เหยาคนนี้ไม่เพียงแต่มีเลือดโสมมของสองแคว้น ยังมีพิษราคะติดตัวต้องให้เขาขึ้นเตียงช่วยเหลือ แต่ยังเพิ่งไปลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้มาจนโดนติดประกาศจับไปทั่ว ซ้ำยังขโมยตราพยัคฆ์ที่สามารถใช้สั่งเคลื่อนกองทัพได้อีก! ความผิดท่วมหัวแบบนี้ เขาที่เก็บคนผู้นี้มาจะเอาตัวรอดอย่างไร...แล้วทำไมจู่ๆ ฮ่องเต้ถึงหาเขาที่เร้นกายอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลเจอกัน?!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”