New Release BLY แปล : กับดักวสันต์

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : กับดักวสันต์

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง

วสันตฤดูในรัชสมัยเฉิงเต๋อที่หกสิบสาม ศึกทางตะวันตกเฉียงเหนือได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ หย่งอันอ๋องประทานความปราชัยแก่แคว้นซีเหยียน ไฟสงครามมอดดับลง ชายแดนหวนสงบสุข
นอกเมืองหลวงต้าอิน ทัพทหารเรือนหมื่นกำลังเคลื่อนพลกลับเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทรงพลังดังขุนเขา หนุนให้แว่นแคว้นเรืองอำนาจแข็งแกร่ง เป็นที่พึงพอใจแก่ราษฎรปวงประชาแซ่ซ้องยินดี
ชัยชนะในศึกครานี้ตามธรรมเนียมปฏิบัติของต้าอินฮ่องเต้ควรประทับที่ประตูเมืองเพื่อต้อนรับ ทว่าโจวเหยี่ยนคอยท่าอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของโจวเหิง
เมื่อมองไปยังผู้คนที่เหนื่อยล้ารอบกาย เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ย “เฉินเหล่าต้า ฝากแจ้งไปยังแม่ทัพเสิ่นว่าข้าจะกลับไปก่อน ที่แห่งนี้ให้เป็นหน้าที่เขาไปก่อน”
เฉินเหล่าต้ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นรถม้าประจำจวนอ๋องวนอ้อมไปแล้วเข้าเมืองจากทางประตูข้าง
ผู้คนได้แต่มองหน้ากัน เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านอ๋องผู้นี้มักทำอะไรผิดแผกไปจากผู้อื่น นอกจากส่ายหัวไปมาแล้วก็ไม่ได้ซักถามสิ่งใด
จุดที่รถม้าของโจวเหยี่ยนรออยู่นั้นถูกแทนที่ด้วยรถม้าอีกคันอย่างรวดเร็ว ด้านในรถม้ามีเสียงเยาว์วัยทว่าเย็นชาราวเหมันตฤดูดังลอดออกมา “เข้าใจแล้ว”
เมื่อเฉินเหล่าต้าได้ยินถ้อยคำนี้แล้วก็หมุนตัวเดินออกไปไม่ได้รั้งรอ
คนในรถม้ามิได้ส่งเสียงใดอีก จากนั้นครู่ใหญ่พลันมีเสียงหายใจถี่กระชั้นราวกับกำลังเจ็บปวดลอดออกมา
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถามเสียงดังอย่างเร่งรีบ ทว่ากลับถูกคนบนรถตะคอกด้วยเสียงเย็นชาออกมา “อย่าสอด” ด้วยความขลาดกลัวเขาจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
แต่ในรถม้านอกจากผู้ที่เพิ่งพูดเมื่อสักครู่แล้วยังมีคนอีกผู้หนึ่ง
คนผู้นี้ถูกมัดมือและเท้า คุกเข่าคุดคู้อยู่ในรถม้าที่กว้างขวาง ริมฝีปากสีขาวค่อยๆ ขยับเปล่งเสียงออกมา “ฮว่านเซิง เจ้าช่วยข้าด้วยเถิด”
คนที่นั่งอยู่จิบชาในมืออย่างเย็นชา ไม่แยแสราวหูทวนลม
ผิดกับหวังเต๋อเฉวียนในตอนนี้ที่ยืนค้อมตัวอยู่หน้าห้องบรรทม อดมิได้ที่จะเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของตน แม้รู้ว่าแม่ทัพหลี่อาจตัดหัวของเขาหากส่งเสียงใดๆ ออกไป แต่ยังคงกัดฟันเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หย่งอันอ๋องมาถึงประตูวังแล้ว ฝ่าบาท...”
“หลี่ฉู่”
ทันทีที่มีเสียงลอดออกมาจากในตำหนักก็มีคนคุกเข่าลงหน้าห้อง
“ไปอบรมหวังกงกงว่าควรปรนนิบัติรับใช้เช่นไร”
เป็นเสียงของหลี่ลู่อัน น้ำเสียงเจือไปด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วน หลี่ฉู่รับคำแล้วคว้าคอเสื้อของหวังเต๋อเฉวียนลากออกไป ตอนที่ลากขึ้นมานั้นยังแสร้งพูดว่า “ต้องโทษแล้ว”
“เจ้า!”
โจวเหิงถูกหลี่ลู่อันกดลงบนเตียง ดวงตาแดงก่ำ พูดออกมาไม่เป็นประโยค
“ยุ่งอะไร...กับเขา เจ้าปล่อย...เรา!”
หลี่ลู่อันไม่สนใจคำพูดเขาแม้แต่น้อย ประทับริมฝีปากและเรียวลิ้นทั่วทุกหนทุกแห่งบนเรือนร่างของโจวเหิง เกิดรอยจ้ำเจือสีแดงเรื่อไปทั่วทั้งกาย ขบเม้มจนลมหายใจของโจวเหิงหอบกระชั้น พูดไม่เป็นภาษา
มือใหญ่แยกเรียวขาทั้งสองข้างออกจากกัน แม้ว่าเกือบจะคุ้นชินกับการทำเรื่องเช่นนี้ แต่โจวเหิงก็ยังขัดขืนด้วยความเคยชินอยู่พักหนึ่ง มิได้ยอมหมอบราบคาบแก้วโดยง่าย
“โจวเหยี่ยนวุ่นอยู่กับการเอาใจใต้เท้าซ่ง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจพระองค์ อย่าได้เปลืองแรงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ลู่อันเจียดเวลากล่าวประโยคนี้ก่อนเหยียดเอวยืดตรง จุดที่อ่อนนุ่มอยู่แล้วนั้นรองรับตัวตนเขาอีกครั้งอย่างง่ายดาย
โจวเหิงแอ่นกาย คิดอยากจะหลีกลี้แต่กลับโอบรัดส่วนนั้นไว้แน่นราวกับอาลัยอาวรณ์
“อ๊า” หลี่ลู่อันหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาททรงเชื่อฟังสักหน่อยเถิด เสร็จกิจหนนี้ก็มิทำแล้ว”
โจวเหิงใช้แขนกำบังใบหน้าของตนไว้ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้านอีกต่อไป การดิ้นรนขัดขืนก็ไม่พ้นทำไปอย่างนั้น
เขาเพียงแค่เรียกสนมมาปรนนิบัติเท่านั้น แต่กลับทำให้ตั้งแต่เมื่อคืนจวบจนบ่ายวันนี้มิได้ลงจากแท่นบรรทมเลย
ทว่ามิใช่หลี่ลู่อันมีพละกำลังมหาศาล หากแต่เป็นตั้งแต่เริ่มชำระความอธิบายเหตุผล เขาก็ถูกกดลงบนเตียง ไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย
ในท้องว่างเปล่า แต่อีกด้านกลับถูกเติมเต็มจนไม่มีจิตใจคิดถึงเรื่องอื่นใดอีกแล้ว
คราแรกคิดว่าการกลับมาของโจวเหยี่ยนจะช่วยเขาได้ คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้แม้แต่เรื่องสำคัญเพียงนี้ก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป ความอ่อนแอในจิตใจของโจวเหิงพุ่งออกมาทางแขนขาองคาพยพ
“เป็นอะไรไป?”
หลี่ลู่อันหยุดชะงักทุกการกระทำ คว้าแขนเขาให้เปิดออก “รับไม่ไหวแล้วหรือ”
โจวเหิงหลับตาลง บีบฟูกบนเตียงเต็มแรง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
หลี่ลู่อันซบศีรษะลงแนบหน้าผากเขา บังคับให้เขาลืมตาขึ้น จากนั้นมองลึกไปในดวงตาของเขาแล้วเอ่ยถาม “ต่อแต่นี้ฝ่าบาทยังทรงกล้าแตะต้องสตรีอีกหรือไม่?”
เขาถามอย่างจริงจัง โจวเหิงกลับร่ำไห้อยู่ในใจ ฐานะตนเป็นถึงประมุขของแผ่นดิน ในตำหนักหลังมีนางสนมมากมาย แต่น้อยคนนักที่จะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากจักรพรรดิ เขาช่างตาขาวและไร้ความสามารถถึงเพียงนี้
หลี่ลู่อันมองไปยังดวงตาที่สะท้อนความโศกเศร้าและไม่สมยอมของชายหนุ่มที่นอนอยู่ใต้ร่าง หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงจุมพิตริมฝีปากเขาแล้วเร่งการเคลื่อนไหวเบื้องล่าง
ในที่สุดห้องบรรทมก็ตกอยู่ในความเงียบ โจวเหิงค่อยๆ ประคองลมหายใจของตนให้กลับมาสม่ำเสมอ เมื่อเขาพลิกตัวก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แผ่นหลังตนจึงพลันตะลึงงันไปชั่วขณะ
หลี่ลู่อันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาทไม่ทรงสงสัยหรอกหรือ ใต้เท้าซ่งล่วงรู้ความสัมพันธ์ของพวกเราตั้งนานแล้ว แต่ทว่าตอนนี้โจวเหยี่ยนยังคงมิทราบ เช่นนี้มิแปลกหรือ?”
เขาส่งมือไปเคล้นคลึงบริเวณเอวของโจวเหิง ค่อยๆ ลงแรงที่ฝ่ามือทีละนิด แม้ว่าโจวเหิงจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
“เหตุใดจึงไม่ทรงพูดจา?” หลี่ลู่อันมองโจวเหิงที่นิ่งเงียบไม่เอื้อนเอ่ยก็ออกปากถามอีกครั้ง
โจวเหิงหลับตาลงเมินเฉยต่อหลี่ลู่อัน แต่กลับรู้สึกว่าคล้ายมีการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างหลัง สิ่งของกึ่งนุ่มกึ่งแข็งของหลี่ลู่อันเริ่มเสียดสีด้านหลังของเขาอีกครั้ง
เขาเบิกตาขึ้นทันใดพร้อมกล่าว “เราไม่รู้...”
หลี่ลู่อันหยุดการเคลื่อนไหว “ไม่ทรงทราบสิ่งใด”
“โจวเหยี่ยน...”
เขาตอบอย่างอ่อนแรง หลี่ลู่อันพลิกตัวเขาเข้าหาตนเองก่อนว่า “ฝ่าบาท พระองค์ช่างทรงโง่เขลายิ่งนัก ไม่ทรงทราบหรือ หากทรงหันหลังให้กระหม่อมก็จะยิ่งถูกกระหม่อมรังแกได้ง่ายขึ้น”
ร่างของโจวเหิงแข็งทื่อ ช้อนตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง
หลี่ลู่อันคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เห็นแก่ที่พระองค์ทรงเรียกนางสนมมาเพื่อดื่มชาชมดอกไม้เพียงเท่านั้น ครานี้กระหม่อมจะปล่อยพระองค์ไปก่อน”
“หลี่ลู่อัน” โจวเหิงโพล่งออกมา
ไม่บ่อยครั้งที่เขาจะเรียกชื่อหลี่ลู่อันเช่นนี้ด้วยโดยปกติแล้วไม่พึงใจจะเรียก อีกทั้งเมื่ออยู่บนเตียงมักจะถูกบังคับให้เรียกขานนามแปลกๆ สารพัด ด้วยเหตุนี้น้อยครั้งนักที่หลี่ลู่อันจะได้ยินคำเรียกนี้ที่นี่
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาชะงักไปก่อนจะตอบรับ
“เชิญหย่งอันอ๋องเข้าวังให้เราได้หรือไม่”
หลี่ลู่อันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจู่ๆ เขาจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา จึงนิ่งไปก่อนที่จะหยัดกายขึ้นนั่งแล้วเรียกเสียงดัง “หวังเต๋อเฉวียน”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงสาวฝีเท้าพัลวันลอดเข้ามาจากประตู จากนั้นก็เป็นเสียงของหวังเต๋อเฉวียน “ขอรับ”
“ยกอ่างอาบน้ำเข้ามา”
หวังเต๋อเฉวียนถอนหายใจก่อนตอบรับ “ขอรับ”
หลี่ลู่อันค่อยๆ ลงมือสวมเสื้อผ้า ยังมิวายฟาดมือลงที่บั้นท้ายของโจวเหิงอีกครั้งก่อนกล่าว “หากฝ่าบาททรงเชื่อฟังเช่นนี้ก็จะทรงได้รับความทุกข์ยากน้อยลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเหิงลุกขึ้นนั่งช้าๆ พลางเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ ท่านคิดจะปล่อยเราไปเมื่อใด?”
หลี่ลู่อันที่กำลังสวมรองเท้าชะงัก ทว่าไม่เปล่งเสียงตอบกลับ
หวังเต๋อเฉวียนนำคนยกอ่างอาบน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นถอยออกไปอย่างเร็วรี่เช่นกัน
หลี่ลู่อันอุ้มโจวเหิงขึ้นแล้ววางลงในอ่างอาบน้ำ มอบจุมพิตบางเบาที่ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ แล้วจึงว่า “ฝ่าบาท พระองค์คงทรงทราบนิสัยของกระหม่อมดีกระมัง ครั้นได้ตัดสินใจแล้วมิสิ้นชีพก็มิล่าถอย”

***

ยามค่ำ จวนหย่งอันอ๋อง
ขณะโจวเหยี่ยนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้อง ประตูห้องก็ถูกเคาะพร้อมเสียงของจางเหวินที่ดังขึ้นด้านนอก “ท่านอ๋อง จื่อหวางอแงอยากพบบิดา”
เมื่อครั้งโจวเหยี่ยนไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซ่งหว่านซานวิเคราะห์ตามลักษณะนิสัยของเขาแล้วก็ยากจะรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นจึงได้ยื่นฎีกากราบทูลขอติดตามไปด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นโจวเหยี่ยนทัดทานอยู่หลายวัน ท้ายที่สุดการก็คัดค้านไม่เป็นผล จำต้องทำตามความประสงค์ของภรรยา
แต่เพราะซ่งหว่านซานเป็นบัณฑิต เมื่อต้องระหกระเหินเดินทางจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุด ครั้นกลับมาถึงก็อ่อนล้าไปทั้งกาย จมสู่ห้วงนิทราอย่างไม่รู้สึกตัว
ตอนนี้โจวเหยี่ยนเกรงว่าเสียงงอแงของจื่อหวาจะปลุกให้เขาตื่น จึงรีบร้อนลุกออกจากห้องทั้งยังปิดประตูอย่างระมัดระวัง
จื่อหวาสามขวบกว่าแล้ว ขาสั้นๆ เดินเตาะแตะวางอำนาจไปทั่วจวนอ๋องแต่กลับเชื่อฟังจางเหวินเป็นอย่างมาก
โจวเหยี่ยนรับจื่อหวามา จื่อหวาแหงนหน้าเอ่ยเรียกอย่างน่าเอ็นดูว่า “ท่านลุงเหยี่ยน”
โจวเหยี่ยนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ปากหวานเป็นแล้วหรือนี่”
จางเหวินค้อมกายคำนับแล้วเอ่ย “ท่านอ๋อง”
โจวเหยี่ยนทอดมือรับคำนับพอเป็นพิธี “ไม่พบเสียหลายวัน ลำบากเจ้าดูแลจวนอ๋องแล้ว”
จางเหวินส่ายหน้า ช้อนตามองจื่อหวาที่อยู่ในอ้อมแขนของโจวเหยี่ยนอย่างไม่เต็มใจนักแวบหนึ่ง “ใต้เท้าซ่ง...”
“เหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงมาตลอดทาง เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ ตื่นแล้วค่อยให้จื่อหวาไปพบอีกที”
ครั้นจางเหวินได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจแจ่มแจ้งจึงกล่าว “เช่นนั้นกระหม่อมนำจื่อหวาออกไปก่อน จะได้ไม่เป็นการรบกวนใต้เท้าซ่ง”
โจวเหยี่ยนชะงักไป “ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีเรื่องต้องถามเจ้า ตามข้าไปนั่งคุยในสวนเถิด”
จางเหวินประหลาดใจเล็กน้อย ตรึกตรองครู่หนึ่งด้วยเกรงว่าจะเป็นเรื่องใดในจวน ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ “ขอรับ”
เมื่อทั้งสองนั่งลงโจวเหยี่ยนจึงเริ่มกล่าว “เรื่องของฮ่องเต้ เจ้ารู้มากน้อยเพียงใด?”
เขาผินหน้ามองซ่งจื่อหวา คล้ายเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าทำเอาใจของจางเหวินสั่นสะท้าน
จางเหวินเอื้อมมือไปหยิบจอกน้ำชาบนโต๊ะก่อนพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถึงเรื่องใด”
โจวเหยี่ยนถอนหายใจ “เจ้าและข้าเราสองต่างเติบโตมาด้วยกัน เจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าข้าหมายถึงเรื่องใด ข้าเพียงแต่อยากรู้ เรื่องของฝ่าบาทนั้น เจ้ารู้หรือไม่?”
จางเหวินบีบจอกชาในมือแน่นแล้วเอ่ย “ในเมื่อโตมาด้วยกัน เหตุใดท่านต้องทำให้ข้าลำบากใจกันเล่า ในเมื่อท่านมาถามก็คงทราบอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องข้าไม่อาจพูด”
มือของโจวเหยี่ยนที่วางอยู่บนโต๊ะพลันกำแน่น เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดว่า “ร่างกายของฮ่องเต้...”
เขากล่าวถึงคำนี้ก็หยุดนิ่งไป “ได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือ?”
จางเหวินกล่าว “แต่เดิมเคย ปัจจุบัน...”
เขาเอ่ยเพียงเท่านี้ โจวเหยี่ยนก็ทราบความหมายโดยพลัน
หมัดกำแน่นราวกับจะกระแทกเข้ากับโต๊ะหินในไม่ช้า จางเหวินช้อนตามองเขาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ตอนนี้ยังมิได้ ยิ่งไปกว่านั้นทางพี่ใหญ่ของข้านั้น...”
โจวเหยี่ยนเคร่งขรึมไม่พูดจา จางเหวินก็ไม่กล่าวความใดอีก แต่เดิมการพบปะหลังจากกันเนิ่นนาน สหายรู้ใจมักกินดื่มจนเมามาย ทว่าเรื่องนี้กลับสร้างความวุ่นวายจนสองฝ่ายต่างกลัดกลุ้ม
ใช่ โจวเหยี่ยนรู้มาโดยตลอด หนทางของโจวเหิงยังคงยาวไกลและเขาจำต้องอยู่เคียงข้าง
กล่าวได้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเขาที่ก่อขึ้น ครั้นซ่งหว่านซานพูดกับเขาเรื่องนี้ก็ย้ำเตือนให้เขารู้อีกครั้งว่าแท้ที่จริงตนนั้นโง่เขลาเบาปัญญาไม่น้อยเลยทีเดียว
เดิมเข้าใจว่าภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ทว่าก็มิพ้นทำร้ายตนเองและผู้อื่น
จางเหวินเหลือบมองโจวเหยี่ยน เกรงว่าท่านอ๋องผู้นี้จะคิดมากอีกแล้ว จึงนิ่งไปก่อนเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้...”
เขากำลังจะเอ่ยปากปลอบประโลมแต่ประตูห้องที่อยู่ไม่ไกลพลันถูกผลักให้เปิดออก ซ่งหว่านซานเดินเข้ามาในชุดคลุมตัวบาง
จื่อหวาดีอกดีใจจนแทบจะพุ่งถลาเข้าใส่บิดาของตน ใบหน้ายิ้มแย้มที่หาได้ยากของซ่งหว่านซานปรากฏออกมา รับเอาจื่อหวาออกจากอ้อมอกของโจวเหยี่ยนแล้วเอ่ย “คิดถึงพ่อแล้วรึ”
จื่อหวาซุกกอดในซอกคอของเขาเสียแน่น ทว่ากลับไม่พูดจา
ซ่งหว่านซานตบเบาๆ ที่ก้นของเขาก่อนกล่าวว่า “แต่ก่อนมิใช่นอกจากลุงเหวินก็ไม่รู้จักผู้ใดแล้วมิใช่หรือ ตอนนี้รู้ว่าตนยังมีบิดาอยู่อีกคนแล้วหรือไร”
ทันทีที่คำพูดของซ่งหว่านซานออกมาบรรยากาศบนโต๊ะก็เปลี่ยนไป จางเหวินยิ้มและพูดว่า “รู้จักตำหนิลูกเสียแล้ว ในคราแรกเป็นใครกันเล่าที่มีเรื่องเดือดร้อนยามใดก็เอาเขามาทิ้งไว้กับข้า ลืมสิ้นแล้วกระมัง”
โจวเหยี่ยนยกจอกชาด้านหน้าขึ้นปิดซ่อนอารมณ์แล้วกล่าว “นอนหลับเต็มอิ่มแล้วหรือ”
ซ่งหว่านซานทอดมองซ่งจื่อหวา ตอบรับเพียง “อืม” ก่อนชะงักไปแล้วเอ่ย “ท่านไปหาฮว่านเซิงแล้วหรือยัง”
สิ้นเสียงซ่งหว่านซาน โจวเหยี่ยนพลันขมวดคิ้ว “เจ้ายังเป็นกังวลเรื่องกู้ฉางหวาย?”
ซ่งหว่านซานตบหลังของซ่งจื่อหวาเบาๆ แล้วว่า “มีผู้ใดบ้างไม่เคยกระทำผิด ข้าเกรงว่าฮว่านเซิงจะไม่อาจยับยั้งอารมณ์ แต่เดิมเขาก็ถูกทรมานจนเจียนตายแล้ว หากว่ายังจะ...”
โจวเหยี่ยนไม่ได้โต้ตอบ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจะให้โจวอันไปถามดู”
“ข้าไปเอง” ซ่งหว่านซานพูดช้าๆ
“เฮ้อ เช่นนั้นไปด้วยกันเถิด”
ไม่ทันขาดคำ โจวอันค้อมกายคำนับแล้วรายงานว่า “ท่านอ๋อง วังหลวงส่งคนมาพ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้งสามที่ได้ฟังประโยคนี้ ความรู้สึกที่แตกต่างกันพลันฉายขึ้นในแววตา จางเหวินกล่าว “ท่านอ๋อง เรื่องของฮ่องเต้...”
“ข้ากระจ่างแก่ใจแล้ว” โจวเหยี่ยนเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ซ่งหว่านซานยืนขึ้นส่งจื่อหวาให้จางเหวินก่อนพูดว่า “พ่อไปธุระก่อนแล้วจะกลับมาหาเจ้า คืนนี้อยากนอนด้วยกันหรือไม่”
ทันทีที่ซ่งหว่านซานกล่าวคำนี้ สามคนในที่นี้ล้วนจ้องมองไปยังจื่อหวา
ความจริงจางเหวินถูกเด็กคนนี้ทรมานมามากพอแล้ว คิดอยากจะสลัดให้หลุดไปสักคืนใจจะขาด ทว่าสายตาที่โจวเหยี่ยนจ้องมองจื่อหวานั้.ู่ส่วนหนึ่ง ขาดแค่เพียงเขียนคำว่า ‘ไม่อนุญาตให้เจ้าแย่งภรรยาของข้า’ ตัวโตๆ ไว้บนใบหน้า
ซ่งจื่อหวาถูไถเข้าที่ต้นคอของซ่งหว่านซานเอ่ยว่า “นอนกับท่านพ่อ”
ซ่งหว่านซานหัวเราะพลางกล่าว “เช่นนั้นเป็นเด็กดีรอพ่อกลับมา”
จางเหวินพาจื่อหวาออกไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า แต่สีหน้าของโจวเหยี่ยนกลับไม่น่ามองยิ่งนัก
“เรื่องของฮ่องเต้”
ซ่งหว่านซานเปิดประเด็นรอให้โจวเหยี่ยนพูดต่อ
โจวเหยี่ยนระงับอารมณ์ ยืนขึ้นก่อนดื่มชาในมือจนหมดจอกแล้วกล่าว “ข้าจะไม่คุยกับพระองค์เรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงเบาปัญญา พระองค์คงทรงคาดการณ์ได้ว่าข้ารู้เรื่องนี้แล้ว”
ซ่งหว่านซานปลดเสื้อคลุมบนกายออกแล้วคลุมให้เขาก่อนพูดว่า “คราแรกข้าคิดว่าเรื่องนี้ปิดบังท่านคงไม่เหมาะนักจึงได้เล่าให้ท่านฟัง แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงประสงค์ให้ท่านล่วงรู้เป็นที่สุด หากฝ่าบาทมิตรัสถึง ท่านก็ไม่ต้องเอ่ย เรื่องนี้ประวิงเวลาไปสักพัก ไตร่ตรองไปสักพักเถิด”
โจวเหยี่ยนพยักหน้า กุมมือเขาไว้พลางว่า “เอาเสื้อคลุมให้ข้า เจ้าไม่หนาวหรือ?”
ซ่งหว่านซานตอบกลับราบเรียบ “ทางฝั่งฮ่องเต้นั้นเพิกเฉยมิได้ ท่านล่วงหน้าไปก่อนเถิด ข้ากลับไปหยิบเพิ่มสักตัวก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“จำเป็นต้องไปหาฮว่านเซิงหรือ” โจวเหยี่ยนเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
ซ่งหว่านซานพยักหน้า “หากว่ากู้ฉางหวายตายไป ฮว่านเซิงก็มิต่างจากตายไปแล้วเช่นกัน วันข้างหน้าฝ่ายเราจะขาดความช่วยเหลือจากพวกเขามิได้ ตอนนี้หยุดยั้งได้แค่ไหนก็แค่นั้น”
“ทหารยึดมั่นยุติธรรม เขาได้กระทำเรื่องต้องห้ามร้ายแรง”
โจวเหยี่ยนทิ้งคำพูดนี้ไว้ก็หมุนกายเข้าวังไป
ซ่งหว่านซานยืนทอดถอนใจอยู่ตรงจุดเดิม ก่อนหมุนกายเข้าไปในห้องหยิบเสื้อคลุมอีกตัวแล้วเดินออกจากจวน





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ด้วยฐานะฮ่องเต้ที่เปรียบดังหุ่นเชิด โจวเหิงจำกล้ำกลืนความอัปยศใช้เรือนกายแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนปรารถนากับแม่ทัพใหญ่หลี่ลู่อันผู้กุมอำนาจราชสำนักตัวจริง... โจวเหิงเข้าใจว่าหลี่ลู่อันชักใยหมายยึดครองบัลลังก์ แต่คนผู้นั้นกลับเสี่ยงชีพช่วยชีวิตเขาจากคมเขี้ยวพยัคฆ์กระหายเลือด แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่ลู่อันจึงทำเช่นนั้นและจิตใจไหวสั่นอยู่บ้าง โจวเหิงก็ยังคงลอบวางแผนโค่นล้มอำนาจของหลี่ลู่อันอยู่ดี ทว่าเมื่อเดินหมากตานี้ไปแล้วเขากลับต้องพบเจอความทุกข์ระทมแทบขาดใจ หรือชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่สามารถหลุดพ้นเงื้อมมือนี้ได้เสียแล้วกระมัง?

(ภาคต่อจาก เหมันต์หวนรัก)


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”