New Release BLY แปล : โรงเตี๊ยมปีศาจจิ้งจอก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : โรงเตี๊ยมปีศาจจิ้งจอก

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
หนุ่มรูปงามนอนในห้อง คนอัปลักษณ์โยนไปห้องเก็บฟืน


พื้นที่รกร้างรกชัฏ บางครั้งบางคราวจะมีผู้รุดเดินทางผ่านไป นี่เป็นเส้นทางที่มิอาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ซึ่งผ่านทั้งเมืองผ่านทั้งป่าเขารกร้าง บนถนนที่ห่างจากป้อมปราการประมาณร้อยลี้มีอาคารไม้สองชั้นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหลังหนึ่งตั้งอยู่ อาคารที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่รกร้างนี้ช่างดูสะดุดตายิ่งนัก ด้านข้างแทรกด้วยคอกม้าที่ใช้เสาไม้หลายๆ ต้นล้อมไว้เป็นคอก เมื่อเข้าไปก็เป็นห้องโถงอาหารที่จัดเตรียมโต๊ะไว้หลายตัว ชั้นสองเป็นห้องพัก ด้านหลังเป็นห้องครัวที่มีกลิ่นหอมของอาหารลอยมาไม่ขาดสาย นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
แม้ว่า ‘โรงเตี๊ยมหูหลี่ชิง’ แห่งนี้ไม่ได้เปิดในเมืองใหญ่ บริเวณโดยรอบก็ไม่มีทะเลสาบใดๆ มีเพียงแค่ทุ่งวัชพืช แต่กลับตั้งอยู่บนทางสัญจรต้องผ่านเพื่อเข้าเมืองหากเดินทางมาจากทิศใต้ ทั้งพ่อค้าวาณิชและนักเดินทางล้วนเดินทางมาอย่างไม่ขาดสายตลอดปี อีกทั้งเป็นเพราะผู้นำยุทธภพฝ่ายธรรมะซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดอยู่ที่ป้อมปราการแห่งนี้ ฉะนั้นในบรรดาผู้ที่เดินทางสัญจรไปมาจึงมีวีรบุรุษผู้กล้าแฝงตัวอยู่ไม่น้อย
ที่ใดมีผู้คนอาศัยอยู่ ที่นั่นย่อมมียุทธภพ
พื้นที่โดยรอบก็มีโรงเตี๊ยมเปิดให้บริการมากมาย แต่สุดจะทนกับเหล่า ‘จอมยุทธ์’ ที่มีพฤติกรรมเอะอะก็ลงไม้ลงมือล้มโต๊ะทุบเก้าอี้ ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือชาวยุทธ์ที่วิทยายุทธ์ต่ำเตี้ยและด้อยอารยะไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายได้ เถ้าแก่จึงทำได้เพียงลูบจมูกตนเองพร้อมยอมรับในความโชคร้าย ด้วยเหตุนี้เองทำให้โรงเตี๊ยมต่างๆ เปิดกิจการได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ทยอยปิดตัวลง มีเพียงเพิงน้ำชาแบบง่ายๆ หรือพวกค้าขายหาบเร่ที่ยอมทำการค้าขายที่นี่ แต่โรงเตี๊ยมแห่งนี้กลับตั้งตระหง่านอยู่ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายโดยไม่สั่นคลอน ต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นเป็นแน่
‘หูหลี่ชิง’ มีพนักงานแค่สองคน คนหนึ่งคือหลินอวิ๋นชิง เป็นพ่อครัว ส่วนอีกคนคือฮุ่ยกัง เป็นเสี่ยวเอ้อร์ ที่เหลืออีกคนก็คือเถ้าแก่จอมเกียจคร้าน แขกที่ฝึกวิทยายุทธ์ล้วนทราบว่าเสี่ยวเอ้อร์ที่บริการอยู่ด้านนอกไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ แม้ดูว่ายังไม่เกินยี่สิบกว่าปี แต่ฟังจากเสียงฝีเท้าที่ว่องไวและมั่นคงก็สามารถรู้ได้ว่ากำลังภายในของเขาช่างลึกล้ำ ยามปกติแล้วใบหน้าหล่อเหลามักจะมีสีหน้าไร้อารมณ์ แขกพูดคุยด้วยก็ไม่สนใจ ลักษณะนิสัยดูไม่เหมือนกับเสี่ยวเอ้อร์ทั่วไปที่มีไหวพริบดีและนิสัยเจ้าเล่ห์
ถึงจะไม่สามารถเห็นทักษะวิทยายุทธ์ของเสี่ยวเอ้อร์คนนี้ แต่ทุกครั้งที่แขกซึ่งเข้าพักมีปัญหาหรือว่าอยากกินแล้วชักดาบไม่จ่ายเงิน เสี่ยวเอ้อร์ร้านนั้นมักจะหยิบเงินหยวนเป่า สีเงินที่เปล่งประกายวิบวับก้อนหนึ่งขึ้นมา ยื่นนิ้วโป้งออกแรงกดครั้งเดียวเงินหยวนเป่าก็ยุบลงไปราวกับเป็นโคลน กลายเป็นเกี๊ยวชิ้นหนึ่งที่มีรูปทรงแบนราบ
ทุกครั้งที่เสี่ยวเอ้อร์แสดงวิทยายุทธ์ที่ทั้งชำนาญและแข็งแกร่งนั้น ต่อให้เป็นแขกที่จัดการยากขนาดไหนก็จะลูบจมูกทุกครั้ง จัดแจงโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มพลิกไว้ที่เดิม จุดไหนที่ควรจ่ายเงินก็จ่าย จุดไหนที่ควรขอโทษก็ขอโทษ เนิ่นนานมาแล้วทุกคนล้วนทราบดีว่าเสี่ยวเอ้อร์ของ ‘หูหลี่ชิง’ คนนี้เป็นยอดฝีมือที่ไม่เผยตัว ในบางครั้งก็มีคนโยนเงินทองออกมาหลายก้อนเพื่อให้เขาแสดงวิทยายุทธ์บี้ให้แหลกด้วยมือเปล่า
ส่วนพ่อครัวของโรงเตี๊ยม ‘หูหลี่ชิง’ นั้นน่าตะลึงยิ่งกว่า เนื่องด้วยเขาเป็นผู้เดียวที่ดูแลห้องครัว โดยปกติแล้วจึงวุ่นอยู่หลังครัวราวกับมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง แต่เมื่ออาหารจานแปลกถูกยกออกมากลับเป็นที่เลื่องชื่อลือชา โรงเตี๊ยมแห่งนี้มิได้ขายสุราและอาหารแบบทั่วไป นอกจากข้าวสวยและหมั่นโถวแล้ว อาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดเรียกว่า ‘ม่ายตังตัง ’ เป็นชุดอาหารที่ประกอบด้วยหมั่นโถวซึ่งผ่านการอบแล้วประกบผักสดและเนื้อสัตว์ จัดคู่กับมันฝรั่งทอดหรือมันเทศทอด ยังมีรายการอาหารสุดแปลกที่นำแป้งแผ่นกลมขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งมาอบจนบางกรอบ ด้านบนตกแต่งด้วยวัตถุดิบหลายชนิดที่เรียกว่า ‘พิซซา’ อีกทั้งยังมีหมั่นโถวประกบกับบะหมี่ผัดที่ชื่อว่า ‘ยากิโซบะปัง’ เป็นต้น อาหารต่างแดนที่แปลกใหม่ทำให้แขกเหรื่อจากทั่วทุกสารทิศรู้สึกประหลาดใจ
ทว่าสิ่งที่ทำให้โรงเตี๊ยม ‘หูหลี่ชิง’ เป็นสถานที่ที่ยากจะลืมนั้นไม่มีอะไรเกินไปกว่าหูเฟยหลีที่เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมอีกแล้ว
ชายหนุ่มรูปงามที่ไม่อาจทราบอายุได้แน่ชัดคนนั้นมีดวงตาดอกท้อ ที่แม้ไม่ยิ้มก็ยังดูสวยงาม สันจมูกโด่งคม คิ้วตรงสวย ใบหน้าเรียวยาวที่ขาวสะอาดราวกับหยกนี้งดงามเสียจนทำให้หญิงสาวต่างพากันอิจฉา ทั้งๆ ที่โรงเตี๊ยมตั้งอยู่ในทุ่งกว้างกลางป่ารกร้างแถวชายแดน แต่กลับสวมใส่ชุดแพรพรรณ ใส่กำไลหยกและแหวนหยกจนมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งระหว่างเดิน อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมโชยดึงดูดคน ผู้คนที่มาบ่อยๆ ล้วนทราบดีว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมทำอะไรตามอารมณ์ บางครั้งที่ภายในโรงเตี๊ยมยุ่งวุ่น หูเฟยหลีก็เอามือเท้าคาง เอนตัวอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน และบางครั้งก็ลุกขึ้นมาสังสรรค์กับแขก
เถ้าแก่ที่มีท่าทางสุดแปลกเช่นนี้...มีเพียงแค่พนักงานสองคนเท่านั้นที่รู้ เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นปีศาจจิ้งจอกตัวจริงเสียงจริง หากไม่ใช่ว่าเคยเห็นหูเฟยหลีแปลงร่างเป็นจิ้งจอกขาวที่ไร้สีอื่นแต่งแต้มแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน คนงามที่ยากจะแยกว่าเป็นชายหรือหญิงตรงหน้าอายุมากกว่าสองร้อยปีแล้ว อีกทั้งหางเส้นที่สองยังงอกยาวออกมาแล้วด้วย
นี่แหละโรงเตี๊ยม ‘หูหลี่ชิง’ ที่บริหารโดยจิ้งจอกและมนุษย์สองคน วันนี้ก็ยังคงมีลูกค้ามาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

***

ฤดูกาลเริ่มเข้าสู่ใบไม้ร่วง ใบไม้แห้งร่วงโรยลงเต็มพื้น วัชพืชก็แห้งเฉากลายเป็นสีเหลือง ถึงแม้อากาศจะร้อนไปหน่อยในช่วงกลางวัน แต่อากาศในยามเช้าและเย็นกลับเย็นสบายเป็นอย่างมาก
ยามโหย่ว สามเค่อ หลินอวิ๋นชิงที่ประจำอยู่ในห้องครัวทำอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์หนึ่งจานและผักสองจาน เพิ่มไก่ย่างไปอีกหนึ่งตัว เมื่อไฟมอดลงแล้วก็ทำความสะอาดครัวที่ใช้อิฐและโคลนสร้างขึ้นมา ฮุ่ยกังที่รับผิดชอบอยู่ด้านนอกเก็บกวาดโถงอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ยกหมั่นโถวหกลูกที่ขายเหลือเดินออกจากห้องครัวพร้อมกับเขา
เถ้าแก่ของพวกเขาเอนพิงอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง มองทั้งสองคนเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ด้านหลังเป็นท้องฟ้าสีดำสนิท
วันนี้หูเฟยหลีใส่ชุดสีเขียวเข้มปักลายสายชลรินไหล แขนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อกว้างนั้นขาวราวกับหยก นิ้วมือเรียวยาว ลมอ่อนๆ ที่โชยเข้ามาทางหน้าต่างพัดผมยาวดุจเส้นไหมพลิ้วไสว ดวงตาดอกท้อที่แบ่งสีขาวดำชัดเจนช่างดูใสราวกับคลื่นน้ำ เปล่งประกายดุจดวงดารา ถึงแม้จะรู้จักกับหูเฟยหลีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางเกียจคร้านอันเย้ายวนของเขาแล้ว พ่อครัวกับเสี่ยวเอ้อร์ก็หายใจติดขัดอย่างพร้อมเพรียงกัน
...คนงามช่างดูแตกต่างเสียจริงๆ แค่นั่งเฉยๆ ก็ทำให้ม้านั่งพังๆ กลายเป็นเก้าอี้กุ้ยเฟย ได้!
หลินอวิ๋นชิงถอนหายใจในใจ ‘ช่างเอาเปรียบดีแท้’ เขาสบตากับฮุ่ยกังแล้วค่อยๆ วางอาหารมื้อเย็นที่ล่วงเลยเวลาลง ฮุ่ยกังนั่งลงข้างๆ หูเฟยหลี แกะผ้าโพกหัวที่คลุมไว้ทั้งวันออก ผมที่สั้นเพียงนิ้วเดียวเปียกชุ่มเพราะเหงื่อออก
หลินอวิ๋นชิงอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ “วันนี้ชุลมุนมาทั้งวัน ข้ากับพี่ใหญ่ฮุ่ยกังเหนื่อยเหมือนสุนัข เจ้ากลับไม่มีเหงื่อเลยแม้แต่หยดเดียว”
หูเฟยหลียกริมฝีปากที่สวยงามขึ้น “รอให้เจ้าฝึกวิทยายุทธ์มาสองร้อยปีเช่นเดียวกัน เหงื่อของเจ้าก็จะไม่ไหลออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้แน่นอน”
“ฮะ? ไม่ต้องถึงสองร้อยปีหรอก หากยังเป็นอย่างนี้ คิดว่าภายในสองปีนี้ข้าคงจะทำงานหนักตายก่อนแล้ว!” หลินอวิ๋นชิงตบโต๊ะพูดด้วยโทสะ ชายหนุ่มคนนี้ถึงแม้จะสวมเสื้อสั้นที่ทำมาจากผ้าฝ้ายหยาบ ทุกๆ วันขลุกอยู่กับกองฟืน น้ำมัน และเกลือ แต่รูปลักษณ์กลับงามสง่าอุดมปัญญา มือและเท้าเล็กเรียว “มีพ่อครัวแค่คนเดียวก็เกินไปหน่อยไหม! ข้าจะฟ้องว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน!”
“...ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” หูเฟยหลีเอนตัวลงบนร่างของฮุ่ยกัง กิริยาท่าทางงามหยดย้อย “ฮุ่ยฮุ่ย เสี่ยวชิงชิงโหดร้ายกับข้ามากเลย!”
“อย่ามาเรียกข้าว่าเสี่ยวชิงชิงนะ!” ขนลุกจนจะถึงหัวอยู่แล้ว หลินอวิ๋นชิงตบโต๊ะด้วยความโมโหอีกครั้ง ถ้วยชามบนโต๊ะก็สั่นไปตามๆ กัน
จากความตั้งใจจะกินหมั่นโถวกับอาหารเจเมื่อครู่นี้ บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้ไม่สนใจเรื่องที่สองคนมีปากเสียงกันเงยหน้าขึ้นมา เหลือบสายตามองหลินอวิ๋นชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่ง จากนั้นยื่นมือออกไปฉีกน่องไก่ย่างชิ้นหนึ่ง แล้วฉีกเนื้อไก่ให้ได้ขนาดพอดีคำ ใส่เข้าปากชายหนุ่มที่ซบไหล่เขาอยู่ “กินสิ”
หูเฟยหลีเคี้ยวอาหารที่ถูกป้อนให้ หลังจากกลืนลงไปแล้วก็อ้าปากอีกครั้ง “เอาอีก”
อากัปกิริยานั้นช่างเหมือนสัตว์เลี้ยงที่ถูกฝึกให้เชื่องเลยทีเดียวเชียว
ฮุ่ยกังฉีกปีกไก่ให้อีกหนึ่งชิ้น และใช้ตะเกียบเลาะกระดูกอ่อนพร้อมป้อนเข้าปากหูเฟยหลีเหมือนเดิม ชายหนุ่มรูปงามเหนือจินตนาการถูกป้อนอาหารจนน้ำมันเปรอะเปื้อนริมฝีปาก แต่กลับหรี่ตาลงด้วยใบหน้าแสนสุข
“พี่ใหญ่ฮุ่ยกัง ท่านอย่าโอ๋เขาเกินไปได้ไหม” หลินอวิ๋นชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบแย่งปีกไก่อีกชิ้นมา ด้วยเกรงว่าไก่ย่างทั้งตัวคงจะให้จิ้งจอกตะกละนี่กินแค่คนเดียว “มือเท้าก็ยังดีแท้ๆ ยังจะให้คนอื่นป้อนอีก! ละอายบ้างหรือเปล่า!”
“มนุษย์ก็ป้อนอาหารให้สุกรกับสุนัขมิใช่หรือ ไยจะป้อนจิ้งจอกบ้างมิได้เล่า?” หูเฟยหลีกลืนเนื้อไก่ที่ทั้งสดใหม่และฉ่ำน้ำแล้วพูดโต้กลับ
ปีศาจผู้น่าเกรงขามที่บำเพ็ญตบะมาสองร้อยปีกลับเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสุกรและสุนัข...หลินอวิ๋นชิงพูดไม่ออกเลยจริงๆ
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าภายในใจของหูเฟยหลีทุกสรรพสิ่งล้วนไม่แบ่งชนชั้น การที่เอาสุกรกับสุนัขมาเปรียบเทียบย่อมไม่มีความสำคัญอะไร คนที่แบ่งชนชั้นสูงต่ำเด่นด้อยแทนสรรพสัตว์เหล่านี้คงมีแต่มนุษย์เท่านั้น
ทว่าฮุ่ยกังที่ลาสิกขาจากพุทธศาสนากลับตระหนักถึงหลัก ‘สรรพสัตว์ล้วนมีความเท่าเทียมกัน’ ที่หูเฟยหลีไม่ได้กล่าวออกมา สายตาที่เขามองปีศาจข้างกายนั้นช่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความชื่นชม (พูดตามศัพท์ของหลินอวิ๋นชิงก็คือ ‘แฟนคลับผู้คลั่งไคล้’) พร้อมฉีกเนื้อเข้าปากอีกฝ่ายต่อ พลันลืมหมั่นโถวที่ตนกัดไปสองคำแล้ววางทิ้งไว้อีกฝั่งเสียสิ้น
หลินอวิ๋นชิงเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา โบราณเคยกล่าวไว้ว่า ‘ในสายตาคนรักแลเห็นไซซี ’ ในสายตาของภิกษุนั้น...อาจจะแลเห็นพระโพธิสัตว์เสียกระมัง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจมองปีศาจจิ้งจอกที่เกียจคร้านและเอาแต่ใจเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ซึ่งฉลาดเฉลียวและมีเมตตาธรรมอวตารลงมาได้
และนี่ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจาก ‘โรงเตี๊ยมหูหลี่ชิง’ ปิด ทุกครั้งทั้งสามคนต้องรอจนแขกรับประทานอาหารแล้วขึ้นไปพักผ่อน ถึงจะมารวมตัวกินมื้อเย็นที่ล่วงเลยเวลาอย่างพร้อมเพรียงกันในโถงใหญ่นี้ และในบางครั้งยังต้องรับมือกับความต้องการเร่งด่วนของแขกอีกด้วย
หลินอวิ๋นชิงที่วุ่นอยู่ในครัวทั้งวันอดไม่ได้ที่จะปะทะฝีปากกับหูเฟยหลีอยู่บ่อยครั้ง บ่นหลายประโยคราวกับพวกมนุษย์เงินเดือนบ่นเจ้านายก็มิปาน เพียงแต่เจ้านายคนนี้ไม่เจ็บปวดไม่สะเทือนและไม่หักเงินเดือนเช่นกัน ส่วนฮุ่ยกังก็กินอาหารเจไปอย่างเงียบๆ อยู่อีกด้าน แม้ว่าเขาจะสึกออกมาแล้ว แต่ยังคงยึดถือการไม่กินเนื้อสัตว์และไม่ดื่มสุราเหมือนดังเดิม
ถึงแม้ชีวิตในการประกอบกิจการจะเหน็ดเหนื่อยแสนเข็ญ แต่ก็มั่นคงมากๆ หลินอวิ๋นชิงยอมรับว่าตนสนิทกับปีศาจจิ้งจอกและพระตบะแตกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำให้เขาที่ทะลุมิติมาจากโลกปัจจุบันรู้สึกสบายใจและสงบสุขอย่างมาก เมื่อทั้งสามรวมตัวกันก็มีครบทั้งฝีมือการทำอาหาร วิทยายุทธ์ และรูปโฉมอันงดงาม เป็นกองทัพที่ไร้เทียมทานเสียจริงๆ
ทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารได้ครู่ใหญ่ๆ หูเฟยหลีก็ยังคงขยับแค่ปากแต่ไม่ขยับมือ พิงร่างเสี่ยวเอ้อร์ของตนเองเพื่อรอให้ป้อนอาหาร และในขณะที่หลินอวิ๋นชิงกำลังจะบ่นเรื่องแม่ค้าขายผักที่เปลี่ยนมาให้ลูกชายคิดเงินมั่วซั่วในวันนี้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นมาจากข้างนอกประตูไม้ที่ลงกลอนไว้ของโรงเตี๊ยม
หลินอวิ๋นชิงและฮุ่ยกังมองหน้ากัน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่หูเฟยหลีกลับแววตาเป็นประกาย หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดปากพร้อมลุกพรวดขึ้นมา “รีบไปดูกันเถอะ”
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับชายที่ร่างเต็มไปด้วยเลือดสลบอยู่ตรงประตู
มาอีกแล้ว!!
ทั้งสองคนคร่ำครวญ ฮุ่ยกังพูดอยู่ในใจ แต่หลินอวิ๋นชิงกลับตะโกนดังออกมา
“คงไม่ใช่หรอกมั้ง ครั้งที่สามของปีนี้แล้วนะ! ท่านว่าฮวงจุ้ยของโรงเตี๊ยมเรามีปัญหาหรือเปล่า?”
“...อย่าได้ถามข้า ข้าเป็นพระ ไม่ใช่นักพรต” ยากมากที่ฮุ่ยกังจะตอบกลับเช่นนี้
“พวกเจ้าไม่มีจิตใจกันหรืออย่างไร มัวแต่คุยกันต่อคนก็ตายพอดี!” หูเฟยหลีนั่งยองลงข้างๆ ชายโชกเลือดด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “อาชิง เช็ดหน้าเขาหน่อยสิ แล้วก็ตามเดิม ถ้าหล่อก็แบกเข้ามา ไม่หล่อก็โยนไว้ข้างนอกนี่แหละ!”
...เจ้าต่างหากล่ะที่ไม่มีจิตใจ!
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่พ่อครัวและเสี่ยวเอ้อร์จ้องไปยังเจ้านายของพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ดูถูกดูแคลนในเวลาเดียวกัน



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โรงเตี๊ยมหูหลี่ชิงนั้นช่างสุขสันต์อย่างลึกลับ นอกจากพ่อครัวทะลุมิติกับเสี่ยวเอ้อร์อดีตศิษย์วัดเส้าหลินแล้ว ยังมีเถ้าแก่ปีศาจจิ้งจอกที่อาศัยการดูดพลังจากผู้ชายเพื่อบำเพ็ญตบะ ดังนั้นกฎในการช่วยเหลือคนจึงคือ...หากหล่อก็แบกเข้ามา ไม่หล่อก็ทิ้งไว้ข้างนอก แต่เมื่อลูกชายเจ้ายุทธภพซมซานมาเยือน ความสงบก็ถูกทำลาย...

นับแต่หลายปีก่อนฮุ่ยกังช่วยหูเฟยหลีในร่างจิ้งจอกขาวไว้จนสึกจากวัด เขาก็กลายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ และยินดีจะปกป้องดูแลทะนุถนอมหูเฟยหลีไปชั่วชีวิต ทว่าเขากลับต้องทนเห็นอีกฝ่ายหลอกล่อชายหนุ่มมากมาย ฉอเลาะบุรุษที่เพียบพร้อมกว่าต่อหน้าต่อตา ทั้งที่น่าจะรู้ว่าเขารู้สึกเช่นไร ทำให้บางครั้งเขาอดสับสนไม่ได้ว่า...ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ แท้จริงแล้วมีหัวใจหรือไม่?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”