New Release แปล : TERRAFORMARS ภารกิจล้างพันธุ์นรก LOST MISSION I ความทรงจำแห่งดวงจันทร์

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release แปล : TERRAFORMARS ภารกิจล้างพันธุ์นรก LOST MISSION I ความทรงจำแห่งดวงจันทร์

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ A GIRL IN THE TREE เจ้าหญิงคางุยะ


ที่ประเทศฮาป้น (ญี่ปุ่น) มีตำนานเล่าขานถึงเจ้าหญิงผู้มีนามว่าเจ้าหญิงคางุยะอยู่
วันหนึ่งคุณตาคนตัดไผ่ได้ค้นพบไม้ไผ่เปล่งแสงสว่างไสวในป่า เมื่อลองผ่าไม้ไผ่ต้นนั้นก็ต้องตกตะลึงเพราะมีเด็กทารกหญิงน่ารักอยู่ภายใน คุณตาพาเด็กทารกกลับบ้าน ทำให้คุณยายตกใจเป็นอันมากเช่นกัน เด็กหญิงคนนั้นสะสวย ตายายเองก็ไม่มีลูก อีกทั้งตายายคู่นี้ยังเป็นคนดีมาก เด็กทารกจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมจนกระทั่งเติบโตเป็นกวาป้า (คนสวย)
“เจ้าหญิงคางุยะกลายเป็นคนสวย แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อเหรอ?” ฉันถาม
“ก็ทำให้หนุ่มๆ ตกเป็นทาสไปหมดทุกรายไงล่ะ” ปาป้า คิตาซาวะตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว เหมือนเธอในตอนนี้ไง”
“ฉันทำให้พวกผู้ชายตกเป็นทาสเหรอ?”
“สกายเลอร์ หนุ่มๆ แถวนี้ลุ่มหลงเธอกันหมดนั่นแหละ”
“เหรอ”
ฉันลองคิดดู แต่สุดท้ายก็ไม่เข้าใจความหมายของ ‘ทำให้ตกเป็นทาส’ หรือ ‘ลุ่มหลง’ อยู่ดี
มีคำศัพท์มากมายที่ฉันไม่รู้จัก
อาจเป็นเพราะเหตุนั้นฉันถึงนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง คำศัพท์เปรียบเสมือนแหที่โยนลงในแม่น้ำ หากไม่รู้คำศัพท์ก็ไม่อาจจับปลาที่เรียกว่าความทรงจำได้
เพราะอย่างนั้นฉันจึงตั้งใจเรียนรู้ถ้อยคำอย่างแข็งขัน ขยันอ่านหนังสือมากมาย
ได้ยินว่าตอนที่ปาป้าคิตาซาวะค้นพบฉันในป่า ฉันก็อยู่ในต้นไม้เหมือนเจ้าหญิงคางุยะ
ฉันอยู่ในโพรงไม้ขนาดใหญ่ ร่างเปลือยเปล่าไม่มีรอยขีดข่วนสักรอย แถมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ตอนแรกฉันพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่หลังจากใช้ชีวิตร่วมกับปาป้าคิตาซาวะ ผ่านฤดูฝนมาสองครั้งและฤดูแล้งหนึ่งครั้งจนถึงตอนนี้ ถ้อยคำก็หวนกลับคืนมาในตัวฉันอย่างรวดเร็ว ในอดีตฉันเคยพูดถ้อยคำเหล่านั้น แต่ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ลืมไปสนิท
ปาป้าคิตาซาวะพาฉันที่พูดไม่ได้กลับบ้านและเพียรพยายามพูดกับฉันอย่างอดทนวันแล้ววันเล่า สิ่งที่ต่างกับเจ้าหญิงคางุยะคือ ที่บ้านของปาป้าคิตาซาวะไม่มีคุณยายอยู่ คุณยายใจดีโดนคันกาเซโร (คนชั่ว) ฆ่าตายเมื่อนานมาแล้ว
ปาป้าคิตาซาวะใจดีกับฉันทดแทนส่วนของคุณยายด้วย เขาค่อยๆ พูดกับฉันอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำเสมอ ถ่อไปซื้อเสื้อผ้ามากมายในเมืองที่อยู่ห่างออกไปแปดสิบกิโลมาให้ฉันและสอนวิธีใส่ ช่วยล้างเนื้อตัวและหวีเรือนผมยาวให้ฉัน สอนทุกๆ อย่างตั้งแต่วิธีใช้มีดกับส้อม ความแตกต่างระหว่างของที่กินได้กับกินไม่ได้ ไปจนถึงวิธีแยกแมลงมีพิษกับไม่มีพิษ
ถึงอย่างนั้นแม้จะผ่านฤดูฝนมาทั้งฤดู ฉันก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดี
ฉันยังจำตอนนั้นได้ดี จำได้แม่นยำว่าสีหน้าของปาป้าคิตาซาวะที่พูดคุยกับฉันอย่างแข็งขันค่อยๆ ฉาบด้วยแววยอมแพ้มากขึ้นทีละน้อย
จนกระทั่งฉันได้ยินคำว่า ‘กวาป้า’
ขณะที่ฉันเอาแต่นิ่งงันไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ตาม ปาป้าคิตาซาวะก็มองดูฉันพลางส่ายศีรษะเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย
“ทั้งที่เป็นคนสวยขนาดนี้แท้ๆ พระเจ้าช่างโหดร้ายอะไรอย่างนี้”
ที่ผ่านมาฉันไม่เข้าใจคำพูดของปาป้าคิตาซาวะแม้แต่คำเดียว แต่ตอนนั้นฉันกลับได้ยินคำว่า ‘กวาป้า’ แจ่มชัด ทันใดนั้นคำอีกคำหนึ่งพลันแวบขึ้นมาพร้อมกันราวกับปลาที่ว่ายน้ำเป็นคู่
กวาป้า....ฉันพึมพำออกเสียง บิวตี้ฟูล....
“น่าตกใจจริงๆ” ปาป้าคิตาซาวะเบิกตาโต “เธอพูดได้ทั้งภาษาสเปนและภาษาอังกฤษเลยหรือนี่!”
ตรงนั้นเองคือจุดเริ่มต้น
กำแพงกั้นถ้อยคำเกิดรูโหว่ คำศัพท์และประโยคมากมายพลันหลั่งไหลเข้ามาภายในตัวฉัน มูชาโช่ (เด็กผู้ชาย) มูชาช่า (เด็กผู้หญิง) บอย เกิร์ล ในบรรดานั้นมีทั้งคำที่รู้จัก คำที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะรู้ และคำที่ไม่เข้าใจเลยสักนิดอีกมากมาย
“คงเผลอลืมไปชั่วคราวสินะ” ปาป้าคิตาซาวะตบมือดีใจก่อนจะทำท่าไม้กางเขนที่หน้าอก “คิดดูสิ ต่อให้ลืมเรื่องที่เคยเรียนรู้ในอดีตไป แต่ถ้าปัดฝุ่นสักหน่อยก็จะนึกออกใช่ไหมล่ะ เธอคงโดนเรียกว่าคนสวยด้วยภาษาสเปนกับภาษาอังกฤษอยู่บ่อยๆ กระมัง”
ถึงอย่างนั้นฉันกลับนึกเรื่องอื่นๆ ไม่ออกเลยสักนิด ฉันเป็นใครมาจากไหน อายุเท่าไหร่ และทำไมถึงเปลือยกายอยู่ในต้นไม้ตาย
มีอยู่หนหนึ่ง ฉันกับปาป้าคิตาซาวะเคยล่องแพ ลงเรือ ขึ้นรถบัสที่เบียดเสียดแน่น นั่งรถไฟ ต่อด้วยนั่งรถของคนใจดีอีกหลายคันเพื่อไปหาหมอฝีมือดีที่การากัส
หมอใช้เข็มฉีดยาเจาะเลือดจากร่างของฉันและส่องดูดวงตา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติมนอกจากเรื่องที่ฉันสูญเสียความทรงจำ
พวกเราใช้เวลาแปดวันเจ็ดคืนนั่งรถคนใจดี ต่อด้วยรถไฟ รถบัสแน่นขนัด เรือ และแพ จนกลับมาถึงป่าของพวกเราที่ริมฝั่งแม่น้ำเนโกร
นับตั้งแต่นั้นฉันไม่เคยไปจากที่นี่อีกเลย
“เอาเถอะ ความทรงจำมันก็รังแต่จะยุ่งยากแหละนะ” ปาป้าคิตาซาวะบอก “บางครั้งคนเราก็มีเรื่องที่อยากลืมๆ ไปซะเหมือนกัน”
คนของรัฐบาลเคยมาที่นี่และพยายามไล่พวกเราออกไปอยู่หลายครั้ง แต่ปาป้าคิตาซาวะก็ใช้ปืนไรเฟิลยิงไล่ทุกครั้งไป
“ละแวกนี้เป็นรีคัฟเวอรี่โซน” ปาป้าคิตาซาวะบอกฉัน “พวกคนใหญ่คนโตกำหนดเอาเองว่าแถวนี้ห้ามมีคนอยู่อาศัย แต่เกษตรกรอย่างพวกเราถ้าออกไปจากที่ดินก็ใช้ชีวิตไม่ได้”
ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ พวกเราใช้ชีวิตอย่างนั้นมาตลอด
เราช่วยกันพรวนดิน บางครั้งปาป้าคิตาซาวะก็จะไปล่าสมเสร็จหรือลิงในป่า ส่วนฉันไปจับปลาในแม่น้ำเนโกร บางทีก็จับได้เต่าตัวใหญ่ เวลาไปเมืองใกล้ๆ พวกผู้ชายจะเข้ามาคุยกับฉัน ในเวลาแบบนั้นปาป้าคิตาซาวะจะช่วยไล่พวกนั้นไปด้วยการทำท่าอวดปืนไรเฟิล
ชื่อของฉันอาจเป็นสกายเลอร์หรือไม่ใช่ก็ได้
แต่เรื่องพรรค์นั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง เวลาปาป้าคิตาซาวะเรียกฉันว่า “สกายเลอร์” ฉันจะตอบรับว่า “ค่ะ” และเวลาที่ฉันเรียกชายชราคนนี้ว่า “ปาป้า” ปาป้าก็จะตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “มีอะไรเหรอ”
ป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ และแม่น้ำก็ไม่เคยหักหลังพวกเรา ผืนแผ่นดินได้รับการอวยพรจากเทพเจ้าแห่งเผือกอยู่เสมอ
พวกเราใช้ชีวิตอย่างไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
“นี่ ปาป้า เจ้าหญิงคางุยะกับพวกเด็กผู้ชายเป็นยังไงต่อเหรอ?”
“ไม่เป็นยังไงทั้งนั้นแหละ” ปาป้าคิตาซาวะหยุดมือที่กำลังพรวนดินในไร่เผือกแล้วหันหน้าเกรียมแดดมาหาฉัน “เพราะบ้านอยู่บนดวงจันทร์ เจ้าหญิงก็เลยกลับไปดวงจันทร์”
“ทำไมล่ะ?”
“ใครๆ ก็รักบ้านตัวเองมากที่สุดอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
ฉันครุ่นคิดขณะนั่งยองๆ อยู่บนทางเดินในไร่ “อื้อ จริงด้วย”
“ไม่ว่าพวกผู้ชายจะผิดหวังแค่ไหน เจ้าหญิงคางุยะก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”
“บ้านของฉันคือที่นี่สินะ?”
“ใช่”
“งั้นที่ที่ฉันจะกลับมาก็คือที่นี่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“เจ้าหญิงคางุยะกลับดวงจันทร์แล้วเป็นยังไงต่อเหรอ?”
“ไม่รู้สิ” ปาป้าคิตาซาวะยืดตัวก่อนยกมือเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก “แต่ถ้าเป็นคนสวยขนาดนั้นก็คงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขละมั้ง บางทีหนุ่มๆ บนดวงจันทร์ก็คงลุ่มหลงเจ้าหญิงคางุยะเหมือนกัน”
“ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่กับปาป้า”
“งั้นก็ดีแล้ว”
“ทำไมปาป้าถึงรู้จักเรื่องเจ้าหญิงคางุยะล่ะ?”
“ปู่ของปู่ของปู่ของฉันเคยอยู่ที่ญี่ปุ่นก่อนย้ายมาเวเนซุเอลา”
เมฆเข้าบดบังดวงอาทิตย์ เสียงฟ้าร้องครั่นครื้นดังแว่วอยู่ไกลๆ กบในป่าร้องระงม ทั้งคางคกและกบลูกศรพิษ กบลูกศรพิษมีพิษจึงห้ามแตะต้องเป็นอันขาด ฉันสูดอากาศชื้นฉ่ำเข้าเต็มปอดแล้วแหงนมองเมฆครึ้มที่ลอยอยู่เหนือแมกไม้
“ฝนจะตกแล้ว”
ปาป้าไม่ตอบ
“ปาป้า?”
“เข้าบ้านซะ”
“....?”
สีหน้าของปาป้าคิตาซาวะแข็งกร้าวราวกับเป็นคนละคน เขาโยนจอบที่ใช้พรวนดินทิ้งแล้วคว้าปืนไรเฟิลที่วางพิงรั้วอยู่ขึ้นมาแทน
ฉันมองตามสายตาของปาป้าคิตาซาวะ ก่อนจะสังเกตเห็นชายคนหนึ่งอยู่ในป่า กำลังจ้องเขม็งมาทางนี้
เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน คนของรัฐบาลที่มาเตือนให้ออกไปจากรีคัฟเวอรี่โซนก็จะสวมสูทมาเสมอ
ชายคนนี้สวมกางเกงสีเขียวมอสส์เหมือนทหารกับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นซอมซ่อ
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เผ่าวาบา เท่าที่ฉันรู้ พวกชนพื้นเมืองไม่สวมเสื้อผ้า และการที่เขาไม่พกมีดหรือปืนก็บ่งบอกว่าเขาไม่ใช่พวกคนชั่วจากบราซิล สิ่งที่เขาพามาด้วยมีแค่ลาท่าทางเหนื่อยอ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น
“อย่าขยับ เจ้าการิมเปโร (นักขุดทอง) !” ถึงอย่างนั้นปาป้าคิตาซาวะก็ยังถือปืนไรเฟิลตั้งท่าอยู่ดี “ขืนคราวหน้าเทปรอทลงในแม่น้ำของพวกเราอีก พุงแกทะลุเป็นรูแน่!”



1 BLUE BUTTERFLY อัญมณีแห่งแอมะซอน



คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่า?
หลังจากเข้ารับการผ่าตัดบั๊กส์และรอดชีวิตกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง ผมก็ตกหลุมรักทุกอย่างบนโลกนี้ตั้งแต่แรกพบ
ผมลืมตาตื่นเมื่อเดือนมิถุนายนในตอนเช้าที่อากาศร้อนจนแทบสุก ผมเข้ารับการผ่าตัดในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2599 เท่ากับว่าผมหลับเป็นตายนานถึงสี่เดือนเต็มๆ
ชิกีโต้ (เจ้าเปี๊ยก) นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงข้างๆ
“เฮ้” อาจเพราะไม่ได้พูดมานานสี่เดือน เสียงเลยไม่ยอมออกมาตามความตั้งใจ “เฮ้....เจ้าเปี๊ยก ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เจ้าเปี๊ยกยังคงนอนนิ่ง แต่ที่แขนมีเข็มน้ำเกลือเจาะอยู่ แปลว่าอย่างน้อยก็ยังไม่ตาย
ผมลูบอกด้วยความโล่งใจ การที่สหายศึกตายจากไปเป็นเรื่องน่าชังเสมอ
สี่เดือน
ผมจ้องมองพัดลมที่หมุนอยู่บนเพดานอย่างอ่อนเปลี้ยพลางลองขยับแขนขาช้าๆ ทันใดนั้นผมก็สังเกตว่ามีแผ่นแปะรักษากล้ามเนื้อติดอยู่ทั่วตัว
แผ่นแปะนี่จะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นเส้นใยกล้ามเนื้ออยู่ตลอดเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อของพวกผมฝ่อระหว่างนอนหลับ
ถึงอย่างนั้นร่างกายที่ไม่ได้เคลื่อนไหวตลอดสี่เดือนก็ทื่อลงมาก พอพยายามขยับ หลายๆ ส่วนก็ลั่นเอี๊ยดอ๊าดอย่างกับเป็นบานพับเก่าคร่ำคร่า ผมค่อยๆ ขยับแขนขาทีละน้อยไปเรื่อยๆ
กว่าจะขยับร่างท่อนบนลุกขึ้นนั่งสำเร็จก็เกือบเที่ยงวัน
ผมดึงแผ่นแปะกับเข็มน้ำเกลือออกแล้วลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า เอวและขาอ่อนปวกเปียกจนถ้าไม่อาศัยผนังทางเดินคงยืนไม่อยู่ ผมเดินโซเซออกมาข้างนอกด้วยความยากลำบากแสนสาหัส
และแล้วผมก็ต้องตกตะลึง
แสงสว่าง สายลม สีเขียวของแมกไม้ เสียงแมลง ไอน้ำที่ลอยจากผิวดิน ฝูงนกมาคอว์สีสันสดใสที่บินบนฟ้า ภาพเหล่านั้นถาโถมเข้าใส่ผมพร้อมๆ กัน ทั้งที่เคยเห็นทิวทัศน์ธรรมดานั้นอยู่ทุกวันแท้ๆ แต่ผมกลับตื้นตันจนเผลอล้มก้นจ้ำเบ้า
เรายังมีชีวิตอยู่!
การผ่าตัดประสบความสำเร็จ!
คิดแล้วน้ำตาก็ซึมนิดๆ
ผมลองแตะทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ สูดดมกลิ่นดิน ตื่นเต้นกับความแข็งของหิน และตกใจกับพลังชีวิตของต้นหญ้า
โลกใบใหม่เอี่ยมราวกับโดนชำระล้างแผ่กว้างอยู่ตรงหน้า
ผมตกหลุมรักต้นไม้ในป่าตั้งแต่แรกพบ ตกหลุมรักปลาปิรันยาในแม่น้ำที่จ้องจะกินพวกเราตั้งแต่แรกพบ แม้กระทั่งแมลงสาบที่ปกติจะฆ่าทิ้งทันทีที่เห็น ผมก็ตกหลุมรักพวกมันตั้งแต่แรกพบ
คุณเข้าใจความรู้สึกนี้ไหม?
ได้ยินว่าต่อให้เข้ารับการผ่าตัดบั๊กส์ในประเทศพัฒนาแล้วที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์การแพทย์ เต็มที่ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผมไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเปล่า แต่ถ้าหัวหน้ากองคอนเตรรัสว่าอย่างนั้นก็คงจะจริงมั้ง
หมายความว่าถ้ามีคนเข้ารับการผ่าตัดสิบคน จะมีคนตายเจ็ดคน
เดิมทีก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเข้ารับการผ่าตัดจากหมอเถื่อนในป่าแอมะซอนอย่างนี้ โอกาสประสบความสำเร็จก็ยิ่งต่ำจนน่าขำ หัวหน้ากองคอนเตรรัสบอกพวกเราว่าโอกาสสำเร็จน่าจะต่ำกว่าสิบเปอร์เซ็นต์เสียอีก
“ยิ่งไปกว่านั้น” หัวหน้ากองเอ่ยกับเหล่าอาสาสมัคร ซึ่งก็คือพวกเรา “ต่อให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ เวลาที่คิดจะใช้พลังของแมลง พวกเธอต้องใช้อายุขัยของตัวเองเป็นเครื่องสังเวยด้วย”
หัวหน้ากองอธิบายเหตุผลนั้นให้ฟัง แต่พวกผมไม่เข้าใจเลยสักนิด คนหนุ่มสาวที่เป็นทหารในแนวร่วมปลดปล่อยรีคัฟเวอรี่โซนแห่งลาตินอเมริกาอย่างพวกผม ส่วนใหญ่แทบไม่ได้เรียนชั้นประถมเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้นถึงจะบอกกันว่าอายุขัยของสิ่งมีชีวิตมีสัดส่วนเท่ากับน้ำหนักตัวยกกำลังหนึ่งส่วนสี่ไปก็ไม่เข้าใจหรอก
หลังจากใช้สมองที่ไม่ค่อยมีอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเราก็เข้าใจเพียงว่า สัตว์ใหญ่มีอายุขัยยืนยาว แต่การเคลื่อนไหวเชื่องช้า ส่วนสัตว์เล็กอายุสั้นแต่เคลื่อนไหวเร็ว ถ้าอยากเข้ารับการผ่าตัดบั๊กส์เพื่อให้เคลื่อนไหวได้เร็วจี๋ก็ต้องใช้อายุขัยเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เท่านั้นเอง
“สัตว์เล็กเนี่ยน่าสงสารแฮะ”
พอผมพึมพำเสียงค่อย เจ้ามาร์กอส เปียซซ่าก็หัวเราะเยาะหยันทันที
“ไม่ได้ฟังรึไง รูบิโอ้ ไม่ว่าจะตัวใหญ่หรือเล็ก จำนวนครั้งที่หัวใจเต้นตลอดทั้งชีวิตกับจำนวนครั้งที่เซลล์แบ่งตัวก็เท่ากัน เพราะงั้นจะเป็นช้าง หนู หรือมด มันก็รู้สึกว่าเวลาชีวิตพอๆ กันนั่นแหละ”
“เห งั้นเหรอ”
“ไอ้ที่เรียกว่าเวลาชีวภาพไงล่ะ”
มาร์กอสยิ้มเผล่พลางเบ่งกล้ามแขนอย่างไม่มีความหมาย นั่นทำให้ผมหงุดหงิดนิดหน่อย
ภายในป่าเต็มไปด้วยแมลงพิษมากมาย ทั้งยุงที่มีเชื้อมาลาเรีย เห็บ หมัด ริ้นดำ โดยเฉพาะริ้นดำมีพวกที่เป็นพาหะโรคเท้าช้างอยู่ด้วย ขืนโดนกัดเข้า ไข่จะฟักในตัวจนกลายเป็นพยาธิเกาะติดในที่ที่ตามองไม่เห็น
ถึงอย่างนั้นเจ้ามาร์กอส เปียซซ่านี่กลับสวมแค่เสื้อกล้ามฟิตเปรี๊ยะอย่างกับอยากอวดกล้ามเนื้อ รอยสักเต็มสองแขนและรอยบาดนับไม่ถ้วนบ่งบอกถึงการเติบโตอันไม่ได้เรื่องได้ราวของชายชาวโคลอมเบียคนนี้ สร้อยคอเขี้ยวเสือจากัวร์ที่ห้อยอยู่บนอกตลอดเวลานั้นก็น่ารังเกียจสิ้นดี
“เอ่อ หัวหน้ากองคอนเตรรัส....” เจ้าเปี๊ยกยกมือถามอย่างหวาดๆ “ที่ว่าเสียอายุขัยไปนั่น....จะเสียไปประมาณเท่าไหร่เหรอครับ?”
“ไม่รู้” หัวหน้ากองตอบโดยไม่ปิดบัง “การผ่าตัดบั๊กส์ยังมีปริศนาอีกมาก ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้เปิดเผยเรื่องการผ่าตัดนี้ให้โลกรู้ด้วยซ้ำ สาเหตุที่พวกเราได้รู้จักดอกเตอร์เบลวูดเป็นเพราะพันธมิตรทางเอเชียบอกมาอีกที”
เอ่อ ลองมาสรุปกันดีกว่า ถ้าพวกผมเข้ารับการผ่าตัดบั๊กส์จากหมอเถื่อน เก้าคนในสิบคนจะต้องตาย และต่อให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ ถ้าพวกผมใช้พลังของแมลง อายุขัยก็จะสั้นลงอยู่ดี งั้นสินะ
“เฮ้ย เจ้าเปี๊ยก กลัวรึไง?” โฮเซ่ โมเรลอสกระเซ้า “ถ้าจะถอนตัวก็ต้องถอนตัวซะตั้งแต่ตอนนี้นา”
แต่แน่นอนว่าเจ้าเปี๊ยกไม่ได้ถอนตัวจากการผ่าตัดบั๊กส์
ทหารห้าสิบสองคนที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับการผ่าตัดไม่มีใครหนีไปเลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีเหตุผลที่จะหนี พวกเราส่วนใหญ่อายุราวสิบหกถึงสิบเก้า ปกติทหารแนวร่วมปลดปล่อยมักตายในการต่อสู้ก่อนอายุยี่สิบเอ็ดกันแทบทุกรายอยู่แล้ว ดังนั้นภายในสามสี่ปีนี้ เดี๋ยวทุกคนก็จะหายไปจากโลกอยู่ดี
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ใครมันจะไปแคร์เรื่องที่ตายในการผ่าตัดตอนนี้ หรือเรื่องที่โดนชิงอายุขัยไปกันเล่า?
นอกจากนั้นพวกผมล้วนอุทิศชีวิตให้กับการปฏิวัติมานานแล้ว พวกเรามาจากทั่วลาตินอเมริกา มารวมตัวกันที่ป่าแห่งนี้เพื่อแย่งชิงที่ดินในรีคัฟเวอรี่โซนและคืนให้กับเกษตรกร


+++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ยามเผชิญกับสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มนุษย์ย่อมไม่อาจเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป”
ค.ศ.2599---
โครงการสำรวจดาวอังคารด้วยยานอวกาศแบบมีคนขับ ‘บั๊กส์หมายเลข 2’ ล้มเหลว ลูกเรือผู้รอดชีวิตสองคนเดินทางกลับมายังโลก ในช่วงเวลานั้นเองการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับกองโจรที่เข้ารับการผ่าตัดบั๊กส์จากหมอเถื่อนก็กำลังดำเนินอยู่ในป่าดงดิบแถบละตินอเมริกา! เรื่องราวที่เชื่อมโยงไปสู่โครงการ ‘แอนแนคซ์หมายเลข 1’ เปิดเผยออกมาในรูปแบบนิยายแล้ว!!
TERRAFORMARS LOST MISSION I ความทรงจำแห่งดวงจันทร์


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”