New Release BLY แปล : เพราะรักเธอผู้น่าชัง - เพราะรักเธอผู้งดงาม 2

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : เพราะรักเธอผู้น่าชัง - เพราะรักเธอผู้งดงาม 2

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

เวลาจะแจ้งเรื่องไม่ดี มนุษย์เรามีแนวโน้มแสดงท่าทีเฉยเมยเพื่อกลบเกลื่อน ขณะคอนเฟิร์มตารางงานอยู่ภายในสำนักงานต้นสังกัด จู่ๆ ผู้จัดการก็พึมพำออกมาราวกับเพิ่งนึกออก
“อ๊ะ จริงด้วย คิโยอิคุง”
น้ำเสียงสบายๆ เกินกว่าจำเป็น ทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดีนัก
“ละครของโอบะซังเมื่อวันก่อน”
ได้ยินแค่นี้ก็คาดเดาประโยคต่อไปได้แล้ว
“ดูเหมือนภาพลักษณ์จะไม่ค่อยตรงกับที่เขาต้องการนิดหน่อย”
กะแล้วเชียว โอบะซังเคยมาดูละครเวทีที่คิโยอิแสดงหลายต่อหลายครั้ง ผู้จัดการเข้าไปถามหยั่งเชิงให้ว่าผลงานเรื่องต่อไปสนใจให้คิโยอิร่วมแสดงไหม... นี่เขาโดนโปรดิวเซอร์คนเดิมปฏิเสธเป็นครั้งที่สองแล้ว
“แต่ไม่ได้หมายความว่าคิโยอิคุงไม่ดีนะ แค่คราวนี้อายุไม่ตรงกับบท...”
“แล้วอุเอดะซังล่ะ?”
คิโยอิกล่าวขัดประโยคปลอบใจแล้วหยิบนิตยสารบันเทิงออกมาจากชั้นวาง พลิกหาบทสัมภาษณ์ของโปรดิวเซอร์คนหนึ่ง
“นี่ไง ดูตรงนี้สิ เขาให้สัมภาษณ์ว่าละครเวทีปีหน้าอยากใช้นักแสดงหน้าใหม่ เท่ากับว่าเขาต้องหานักแสดงนอกสังกัดแน่ๆ ช่วยใช้เส้นสายพาผมไปทักทายเขาหน่อยสิ”
เมื่อพูดออกไปอย่างนั้น ผู้จัดการมองหน้าเขาด้วยสายตาโล่งอกระคนชื่นชม
“คิโยอิคุงนี่แข็งเเกร่งดีจัง ประมาณว่ามองไปข้างหน้า ไม่คิดมากกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ”
คิโยอิสลับขายาวๆ ไขว่ห้าง สายตาชำเลืองมองผู้จัดการที่กำลังพยักหน้าหงึกๆ ถ้าให้พูดจากใจ เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก โดนโปรดิวเซอร์ที่ปลาบปลื้มบอกว่าฉันไม่ต้องการนาย ไม่ต่างอะไรจากโดนหักอก แถมยังถูกปฏิเสธถึงสองครั้งอีกต่างหาก เพียงแต่เขาไม่อยากให้ใครมองออกว่ากำลังผิดหวังอยู่
“คิโยอิคุง ทำไมเธอถึงชอบละครเวทีขนาดนี้?”
สตาฟในสำนักงานชงกาแฟเย็นให้
“เทียบกับละครโทรทัศน์แล้วลำบากกว่าตั้งเยอะ แถมนักแสดงกับโปรดิวเซอร์ละครเวทีส่วนใหญ่เป็นคนแปลกๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งนั้น ต้องเสียเวลาฝึกซ้อมมากมาย แต่เงินที่ได้กลับไม่สมน้ำสมเนื้อ ถ้าเล่นละครโทรทัศน์ยังเป็นที่รู้จักมากกว่าอีก”
“ก็อาจใช่”
คิโยอิตอบแบบขอไปที เขาฉีกกระดาษห่อและเสียบหลอดลงในแก้วกาแฟเย็น
ไม่ใช่ว่าเกลียดละครโทรทัศน์หรอก แต่คิโยอิชอบความตื่นเต้นและความภาคภูมิเวลามีสายตามุ่งมั่นจำนวนมหาศาลสาดส่องมาที่ตนแบบเรียลไทม์ว่า ‘กำลังมองอยู่’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของละครเวที ความรู้สึกนี้ต่างจากคำว่าสนุกเล็กน้อย เป็นความเร้าใจที่อยู่ห่างจากความหวาดกลัวและความหวาดหวั่นเพียงเส้นกั้นบางๆ
บางทีนี่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็กของเขาก็เป็นได้
ตอนนี้เขายังจำได้ดี เสียงดนตรีเพลง ‘ทางกลับบ้าน’ ที่เปิดคลอเวลาเลิกเรียน เขาเกลียดเมโลดี้ชวนห่อเหี่ยวนั่นที่สุด อย่างกับจงใจทำให้รู้สึกเหงา จะได้รีบกลับบ้านเร็วๆ
เขาหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนั้น จะเล่นกันด้วยวิธีนี้เลยใช่ไหม เขามักชวนเพื่อนไปเที่ยวเล่นด้วยกัน บ้างก็ไปเล่นดอดจ์บอลที่สนามโรงเรียน บ้างก็ไปเล่นเกมที่บ้านใครสักคน แต่ถึงอย่างไรเวลากลับบ้านก็ต้องมาถึง “ไปล่ะ บ๊ายบาย” วินาทีที่เพื่อนหันหลังให้ คิโยอิจะนิ่งเงียบทำหน้าบึ้งตึง
พ่อกับแม่ของคิโยอิหย่ากันตั้งแต่เขายังเด็ก แม่ทำงานที่ต้องเข้ากะกลางคืน ทำให้บ่อยครั้งคิโยอิต้องอยู่บ้านตอนกลางคืนเพียงลำพัง เขาเกลียดบ้านที่ตัวเองต้องเป็นคนไขกุญแจเปิดเข้าไป เกลียดอาหารเย็นชืดที่ต้องนำไปอุ่นในไมโครเวฟและนั่งกินอย่างเดียวดาย เขาฟังเสียงครื้นเครงจากครอบครัวที่อยู่อีกฟากของผนัง พลางรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นไส้แซนด์วิชที่กำลังถูกบดขยี้
คิโยอิใช้เวลาอยู่กับโทรทัศน์ทุกคืน รายการวาไรตี้มากมายในกล่องสี่เหลี่ยมนั้นช่วยให้มีเสียงหัวเราะดังสะท้อนภายในบ้านไม่ขาด คอยป้องกันความเหงาสอดแทรกเข้ามา คอยปกป้องอารมณ์กลัวผีคืบคลานเข้ามาใกล้
แม่ของคิโยอิแต่งงานใหม่สมัยเขาเรียนอยู่ชั้นประถมสาม คิโยอิไม่ต้องไขกุญแจเข้าบ้านเองอีกต่อไปแล้ว พ่อใหม่ใจดีมาก คิโยอิมีห้องส่วนตัวภายในบ้านเดี่ยวสองชั้น หลังกลับมาจากโรงเรียนเขาเจอแม่อยู่บ้านทุกวัน โทรทัศน์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เพราะการเล่าเรื่องที่พบเจอในแต่ละวันให้พ่อกับแม่ฟังนั้นสนุกยิ่งกว่า
ทว่าสวรรค์ของคิโยอิช่างสั้นนัก เขามีน้องชายและน้องสาวที่เกิดกับพ่อใหม่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ความสนใจของพ่อและแม่ทุ่มไปที่น้อง เด็กทารกตัวเล็กๆ แดงๆ มีน้ำลายไหลย้อยออกจากมุมปากตลอดเวลา ท่าทางไม่ต่างจากลิงพวกนี้ได้เข้ามาช่วงชิงบัลลังก์ของคิโยอิไป รวมทั้งพรากความรักของพ่อและแม่ไปด้วย
...สนใจฉันด้วยสิ
คิโยอิกลับมานั่งกอดเข่าดูโทรทัศน์อีกครั้ง ความชิงชังที่โดนแย่งความสำคัญไป ความไม่พอใจที่คนเหล่านั้นดันอยู่ใกล้ตัวจึงต้องพบเจอตลอดเวลา ความเครียดที่ต้องเสแสร้งเป็นใจดีกับคนเหล่านั้น และขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะระเบิดนั่นเอง วันหนึ่งเขาได้ดูคอนเสิร์ตของไอดอลผ่านทางโทรทัศน์
...น่ากลัวชะมัด
ภาพที่เห็นดูน่ากลัว ไอดอลยืนอยู่บนเวที แฟนๆ ตรงที่นั่งยื่นมือออกไป ยังไงก็เอื้อมไม่ถึงหรอก ขนาดเด็กประถมอย่างตนยังรู้เลย ไม่เข้าใจผู้ใหญ่พวกนี้แม้แต่น้อย
ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ ดวงตาทอประกาย บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา ผู้ใหญ่ก็ร้องไห้เป็นด้วย เด็กอย่างคิโยอิเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความอิจฉาที่ค่อยๆ บังเกิด
หากตนเป็นที่ต้องการแบบนั้นบ้าง จะรู้สึกอย่างไรนะ
มันก็ต้องรู้สึกดีอยู่แล้ว
คิโยอิชำเลืองมองพ่อกับแม่ ทั้งสองกำลังกล่อมเด็กทารกหน้าตาเหมือนลิงด้วยท่าทีมีความสุข แล้วคิโยอิก็เบนสายตากลับมายังโทรทัศน์อีกครั้ง ภาพแฟนคลับร้องไห้พลางยื่นมือไขว่คว้าอย่างเอาเป็นเอาตาย กับภาพไอดอลซึ่งยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสายตาหลายพันคู่ คิโยอินั่งกอดเขาเล็กๆ อยู่บนโซฟาพลางคิดในใจว่าดีจัง

...ฉันอยากโดนจับจ้องเพียงคนเดียวแบบนั้นบ้าง
...อยากให้มองแค่ฉันคนเดียว อย่าละสายตาไปหาใคร
...หากเป็นอย่างนั้น ฉันจะทั้งร้องทั้งเต้นให้สุดพลังเลยทีเดียว

ปัจจุบันคิโยอิเป็นทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยและทำงานเป็นนักแสดง มีสุภาษิตหนึ่งกล่าวว่านิสัยตอนเด็กมักติดตัวไปจนถึงตอนโต ไม่ว่าประสบการณ์ในวัยเยาว์จะมีส่วนหรือไม่ บาดแผลในอดีตจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้คิโยอิไม่ได้รู้สึกหมองหม่นไปกับเรื่องเหล่านั้น ขณะดื่มกาแฟเย็นอยู่นั่นเอง “เหวอ” จู่ๆ ผู้จัดการก็ร้องอุทานออกมา
“ถึงขนาดใช้โดรนแอบถ่ายเลย”
ผู้จัดการมองสมาร์ตโฟนพลางทำหน้ามุ่ย ดูเหมือนมีไอดอลใต้ดินคนหนึ่งถูกแฟนคลับใช้โดรนสะกดรอยตามหลังจบงานอีเวนต์ ทั้งยังโดนแอบถ่ายจากหน้าต่างแมนชันส่วนตัวอีกต่างหาก
“แบบนี้ไม่ใช่แฟนคลับแล้ว”
คิโยอิสบถ ก็ซาบซึ้งใจอยู่หรอกที่คอยตามเป็นกำลังใจให้ แต่บางคนคลั่งไคล้เกินจนล้ำเส้น มาดักรอตรงทางเข้าออกบ้างล่ะ นี่ถึงขนาดใช้โดรนเลยเหรอ
“แฟนคลับสมัยนี้น่ากลัวเนอะ โลกโซเชียลทำให้ระยะห่างมันผิดเพี้ยนไปละมั้ง”
“แฟนคลับของคิโยอิคุงก็มีคนที่ดูอันตรายเหมือนกัน เด็กหนุ่มคนนั้นน่ะ”
“อ้อ นายพิรุธ”
ใช่ๆ ทุกคนเออออกันครึกครื้น ตรงข้ามกับคิโยอิที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
นายพิรุธเป็นแฟนตัวยงของคิโยอิ เขาชอบมาดักรอหน้าประตูทางเข้าออก ส่งจดหมายยาวเหยียดระบายความประทับใจถึงทุกๆ ผลงานของคิโยอิไม่ว่าจะเป็นบทบาทเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ทั้งละครเวที ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือนิตยสาร และแน่นอนหากรายการไหนมีโหวตอะไร เขาจะโหวตให้ ‘คิโยอิ โซ’ แต่เพียงผู้เดียว
“เรื่องไล่ตามนี่อาจไม่น่าชื่นชมเท่าไร แต่นายพิรุธก็ถือเป็นแฟนคลับที่ใช้ได้ทีเดียว อย่างเวลาดักรอตรงทางเข้าออกก็ไม่เคยยืนเกะกะขวางทาง แค่ยืนดูแบบรักษาระยะห่างเท่านั้น”
“แค่ยืนดูอย่างเดียวก็น่าขนลุกแล้ว”
“น่ากลัว” สตาฟของสำนักงานทำท่ากอดไหล่สั่นสะท้าน
“เรียกว่าต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันดีกว่า หากเป็นดาราแล้วไปไหนมาไหนไม่มีใครสนใจมันน่าเศร้าออก การดักรอตรงประตูทางเข้าออกอาจสร้างความเดือดร้อนบ้างก็จริง แต่ก็เป็นตัวประเมินความนิยมอย่างหนึ่งนะ”
“จะว่าไปก็ใช่เนอะ ว่าแต่ในเมื่อเขาเป็นแฟนคลับที่ดีขนาดนั้น ทำไมถึงเรียกเขาว่า ‘นายพิรุธ’ ล่ะ?”
พนักงานพาร์ตไทม์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานเอียงศีรษะสงสัย “เรื่องนั้นน่ะ” ผู้จัดการช่วยไขให้กระจ่าง
“ก็เขาเล่นสวมหมวกปิดบังลูกตา ใส่แว่นกันแดด คาดผ้าปิดปาก มีสามไอเทมศักดิ์สิทธิ์ของผู้ต้องสงสัยครบครัน ไม่ว่ามองจากมุมไหนล้วนเต็มไปด้วยพิรุธตลอดสามร้อยหกสิบองศา พูดง่ายๆ คือ เป็นชื่อเล่นที่ตั้งตามภาพลักษณ์ที่เห็นนั่นแหละ พวกเราเรียกเขาว่านายพิรุธ และทุกคนก็คิดเหมือนกันว่าหมอนี่ต้องเป็นตัวอันตรายแน่ๆ ถึงขนาดช่วยกันวางแผนรับมือหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเลยทีเดียว”
“สวมหมวกปิดบังลูกตา ใส่แว่นกันแดด คาดผ้าปิดปากในยุคสมัยนี้ดูไม่น่าไว้วางใจจริงๆ แหละ ถ้ามายืนอยู่ข้างหลังฉันคงวิ่งเตลิด”
“ส่วนฉันคงกดสัญญาณเตือนภัยพกพาโดยไม่ลังเลเลย”
ขนลุกเนอะ สตาฟพากันหัวเราะครื้นเครง ตรงข้ามกับคิโยอิที่แก้มเริ่มกระตุกเล็กน้อย
...หมอนั่นเป็นผู้ชายของฉันเอง โทษทีนะที่เขาดูน่าขนลุก
คิโยอิอยากจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่กลับพูดไม่ออก เขาได้แต่กัดหลอดกรอดๆ ระบายอารมณ์
ใช่แล้ว ผู้ชายทุเรศชวนขนลุกที่บรรดาสตาฟต้นสังกัดของคิโยอิต่างตั้งสมญานามให้ว่า ‘นายพิรุธ’ คนนี้คือแฟนของคิโยอิเอง ฮิระ คาซึนาริ ทั้งสองรู้จักกันครั้งแรกสมัยเลื่อนชั้นขึ้นมัธยมปลายปีสอง ฮิระเป็นผู้ชายจิตใจอ่อนแออันเกิดจากส่วนผสมระหว่างความมืดมนกับความน่าสมเพช เพียงไม่นานเขาก็ตกอยู่ในสถานะเบ๊ประจำกลุ่ม
ฮิระเป็นทาสรับใช้ที่ดี แม้ถูกปฏิบัติอย่างร้ายกาจ แต่กลับวิ่งโร่ไปซื้อขนมปังหรือไอศกรีมให้คิโยอิด้วยท่าทีปลื้มปริ่มไม่ต่างจากสุนัขแสนซื่อสัตย์เสมอ คิโยอิไม่เคยแสดงความขอบคุณ มิหนำซ้ำยังด่าทอผู้ชายซึ่งทำท่าระริกระรี้ทั้งที่โดนเหยียบย่ำว่า ทุเรศ น่าขยะแขยง อยู่เนืองๆ
ทำไมตนถึงมาเป็นแฟนกับผู้ชายแบบนี้ได้
ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด บอกตามตรงคิโยอิก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน หลังผ่านเส้นทางคดเคี้ยวราวต้องคำสาปอะไรบางอย่าง รู้ตัวอีกทีคิโยอิก็ตกหลุมรักชายผู้นี้เข้าเสียแล้ว ฮิระเป็นเจ้าของจูบแรกและประสบการณ์ครั้งแรกของคิโยอิ ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฮิระยังคงไล่ตามคิโยอิเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปจากสมัยเป็นทาสรับใช้
‘นายเป็นแฟนฉันแล้ว เลิกเสียทีเถอะ’
คิโยอิเคยพูดไปแบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับต่อต้านทั้งที่ปกติจะยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
‘นะ นี่คือความใฝ่ฝันสู่อนาคตของฉัน พะ เพราะฉะนั้น อย่ามาพรากไปเลย’
ชายหนุ่มเอ่ยตะกุกตะกัก พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจ แม้กลายเป็นแฟนกันแล้ว แต่ความทุเรศของฮิระกลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่สิ เหมือนอาการหนักขึ้นทุกวันๆ ด้วยซ้ำ
ฮิระคลั่งไคล้คิโยอิมาตั้งแต่มัธยมปลาย เขาบอกว่าตัวเองคือทหารรับใช้ของราชาคิโยอิบ้างล่ะ บอกว่าต่อให้เหลือเป็นทหารคนสุดท้ายก็จะปกป้องพระราชาตลอดไปบ้างล่ะ บอกว่าตัวเองเป็นกัปตันเป็ดที่ได้รับเกียรติให้ไหลผ่านแม่น้ำสีทองอร่ามบ้างล่ะ คิโยอิฟังแล้วไม่เข้าใจสักนิด ในสมองของฮิระบรรจุอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป และความคิดที่ไหลผ่านวงจรซึ่งพังไปกว่าครึ่ง ย่อมเกินความสามารถของคิโยอิที่จะทำความเข้าใจได้
สุดท้ายคิโยอิทำได้แค่ขอร้องว่าอย่าทำให้ฉันต้องเดือดร้อนแล้วกัน และยอมให้อีกฝ่ายไล่ตามอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าจะถึงระดับถูกตั้งฉายา ทางต้นสังกัดรู้ว่าคิโยอิเป็นเกย์ แต่ต่อให้โดนฉีกปากเขาก็ไม่กล้าบอกออกไปหรอกว่า นั่นน่ะแฟนผมเอง
“แต่นายพิรุธอาจหน้าตาดีก็ได้นะ”
ประธานบริษัทที่เงียบกริบมาโดยตลอดเอ่ยปากขึ้น สตาฟคนอื่นๆ ต่างทำหน้ามุ่ย “เอ๋”
“นายพิรุธแต่งตัวแบบนั้นก็จริง แต่เขาเป็นคนตัวสูง รูปร่างดูสมดุลดี มองไกลๆ แค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นนายพิรุธ สรุปคือมีออร่าที่เป็นเอกลักษณ์ ฉันคิดๆ อยู่ว่าจะลองเข้าไปทักดูสักครั้ง”
“แต่ประธานครับ ถ้าเขาหล่อจริง แล้วทำไมถึงแต่งตัวแบบนั้นล่ะ?”
...ก็เพื่อไม่ให้ความแตกว่าเป็นผู้ชายของฉันไง
“สงสัยคงอายละมั้งที่มาไล่ตามดาราผู้ชาย?”
...คนอย่างหมอนั่นน่ะเหรอจะอายกับเรื่องนั้น
“ถ้าถอดแว่นดำออก ลูกตาอาจเบี้ยวเหมือนปลาตาเดียว”
เสียงฮาดังครืน
“ว่าใครเหมือนปลาตาเดียว”
สายตาเฉียบคมสาดส่อง เสียงหัวเราะพลันเงียบกริบ
“เราไม่ได้หมายถึงคิโยอิคุงสักหน่อย?”
ผู้จัดการเอียงศีรษะประหลาดใจ คิโยอิรีบดึงสติตัวเองกลับมา
“...อ๊ะ อืม งั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
คิโยอิเร่งรีบเดินออกจากสำนักงาน “เขาคงโกรธละมั้งที่พวกเราพูดจาไม่ดีถึงแฟนคลับของเขา” “คิโยอิคุงรักแฟนคลับมากเลยเนอะ” “คาดไม่ถึงเลย” เขาได้ยินเสียงบรรดาสตาฟดังตามหลัง
ขอโทษนะที่ทำตัวคาดไม่ถึง คิโยอิบ่นในใจขณะเดินลงบันได แม้รู้สึกโมโห แต่อีกใจหนึ่งก็อดชื่นชมสายตาเฉียบคมของท่านประธานไม่ได้ ตาถึงสมกับที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานหลายปี
จริงอยู่ว่าฮิระเป็นคนน่าขยะแขยง ถึงไม่แต่งตัวน่าสงสัยปกติก็เป็นคนทุเรศอยู่แล้ว ทั้งที่หน้าตาหล่อใช้ได้ รูปร่างก็ดี ตัวสูงตั้งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แต่กลับไม่รู้จักเอาจุดเด่นของตัวเองมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ฮิระตัดผมที่ร้านบาร์เบอร์แถวบ้านมาตั้งแต่ประถม มักสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตเชยเฉิ่มคู่กับกางเกงชีโน่ เวลาพูดไม่ยอมสบตา ชอบก้มหน้างุดงึมงำอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว ทว่าดวงตาสีหม่นที่เหลือบมองผ่านผมหน้าม้ายาวปรกกลับทรงพลังอย่างน่าประหลาด ความไม่สมดุลนี้ปลุกเร้าให้คนมองอึดอัดใจ หากให้นักวาดการ์ตูนวาดต้นแบบของสตอล์กเกอร์ คงออกมาเป็นฮิระนี่แหละ
แต่คนที่สามารถดูถูกฮิระได้มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้น
เขาไม่มีวันยอมให้คนอื่นมาเหยียดหยามฮิระเป็นอันขาด
คนพวกนั้นไม่รู้อะไร ฮิระแค่ไม่สนใจแฟชั่นเท่านั้น ถ้าจับมาแต่งตัวเสียหน่อย เขาจะกลายร่างเป็นหนุ่มหล่อชนิดนายแบบบางคนยังต้องชิดซ้าย ก่อนหน้านี้คิโยอิเคยพาฮิระไปร่วมปาร์ตี้กินดื่มกับเพื่อนในวงการบันเทิง ฮิระเนื้อหอมในหมู่นางแบบมากขนาดเจ้าตัวยังรู้สึกผวา หากได้เห็นฮิระในเวอร์ชันหนุ่มหล่อ รับรองเลยว่าพวกสตาฟสาวๆ ต้องตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน
...แต่บอกไว้ก่อน เขาเป็นผู้ชายของฉันนะ
หึๆ คิโยอิหัวเราะทางจมูกขณะเร่งฝีเท้าบนทางกลับบ้าน

นานๆ ทีคิโยอิจะกลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกปกป้องฮิระ ทว่าภายในบ้านกลับมืดสนิท ยังไม่กลับมาอีกเหรอ คิโยอิเปิดไฟในห้องนั่งเล่น แต่แล้วก็ต้องถอยหลังกรูดตามสัญชาตญาณ ฮิระกำลังนอนกอดเข่าขดตัวกลมอยู่บนพรมราวกับทารกในครรภ์ “ขอบคุณนะ ลาก่อน” เสียงพึมพำดังวกวนไปมา น่ากลัว นี่มันเรื่องอะไร
“ทำอะไรของนาย”
คิโยอิไม่อยากสัมผัสเลยใช้เท้าเขี่ย ฮิระขดตัวกลมไม่เคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้น
“...ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่มีคิโยอิ”
สงสัยเข้าไปในโลกของฮิระหรืออะไรสักอย่างอีกแล้ว น่าขยะแขยงผิดมนุษย์มนา แต่ช่วยไม่ได้ ก็หมอนี่เป็นคนรักของเขา คิโยอินั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ฮิระ ก่อนจับอีกฝ่ายพลิกตัวนอนหงาย
“นายพูดว่าไม่มีใครนะ?”
คิโยอิก้มมองจากด้านบน ในที่สุดสติของฮิระก็กลับคืนมา
“...อ๊ะ คิ คิโยอิ กลับมาแล้วเหรอ ขอโทษที่ไม่ได้ออกไปรับ”
“นายไม่ต้องออกไปรับหรอก แค่รออยู่บ้านแบบคนปกติก็พอ โคตรทุเรศเลย”
ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน ฮิระเคยดูละครที่คิโยอิตายในเรื่องแล้วเกิดสิ้นหวังกับชีวิตขึ้นมา จึงฝึกซ้อมฆ่าตัวตายตามจนเกือบจากโลกนี้ไปจริงๆ เมื่อเทียบกับความน่าขยะแขยงนี้แล้ว สมญานามนายพิรุธอะไรนั่นฟังดูน่ารักไปเลย
“คราวนี้อะไรอีก มโนถึงงานศพของฉันเหรอ”
ฮิระส่ายศีรษะ จดจ้องคิโยอิเขม็ง
“...คิโยอิกับฉันจะต้องแยกกันอยู่ตอนสิ้นเดือน”
คิโยอิหรี่ตาเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“แยกกันอยู่อะไรของนาย”
“...อาจถึงขั้นหย่า”
“หย่า?”
ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ หย่า หย่า หย่า...? หลังทวนคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ในที่สุดคิโยอิก็เริ่มปะติดปะต่อสถานการณ์ได้ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้หมอนี่บอกเลิกฉันงั้นเหรอ วินาทีที่เข้าใจความหมาย อารมณ์เดือดดาลพลันพลุ่งพล่าน ทำไมฮิระต้องมาบอกเลิกตนด้วย
“พูดบ้าอะไรของนาย!”
คำพูดหลุดออกจากปากก่อนสมองจะทันได้คิด
“นายตัดสินใจเอาเองโดยไม่ได้ถามฉันสักคำ นายไม่พอใจอะไรฉัน”
“ฉะ ฉันจะไม่พอใจคิโยอิได้ยังไง”
“งั้นทำไมล่ะ บอกเหตุผลมา”
“เพราะเป็นสิ่งที่นาโฮะจังตัดสินใจ”
“ผู้หญิงเหรอ!”
คิโยอิกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย เหวอ ฮิระทำหน้าหวาดผวา
“ฉะ ฉันขอโทษ เข้าใจแล้ว ฉันจะไปขอร้องนาโฮะจังไม่ให้แยกกันอยู่กับสามี”
“สามี?”
“นาโฮะจังโดนสามีนอกใจมาตลอด เลยชักทนไม่ไหวจึงขอแยกกันอยู่ ตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจากับสามี ไม่รู้ว่าจะหย่ากันหรือเปล่า แต่เดือนหน้านาโฮะจังจะพาลูกกลับมาอยู่ที่บ้านเกิดก่อน”
คิโยอิขมวดคิ้ว
“...นาโฮะนี่ใคร?”
“ลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เป็นพี่สาวที่ย้ายออกไปจากบ้านนี้หลังแต่งงาน”
ในที่สุดคิโยอิก็เข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง ทำเอาถึงกับอ่อนแรง
บ้านที่ฮิระกับคิโยอิอาศัยอยู่ด้วยกันตั้งอยู่บนทำเลทอง นั่งรถไฟไม่กี่สถานีก็ถึงชิบุยะแล้ว ภายในมีสวนกว้างขวาง มีห้องเปียโนเก็บเสียงสมบูรณ์แบบซึ่งลูกสาวเจ้าของบ้านเคยใช้เป็นประจำ ทำให้คิโยอิสามารถท่องบทละครยามดึกได้โดยไร้ปัญหา คุณลุงกับคุณป้าเจ้าของบ้านฝากบ้านให้หลานชายอย่างฮิระช่วยดูแลเนื่องจากต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ คิโยอิจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายใต้ชายคาเดียวกับฮิระ
แต่เนื่องจากลูกสาวคนโตมีปัญหากับสามีและกำลังจะกลับบ้าน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงต้องย้ายออกไปจากที่นี่ สรุปง่ายๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เล่นเอาประสาทล้า คิโยอิถอนหายใจ
“พอคิดว่าสิ้นเดือนนี้จะต้องแยกกันอยู่กับคิโยอิ ฉันก็หมดแรงจะมีชีวิตต่อ...”
เศร้ามากเลยนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่ในห้องนั่งเล่นนี่เอง
“ฉันเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่พวกเราไม่เห็นจำเป็นต้องแยกกันเลย”
“เอ๋?”
“หาห้องเช่าใหม่ก็สิ้นเรื่อง”
ฮิระกะพริบตาปริบๆ
“หะ ห้องเช่าใหม่ หรือว่า...”
“ที่อยู่ใหม่ของนายกับฉันไง”
ฮิระเบิกตาโต ดีใจใช่ไหมล่ะ เอาเลย ดีใจให้เต็มที่ หึๆ คิโยอิเชิดคางอย่างภาคภูมิ
“พูดจริงเหรอ?”
ทว่าฮิระกลับทำหน้าไม่อยากเชื่อ แถมน้ำเสียงที่ถามกลับยังแฝงอารมณ์ตำหนิประมาณว่า พูดจาไร้สาระ ขนาดตัวเองยังไม่คิดอะไรแบบนั้นเลย อ้าว ทำไมล่ะ เมื่อกี้เห็นทำท่าจะเป็นจะตายไม่อยากให้ชีวิตคู่ต้องจบสิ้นลง อุตส่าห์เสนอทางออกหอมหวานให้แท้ๆ ต้องขอบคุณสิถึงจะถูก แต่ทำไมกลับแสดงปฏิกิริยาอย่างนี้
“คะ คิโยอิ คิดให้ดีก่อนดีกว่า ถ้าเช่าห้องใหม่หมายความว่าคิโยอิต้องย้ายออกจากห้องเดี่ยวที่เช่าอยู่ตอนนี้นะ แล้วถ้าเวลาไหนคิโยอิอยากอยู่คนเดียวขึ้นมาจะทำอย่างไร แน่นอนว่าถึงตอนนั้นฉันออกไปอยู่ข้างนอกให้ก็ได้ แต่ปัญหาด้านความรู้สึก...”
ฮิระก้มหน้างุด พ่นความคิดแง่ลบออกมาไม่หยุดหย่อน
“นายไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ?”
วินาทีที่ถามออกไป คิโยอิพลันนึกเจ็บใจตัวเอง โธ่เว้ย แบบนี้เหมือนกับว่าตนอยากอยู่กับฮิระมากกว่างั้นสิ
ฮิระเงยหน้าขึ้นพรวดราวกับสปริง
“ยะ อยากอยู่ อยากอยู่ครับ ฉันดีใจจนไม่อยากเชื่อ”
ในที่สุดก็ได้รับคำตอบที่คาดหวัง แต่ช้าเกินไปจนคิโยอิแทบไม่รู้สึกยินดี
“งั้นเลิกอ้างโน่นอ้างนี่ไร้สาระซะที”
“ขอโทษ เอ่อ อ๊ะ ถ้าจะเช่าห้องเอาย่านไหนดี เอาย่านที่คิโยอิสะดวกแล้วกัน ส่วนเรื่องค่าเช่ากับค่าใช้จ่ายต่างๆ เดี๋ยวฉันจะหางานพิเศษทำเอง ฉันจะไม่ทำให้คิโยอิต้องเดือดร้อน”




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แฟนคลับตัวยงของคิโยอินักแสดงหนุ่มดาวรุ่ง เป็นชายสวมหมวกปิดบังลูกตา ใส่แว่นกันแดด คาดผ้าปิดปาก ฉายา ‘นายพิรุธ’ ...แต่ตัวจริงของเขาคือฮิระ คนรักที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับคิโยอินั่นแหละ ทั้งที่ฮิระถวายความรักให้คิโยอิจนน่าขนลุก แต่กลับพูดว่า “ฉันจะไม่มีวันทำอะไรโง่ๆ อย่างการดึงคิโยอิลงมาอยู่ระดับเดียวกับตัวเองหรอก” หรือเวลาคิโยอิออดอ้อน ฮิระก็มองไม่ออก ทำไมตนถึงชอบผู้ชายพรรค์นี้ได้นะ....? ตอนนั้นเองช่างภาพแถวหน้าของวงการก็เลือกฮิระไปเป็นผู้ช่วย!! วันที่ฮิระเริ่มให้ความสำคัญกับงานมากกว่าคิโยอิมาถึงเสียแล้ว!?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”