New Release เหลียนฮวา : แม่นางน้อยร้อยพันพิษ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : แม่นางน้อยร้อยพันพิษ

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตัวเอง


เรือลำหนึ่งแล่นอยู่ใจกลางแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำถูกแยกออกเป็นสายโดยหัวเรือ คลื่นสีขาวขนาดใหญ่สาดกระเซ็นขึ้นมาเป็นสาย ระหว่างระลอกคลื่นที่พลิกตลบไปมาส่องแสงระยิบระยับปานสีรุ้งของเกล็ดปลาทำให้แม่น้ำที่นิ่งสงบเกิดแสงแพรวพราวลานตาไปหมด
ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ตั้งตรงอยู่กลางท้องฟ้า ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ทั้งมีเสียงพูดคุยเบาๆ ของหญิงสาวดังมาจากบนเรือ
นั่นเป็นเรือโดยสารธรรมดาทั่วไปลำหนึ่ง เมื่อมองจากภายนอกนั้นไม่มีความพิเศษใดๆ ไว้สำหรับบรรทุกของและบรรทุกคน ทว่าใช้บรรทุกคนเป็นส่วนมาก ห้องโดยสารที่ธรรมดาสามารถบรรจุผู้โดยสารล่องข้ามแม่น้ำไปกลับได้ร้อยกว่าคน ไม่มีผู้ใดก้าวก่ายและก็จุ้นจ้านมาสอบถามว่าบนเรือบรรทุกผู้โดยสารประเภทใดเช่นกัน
ลมพัดลอยล่อง ผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สตรีผู้นั้นอยู่ระหว่างท้องฟ้ากับผืนน้ำ
“คุณ...คุณหนู เหตุใดท่านถึงไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อยเลยเจ้าคะ? บ่าว...บ่าวจะไม่ไหว...อ่อก...อ่อก...”
“ข้าคุณหนูของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์พิเศษ นั่งรถนั่งเรือล้วนแคล้วคลาดปลอดภัย” เห็นใบหน้านางขาวซีดริมฝีปากม่วงคล้ำก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้เรื่องผู้หนึ่ง
สตรีตัวน้อยกำลังพิงประตูห้องโดยสารเรือเพื่ออาศัยแสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างอ่านหนังสือ ในมือนางมีตำราแพทย์เหลืองซีดเล่มหนึ่ง อายุของนางประมาณสิบสองปี หน้าตางดงามหมดจด ผิวพรรณขาวผ่อง นัยน์ตาสีดำแวววาวเหมือนกับหินตาแมวในสมัยโบราณ แลดูมีชีวิตชีวาคล้ายกับคลื่นน้ำกระเพื่อม
ที่อยู่ด้านหน้านางคือสาวใช้สี่เอ๋อร์ซึ่งกำลังปิดปากอยากอาเจียน มีอายุมากกว่าคุณหนูหนึ่งปี รูปร่างหน้าตาพอดูได้ มีกระพองามเล็กน้อย ใต้หางตามีไฝเจ้าน้ำตาที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบอยู่หนึ่งเม็ด
“คุณหนู...” สี่เอ๋อร์ที่อาเจียนจนไร้เรี่ยวแรงเอ่ยเรียกอย่างอ่อนแรง นางที่กินสิ่งใดก็อาเจียนไม่สามารถโต้แย้งความหน้าไม่อายที่โอ้อวดตัวเองของคุณหนูได้
“เชอะๆๆ อย่าเอาใบหน้าป่วยใกล้ตายมามองข้า ข้ากินอิ่มนอนหลับดี ไม่อยากหมดอารมณ์” หลีอวี้ตี๋ที่มีดวงตารูปผลซิ่ง ใช้หนังสือดันสาวใช้ที่หน้าเบ้ออกไปให้พ้นจากสายตา
“คุณหนู บ่าวทน ทนไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ...คุณหนูทำแบบนี้กับบะ...บ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ!” ฮือๆ นางอาเจียนน้ำย่อยออกมาแล้ว
หลีอวี้ตี๋เปลี่ยนตำราแพทย์ในมือเป็นบันทึกการเดินทางอย่างไม่ใส่ใจแล้วอ่านอย่างเพลิดเพลิน “เจ้าไม่รู้ว่าข้าพบเห็นความตายแล้วไม่ช่วยและเลือดเย็นไร้น้ำใจมาตลอดหรือ?”
“คุณหนู...” สี่เอ๋อร์อยากร้องไห้ทว่าร้องไม่ออก
คุณหนูของนางแล้งน้ำใจจริงๆ นอกจากคนใกล้ชิดที่คุณหนูใส่ใจไม่กี่คนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูที่ร่ำเรียนวิชาแพทย์อันล้ำเลิศไม่เคยแสดงฝีมือง่ายๆ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าคุณหนูได้รับการถ่ายทอดความรู้มาจากหุบเขาราชันสมุนไพร อันว่าสีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม คุณหนูมีวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมและลึกซึ้งเก่งกาจกว่าอาจารย์เสียอีก
ทว่าที่คุณหนูกระตือรือร้นที่สุดไม่ใช่วิชาแพทย์ แต่คือพิษ เพียงแต่ก่อนที่จะปรุงยาพิษต้องเรียนแก้พิษให้เป็น ไม่อย่างนั้นคงถูกพิษของตัวเองตายเสียก่อน ด้วยเหตุนี้คุณหนูจึงจำใจแบกตำราสมุนไพรและตำราแพทย์เกือบห้าร้อยเล่ม ตกลงใจไปกราบเจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาราชันสมุนไพรเป็นอาจารย์อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ทั้งนี้ก็เพื่อร่ำเรียนวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมและลึกซึ้ง
ผู้อื่นว่ากันว่าสอนศิษย์จนเป็น อาจารย์จะอดตาย ทว่าหลีอวี้ตี๋กลับตรงกันข้าม นางทำให้อาจารย์จะโมโหตาย
สิ่งที่อาจารย์บอกให้นางทำ นางทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ดั่งภิกษุชรากำลังสวดพระสูตร นางบำเพ็ญตนไม่เพียงพอยากที่จะบรรลุ นั่งสมาธิเข้าฌานเองจะดีกว่า!
แม้ว่านางจะยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่วิชาแพทย์กลับเหนือกว่าเจ้าหุบเขาที่ศึกษาค้นคว้ามาหลายสิบปี ครั้งหนึ่งเจ้าหุบเขาต้องการจะส่งต่อตำแหน่งให้นาง เพื่อให้นางสืบทอดหุบเขาราชันสมุนไพร แต่นางตอบกลับด้วยประโยคเย็นชาประโยคหนึ่งว่า... ‘รอให้อาจารย์ไร้ลูกหลานสืบสกุลแล้วค่อยว่ากัน’
ตอนนั้นทำเอาตงฟางเลี่ยงผู้เป็นเจ้าหุบเขาโมโหยิ่งนัก ร้องตะโกนว่าศิษย์ไม่รักดีเสียสามครั้ง
ในช่วงแรกตงฟางเลี่ยงหลงใหลอยู่กับวิชาแพทย์ก็เลยเมินเฉยต่อภรรยา เขาแต่งงานมาสิบกว่าปีเพิ่งจะมีตงฟางเหริ่นบุตรชายตัวน้อย ตอนที่ฮูหยินของเจ้าหุบเขาให้กำเนิดบุตรก็อายุสามสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ดังนั้นหลังจากครรภ์นี้คลอดออกมาร่างกายก็เจ็บป่วยไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก
ตงฟางเหริ่นที่อายุยังน้อยจึงกลายเป็นเจ้าหุบเขาน้อยอย่างถูกต้องตามครรลอง
แต่ว่าเจ้าหุบเขาตงฟางเลี่ยงยังคงหวังอยู่เต็มหัวใจว่า ‘ศิษย์ไม่รักดี’ จะเป็นผู้สืบทอด ทว่าขอร้องจนปากเปียกปากแฉะกระทั่งเสนอเงื่อนไขที่ผิดต่อตัวเองกลับยังคงไม่ได้รับการตอบรับจากลูกศิษย์ สุดท้ายเลยขอในสิ่งที่รองลงมา ขอแค่ให้หลีอวี้ตี๋ยื่นมือช่วยเหลือยามที่หุบเขาราชันสมุนไพรมีโรคแปลกประหลาดรักษายาก ไม่ว่าจะสามารถรักษาได้หรือไม่ เพียงแค่นางรักษาอย่างสุดความสามารถก็พอ
ต้องบอกว่าหลีอวี้ตี๋มีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์พอสมควร นางสามารถอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็วและมีความจำเป็นเลิศ ทุกสิ่งอย่างที่เคยพบเห็นมาแล้วล้วนไม่มีทางลืม ยิ่งไปกว่านั้นพอเริ่มเรียนนางก็สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ฝึกฝนไม่กี่ครั้งก็คุ้นเคยดั่งแพทย์อาวุโสที่ออกรักษามานานปี
สำหรับตรงจุดนี้ตัวของหลีอวี้ตี๋เองก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นางคือผู้ที่ไม่เคยร่ำเรียนวิชาแพทย์มาก่อน เพียงแต่รู้และเข้าใจบ้างเล็กน้อย เคยอ่านตำรามาเพียงไม่กี่เล่ม ในความเป็นจริงถือว่าเป็นมือใหม่อย่างแท้จริง แรกเริ่มตอนที่ตงฟางเลี่ยงจะรับนางเป็นศิษย์นางยังคงต่อต้านขัดขืนยิ่งนัก นางรังเกียจว่าหลังจากนี้ทั้งตัวจะเต็มไปด้วยกลิ่นยา แต่ต่อมาเมื่อมารดาของนางบาดเจ็บเพราะเหตุผลบางอย่างพร้อมกับที่หุบเขาราชันสมุนไพรมีตัวยาสมุนไพรที่มารดาของนางต้องการ รวมทั้งเพื่อรักษามารดาของนาง ดังนั้นนางจึงละความลำบากใจและความรังเกียจที่มีอยู่เดิมทิ้งแล้วกราบเขาเป็นอาจารย์ด้วยใจจริง
หุบเขาราชันสมุนไพรจึงได้บุคคลล้ำค่ามาไว้ในครอบครองด้วยประการฉะนี้ เพราะนางคือศิษย์แพทย์อัจฉริยะที่ร้อยปีจะพบเห็นได้สักคน นางใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็เรียนรู้วิชาแพทย์ของตงฟางเลี่ยงได้หมดแล้ว ทั้งยังสามารถรักษาโรคที่ตงฟางเลี่ยงไม่สามารถรักษาได้ ทำเอาเขายินดีจนหนวดกระดก เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมว่า...
‘มีศิษย์เช่นนี้ ข้าก็ตายตาหลับแล้ว’
เพียงแต่หลีอวี้ตี๋ไม่เคยออกตรวจรักษาง่ายๆ มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งและก็เป็นเพียงแค่การสั่งยาเท่านั้น ทั้งยังใช้โสมพันปีที่หายากของหุบเขาราชันสมุนไพรและหลินจือร้อยปีมาเป็นค่ารักษา พอหลายครั้งเข้าสมุนไพรชั้นดีในหุบเขาราชันสมุนไพรจำนวนไม่น้อยก็ถูกนางเก็บไปจนเกลี้ยง ทำเอาตงฟางเลี่ยงปวดใจจนไม่กล้าเรียกให้นางตรวจรักษาอีก เพราะเกรงว่าสมุนไพรหายากจะหมดไป
หากต้องจ่ายค่าตอบเเทนในการตรวจรักษาสูงอีกหลายครั้งเข้า หุบเขาราชันสมุนไพรก็คงเหลือแต่ชื่อ มีหุบเขาแต่ไร้ซึ่งสมุนไพร แทบจะเหลือแค่ต้นอ่อนและผืนดินโล้นๆ เท่านั้น
“หยุดร้องได้แล้ว เสียงบาดหูเสียจริง” ผู้ที่ไม่รู้เรื่องคงจะคิดว่ามีการฆ่าหมูอยู่ ทั่วทั้งตัวของสี่เอ๋อร์ผอมแห้งไม่มีเนื้อ หากต้องฆ่าจริงๆ ก็คงตุ๋นได้ไม่ถึงหนึ่งหม้อ
เมื่อคำพูดของหลีอวี้ตี๋ขัดขบวนการทางความคิดอันไร้ขอบเขตของสี่เอ๋อร์ ความรู้สึกพะอืดพะอมก็พลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนู บ่าวจะอาเจียนแล้ว...” นางทนไม่ไหว! กลิ่นเปรี้ยวที่เหม็นมากตีขึ้นมาเรื่อยๆ และมาคาอยู่ที่ลำคอแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นหลีอวี้ตี๋ก็ขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ “ไป ตลับไม้ชิงชันเล็กๆ ในหีบสัมภาระ ขวดสีม่วงลายดอก กินพร้อมกับน้ำหนึ่งเม็ด”
สิ้นเปลืองชะมัด หากขายให้กับคนมีเงินได้ตั้งหนึ่งตำลึง
“เจ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ!” สี่เอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือยาแก้เมาเรือที่หลีอวี้ตี๋ปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ ก่อนขึ้นเรือนางปรุงขึ้นมาลวกๆ แค่สามสิบเม็ด ให้น้องชายทั้งสองและท่านแม่กินคนละเม็ด ลุงตง ป้าตง และตงจื่อทั้งครอบครัวอีกคนละหนึ่งเม็ดเช่นกัน เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดตาลายเวลานั่งเรือ ซึ่งได้ผลดียิ่งนัก
ตอนนั้นสี่เอ๋อร์ถือว่าร่างกายแข็งแรงดีไม่ต้องกินยา คิดเอาเองว่าแข็งแรงและร่าเริงดีแล้วเหตุใดต้องกินยา ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษเสียสามส่วน เอาไว้เมื่อมีเหตุจำเป็นแล้วค่อยกิน
สองวันแรกสี่เอ๋อร์เดินเที่ยวเล่นไปทั่วเรือด้วยพละกำลังเต็มเปี่ยม ทั้งยังสามารถซื้อปลาเกล็ดเงินหัวโตกับคนเรือมาตุ๋นนำแกงให้เจ้านายดื่ม แต่พอถึงวันที่สามก็ไม่ไหวเสียแล้ว นางวิงเวียนยืนไม่มั่นคง เสียงที่ดังเป็นพิเศษก็กลายเป็นเสียงแมวร้อง ดวงตาเล็กเรียวยาวมีเส้นเลือดปรากฏขึ้น
โชคร้ายยิ่งนัก นางเมาเรือเข้าแล้ว
ทว่าผู้คนบนเรือที่เมาเรือไม่ได้มีแค่สี่เอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น ยังมีผู้โดยสารที่มีอันจะกินอีกจำนวนไม่น้อย อย่างไรเสียก็ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ หลีอวี้ตี๋เลยขายให้แก่ผู้ที่เมาเรือในราคาสูงถึงเม็ดละหนึ่งตำลึง
คราแรกที่นางบอกราคาขายของยานั้นไม่มีผู้ใดซื้อมัน แต่ตอนที่เด็กน้อยเที่ยวก่อกวนไปทั่วและนางคิดที่จะเก็บยา ฮูหยินผู้หนึ่งที่วิงเวียนจนทนไม่ไหวลองกินอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และพอได้ลองก็หายจากอาการวิงเวียนเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อเห็นฮูหยินที่เดิมทีอาเจียนจนสีหน้าม่วงเขียว พอหลังจากกินยาเข้าไปก็ไม่อาเจียนแล้ว สีหน้าสดชื่น ใบหน้ากลับมามีสีเลือด ทั้งยังกินข้าวเพิ่มขึ้นอีกชาม คนอื่นๆ จึงรีบควักเงินมาแย่งกันซื้อ
อาการเมาเรือไม่ใช่โรค วิงเวียนขึ้นมาทีแทบแย่! มียาวิเศษแล้วยังไม่รีบซื้อกันอีก!
เม็ดยาที่เหลืออยู่ถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ได้มายี่สิบกว่าตำลึง
เมื่อเห็นว่ามีโอกาสทางการค้าสูง หลีอวี้ตี๋ที่ใช้สมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็วก็ให้ลุงตงลงเรือไปซื้อสมุนไพรตอนที่เรือเทียบท่าถัดไป นางใช้เวลาหนึ่งคืนเพื่อปรุงเม็ดยาขึ้นมาอีกร้อยกว่าเม็ด มีหนทางหาเงินแล้วไม่เอานับเป็นคนโง่ ดังนั้นภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนางก็มีรายได้หลายร้อยตำลึงทีเดียว
“ท่านพี่ ท่านอย่าขี้งกนักเลย คนกันเองท่านคิดเล็กคิดน้อยสิ่งใดกัน?”
อีกด้านหนึ่งของห้องโดยสารคือเด็กหนุ่มชุดขาวรูปงามผู้หนึ่ง เสื้อผ้าอาภรณ์ธรรมดาแต่กลับมีกลิ่นอายของความเย็นสบายสดชื่น
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงคือ หน้าตาของเขาและหลีอวี้ตี๋เหมือนกันราวกับถอดแบบกันมา เว้นก็แต่รูปร่างของเขาสูงกว่าเล็กน้อย สีหน้าเย็นชากว่า หน้าตามีความหล่อเหลาสง่างามมากกว่าความนุ่มนวลงดงาม แม้นัยน์ตาจะสีดำ แต่ไม่ได้ปราดเปรียวและมีชีวิตชีวาดังผู้ที่คิดวางแผนต่อผู้คนตลอดเวลา
“หลีอวี้เซียว ผู้ใดเป็นคนกันเองกับเจ้า นี่ข้ากำลังสอนสี่เอ๋อร์อยู่ คำที่คุณหนูพูดล้วนถูกต้อง คุณหนูไม่มีทางผิด คุณหนูคือเทพเซียน เชื่อฟังคำของคุณหนูถึงจะเป็นบ่าวที่ดี จุดจบของการไม่เชื่อฟังก็คือการหาเรื่องใส่ตัวเอง” นางไม่สามารถไปสนใจสาวใช้นี่ได้หรอก สถานที่ที่พวกนางจะไปคือที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย หากทำสิ่งใดไม่จริงจังและระมัดระวัง ผู้ใดก็ไม่สามารถช่วยสาวใช้นี่ได้
หลีอวี้เซียวที่แสร้งมีประสบการณ์โชกโชนขมวดคิ้วมุ่น “ท่านพี่ ท่านทำให้ผู้อื่นลำบากใจเกินไปแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ไหนกันที่ท่านจะไม่มีทางผิด มนุษย์เราไม่ใช่ผู้วิเศษ มีความผิดบ้างครั้งสองครั้งก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมาก”
ทั้งสองเป็นฝาแฝดชายหญิง แต่นิสัยใจคอสวนทางกัน คนหนึ่งไร้น้ำใจโดยกำเนิด ไม่ให้ความรู้สึกเวทนาสงสารแก่ผู้อื่นง่ายๆ คิดว่าคนเราต่างก็มีชีวิตของตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองย่อมมีความสุขกว่าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น คนหนึ่งพร่ำบ่นชนชั้นปกครองและโมโหที่ผู้คนต้องลำบากเพราะการปกครองล้มเหลว เห็นผู้คนตกทุกข์ได้ยากก็มักจะทนไม่ไหวต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ทว่าติดตรงที่ความดุดันและโหดร้ายของพี่สาวคนโต เพียงแค่หลีอวี้ตี๋ส่งสายตาไป หลีอวี้เซียวที่มีจิตใจคิดช่วยเหลือผู้คนก็ต้องคิดแล้วคิดอีก หากยังไม่ได้รับอนุญาตจากพี่สาวคนโตเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเด็ดขาด เพราะพี่สาวคนโตคือผู้ที่ ‘จิ.ิต’ อย่างแท้จริง หากเขากล้าขัดคำพูดของนาง นางก็จะฝังเข็มเข้าที่ร่างกายของเขา ทำให้ขยับไม่ได้ไปหนึ่งวัน ดังนั้นก่อนที่เขาจะช่วยเหลือผู้คนจึงจำเป็นต้องพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน
“เป็นสาวใช้ไม่จำเป็นต้องเฉลียวฉลาดและคล่องแคล่วปราดเปรียวเกินผู้ใด ข้าต้องการแค่สิ่งเดียวเท่านั้น...ต้องมีใจซื่อสัตย์ภักดี หากผู้ที่เป็นบ่าวแม้แต่คำของเจ้านายยังไม่เชื่อฟัง ทั้งยังอวดตนว่าฉลาด ข้าจะต้องการนางไปทำไม?” หลีอวี้ตี๋ถือโอกาสสั่งสอนเสียเลย
วิชาแพทย์ของนางยอดเยี่ยมทั้งยังมีสติปัญญาและพรสวรรค์สูงส่ง แน่นอนว่าแค่ปราดเดียวนางก็สามารถมองออกถึงสภาพร่างกายของทุกคน ดังนั้นพอขึ้นเรือถึงได้แบ่งยาให้ทุกคนคนละหนึ่งเม็ด ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
ดังนั้นสี่เอ๋อร์ที่ยืนกรานว่าไม่กินย่อมได้รับความลำบากโดยธรรมชาติ หลีอวี้ตี๋มองดูนางที่พละกำลังถดถอยลงทุกๆ วันและไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางได้รับความทรมานอย่างเต็มที่จากการก้าวเดินไปสามก้าวก็อาเจียนออกมาครั้งหนึ่ง
นี่คือการลงโทษนางที่ไม่เชื่อฟังคำของเจ้านาย สี่เอ๋อร์มาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ ไม่ใช่ให้เจ้านายปรนนิบัติรับใช้นาง ผู้ใดคือนาย ผู้ใดคือบ่าว ควรจะรู้ถึงความสูงศักดิ์และต่ำต้อย ไม่อาจผ่อนปรนให้นางง่ายๆ แค่เพราะนางเคยกล้ำกลืนความลำบากมาพร้อมกับเจ้านาย
“ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเรากลับเมืองหลวงจะต้องพบเจอกับสิ่งใดเจ้าสามารถคาดการณ์ได้หรือ อย่าลืมว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกเราถึงถูกบีบให้ออกจากเมืองหลวงไปเก้าปี” ปีนั้นนางเพิ่งจะอายุสามขวบเอง
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้หลีอวี้ตี๋ก็นิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด
เก้าปีที่ยาวนาน ไม่อาจทำให้ผู้คนลืมเลือนได้
พวกเขามีท่านย่าที่ไม่ยุติธรรมอยู่ผู้หนึ่ง จิตใจลำเอียงเข้าข้างคนนอก
ปีนั้นตอนที่ท่านพ่อและท่านแม่พบกันครั้งแรกก็เกิดความรู้สึกรักใคร่กัน ท่านพ่อยืนกรานที่จะแต่งท่านแม่ที่เป็นบุตรสาวของขุนนางฝ่ายบู๊เป็นภรรยา ดังนั้นจึงเกิดปากเสียงครั้งใหญ่กับท่านย่าที่คิดจะให้หลานสาวจากบ้านเดิมนางมาเป็นสะใภ้
แม่ลูกทั้งสองต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน สุดท้ายท่านย่ายอมให้ท่านพ่อแต่งงานกับท่านแม่ ทว่าแค่คิดก็รู้แล้วว่าระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่ค่อยสนิทสนมกลมเกลียวกัน หลังจากที่ท่านแม่แต่งเข้าก็เกิดความขัดแย้งอยู่เนืองๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สงบสุขภายในบ้าน หลีจ้งหวาที่เพิ่งจะสอบเข้ารับราชการชั้นสูงสุดผ่านจึงออกไปเป็นขุนนางท้องที่ โดยใช้สถานะทั่นฮวา พาภรรยาเดินทางไปรับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ประจำอำเภอในอำเภอเล็กๆ ที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้
นี่คือการเนรคุณโดยสิ้นเชิง ฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นแก่ตัวเองและบีบเค้นให้ผู้อื่นทำตามความต้องการมาตลอดจึงรู้สึกขุ่นเคือง ยิ่งบุตรชายดื้อรั้นนางยิ่งทำตัวเป็นศัตรูกับเขา โดยใช้หลักประเพณี ‘ผู้ใหญ่ให้ของห้ามปฏิเสธ’ มาเป็นเหตุผลอยู่บ่อยครั้ง ระยะทางไกลพันลี้นางก็ส่ง ‘สตรี’ มาให้บุตรชาย ทั้งยังใช้คำพูดอย่างเด็ดขาดว่าต้องการให้เขารับนางเป็นอนุ
ไม่ว่าจะส่งปัญหายุ่งยากเพียงใดมาให้ พวกเขาก็มีวิธีรับมือกับมัน หลีจ้งหวาสามีภรรยาที่มีความรักใคร่ลึกซึ้งแสร้งทำเป็นรับอนุ ทว่าแค่เดี๋ยวเดียวก็ส่งมอบต่อให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพรักและได้รับการต้อนรับอย่างดีในศาลาว่าการอำเภอ
คู่สามีภรรยาแต่งงานกันมาสามปีถึงค่อยมีบุตรฝาแฝดชายหญิง แต่อย่างไรก็ตามการดำรงตำแหน่งครั้งหนึ่งมีระยะเวลาสามปี เมื่อครบกำหนดวาระทั้งครอบครัวก็กลับมารายงานตัวที่เมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งขุนนางอื่นในเมืองหลวง
พวกเขาคิดว่าผ่านไปหลายปีแล้ว ทั้งยังมีหลานชายหลานสาวฝาแฝดที่น่ารักคู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้คงจะหายโกรธแล้วกระมัง?
ผู้ใดจะรู้เมื่อแผนครั้งแรกไม่สำเร็จฮูหยินผู้เฒ่าก็วางแผนครั้งต่อไป เมื่อนางเห็นบุตรชายกลับมาเมืองหลวง แผนการจึงยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม เพื่อให้ความรักของหลานสาวจากบ้านเดิมของนางที่มีต่อญาติผู้พี่สมความปรารถนา คาดไม่ถึงว่านางจะวางแผนต่อบุตรชายของตัวเอง
วิธีการที่ง่ายและโหดร้ายก็คือ...วางยา ยาปลุกกำหนัดที่ต้องมีความสัมพันธ์กันถึงจะสามารถแก้พิษได้
คืนนั้นหลีอวี้ตี๋ หลีอวี้เซียวที่ยังไม่ครบหนึ่งขวบดี และจางม่านเยว่ผู้เป็นมารดาถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งไปวัดนอกเมืองโดยอ้างว่าให้ไปสวดขอพรให้ผู้อาวุโส ไม่ได้อยู่ในจวน จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็นำหลีจ้งหวาและฉินหว่านเอ๋อร์หลานสาวจากบ้านเดิมของนางขังไว้ในห้องเดียวกัน ทั้งยังลงกลอนจากด้านนอกอีกด้วย
เพราะยาปลุกกำหนัดทำให้จิตใจของผู้คนว้าวุ่น หลีจ้งหวาที่หลุดการควบคุมเกิดความต้องการต่อร่างกายของญาติผู้น้อง หลังจากจางม่านเยว่พาบุตรชายและบุตรสาวกลับจวนแล้วรู้เรื่องนี้ นางเลยเสนอให้หย่าด้วยหัวใจที่แตกสลาย จวนตระกูลหลีที่ไร้ซึ่งยางอายเช่นนี้นางอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!
ยามนั้นบ้านเดิมของจางม่านเยว่ยังคงได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
ทว่าหลีจ้งหวาไม่ยอมหย่าและให้คนไล่ญาติผู้น้องออกไปจากจวน ทั้งยังพูดจาไม่ดีกับฮูหยินผู้เฒ่า มารดาและบุตรไม่ใช่มารดาและบุตร กลับกลายมาเป็นศัตรูกัน
ทว่าเรื่องราวต่างๆ บนโลกยากคาดเดา ไม่นานเท่าไรก็มีข่าวลือออกมาว่าฉินหว่านเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่าที่มีใจลำเอียงไม่สนใจการคัดค้านของบุตรชาย พาหลานสาวจากบ้านเดิมของนางเข้าจวนจนได้ ทั้งยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ประกาศให้ฉินหว่านเอ๋อร์เป็นผิงชี มีศักดิ์ฐานะเท่าเทียมกันกับภรรยาเอกของบุตรชาย
ทว่าหลีจ้งหวาออกหน้าปฏิเสธ ทั้งยังเสนอว่าผู้ที่ไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการคืออนุ อีกทั้งไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งงานไม่อาจเป็นภรรยาได้ เข้าจวนมาในฐานะอนุผู้ต่ำต้อยได้เท่านั้น นี่เป็นเพียงข้อเสนอเดียวที่เขายอมอ่อนข้อให้
ฮูหยินผู้เฒ่าเลยทำได้แค่ประนีประนอมเท่านั้น แต่นางคิดว่าหลังหลานสาวจากบ้านเดิมของนางเข้าจวนมาแล้วก็จะสามารถแบ่งปันความเอ็นดูมาได้ ภายใต้ความช่วยเหลือของนางก็จะสามารถแทนที่จางม่านเยว่และยึดตำแหน่งภรรยาเอกได้ในไม่ช้า วันที่นางจะไล่จางม่านเยว่ออกจากตระกูลก็จะมาถึงในอีกไม่นาน
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางคิดคำนวณถึงผลประโยชน์ให้ตัวเองเร็วเกินไป บุตรชายไม่แวะเวียนไปที่ห้องของหลานสาวโดยสิ้นเชิง แม้แต่ชายตามองก็ยังไม่มองด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่ในจวน ปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรม แม้กระทั่งฉินหว่านเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาวก็ไม่ถามไม่ใส่ใจ พวกนางสองแม่ลูกกลายเป็นสิ่งของโดยสมบูรณ์
แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าและฉินหว่านเอ๋อร์ย่อมไม่ยอม! สิ่งที่พวกนางต้องการคือดึงใจของบุตรชายและสามีกลับมา จะปล่อยให้เขาไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร แต่ว่าเจ้าตัวเขาไม่ยินยอมจะบีบบังคับได้หรือ?
ดังนั้นทั้งสองจึงเกลียดชังจางม่านเยว่และบุตรทั้งสองของนางเป็นที่สุด
“ท่านย่าไม่ชอบพวกเราและก็เกลียดชังท่านแม่ ทั้งยังมีหว่านอี๋เหนียง ที่ความคิดลึกซึ้งแยบยลจ้องจะทำร้ายพวกเราอีกคน เจ้าคิดว่าหลังจากพวกเรากลับจวนไปแล้วจะสามารถอยู่อย่างสงบราบรื่นได้จริงๆ หรือ” หลีอวี้ตี๋เห็นน้องชายไม่เอ่ยคำใดก็เลยเอ่ยสำทับอีกหนึ่งประโยค
เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา ประสบการณ์ยังอ่อนด้อยนัก
หลีอวี้เซียวก้มหน้าลงอย่างรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว”
ผิดที่ใจอ่อนเหมือนสตรีเลยมักจะคิดว่าจิตใจของคนเราไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น และต่อให้.ี้ยมโหดจนตัดใจเอาชีวิตของคนในครอบครัวได้หรือ? เขาก็เป็นบุตรหลานของตระกูลหลีเช่นกันนะ!
“คุณหนู บ่าวก็ผิดไปแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ” สี่เอ๋อร์คุกเข่าลงพร้อมกับหยาดน้ำตา
เห็นสาวใช้ที่ดวงตาปรากฏความสับสนและน้องชายฝาแฝดที่สีหน้าเจ็บปวด หลีอวี้ตี๋ก็มองคลื่นที่สาดกระเซ็นขึ้นมาด้านนอกห้องโดยสารเรือด้วยแววตาสงบนิ่ง “พวกเราล้วนเป็นบุคคลที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเจ้ายังคิดที่จะตายอีกครั้งและจบเรื่องด้วยการทำให้ผู้ที่ทำร้ายพวกเราสมปรารถนาอย่างนั้นหรือ”
คำพูดนี้พูดรุนแรงไปสักหน่อย แต่กลับเป็นความจริงยิ่งนัก ในใจของทั้งสองคนจึงเกิดเสียงเตือนขึ้น
ในปีนั้นที่ฝาแฝดอายุสามขวบ ทางชายแดนส่งรายงานด่วนเพื่อขอความช่วยเหลือ บิดาและพี่ชายของจางม่านเยว่รับพระบัญชาให้ไปทำศึกที่ชายแดน ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะหลงกลอุบายของฝ่ายศัตรูพ่ายแพ้ยับเยินกลับมา ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธและริบตำแหน่งขุนนางตระกูลจางพร้อมกับเนรเทศไปอยู่ชายแดนทั้งตระกูล
แม้ว่าภายหลังฮ่องเต้จะเสียพระทัยและต้องการแก้ราชโองการ แต่พระบัญชาของฮ่องเต้ประกาศออกไปแล้วไม่อาจถอนกลับได้ตามใจชอบ พระองค์เลยได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย และได้แต่หวังว่าคนในตระกูลจางจะสามารถทำความดีสร้างผลงานชดใช้ความผิดกลับคืนสู่ราชสำนักอีกครั้ง
การที่บ้านเดิมของจางม่านเยว่หมดอำนาจถือเป็นโอกาสให้ฮูหยินผู้เฒ่าและหลานสาว ฮูหยินผู้เฒ่าใช้การรำลึกถึงบรรพบุรุษและการปัดกวาดสุสานของบรรพบุรุษมาเป็นเหตุผลให้หลีจ้งหวาออกเดินทางล่วงหน้ากลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเก่า ทันทีที่เขาออกเดินทางนางก็ใส่ร้ายว่าลูกสะใภ้คบชู้ โดยนำรองเท้าบุรุษข้างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดมาบีบบังคับให้นางหย่า ถึงขนาดจะจับนางถ่วงน้ำโดยไม่สนใจเพื่อถอนรากถอนโคน




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชิ แม่นางน้อยหลีอวี้ตี๋ผู้นี้ช่างเป็นสตรี ‘อสรพิษ’ โดยแท้ เป็นถึงศิษย์ของหุบเขาราชันสมุนไพรทว่าภายใต้ใบหน้าไร้เดียงสานั้นเอะอะก็วางยาพิษ แม้แต่เขาหวงฝู่เส้าหางที่เป็นทั้งขุนนางชั้นสูงผู้น่าเกรงขามและศิษย์พี่สามของนางก็ประสบกับหายนะเช่นกัน แค่ต้องการให้นางถอนพิษเพื่อช่วยชีวิต เขากลับถูกนางรักษาโดยการต้มจนเกือบตาย
แต่ชีวิตนางก็ช่างรันทดนัก เป็นถึงบุตรสาวสายตรงแห่งจวนไท่ฟู่ กลับถูกย่าแท้ๆ สร้างเรื่องใส่ร้ายมารดาพร้อมขับไล่ไปอยู่ชนบท แม้ได้กลับจวนอีกครั้งก็ยังไม่วายถูกก่อกวน ที่เลวร้ายสุดคือสตรีสูงศักดิ์สองนางที่ตามตอแยเขากลับจ้องเล่นงานนาง ส่งมือสังหารส่งมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ทว่าเขายังไม่ทันช่วยเหลือ ศิษย์น้องเล็กก็สะบัดแขนเสื้อโปรยพิษก่อนแล้ว สตรีที่ปราดเปรียวห้าวหาญเช่นนี้ผู้ใดจะโชคดีได้ไป? ...ช่วยไม่ได้ เขาบุรุษหล่อเหลาผู้นี้จะยอมให้นางสร้างหายนะแก่ร่างกายไปตลอดชีวิตเองก็ได้!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”