New Release เหลียนฮวา : อ๋องหมาป่า ชายานำโชค

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : อ๋องหมาป่า ชายานำโชค

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
พกระบบย้อนเวลากลับไป


กริ๊ง...เสียงกระดิ่งบนประตูกระจกดังขึ้น หนุ่มๆ ในศูนย์วิจัยต่างพากันเงยหน้าขึ้นมา เห็นอาหงที่กำลังแบกคอมพิวเตอร์เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอแดงก่ำ คงจะวิ่งขึ้นบันไดมาตลอดทางแน่ๆ
อาคังถลึงตาใส่เธอ ก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงานไปปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้น
หวังเต้าหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมา ดึงออกมาหลายแผ่นแล้วรีบเช็ดหน้าให้เธอ
บอสใหญ่เว่ยจื่อรินน้ำอุ่นๆ หนึ่งแก้วยื่นไปตรงหน้าเธอ พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุด “ยังจะวิ่งกระโดดกระเด้งอีก ไม่กลัวเจ้าหนูในท้องหลุดออกมาหรือไง?”
นี่ก็เข้าช่วงครรภ์แก่แล้ว ยังไม่มีสำนึกของความเป็นแม่อีก คนคนนี้เป็นแม่ได้ชุ่ยมากจริงๆ
“แค่เจ้าหนูที่ไหนกันล่ะครับ ยายหนูก็อาจจะหลุดออกมาด้วยเหมือนกัน”
อาคังจ้องถลึงจนดวงตาชักกระตุก อาหงตั้งครรภ์ลูกแฝดนะ ในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์เธอเข้าฟิตเนสไปออกกำลังกาย ทำเอาทุกคนแตกตื่นจนกินข้าวไม่ลง ในช่วงระยะกลางของการตั้งครรภ์เธอก็โต้รุ่งค้นคว้าระบบ ทำเอาทุกคนไม่กล้าหลับกล้านอนตามไปด้วย ตอนนี้...น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าผู้ชายที่หว่านเมล็ดพันธุ์ลงในท้องของเธอเป็นใครกันแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะซื้อปืนสักกระบอกมายิงคนคนนั้นให้กระจุยแน่
หวังเต้าเองก็มองดูท้องกลมโตของเธอเช่นกัน เขาถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ทำไมแค่กินเหล้าไปไม่กี่แก้วก็วันไนต์สแตนด์...แม้แต่หน้าตาของอีกฝ่ายยังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่กลับยัดอสุจิของอีกฝ่ายใส่ในท้องได้เนี่ยนะ?
องค์กรนี้มีสมาชิกไม่มาก แต่ละคนต่างก็เป็นอัจฉริยะ ระบบไทม์สคิปของบอสใหญ่ได้เข้าสู่ช่วงทดสอบอย่างเป็นทางการแล้ว โปรแกรมเปลี่ยน PM 2.5 เป็นไฟทอนไซด์ ของหวังเต้าก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วเหมือนกัน ส่วนสวีหงเอ๋อร์นั้น...เธอมันบ้า!
ระบบที่เธอตั้งใจจะค้นคว้ากลับมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงการแก่งแย่งแข่งขันในทางไม่ดีระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง เสริมสร้างความปรองดองให้มนุษย์ บ่มเพาะมนุษย์ที่มีอุปนิสัยสมบูรณ์แบบ
จะบอกว่าวิธีคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องก็ไม่ได้ แต่ว่า...จะหาเงินได้หรือ?
แน่นอนว่าไม่ได้ ถ้าหากโลกนี้ขาดการแข่งขัน แล้วอารยธรรมของมนุษย์จะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร?
ต้องโทษที่บอสใหญ่ตามใจเธอมากเกินไป ให้เงินเดือนเธอมั่วๆ ซั่วๆ ถ้าไม่ใช่เพราะรสนิยมทางเพศของบอสใหญ่เป็นที่รู้กันอย่างชัดเจน พวกเขาคงจะสงสัยอย่างรุนแรงว่าทั้งสองกำลังมีความรักในออฟฟิศกันแน่ๆ
“ก็ฉันรีบนี่นา พวกคุณมาดูสิ ฉันทำสำเร็จแล้ว!” สวีหงเอ๋อร์เปิดคอมพิวเตอร์อย่างตื่นเต้น
“อะไรนะ?” ผู้ชายทั้งสามพูดขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เธอคิดค้นออกมาได้จริงๆ ด้วยหรือเนี่ย? เป็นไปไม่ได้ พอคิดถึงโลกอันสมบูรณ์แบบที่แทบจะใกล้เคียงกับสวรรค์ แค่จินตนาการก็...มีความรู้สึกขนลุกพรึ่บแล้ว
“ระบบนี้ง่ายมาก...”
“ง่ายมากแต่ก็ต้องทำอยู่ตั้งสี่ปี? เธอคิดว่าที่บ้านบอสใหญ่มีบ่อน้ำมันหรือไง?” อาคังพูดบ่นอย่างอดไม่อยู่
เว่ยจื่อปรามให้เขาหยุดบ่น “อย่าพูดแทรกสิ อาหง เธอว่าต่อเลย”
นิ้วมือเรียวสวยของเธอขยับเคลื่อนผ่านแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นหน้าจอก็ปรากฏแผนภูมิหนึ่งขึ้นมา เธอลากลูกศรไปตรงมุมบนขวา ตรงนั้นเป็นตราสัญลักษณ์รูปวงกลมลายเมฆ
“หลังจากฝังชิปลงไปในร่างกายของเด็กทารกแรกเกิด กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายโฮสต์แล้วก็จะปรากฏสัญลักษณ์นี้ขึ้นมา จากนั้นระบบก็จะเริ่มทำงาน...พวกคุณดูสิ นี่เป็นหน้าแรกที่โฮสต์จะได้เห็น มีชื่อแซ่ อายุ เพศ ความสามารถในการจดจำ การวิเคราะห์ตรรกะ วิชาเรียน ค่าการเรียน ค่าความชื่นชม ค่าความโชคดี กล่องของขวัญแรกเกิด”
“กล่องของขวัญแรกเกิด?”
“ทารกแรกเกิดทุกคนที่ได้รับการฝังชิปจะได้รับค่าความโชคดีสองร้อยแต้ม ช่วงก่อนอายุหกขวบผู้ปกครองมีสิทธิ์เป็นคนจัดการค่าความโชคดี จุดประสงค์ก็เพื่อใช้รับประกันว่าโฮสต์จะไม่ป่วย ไม่เกิดอุบัติเหตุ สามารถเติบใหญ่ได้อย่างปลอดภัยภายใต้การปกป้องดูแลของระบบ”
เว่ยจื่อชี้ไปยังวิชาเรียน “นี่คือ...”
“เด็กสามารถใช้ความตั้งใจเปิดอันนี้ได้...” ในตัวของสวีหงเอ๋อร์ไม่ได้ฝังชิปไว้ เธอจึงทำได้เพียงขยับเมาส์กดเปิด “ภาษาศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิชางานบ้าน วิชาแพทย์ ความรู้ทางการค้า เคล็ดลับวิชาต่อสู้...ในนี้บรรจุคลังความรู้ปริมาณมหาศาลเอาไว้ ระบบจะคอยช่วยสอนความรู้ให้แก่โฮสต์ในช่วงที่พวกเขาเติบโต เมื่อเด็กทุกคนผ่านช่วงการเรียนรู้ในแต่ละช่วงได้สำเร็จ ค่าการเรียนก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อสะสมค่าได้ถึงหนึ่งร้อยแต้มก็จะสามารถแลกเป็นค่าความโชคดีได้หนึ่งแต้ม ค่าความโชคดีนอกจากจะใช้แลกเปลี่ยนโชคได้แล้ว ยังสามารถทำหน้าที่เป็นบ่อน้ำขอพรให้กับโฮสต์ได้ด้วย ใช้ค่าความโชคดีแลกเปลี่ยนเป็นพรได้”
“แล้วค่าความชื่นชมมันคืออะไรล่ะ?” หวังเต้าเอ่ยถาม
“เมื่อโฮสต์พูดจาดี ทำเรื่องดีๆ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างได้รับความสุข พอได้รับความเคารพชื่นชม ความสงสาร หรือว่าความชื่นชอบจากคนเหล่านั้นเป็นต้น จะทำให้โฮสต์ได้รับแต้มค่าความชื่นชม ก็เหมือนกับค่าการเรียนนั่นแหละ พอสะสมได้หนึ่งร้อยแต้มจะสามารถแลกเป็นค่าความโชคดีได้หนึ่งแต้ม”
อาคังเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟัง “เธอคิดว่าตัวเองเป็นครูอนุบาลหรือไง ยังจะใช้กระดาษโน้ตแลกรางวัลอะไรนี่อีก”
“ฉันไปสัมภาษณ์คุณครูและผู้ปกครองมามากมาย ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าวิธีการนี้ทำให้เด็กทารกได้รับ ‘การเพิ่มความสามารถทางบวก’ จริงๆ อีกทั้งยังทำให้เด็กๆ เต็มใจที่จะทำพฤติกรรมเดิมซ้ำอีก”
“แล้ว?”
“เมื่อทุกคนยินดีที่จะเรียนรู้ มีความสุขกับการได้รับความชื่นชอบจากคนอื่น มีความสุขกับการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงาม โลกนี้ก็จะสงบสุขสมานฉันท์”
“สิ่งที่เธอยากสร้างก็คือโลกในนิทานสำหรับเด็ก? โลกความเป็นจริงของผู้ใหญ่ไม่ใช่แบบนี้ซะหน่อย หากจะใช้ระบบนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ฉันแนะนำให้เธอนั่งเครื่องไทม์สคิปของบอสใหญ่กลับไปหาฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เมื่อปีหนึ่งแปดห้าศูนย์ยังจะดีซะกว่า” หวังเต้าก็แขวะเช่นกัน
“จะมีพ่อแม่คนไหนยอมให้ฝังชิปลงในร่างเด็กทารกแรกเกิด? พวกเราทำการทดลองกับร่างมนุษย์ในขั้นพื้นฐานไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เพราะงั้น...” เธอคลี่ยิ้มอย่างลำพองใจ ลูบหน้าท้องของตัวเองเล็กน้อย “ฉันเลยกะจะให้ลูกน้อยของฉันมาทำการทดลองยังไงล่ะ”
สวีหงเอ๋อร์หยิบชิปออกมาจากคอมพิวเตอร์ วางเก็บลงในกล่องคริสตัล แล้วมองดูพวกหนุ่มๆ ที่ยืนห้อมล้อมอยู่เบื้องหน้าพลางยิ้มกว้าง
“เฮ้ นี่เธอเป็นแม่แท้ๆ หรือว่าแม่เลี้ยงกันแน่เนี่ย”
“วางใจเถอะ ฉันจะต้องเลี้ยงลูกของฉันให้เป็นบุคคลที่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดบนโลกนี้ให้ได้” เธอมองไปทางเว่ยจื่อด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม

***

เว่ยจื่อรีบเร่งเดินทางมาจากสนามบิน เขาตะโกนร่ำร้องอยู่ในใจไม่หยุด เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
จะเป็นไปได้ยังไงกัน? เขาเพิ่งจะเดินทางไปต่างประเทศแค่เพียงห้าวัน ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่ห้าวัน วันนั้นอาหงยังขับรถมาส่งเขาไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอยู่เลย เธอบังคับให้เขารับปากอย่างหนักแน่นว่าชิปแผ่นแรกและแผ่นที่สองเขาจะต้องเป็นคนฝังเข้าร่างกายของลูกๆ ด้วยมือตัวเอง
เขาจำได้ว่าเธอยิ้มร่ายกมือห้านิ้วขึ้นสูง “ฉันสาบานว่าจะไม่คลอดก่อนกำหนดเด็ดขาด ฉันจะรอคุณกลับมาแน่นอน”
ใช่ พวกเขาสัญญากันเอาไว้แล้ว เขาจะเข้าไปในห้องคลอดในฐานะพ่อ จะบันทึกทุกขั้นตอนในการทำคลอดเอาไว้ แล้วทำไม...สมองของเขาสับสนมึนงงอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะนอนไม่พอ แต่เป็นเพราะตื่นตระหนก เป็นเพราะเศร้าโศกเสียใจ
“บอสใหญ่ อยู่นี่ครับ!” พอหวังเต้าเห็นเขาก็รีบพุ่งเข้ามาคว้าตัวเขาไว้ทันที
“รถชนระหว่างเดินทางมาบริษัทครับ ตอนนี้สถานการณ์แย่มาก อาหงยืนกรานจะคลอดลูกออกมาให้ได้ หมอก็เลยผ่าท้องเอาเด็กออกมาแล้ว แต่ว่า...ไม่มีสัญญาณชีพกันทั้งคู่ อาหงยังไม่รู้เรื่องนี้ บอสใหญ่ ให้อาหงไปสบายเถอะครับ” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เสียงของหวังเต้าก็สะอึกสะอื้น
ไปสบาย? หมายความว่า...หลังจากสูญเสียเด็กๆ ไปแล้ว พวกเขายังจะต้องสูญเสียอาหงไปด้วย? ความเจ็บปวดกระแทกเข้าหัวใจของเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาจะต้องสูญเสีย...อาหงไป?
สวีหงเอ๋อร์อายุเพียงแค่สิบหกปีก็ถูกบริษัทดึงตัวมาร่วมงาน สาวน้อยอัจฉริยะแสนสวย เพียงไม่นานก็กุมหัวใจของผู้ชายทั้งออฟฟิศได้ สวีหงเอ๋อร์ผู้ร่าเริงแจ่มใส มีความเชื่อมั่นในตัวเอง หยิ่งยโส เด็กน้อยผู้แสนงดงามของพวกเขา
เธอเคยบอกว่า ‘ฉันไม่ยอมเป็นคนอัจฉริยะอายุสั้นหรอกค่ะ แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้จริงๆ ฉันจะต้องเป็นคนที่อายุยืนที่สุดในออฟฟิศแน่ๆ’
เธอมักจะคิดว่าทั้งออฟฟิศนี้ เธอเป็นคนที่ไร้ความสามารถมากที่สุด ทำงานได้ไม่คุ้มค่ามากที่สุด แต่เขาไม่ถือสาหรอก เขายินดีจะเลี้ยงเธอ ยินดีให้ความคิดเพ้อเจ้อต่างๆ นานาของเธอถูกนำมาปฏิบัติจริงที่นี่ ไม่ว่าสิ่งที่คิดค้นออกมาจะทำกำไรให้บริษัทได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้เธอเพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น ยังมีความสาวความเยาว์วัยให้ใช้อีกมาก ยังจะต้องแสดงให้เห็นว่าปาฏิหาริย์ไร้ขีดจำกัด แล้วทำไม...
เขาสูดหายใจลึกๆ กำหมัดแน่น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
เธอยังไม่หลับ เพียงแต่ใบหน้าไร้สิ้นความสดใสมีชีวิตชีวา เธอผู้ที่ชอบแย้มยิ้ม ลักยิ้มได้เลือนหายไปแล้ว เธอจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย ราวกับว่าตรงนั้นมีอะไรบางอย่างควรค่าให้เธอสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“อาหง” เสียงเรียกเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงของเขาราวกับเป็นยาวิเศษที่ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด ทันใดนั้นสายตาล่องลอยของสวีหงเอ๋อร์ก็กลับมาโฟกัส ลักยิ้มที่หายไปปรากฏให้เห็นอีกครั้ง เธอหันหน้ากลับมา เอ่ยเบาๆ ว่า “บอสใหญ่”
“ฉันกลับมาแล้ว”
“ฉันนึกว่ายังต้องรออีกสามวันแน่ะ” เธอเจ็บมาก อยากจะยอมแพ้เหลือเกิน แต่เธอต้องเห็นหน้าเขาก่อนถึงจะยอมจากไป
“มีครั้งไหนบ้างที่เธอโทรมาปุ๊บแล้วฉันไม่รีบมาหาน่ะ”
เธอพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วระโหย “คุณเป็นบอสใหญ่ที่ดีที่สุดในโลกเลย”
“ส่วนเธอก็เป็นพนักงานที่ไม่เชื่อฟังที่สุด ทำงานไม่คุ้มค่าที่สุดในโลกนี้”
“แต่คุณก็ไม่ได้ไล่ฉันออกนี่นา”
“ฉันคิดว่าถ้าขุนเธอให้อ้วนๆ จะแลกเงินได้เยอะกว่าเดิมนี่นา”
“น่าเสียดายที่ฉันต้องตายเร็วซะแล้ว”
“คนนิสัยไม่ดี พูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น” ใครกันที่บอกว่าจะไม่ตายเร็วเด็ดขาด? ใครกันที่บอกว่าจะแข็งแรงอายุยืน? เขาอยากจะคว้าตัวเธอขึ้นมาตะบมตีให้หนักๆ สักยก
เธอหัวเราะคิกคัก “ถึงฉันจะไม่รักษาคำพูด แต่คุณไม่ได้นะ คุณต้องฝังชิปให้ลูกด้วยมือตัวเองนะคะ?”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพยักหน้า “ได้”
“บอสใหญ่จะดูแลพวกเขาจนเติบใหญ่ใช่ไหมคะ?”
ลมหายใจหยุดชะงักอยู่ในอก พักใหญ่ผ่านไปเขาถึงค่อยๆ กลืนลงไปอย่างช้าๆ “ใช่”
สวีหงเอ๋อร์ดีใจมากจริงๆ เธอยื่นมือไปหาเว่ยจื่อ เขากุมมือเธอเอาไว้โดยพลัน เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “จริงๆ แล้วฉันจำได้ว่าเมื่อคืนนั้น...คือใคร”
“แล้วทำไมไม่พูด? ทุกคนอยากจะช่วยกันทวงความยุติธรรมให้เธอนะ” เขามองเธอด้วยความเจ็บปวดใจ
“เพราะว่าฉันรักเขา แต่เขาไม่รักฉันนี่คะ ความยุติธรรมอยู่ข้างฉันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ฉันได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่เขากลับถูกฉันบีบบังคับ”
เธอหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แย้มยิ้มตาหยี รู้สึกมีความสุขอย่างบริสุทธิ์เรียบง่าย แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา แสงสีทองอร่ามปกคลุมลงบนเส้นผมของเธอ ในชั่วพริบตานั้นเขาราวกับได้เห็นเด็กสาวอายุสิบหกปีคนนั้นอีกครั้ง
“เด็กโง่” เขาชอบผู้ชายนะ เว่ยจื่อลูบเส้นผมของเธอเบาๆ “ได้ใช้หนึ่งคืนร่วมกับอาหงคนสวยขนาดนี้ ‘เขา’ ไม่คับแค้นใจสักนิด”
“ไม่คับแค้นใจจริงๆ เหรอคะ?”
“ไม่คับแค้นใจจริงๆ”
“ดีจัง” สวีหงเอ๋อร์ยิ้มให้เว่ยจื่อไม่หยุด หลังจากนั้นสายตาก็ค่อยๆ สูญเสียโฟกัส ค่อยๆ ล่องลอย สุดท้ายเธอก็โดยสารขึ้นรถไฟของคนอัจฉริยะอายุสั้น ไปจากโลกที่น่าห่วงหาอาวรณ์แห่งนี้

***

โฮสต์ที่ตายไปแล้วจะไม่สามารถเปิดระบบได้ การฝังชิปลงบนร่างพวกเขาเป็นเรื่องเสียเปล่าอย่างแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เว่ยจื่อก็ทำลงไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้จะทำให้เขาเสียเงินเปล่าไปเป็นสิบล้าน
ทารกน้อยที่ได้รับการฝังชิปนอนอยู่ข้างกายสวีหงเอ๋อร์อย่างเงียบสงบ สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ หลังจากฝังชิปลงไปแล้วที่ข้อศอกอ้วนกลมของพวกเขากลับปรากฏสัญลักษณ์วงแหวนลายเมฆรอบแขนมงคลขึ้นมา ของเด็กชายอยู่ข้างซ้าย ของเด็กหญิงอยู่ข้างขวา
พวกเขานอนอยู่บนอกมารดา ดวงหน้าน้อยๆ เจือด้วยความไร้เดียงสาประหนึ่งกำลังหลับสนิท
เขาเลือกโลงแก้วใบหนึ่งให้แก่สวีหงเอ๋อร์ พวกเขาสามคนแม่ลูกสีหน้าสงบสุขราวกับภาพวาด
เว่ยจื่อ อาคัง หวังเต้ายืนห้อมล้อมอยู่ข้างโลงศพ พูดพล่ามเรื่อยเปื่อยเหมือนกับตอนที่อยู่ในออฟฟิศ เพียงแต่...พรุ่งนี้จะต้องทำพิธีฝังแล้ว พวกเขาจะไม่มีวันได้เห็นเด็กสาวแสนสวยที่ชอบหัวเราะชอบเล่นสนุก มีความฝันจะสร้างโลกเทพนิยายคนนั้นอีก
“บอสใหญ่ อาคัง กลับกันเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยรีบมาส่งอาหงแต่เช้ากัน” หวังเต้าพูด
เงาร่างสูงใหญ่ทั้งสามก้มหน้าเดินออกไปจากโรงประกอบพิธีศพ พรุ่งนี้เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายแล้ว...
ทว่าสุดท้าย ความสงสาร ความขอโทษ ความรู้สึกผิด...บีบให้เว่ยจื่อเดินย้อนกลับไปอีกครั้ง เขานั่งลงข้างๆ โลงศพ อยากจะอยู่เป็นเพื่อนสวีหงเอ๋อร์ให้มากกว่านี้ อยากจะพูดกับเธออีกสักหลายๆ คำ
ในเวลาตีสอง ภายในโรงประกอบพิธีศพเงียบสงบยิ่ง สามแม่ลูกในโลงแก้วยังคงหลับสนิท
เขาพูดว่า “ขอโทษที่ฉันรักเธอไม่ได้ แต่ว่าฉันเอ็นดูเธอจริงๆ ขอให้สวรรค์ช่วยให้โอกาสฉันอีกครั้ง ให้ฉันได้ชดเชยความผิด...”
คำพูดเพิ่งจะออกมาจากปาก ในเวลานี้ลายเมฆสีฟ้าที่ดูเหมือนกับรอยสักบนข้อศอกของเด็กทารกน้อยก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เด็กทารกชายหญิงยังคงหลับลึก เพียงแต่ฝ่ามือน้อยๆ ของพวกเขาซึ่งแนบอยู่บนร่างมารดากลับค่อยๆ ขยับเข้าหากันและกันเบาๆ ก่อนจะเกาะกุมมือกันเอาไว้
ในชั่ววินาทีที่นิ้วทั้งสิบประสานกัน พึ่บ แสงสีฟ้าสายหนึ่งก็ส่องเข้ามาภายในโลงแก้ว โอบล้อมสามแม่ลูกเอาไว้ราวกับวงแหวน แสงสีฟ้าสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ แสบจ้าจนเว่ยจื่อลืมตาไม่ได้
ปรากฏการณ์นี้ทำให้เขาแตกตื่นยิ่ง ตกใจกลัวจนอ้าปากไม่ขึ้น ส่งเสียงอะไรไม่ออก
ปรากฏการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลาสามนาที ต่อมาแสงสีฟ้าก็หายวับไปเหมือนกับตอนที่มันปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่าทารกน้อยกลับหายตัวไปพร้อมๆ กับแสงสีฟ้านั่นด้วย ส่วนมารดาที่กำลังหลับสนิทก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยราวกับได้ปลดเปลื้องพันธะในใจออก
เว่ยจื่อตื่นตะลึงจนนิ่งอึ้งไป เขาเรียนสายวิทยาศาสตร์มา เขาไม่สามารถทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์นี้ได้
เขากอดโลงแก้วเอาไว้ เอ่ยถามอย่างร้อนรน “อาหง ลูกของพวกเราล่ะ พวกเขาหายไปไหน?”


บทที่หนึ่ง
ได้พบเด็กหนุ่มลูกหมาป่าครั้งแรก


รัชศกซีเหอปีที่ห้า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ปกครองใต้หล้าเริ่มเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะในปีนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ปวงประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข ไร้สิ้นโจรร้ายแผ้วพาน ทั่วทั้งแคว้นสงบผาสุก
สวีเจี่ยวเยวี่ยเดินอยู่บนทางเล็กๆ ในป่า ยิ่งเดินลึกเข้าไปนางก็ยิ่งหวาดกลัวขึ้นทุกขณะ
นางหลงทางเสียแล้ว ยามนี้ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว หากยังหาทางออกไม่ได้นางจะต้องค้างคืนอยู่บนภูเขา นางตกใจกลัวเสียขวัญ หยาดน้ำตาไหลพราก
สวีเจี่ยวเยวี่ยเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านซีซาน หมู่บ้านซีซานมีผู้คนอาศัยอยู่ราวๆ หนึ่งร้อยครัวเรือน ถือเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง
ที่บ้านของสวีเจี่ยวเยวี่ยมีท่านย่าที่ยอมอยู่เป็นม่ายมายี่สิบกว่าปีเพื่อเลี้ยงดูบุตรชายให้เติบใหญ่ การที่หญิงม่ายอย่างสวีเฉินซื่อ จะค้ำจุนครอบครัวเอาไว้เพียงลำพังนั้นมิใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังยืนกรานจะให้บุตรชายร่ำเรียนหนังสือเพื่อเดินเส้นทางรับราชการ สตรีเช่นนี้ยิ่งมิใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอน
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นางเก่งกาจมีความสามารถ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในบ้านล้วนจัดการได้อยู่หมัด กำกับดูแลบ้านได้อย่างมีระเบียบแบบแผน อีกทั้งบุตรชายก็เชื่อฟัง ลูกสะใภ้ก็ว่าง่าย แม้นว่าในทีแรกสินเดิมของลูกสะใภ้จะถูกนำมาใช้จนร่อยหรอเพราะว่าบุตรชายล้มป่วยลงครั้งหนึ่ง คงเหลืออยู่เพียงแค่เล็กน้อย แต่อาศัยฝีมือการเย็บปักของลูกสะใภ้กับนาแล้งๆ ไม่กี่หมู่ ก็ทำให้พอจะใช้ชีวิตผ่านพ้นไปได้
หลังจากลูกสะใภ้ให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิงสวีเฮ่ารื่อกับสวีเจี่ยวเยวี่ย ถึงแม้ความเป็นอยู่จะเริ่มอัตคัดขัดสนมากขึ้น แต่ในใจนางก็ยังคงสุขสำราญอยู่
เมื่อพูดถึงฝาแฝดชายหญิงคู่นี้ พวกเขาช่างพิเศษกว่าใครๆ พอเกิดมาตรงข้อศอกก็มีปานรูปเมฆเล็กๆ จางๆ อยู่จุดหนึ่ง ราวกับสวมแหวนเอาไว้ก็มิปาน พวกเขาหัดพูด หัดเดินได้เร็วกว่าเด็กทั่วๆ ไป อายุขวบครึ่งก็เริ่มฝึกเรียนตัวอักษรกับบิดาของพวกเขาแล้ว ขอแค่ได้เห็นเพียงรอบเดียวก็จำได้หมด พอเพิ่งจะเริ่มหัดพูดเป็นก็สามารถท่องโคลงกลอนได้แล้ว เก่งกาจใช่หรือไม่ล่ะ!
เมื่อหลานชายอายุครบหนึ่งเดือน สวีเฉินซื่อพาเขาไปไหว้พระขอพรที่อารามวั่นฝอ พระอาจารย์ที่อารามนั้นบอกว่า สวีเฮ่ารื่อผู้นี้มีบุญมาตั้งแต่กำเนิด หากมีเขาอยู่สกุลสวีก็ตั้งตารอวันที่จะมั่งคั่งร่ำรวยได้เลย
พาไปแต่หลานชาย แล้วหลานสาวล่ะ? แน่นอนว่าไม่ได้พาออกไปด้วย
คนเฒ่าคนแก่ล้วนให้ความสำคัญกับลูกหลานผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หลานชายพอเติบใหญ่ยังต้องค้ำจุนวงศ์ตระกูล ส่วนหลานสาวนั้นกลับมีแต่ทำให้ต้องเสียเงินทอง เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาอย่างยากลำบากแล้วยังต้องช่วยจ่ายสินเดิมให้อีก ถ้าหน้าตาสะสวยก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าหลานสาวคนนี้ดัน...อัปลักษณ์เสียจนชวนให้คนปวดฟัน
หากพาออกไป จะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะแย่หรือ?
อีกอย่างนะ วันที่สวีเฮ่ารื่อถือกำเนิดขึ้นมา สวีเฉินซื่ออุ้มเขาไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ขอให้บรรพบุรุษทั้งหลายช่วยปกปักคุ้มครอง เท้าหน้าเพิ่งจะก้าวออกจากศาลบรรพชนสกุลสวีเท่านั้น คนแจ้งข่าวดีก็เดินเข้าประตูใหญ่ของบ้านสกุลสวีมาทันที บอกว่าบุตรชายสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับอำเภอ! อันดับหนึ่งเชียวนะ นั่นหาใช่คนธรรมดาทั่วไปจะสอบได้ไม่ ก่อนจะเข้าร่วมการสอบอาจารย์ก็ยังคิดว่าความรู้ความสามารถของบุตรชายนางยังไม่สุกงอมแท้ๆ ควรจะต้องมุมานะร่ำเรียนอีกสักสองปี
นี่หมายความว่าอย่างไร? ก็หมายความว่าหลานชายของพวกเขาเป็นเด็กน้อยนำโชคนะสิ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างเล็กจ้อยของสวีเฮ่ารื่อ เขาหน้าตาน่ารักยิ่ง งดงามยิ่ง ดวงตาคู่นั้นดำขลับ เพิ่งจะเกิดมาก็มองเห็นความฉลาดเฉลียวบนดวงหน้าได้ทันที ไม่ว่าจะเอาไปตั้งไว้ตรงไหนก็ดูเหมือนกุมารทองใต้ที่ประทับของเจ้าแม่กวนอิมจริงๆ
ส่วนสวีเจี่ยวเยวี่ยนั้น เฮ้อ...ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ก็มิได้หวังว่านางจะมีรูปลักษณ์เหมือนอย่างสวีเฮ่ารื่อหรอก ขอแค่นางมีรูปโฉมธรรมดาสามัญสักหน่อย รักใครก็ต้องรักอีกาที่เกาะอยู่บนหลังคาบ้านเขาด้วย ใช่หรือไม่ ไหนเลยจะขาดนางได้ แต่ว่าปานอัปลักษณ์รอยใหญ่บนใบหน้าด้านขวาของนางนั้น...
สวีเจี่ยวเยวี่ยไหนเลยจะแค่ทำให้เสียเงิน? จะต้องเสียทรัพย์สินมหาศาลเป็นแน่ หาไม่แล้วบ้านไหนจะยอมหมั้นหมายด้วยล่ะ?
เคราะห์ดีที่ถึงแม้สวีเฉินซื่อจะลำเอียง บิดานิสัยเย็นชา แต่ว่าสะใภ้สกุลสวีกลับรักใคร่และเอ็นดูบุตรธิดาคู่นี้สุดหัวจิตหัวใจ มีของดีอะไรก็ต้องแอบเก็บเอาไว้ให้บุตรชายบุตรสาว
แม้ว่าท่านย่ากับคนในหมู่บ้านจะไม่ชอบสวีเจี่ยวเยวี่ย แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ กระทำการใดๆ ก็ย่อมล้วนมีหลักเกณฑ์ ต่อให้ในใจไม่ชอบมากแค่ไหนก็จะไม่จงใจกลั่นแกล้ง แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านมิได้พูดง่ายขนาดนั้น ยามกลั่นแกล้งรังแกนางก็ทำแต่เรื่องโหดร้ายยิ่ง
สวีเจี่ยวเยวี่ยมักจะถูกหัวเราะเยาะ ถูกปาโคลนใส่เป็นประจำ ต่อให้นางฉลาดหลักแหลมเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะถูกเล่นงานจนสะบักสะบอมไปทั้งตัวอยู่บ่อยๆ ครั้นเห็นนางร้องไห้โหยหวน พวกเด็กๆ ในหมู่บ้านไม่เพียงแต่ไม่เห็นอกเห็นใจ ยังยืนล้อมนางพลางชี้นิ้วกุมท้องหัวเราะร่า
การรังแกสวีเจี่ยวเยวี่ยกลายเป็นสิ่งสร้างความบันเทิงที่ดีที่สุดในชีวิตประจำวันของเด็กๆ ในหมู่บ้าน
นานวันเข้าสวีเจี่ยวเยวี่ยก็ค่อยๆ ไม่อยากออกไปนอกบ้าน ทว่าวันนี้นางถูกหลอกให้ออกมา พวกเขาบอกว่าพี่ชายถูกคนแปลกหน้าพาขึ้นเขาไปแล้ว
ท่านพ่อไปที่สำนักศึกษา ท่านแม่เข้าเมืองไปขายงานผ้าปัก ส่วนท่านย่าก็ไม่รู้ว่าไปนั่งคุยเล่นสัพเพเหระที่บ้านใคร ในบ้านเหลือแต่เด็กสาวตัวน้อยอย่างนางเพียงผู้เดียว นางร้อนรนใจแทบตายอยู่แล้ว
พี่จางบอกว่า “เอาอย่างนี้ ข้าจะขึ้นเขาไปหาเป็นเพื่อนเจ้า ข้าไปจับกระต่ายบนเขาเป็นประจำ ไม่หลงทางแน่นอน”
ด้วยเหตุฉะนี้นางจึงเดินตามพวกเขาขึ้นไปอย่างทึ่มทื่อ ตอนที่ออกเดินทางมีพี่ชายห้าคน พี่สาวสามคน ขบวนยิ่งใหญ่เอิกเกริก แต่ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวคนก็หายตัวกันไปจนหมด คราวนี้ต่อให้นางโง่เขลาแค่ไหนก็เข้าใจได้ทันทีว่าตนเองถูกหลอกอีกแล้ว
นางไม่เข้าใจ การกลั่นแกล้งนางทำให้ผู้อื่นมีความสุขอย่างนั้นหรือ? จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ มิฉะนั้นพวกเขาอยู่ว่างๆ เหตุใดต้องหาโอกาสเล่นงานนางด้วย?
สวีเจี่ยวเยวี่ยถอนหายใจยาวๆ นางมิได้แตกตื่นลนลาน ร้องไห้โวยวายเหมือนอย่างดรุณีน้อยทั่วๆ ไป เพราะว่านางมิได้อยู่ตัวคนเดียว นางมีท่านป้าระบบให้พึ่งพาอาศัย นางหยุดฝีเท้า เพ่งสายตา
ชื่อแซ่ : สวีเจี่ยวเยวี่ย อายุ : สี่ปี เพศ : หญิง ความสามารถในการจดจำ : ห้าคะแนน การวิเคราะห์ตรรกะ : สองคะแนน วิชาเรียน : คัมภีร์สามอักษร หนังสือร้อยแซ่ คณิตศาสตร์ขั้นหนึ่ง ชีววิทยาขั้นพื้นฐาน ค่าการเรียน : ห้าสิบหกแต้ม ค่าความชื่นชม : ศูนย์แต้ม ค่าความโชคดี : ศูนย์แต้ม กล่องของขวัญแรกเกิด : โชคดีศูนย์แต้ม
ค่าความโชคดีไม่เหลือแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะ?
ตอนที่พี่ชายเกิด พอเขาถูกพาไปกราบไหว้หน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษก็สูญเสียค่าความโชคดีไปห้าสิบแต้มทันที เพื่อแลกกับการให้บิดาได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับอำเภอ หลังจากนั้นก็อันดับหนึ่งในการสอบระดับเมือง ระดับภูมิภาค ทำเอาของขวัญแรกเกิดของพี่ชายถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยง
ต่อมาภายหลังพี่ชายก็ตกเตียง ท้องเสีย...เรื่องราวแย่ๆ ต่างๆ นานาล้วนเกิดขึ้นทั้งสิ้น ที่เคราะห์ร้ายที่สุดคือ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ชาย นางมักจะอยู่ข้างกายเขาด้วย พอนานวันเข้าท่านย่าก็เชื่อมั่นว่านางเป็นตัวซวย ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้พี่ชายอีก
หากสองพี่น้องอยากจะพูดคุยกันมากกว่าเดิมสักสองสามประโยคก็ยังต้องหลบท่านย่าคุยกัน
เพื่อมิให้พี่ชายโดนลูกหลงไปด้วย สวีเจี่ยวเยวี่ยเคยชินกับการนำค่าความโชคดีที่ได้มามอบให้พี่ชายใช้ แต่ใครจะไปรู้ว่าท่านย่ากลับป่าวประกาศไปทั่วว่ารื่อรื่อแห่งบ้านสกุลสวีเป็นเด็กน้อยนำโชค สะใภ้บ้านใดได้อุ้ม รับประกันว่าจะต้องมีครรภ์แน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แต่ละคนจึงพากันแย่งอุ้มพี่ชาย สามแต้ม ห้าแต้ม แปดแต้ม ความโชคดีไหลออกไปราวกับสายน้ำ ต่อให้พวกเขาหาเก่งแค่ไหนก็มิอาจต้านทานการใช้อย่างสิ้นเปลืองเช่นนี้ได้
โชคดีที่รื่อรื่อหน้าตาน่ารักน่าชัง ความชมชอบจากคนรอบข้างทำให้เขาได้รับค่าความชื่นชมมาไม่น้อย แต่ปัญหาคือการจะได้มานั้นไม่ง่าย การประหยัดเก็บไว้ก็ยาก เพื่อรักษาตำแหน่ง ‘เด็กน้อยนำโชค’ ในใจของท่านย่าเอาไว้ สองพี่น้องจึงพยายามเรียนหนังสือให้มากเท่าที่จะทำได้ ถึงจะสามารถรับมือกับความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของท่านย่าได้
ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี? สวีเจี่ยวเยวี่ยยิ่งคิดก็ยิ่งกลัดกลุ้ม
นางเปิดระบบค้นหา ‘การเอาตัวรอดในป่า’ จากวิชาเรียน
นางตั้งใจอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน บทแรกเขียนเกี่ยวกับการเก็บฟืนมาก่อกองไฟ ในการค้างแรมกลางป่า ไฟเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไฟไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความอบอุ่น สามารถปรุงอาหารให้สุกได้ ยังขับไล่สัตว์ร้ายให้ถอยห่างออกไปได้ด้วย
หลังจากอ่านจบนางก็มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเริ่มค้อมเอวก้มเก็บฟืน
สวีเจี่ยวเยวี่ยไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาในป่าลึกแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งแม้แต่นายพรานที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้านก็ยังไม่กล้าเข้ามาด้วยซ้ำ
คนในหมู่บ้านเล่าลือกันว่าในภูเขาลึกมีปีศาจกินคนอาศัยอยู่ รูปร่างหน้าตาของมันเหมือนคนทั่วไป แต่การเคลื่อนไหวเหมือนกับสัตว์ป่า เคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วว่องไว อย่าว่าแต่จะจับมันเลย ลำพังแค่เห็นดวงตาที่เปล่งเสียงสีเขียวคู่นั้นของมันก็ทำให้คนแตกตื่นจนเสียสติได้แล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้นางก็เงยหน้าขึ้นมองซ้ายมองขวา ปีศาจจะโผล่ออกมาหรือไม่? ท้องนภาเริ่มมืดมิดลงทุกขณะ การมองเห็นก็เริ่มพร่ามัวลงเรื่อยๆ นางตัวสั่นสะท้าน หวาดกลัว ถ้านางร้องไห้ออกมาตอนนี้...จะมีประโยชน์หรือไม่?
ดรุณีน้อยกำฟืนในมือแน่น กัดริมฝีปากเบาๆ ขณะที่ครุ่นคิดว่าควรแหกปากร้องเสียงดังดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังลอยมาจากด้านหลัง
โบราณกล่าวไว้ว่าผู้ไม่รู้คือผู้ไม่กลัว นางเองก็เยาว์วัยไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วเหตุใดนางถึงได้ขนลุกเหงื่อชุ่มไปทั้งสรรพางค์กาย มือสั่นราวกับใบไม้ร่วงเช่นนี้ล่ะ?
นางไม่กล้าหันกลับไปมองให้ชัดว่าด้านหลังมีสิ่งใดอยู่ และก็ไม่กล้าชักเท้าวิ่งหนี นางทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ กรามสั่นเทาไม่หยุด
ต่อมา...สุ้มเสียงค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงข้างหลังนาง
เมื่อได้ยินเสียงหายใจดังขึ้นจากด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆ พ่นรดลงบนหลังคอ สวีเจี่ยวเยวี่ยก็แทบตกใจเสียขวัญ หยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาตามใบหน้า ตอนนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะแหกปากร้องเสียงดังด้วยซ้ำ นางร้องไห้อย่างเงียบเชียบยิ่ง ด้วยกลัวว่าจะสร้างความโกรธเกรี้ยวให้แก่...สิ่งที่อยู่ด้านหลังเข้า ทันใดนั้นไหล่น้อยๆ ก็สั่นเทาไม่ยอมหยุด เสียงร่ำไห้ที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้เผยให้เห็นว่านางหวาดผวาหวั่นเกรงเพียงใด
หลังจากนั้นศีรษะใหญ่โตสองศีรษะก็อ้อมจากข้างหลังนางมายังด้านหน้า พวกมันแหงนคอขึ้นดมกลิ่นบนร่างนาง แลบลิ้นออกมาเลียแขนนางไปจนถึงลำคอ ต่อมาก็เลียไปที่แก้มของนาง นางๆๆ...จะถูกกินแล้วใช่หรือไม่?
‘ติ๊ง! ท่านป้าระบบแจ้งเตือนด้วยความหวังดี หมาป่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กินเนื้อ มีสติปัญญาสูง...’
กินเนื้อ? เนื้อของนาง...ฮือๆๆ...เสียงสะอื้นไห้ของสวีเจี่ยวเยวี่ยยังคงแผ่วต่ำอยู่เช่นเดิม ทว่าหยาดน้ำตากลับไหลรินอย่างบ้าคลั่ง
คงเป็นเพราะน้ำตาของนางเค็ม รสชาติไม่แย่ หมาป่าทั้งสองตัว ตัวหนึ่งซ้าย ตัวหนึ่งขวาจึงเอาแต่เลียไม่หยุดอย่างติดอกติดใจ ทำเอาสวีเจี่ยวเยวี่ยตกใจกลัวจนถอยหลังกรูดทีละก้าวๆ จนกระทั่งโดนกับ...นางกระแทกโดน...กำแพงเนื้อ?
นางหันหลังด้วยสัญชาตญาณอย่างฉับพลัน ครั้นแล้วก็สบเข้ากับดวงตาคมคายเป็นประกายคู่หนึ่ง
เป็นมนุษย์! ถึงแม้ป่าไพรจะบดบังแสงสว่างไปหมดสิ้นจนมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้ไม่ชัดเจน แต่นางก็พอจะมองออกว่านั่นเป็นพี่ชายใหญ่ที่ตัวสูงกว่าตนเองมากผู้หนึ่ง
เมื่อพบเจอกับสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน ความสุขที่ไหลทะลักขึ้นมาอย่างฉับพลันก็อัดแน่นเต็มทรวงอก สวีเจี่ยวเยวี่ยที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ประสา ไม่เข้าใจว่าอันตรายคือสิ่งใด โถมตัวเข้าไปข้างหน้าทันที นางกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น ฝังศีรษะลงในอ้อมอกของเขา ก่อนจะแผดเสียงร้องไห้ดังก้อง “พี่ชาย...พี่ชาย...ข้าอยากกลับบ้าน ข้าจะไปหาท่านพี่ ไปหาท่านแม่...ฮือ...ฮือ...”
ยามเรือนกายอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมหวานๆ อ้อมกอดอบอุ่นพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน บนใบหน้าที่เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์นั้นหางตาและหางคิ้วพลันยกโค้ง รอยยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ แผ่ขยายไปตรงมุมปาก นางตัวเล็กนัก อ่อนนุ่ม แต่กลับคว้ามือเล็กของเขาเอาไว้อย่างหนักแน่น ทำให้สายตาคมปลาบของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มละมุน
นางมองไม่เห็นหน้าตาของเขา แต่เขากลับเห็นนางได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เขาประคองใบหน้านางขึ้นมา นางกำลังร้องไห้อยู่ น้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่เข้าใจว่านั่นคือสิ่งใด เพียงแต่รู้สึกว่าสิ่งนั้นทำให้ในอกของเขาอึดอัดติดขัด เหมือนกับว่าหายใจไม่ออกอยู่บ้าง เขาไม่ชอบ ไม่ชอบเอามากๆ ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลง จากนั้นแลบลิ้นไล้เลียน้ำตาของนาง
สวีเจี่ยวเยวี่ยตะลึงอึ้งงันไป ไม่เข้าใจว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ลิ้นเขาของอบอุ่นนุ่มนิ่ม มือของเขาหยาบกร้านยิ่ง ยามฝ่ามือใหญ่โตลูบใบหน้าของนาง นางไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด
ถูกต้อง นางไม่หวาดกลัวเลย!
เหตุผลที่ไม่หวาดกลัวนะหรือ? ไม่รู้สิ จู่ๆ...ดูเหมือนสัตว์กินเนื้อเหล่านั้นเองก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรแล้วเช่นกัน
น้ำตาจึงถูกเก็บกลับไปทั้งหมดด้วยประการฉะนี้ มือของนางยังคงโอบกอดเอวของเขาอยู่ หลังจากนั้นหมาป่าทั้งสองตัวก็เข้ามาผสมโรงด้วย พวกมันเลียหลังมือ เลียใบหูของนาง...หลังจากนั้น...จักจี้เหลือเกิน สวีเจี่ยวเยวี่ยทนไม่ไหว เสียงหัวเราะใสกังวานดังก้องขึ้นมา
เขาพลันอึ้งงันไป ร่างกายแข็งทื่อเล็กน้อย
เขาเคยได้ยินเสียงสกุณาขานวานรร้อง เคยได้ยินพยัคฆ์คำรามหมาป่าร้องหอน แต่ว่ามิเคยได้ยินเสียงเช่นนี้มาก่อน เสียงที่...ไพเราะน่าฟังเช่นนี้ทำให้หัวใจหวานล้ำ ปลายลิ้นก็หวานชื่นเช่นกัน ทั้งที่เขายังมิได้กินสิ่งใดเลยแท้ๆ




++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวีเจี่ยวเยวี่ยและพี่ชายฝาแฝดทะลุมิติมาเกิดใหม่ในยุคโบราณโดยมีระบบนำโชคติดกายมาด้วย นางมีรูปโฉมอัปลักษณ์ผิดกับพี่ชายจึงถูกกลั่นแกล้งถึงขั้นหลอกไปปล่อยบนเขาในตอนสี่ขวบ ครั้งนั้นเซียวเฉิงหยางที่ถูกเลี้ยงดูโดยฝูงหมาป่าช่วยนางเอาไว้ แม้เขาจะพูดภาษาคนไม่ได้ ทว่ากลับเป็นคนแรกที่มอบ ‘ค่าความชื่นชม’ ให้นาง
เมื่อได้รับค่าความชื่นชมก็จะสามารถขอพรได้ นี่เป็นแนวทางที่ช่วยให้ชีวิตสุดรันทดของนางสบายขึ้นมาอีกหน่อย แต่นึกไม่ถึงว่าท่านย่าที่แสนร้ายกาจจะขายนางไปเป็นอนุเพื่อแลกกับเงินไม่กี่ตำลึง เคราะห์ดีเซียวเฉิงหยางที่ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกมาช่วยนางไว้ ทว่าครานี้เขามิเพียงพูดภาษาคนได้ ยังกลายเป็นท่านอ๋องอีกด้วย แต่เอ๋...ทำไมพออยู่ต่อหน้าเขาทีไรระบบในตัวนางถึงดังติ๊งๆ ไม่หยุดกันล่ะ ท่านป้าระบบ ท่านพังไปแล้วหรือ?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”