New Release เหลียนฮวา : ข้ามภพมาแต่งเข้าจวนอ๋อง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ข้ามภพมาแต่งเข้าจวนอ๋อง

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
แขกคนสำคัญที่พักห้องพิเศษ


ไป๋ซูฟางหิ้วกล่องสำรับสี่ชั้นกล่องใหญ่ที่ทำจากเหล็กมาเคาะประตู “นายท่าน อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ”
มีเสียงดังมาจากด้านในว่า “เข้ามา”
ห้องพิเศษนี้เพราะว่าแพง เดือนหนึ่งจึงมีคนเข้าพักแค่สองสามครั้ง แต่คนกลุ่มนี้กลับเข้าพักทีเดียวสิบวัน เถ้าแก่เซิ่งดีใจจนยิ้มไม่หุบ กำชับนางว่าตอนที่เอาอาหารขึ้นมาส่งต้องมีมารยาท อย่าทำให้เหล่าเทพโชคลาภไม่พอใจ
ไป๋ซูฟางผงกศีรษะเป็นพัลวันประหนึ่งตำกระเทียม รับคำเจ้าค่ะๆๆ เข้าใจแล้วๆๆ เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการได้เลย ท่านวางใจได้
เพื่อที่จะทำให้เหล่าเทพโชคลาภอารมณ์ดีหน่อย นางถึงกับล้างหน้าล้างตาล้างมือเอาพวกฝุ่นสกปรกออกจนหมด แล้วถึงหิ้วกล่องสำรับขึ้นมา
นางทำงานเป็นสาวใช้ต้อนรับในโรงเตี๊ยมซั่งพิ่นแห่งนี้มาหลายปีแล้ว ได้พบเจอแขกเหรื่อมากมาย รู้ว่าแขกที่เข้าพักห้องพิเศษนั้นนอกจากมีเงินแล้วยังรักความสงบ ดังนั้นนางจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ เดินยังไม่ให้มีเสียง เข้ามาในห้องก็ไม่มองมั่วซั่ว เดินตรงไปหยุดที่โต๊ะไม้หวงฮวาหลี แล้ววางกล่องสำรับอาหารลง จากนั้นเปิดออกทีละชั้น ไก่ผัดขิง หมูผัดเต้าเจี้ยวปรุงรส กบผัดกระเทียม ขาแกะย่าง ผัดผักกาดขาวกุ้งแห้ง น้ำแกงเต้าหู้ปวยเล้ง ผัดถั่วเหลืองผักดอง ผัดหน่อไม้สดรวมมิตร จัดวางอาหารเต็มโต๊ะ ฉับพลันนั้นกลิ่นหอมของอาหารก็อบอวลไปทั้งห้อง
สี่เนื้อสี่ผัก แต่ละจานล้วนเป็นอาหารที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมซั่งพิ่นแห่งนี้
พูดถึงโรงเตี๊ยมซั่งพิ่นแห่งนี้เหล่าพ่อค้าวาณิชที่มักเดินทางไปกลับแคว้นตงรุ่ยกับแคว้นหนานจ้าวน่าจะรู้จักดี แม้โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะอยู่ในเขตแดนของแคว้นตงรุ่ย แต่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์กลับอยู่กึ่งกลางระหว่างอำเภอทางใต้สุดของแคว้นตงรุ่ยและอำเภอทางเหนือสุดของแคว้นหนานจ้าวในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหนิวหนาน หากพูดให้น่าฟังก็คือเส้นแบ่งเขตแดน แต่ความจริงแล้วเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครเหลียวแล ด้านหน้าไม่มีหมู่บ้าน ด้านหลังไม่มีร้านรวง แม้แต่ขุนนางท้องถิ่นยังไม่อยู่ที่นี่ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากทั้งสองแคว้นสุดกู่ พ่อค้าวาณิชไม่น้อยที่เดินทางผ่านมาก็มักจะแค่หาอะไรกินรองท้องเล็กๆ น้อยๆ ป้อนหญ้าม้า เติมถุงน้ำ หรือไม่ก็อยู่พักสักคืน ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงมีหอสุราสองแห่งและโรงเตี๊ยมเล็กๆ อีกสองสามโรง
ประวัติความเป็นมาของโรงเตี๊ยมซั่งพิ่นค่อนข้างเก่าแก่ โรงเตี๊ยมแห่งนี้เปิดทำการมาแล้วเจ็ดสิบแปดสิบปี เริ่มแรกเป็นคนจากเมืองหลวงมาเปิด ได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนาง น่าจะสักประมาณสามสิบสี่สิบปีก่อนได้ขายให้คนจังหวัดเหมยฮวา แน่นอนว่าสำหรับคนที่เดินทางมาพักผ่อนแล้ว ไม่ว่าใครเปิดก็ไม่แตกต่างกัน ที่สำคัญคือสามารถพักผ่อน กินอิ่ม แล้วเดินทางต่อได้ ขอแค่มีสถานที่คอยอำนวย ราคาเป็นธรรม ใครจะสนว่าเถ้าแก่ร้านจะมาจากเมืองหลวงหรือจังหวัดเหมยฮวา
หมู่บ้านหนิวหนานแห่งนี้มีอาณาเขตประมาณสามสิบถึงห้าสิบลี้ ทว่ามีถนนเส้นเล็กๆ เส้นเดียวเท่านั้นที่คึกคัก ทางเส้นนั้นมีชื่อว่าตรอกทางใต้ แต่กระนั้นอะไรที่ควรมีก็มีครบ ไม่ว่าของกิน ของดื่ม เข็มด้าย หรือแม้แต่หมอรักษาโรคก็ยังมีอยู่หนึ่งคน
เลยตรอกทางใต้ออกไปก็เป็นทิวทัศน์ของชนบท บ้านหลังเล็กหลังน้อย ทำนาเลี้ยงสุกร งานที่สามารถทำเงินได้ล้วนมีหมด ด้วยเพราะตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ค่อนไปทางใต้ ฤดูหนาวจึงไม่มีหิมะตก ทำให้สามารถปลูกผักผลไม้ หัวมันต่างๆ ได้ทุกฤดูกาล ดังนั้นแม้พื้นที่จะห่างไกลกันดาร แต่อาศัยที่ฤดูหนาวสามารถปลูกพืชผักได้ ผู้คนจึงพอฝืนอยู่กันได้
ว่ากันตามตรง คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหนิวหนานล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีปัญญาอยู่แคว้นตงรุ่ยทั้งนั้น เพราะจน จนกันเกินไป จึงทำได้เพียงออกมาอยู่กันไกลๆ นำสุกรและไก่ที่เลี้ยงไปขายที่แคว้นหนานจ้าว เช่นนี้แล้วแคว้นตงรุ่ยก็ไม่สามารถมาเรียกเก็บภาษีได้ มิใช่ว่าพวกเราโลภหรือเห็นแก่เงินทอง แต่เพราะยากจนจนแทบไม่มีอะไรจะกินแล้ว แม้ท้องพระคลังของแคว้นตงรุ่ยจะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ยังมีคนที่สวมใส่อาภรณ์ตัวเก่ามาหลายปี แม้แต่วันตรุษก็ยังไม่มีเนื้อกิน สถานการณ์เช่นนี้มิใช่เป็นกับแค่สกุลไป๋ ทุกบ้านเป็นเหมือนกันหมด
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมซั่งพิ่นแซ่เซิ่งเป็นคนดีขั้นประเสริฐ โรงเตี๊ยมอื่นต่างไม่รับเด็กผู้หญิงเข้าทำงาน เพราะคิดว่าเด็กผู้หญิงรับเบี้ยรายเดือนเท่าคนอื่นแต่แรงน้อยกว่า ตัวเองจะขาดทุนเอาได้ แต่เขากลับเห็นว่าครอบครัวของไป๋ซูฟางลำบากยากจนไม่มีอะไรจะกิน มีมารดาเจ็บออดๆ แอดๆ มานานปีอยู่หนึ่งคนนามว่าหลิ่วซื่อ มีน้องชายที่อายุน้อยกว่าสองปีอีกหนึ่งคน มิหนำซ้ำขายังไม่เท่ากันตั้งแต่กำเนิด จึงไม่สามารถไถนาปลูกข้าวได้ ด้วยใจเมตตาเลยรับนางเข้าทำงาน ปีนั้นไป๋ซูฟางเพิ่งจะเจ็ดขวบ
เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบทำได้เพียงช่วยล้างผักล้างจาน งานหนักอื่นๆ ล้วนทำไม่ได้ ด้วยกลัวว่าจะถูกเถ้าแก่ไล่ออก ไป๋ซูฟางจึงล้างผักล้างถ้วยได้เร็วกว่าแม่ครัวมาก ตอนเที่ยงก็ไม่กล้าพัก อาสาเฝ้าเตาให้ ด้วยเพราะหมู่บ้านหนิวหนานเป็นหมู่บ้านยากจน ผู้คนจึงจิตใจดี เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมและท่านป้าต้อนรับลูกค้าเห็นว่านางเป็นเด็กดีรู้ความ หากลูกค้ากินอาหารเหลือเยอะก็จะแบ่งให้นางเอากลับไปทุกครั้ง บนโต๊ะอาหารของสกุลไป๋ที่เคยมีแต่ผักกับหัวมันจึงเริ่มมีเนื้อสัตว์ แม้เป็นอาหารที่ลูกค้ากินเหลือไว้ แต่ทุกอย่างล้วนผ่านการเลือกมาจากท่านป้าในโรงเตี๊ยมแล้ว ทุกอย่างจึงยังดูสะอาดน่ากิน น้องชายไป๋ซูอิ๋นอยู่ในวัยกำลังโต หลังได้กินเนื้อสัตว์ ในที่สุดเขาก็สูงขึ้นจนเริ่มมีร่างกายสมกับวัย
วันเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้เรื่อยๆ หลายปีมานี้ไป๋ซูฟางตัวโตขึ้นหน่อยจึงออกไปต้อนรับแขกที่ด้านหน้าด้วย ช่วยห่อของว่าง ป้อนหญ้าม้า เติมน้ำ มีอะไรให้ทำก็ทำหมด
เด็กสาวมือเท้าคล่องแคล่ว รอยยิ้มพิมพ์ใจ หากเป็นลูกค้าที่ไม่เคยออกเดินทางไกล บางเรื่องไม่ทันได้ระวังนางก็จะให้การแนะนำทุกครั้ง ดังนั้นทุกวันนางจึงได้เงินรางวัลไม่น้อย อาศัยเงินรางวัลพวกนี้ไป๋ซูอิ๋นจึงได้เข้าเรียนในสำนักบัณฑิต ตอนนี้นางจ่ายค่าเรียนเดือนละหนึ่งตำลึงทุกเดือน นางส่งน้องชายไปเรียนที่สำนักบัณฑิตแห่งหนึ่งในจังหวัดเหมยฮวา กลับบ้านทุกสองเดือน อาจเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองขาไม่เท่ากัน ไม่สามารถทำงานอะไรได้ ทำได้เพียงศึกษาเล่าเรียน ไป๋ซูอิ๋นจึงตั้งใจเรียนกว่าเด็กคนอื่นสามส่วน ท่านอาจารย์ที่ให้คำชี้แนะบอกว่าแม้จะเริ่มเรียนช้า แต่เขาขยันหมั่นเพียร ยังนับว่ามีความหวัง สามารถอบรมขัดเกลากันได้
หลิ่วซื่อเห็นบุตรชายได้เรียนหนังสือ ซ้ำยังได้รับคำชมจากอาจารย์ บางทีอาจเป็นเพราะเห็นความหวังในอนาคต อาการป่วยจึงดีขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังไม่สามารถทำไร่ไถนาได้ แต่ก็สามารถลุกขึ้นมาเลี้ยงไก่ได้ หากบ้านไหนจะออกไปทำธุระไม่มีคนดูลูกให้ นางก็ไปช่วยดูแล ได้เงินมาอีแปะสองอีแปะ หรือใครจะเอาผักสองกำมาจ่ายแทนก็ได้ สกุลไป๋ค่อยๆ ประคับประคองกันเช่นนี้เรื่อยมา แม้บนโต๊ะจะไม่มีปลาตัวโต เนื้อชิ้นใหญ่ แต่ก็มีอาหารพอกินสามมื้อ
ไป๋ซูฟางจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่อาศัยอยู่จังหวัดเหมยฮวา เพื่อนบ้านส่วนใหญ่มักจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่กลัวคนที่ร้ายกาจกว่า ยังเคยพูดว่าที่ขาน้องชายของนางเป็นเช่นนี้เพราะมารดาของนางเป็นตัวเสนียด ห้ามหลิ่วซื่อไม่ให้ออกจากบ้านไปไหนมาไหนตอนกลางวัน เพื่อที่จะได้ไม่นำไออัปมงคลไปแพร่ให้คนอื่นๆ
ทว่าคนที่หมู่บ้านหนิวหนานต่างจริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ที่แห่งนี้มีทั้งแม่ม่ายพ่อม่าย ไม่มีใครบอกว่าใครอัปมงคล เรื่องที่เกิดล้วนแต่เป็นเพราะโชคไม่ดี ในเมื่อมีวาสนาได้มารู้จักกัน ก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไป บ้านไหนใครจะแต่งบุตรสาวหรือจะแต่งสะใภ้ก็ยกโขยงกันไปช่วย ใครจะสร้างบ้านสร้างช่องก็ดีใจไปกับพวกเขา
เพื่อนบ้านเห็นว่าหลิ่วซื่อเป็นสตรีตัวคนเดียวต้องเลี้ยงดูลูกสองคน ซ้ำบุตรชายยังพิการ ก็คิดว่าสวรรค์ช่างไม่เป็นธรรมกับนางเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นไป๋ซูฟางกับไป๋ซูอิ๋น ก็คิดว่าสวรรค์ยังไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น เด็กทั้งสองต่างเชื่อฟังและเป็นเด็กดีมาก ไป๋ซูฟางอายุสิบเจ็ดแล้ว เด็กสาวที่อายุเท่านางต่างก็ร่ำร้องจะแต่งงานกันตั้งนานแล้ว แต่นางกลับยังทำงานที่โรงเตี๊ยมซั่งพิ่น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อส่งเสียน้องชายให้ได้เล่าเรียน ช่างเป็นเด็กที่รู้ความยิ่ง
และก็เพราะการรู้ความนี้ สองปีมานี้จึงมีคนมาเปรยๆ กับหลิ่วซื่อว่าต้องการจะเกี่ยวดองด้วยไม่ขาด รู้ว่าไป๋ซูฟางยังมีภาระหนักก็ไม่ถือสา อย่างไรเสียบุตรชายของตนก็เพิ่งจะสิบเอ็ดสิบสอง รอบุตรชายอายุสิบห้า ไป๋ซูฟางก็อายุยี่สิบ ถึงตอนนั้นค่อยแต่งกันก็ได้ เพราะไป๋ซูฟางน่าจะหมดภาระแล้ว สามารถทุ่มเททั้งใจให้ครอบครัวสามีได้เต็มที่ การเป็นสามีภรรยากัน ถึงภรรยาจะอายุมากกว่าก็ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญคือฝ่ายหญิงต้องทำงานเก่ง ไป๋ซูฟางเป็นคนขยันซ้ำร่างกายยังแข็งแรง นับเป็นลูกสะใภ้ที่สมบูรณ์แบบ
แม้หลิ่วซื่อจะรู้ว่าถึงเวลาที่บุตรสาวควรต้องออกเรือนเสียที แต่ก็จำที่บุตรสาวสั่งเอาไว้ว่า อย่าคุยเรื่องแต่งงานให้นาง
หากพูดจากใจ ตอนที่ได้ยินลูกฟางสั่งเช่นนั้น นางถอนใจโล่งอก ใช่ว่านางไม่เคยคิด เกิดลูกฟางบอกว่าจะแต่งงาน แล้วนางควรจะตอบเช่นไร บอกว่า ‘ได้เลย แม่จะหาแม่สื่อจัดการให้เจ้า’ อย่างนั้นหรือ? ทว่าหากลูกฟางแต่งงานออกเรือนไปก็จะกลายเป็นคนของครอบครัวสามี ไม่อาจนำเงินทองกลับมาให้คนที่บ้านใช้ได้อีก เช่นนั้นค่าเล่าเรียนของลูกอิ๋นจะทำเช่นไร จะให้ลูกฟางขอเงินกับครอบครัวสามีคงไม่ได้กระมัง เช่นนั้นมิใช่เท่ากับสร้างปัญหาให้บุตรสาวหรอกหรือ
แต่ถ้าบอกว่า ‘เจ้าทำเพื่อน้องชาย แต่งงานช้าหน่อยได้หรือไม่’ นางก็พูดไม่ออกอีก ผู้หญิงยิ่งแต่งงานช้าก็ยิ่งหาคนดีๆ แต่งด้วยยาก หากอายุเลยยี่สิบไปก็เป็นได้แค่เมียใหม่ของพ่อม่าย ไม่ว่าฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเนื้อของตัวเอง นางอยากให้บุตรชายมีอนาคต แต่ก็ไม่อยากทำให้บุตรสาวต้องน้อยใจ ลูกฟางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง นางทำไม่ลง
โชคดีที่ไป๋ซูฟางรู้ความ นางมักจะยิ้มแย้มกล่าวว่า “ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้ว ลูกไม่น้อยใจเจ้าค่ะ”

***

ไป๋ซูฟางจัดอาหารแปดอย่าง น้ำแกงหนึ่งถ้วย แล้วข้าวอีกสามถ้วยใหญ่ลงบนโต๊ะ “นายท่านกินตอนร้อนๆ กันเถิดเจ้าค่ะ”
บุรุษหน้ากระมองอาหารบนโต๊ะ แล้วถามอย่างไม่ค่อยพอใจ “อาหารพวกนี้แพงที่สุดแล้วหรือ”
ลูกค้าที่จู้จี้จุกจิกนางพบมามากแล้วจึงไม่รู้สึกกลัว ข้าศึกบุกก็แค่หาวิธีมารับมือไป “นายท่าน ท่านอย่าเห็นว่าอาหารมีแค่ไม่กี่อย่าง อาหารแปดจานนี้มีครบทุกรสชาติ มีทั้งอาหารป่า อาหารทะเล หน่อไม้ที่โตในดิน ผักกาดขาวและปวยเล้งที่โตบนดิน ยังมีถั่วงอกที่ปลูกด้วยน้ำอีกต่างหาก นายท่านทั้งหลายขี่ม้ากันมาทั้งวัน ผักกาดเขียวนี่สามารถรักษาบาดแผลฟกช้ำและอาการปวดข้อต่อได้ ระหว่างทางได้กินสิ่งนี้ย่อมดีที่สุด นี่เป็นอาหารตำรับที่พ่อครัวใหญ่ของโรงเตี๊ยมเราคิดค้นร่วมกับท่านหมอเชียวนะเจ้าคะ”
บุรุษหน้ากระคิดไม่ถึงว่านางจะร่ายออกมายาวเหยียด “ข้าพูดแค่สองประโยคเจ้ากลับตอบเป็นชุด แต่ผักกาดเขียวนี่มีสรรพคุณดีขนาดนั้นจริงหรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นอาหารจานพิเศษของพ่อครัวใหญ่จ้าวเชียวนะเจ้าคะ นานๆ จะทำขึ้นโต๊ะสักครั้ง กระทั่งในรายการอาหารที่ชั้นล่างยังไม่มีอาหารจานนี้เลยเจ้าค่ะ”
“เอาละ อย่ามัวแต่พูด กินกันได้แล้ว” น้ำเสียงเย็นเยียบของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ท่านหมอที่พวกเราสั่งให้หาจะมาถึงเมื่อไร”
“คำนวณเวลาดูก็น่าจะใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอโอวหยางมีลาอยู่ตัวหนึ่ง ไม่น่าจะเสียเวลาเดินทางนานเท่าใด”
“เจ้าไปเร่งให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเร่งให้ประเดี๋ยวนี้ นายท่านโปรดรอสักครู่” ไป๋ซูฟางค้อมกายเตรียมถอยหลังออกไป นางยังคงก้มศีรษะ “หากนายท่านยังต้องการสิ่งใด แค่ดึงกระดิ่งนี่ก็พอ เชือกเส้นนี้ยาวถึงโถงใหญ่ หากคนงานได้ยินเสียงก็จะมีคนมาทันที”
หลังปิดประตูไป๋ซูฟางก็ถอนใจโล่งอก นี่มิใช่แขกพิเศษธรรมดา แต่เป็นพวกที่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา เจ้าของสุ้มเสียงเย็นชาสวมรองเท้าหนังหุ้มข้อลวดลายซับซ้อน ด้ายที่ใช้เย็บบางส่วนเป็นด้ายทอง คนที่แม้แต่รองเท้ายังประณีตหรูหราเช่นนั้นย่อมมิใช่คนธรรมดา หากนางปรนนิบัติได้ดี ตอนที่คืนห้องต้องได้เงินรางวัลก้อนใหญ่แน่ เช่นนี้นางก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงินค่าเรียนของซูอิ๋นอีก แต่ว่าพวกเขาเป็นใครกันนะ?
แม้นางจะไม่เคยเห็นใครอีกนอกจากพวกเขาสองคน แต่กลิ่นเลือดที่ลอยคลุ้งในอากาศก็ไม่สามารถโกหกกันได้ คนที่ได้รับบาดเจ็บน่าจะเป็นบ่าวติดตามเช่นกัน เพราะแม้เจ้าของสุ้มเสียงเย็นชานั่นจะเป็นห่วง แต่ก็มิได้ร้อนใจ หากคนที่ได้รับบาดเจ็บมีฐานะสูงกว่าเขา เขาย่อมไม่สุขุมเยือกเย็นเช่นนี้แน่ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาสามคนมีเจ้านายหนึ่งบ่าวรับใช้สอง บ่าวรับใช้คนหนึ่งตะกละ ส่วนอีกคนได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ ผู้เป็นนายเป็นห่วงลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าเรื่องกิน
ไป๋ซูฟางเดินลงมาข้างล่าง เดินผ่านสวนอีกครั้งถึงมายังโถงด้านหน้า เพื่อความสงบของแขกห้องพิเศษ นางให้พวกเขาพักในห้องที่อยู่ห่างจากโถงใหญ่มากที่สุด
เมื่อช่วงมื้ออาหารมาถึง โรงเตี๊ยมซั่งพิ่นก็มีคนเข้ามานั่งเกือบเต็ม คนที่มาทานอาหารก็ทานอาหาร ที่มาดื่มสุราก็ดื่มสุรา ครึกครื้นจนดูเหมือนวุ่นวาย และก็เพราะวุ่นวายจึงกลัวฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้ยินที่ตัวเองพูด พวกเขาเลยตะโกนใส่กันไปมา ใครคนหนึ่งพูดว่าภรรยาคลอดได้ลูกชายตัวอ้วนกลม ในที่สุดก็บอกกล่าวบรรพบุรุษได้เสียที เขาดีใจมาก ถ้ากลับไปจะสั่งทำกำไลทองให้ภรรยาวงหนึ่ง อีกคนก็เลยบอกว่าตัวเองได้ลูกสาวติดกันถึงสี่ท้อง ไปไหว้พระบนบานศาลกล่าวก็ไม่ได้ผล ถามอีกฝ่ายว่าให้ภรรยากินอะไรบ้าง ไฉนจึงได้ลูกชายตั้งแต่ท้องแรก โต๊ะข้างๆ ก็รีบหันมาร่วงวงด้วยเพราะอยากจะได้สูตรลับเช่นกัน
ไป๋ซูฟางเดินผ่านโถงใหญ่ที่เสียงอึกทึกจอแจ พุ่งตรงไปยังโต๊ะคิดเงิน “เถ้าแก่เซิ่ง แขกถามถึงท่านหมอเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่เซิ่งเลิกคิ้ว “อาเฟิงยังไม่พาคนกลับมาอีกหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ ข้าเองก็คิดว่าน่าจะถึงได้แล้ว ลาของท่านหมอโอวหยางวิ่งได้เร็วมาก ไม่น่าจะช้าเช่นนี้ นี่ก็ตั้งครึ่งชั่วยาม แล้ว”
ขณะเถ้าแก่เซิ่งกำลังจะพูดบางอย่าง หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินตัวคลุกฝุ่นเข้ามา จึงสลัดไป๋ซูฟางทิ้งไปอีกทางแล้วรีบเดินเข้าไปต้อนรับ “ทางนี้ขอรับ นายท่านทั้งหลาย เชิญเลยๆ”
“บะหมี่เนื้อห้าถ้วยใหญ่ สับไก่มาตัวหนึ่ง แล้วห่อหมั่นโถวให้สามสิบลูก ช่วยเติมน้ำที่ถุงน้ำข้างอานม้า แล้วก็ป้อนน้ำป้อนหญ้าม้าสักหน่อย”
ไป๋ซูฟางกุลีกุจอไปยังห้องครัวพลางตะโกนลั่น “บะหมี่เนื้อห้าถ้วยใหญ่พิเศษ ไก่หนึ่งตัว”
พ่อครัวใหญ่ไม่มีเวลามาสนใจนาง รองพ่อครัวเป็นคนรับแทน นางเดินออกมาจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ตรงมายังเพิงที่ใช้ผูกม้าของโรงเตี๊ยม เทหญ้าสองถังลงในกระบะ อาชาห้าตัวที่กินน้ำเรียบร้อยขยับเข้ามาเคี้ยวหญ้าคำใหญ่ จากนั้นนางก็ปลดถุงน้ำที่ทำจากหนังแกะลงมา แล้วเปิดโอ่งน้ำ เติมน้ำทีละถุง
โรงเตี๊ยมมีคนงานไม่มาก คนงานหนึ่งคนทำหลายหน้าที่ ถึงจะยุ่งแต่นางก็รู้สึกซาบซึ้งเถ้าแก่เซิ่งอยู่ดี ในตอนที่นางต้องการเงินมากที่สุด เขามอบงานนี้ให้กับนาง นางจึงสามารถเลี้ยงดูคนที่บ้านต่อไปได้
เพิ่งจะเติมน้ำห้าถุงและผูกกลับไปเสร็จ ไป๋ซูฟางก็ได้ยินเถ้าแก่เซิ่งตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เสี่ยวไป๋ กระดิ่งดังแล้ว รีบขึ้นไปดูเร็วเข้า”
หากถามว่าข้อเสียของเถ้าแก่เซิ่งผู้นี้คืออะไร ก็คือการที่เรียกนางว่า ‘เสี่ยวไป๋ ’ เนี่ยล่ะ ไม่ว่าจะฟังเช่นไรก็รู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่น ถึงนางจะใช้ชีวิตดิบห่ามเช่นไร แต่กระนั้นก็ถือเป็นสตรีคนหนึ่ง จะเรียกชื่อนางกลางห้องโถงก็กระไรอยู่ ตัวนางเองไม่สนใจหรอก ทว่าซูอิ๋นเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักบัณฑิตซึ่งถือกฎเกณฑ์เป็นที่สุด หากคนอื่นรู้ชื่อจริงของพี่สาวเขากันไปทั่ว คงจะเป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับเขาไม่น้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงให้เถ้าแก่เรียกนางว่าเสี่ยวไป๋
ไป๋ซูฟางเช็ดมือให้แห้ง แล้วเดินผ่าโถงใหญ่ขึ้นไปชั้นบน
อาเฟิงไปอยู่ที่ใดกันนะ ท่านหมอควรจะมาถึงตั้งนานแล้วสิ ไฉนป่านนี้จึงยังไม่มาสักที?
ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้นเสียงของอาเฟิงก็ดังมาจากด้านหลัง “เสี่ยวไป๋”
“เจ้ากลับมาสักที!” ไป๋ซูฟางหมุนกายกลับอย่างดีใจ ทว่ากลับพบอาเฟิงเพียงคนเดียว ท่านหมอโอวหยางเล่า? เขาไม่มาหรือ คนไม่อยู่ด้านหลัง แล้วไฉนในมือของอาเฟิงจึงมีล่วมยาของท่านหมอโอวหยางได้?
“เมื่อเช้าท่านหมอโอวหยางตกบันได ตอนนี้ยังเวียนศีรษะอยู่ ไม่อาจออกมาตรวจได้ ข้าบอกอาการคร่าวๆ กับเขา เขาบอกว่าได้รับบาดเจ็บภายนอกไม่อันตรายมาก ให้กินยาดูอาการไปก่อน แล้วพรุ่งนี้เขาหายเวียนศีรษะแล้วจะมาดูให้ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารีบขนาดไหน หกล้มระหว่างทางด้วย”
หากเป็นคนทั่วไปบางทีอาจไม่เป็นไร แต่สำหรับแขกในห้องพิเศษ ไป๋ซูฟางรู้ว่าแย่แน่
แล้วก็เป็นดังคาด พอเจ้าของเสียงเย็นชาผู้นั้นได้ยินว่าพรุ่งนี้ท่านหมอถึงจะมาได้ก็แสดงอาการไม่พอใจทันที สุ้มเสียงต่ำลงหลายส่วน “ข้าให้เวลาเจ้าอีกครึ่งชั่วยาม ไปแบกเขามาประเดี๋ยวนี้”
“มิใช่เช่นนั้นนะขอรับนายท่าน” อาเฟิงทำหน้าลำบากใจ “ท่านหมอโอวหยางไม่ได้หกล้มธรรมดา ศีรษะเขาเลือดออกด้วย กระทั่งลุกเดินยังทำไม่ไหว ถึงจะแบกเขามาก็ไม่มีประโยชน์อันใด เขาบอกว่าเวียนศีรษะมาก ตรวจอะไรไม่ไหวทั้งสิ้น ไม่สู้ท่านลองดูว่ามียารักษาอาการบาดเจ็บที่สามารถกินได้หรือไม่ แล้วอีกสักพักข้าค่อยให้ภรรยาของข้าไปดูอีกที”
“นั่นสิเจ้าคะนายท่าน ไม่สู้กินยาไปก่อน แล้วอีกสักพักค่อยให้ภรรยาของอาเฟิงไปดูอีกที หากท่านหมออาการยังไม่ดีขึ้น พรุ่งนี้ข้าจะไปลากเขามาตั้งแต่ไก่โห่เอง” ไป๋ซูฟางเปิดล่วมยาของท่านหมอโอวหยาง ไม่พูดไม่ได้ว่าเขามีของครบครันทีเดียว “นายท่าน ท่านดูนี่ มียารักษาอาการบาดเจ็บหลายตัวเลย บาดแผลตื้นใช้ตัวนี้ หากรอบแผลบวมแดงต้องใช้ขวดนี้ หากมีหนองร่วมด้วยต้องใช้ตัวนี้ เม็ดนี้รักษาอาการเลือดคั่ง ใช้ครั้งละหนึ่งเม็ดละลายกับน้ำแล้วค่อยกิน กินทุกสองชั่วยาม ไม่รู้ว่าบาดแผลของนายท่านที่นอนอยู่บนเตียงเป็นเช่นไร แต่ลองดูก่อนเถิด แล้วเลือกยาให้เขากินเสีย”
เจ้าของเสียงเย็นชาขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เลือกขวดที่ใช้รักษาแผลลึกไป
บุรุษหน้ากระแย่งขวดไปถือเอง “นายท่าน ให้ผู้น้อยเป็นคนทำเถิด”
ไป๋ซูฟางรู้หน้าที่ของตัวเอง นางรีบเทยาขับเลือดคั่งลงในถ้วยน้ำดื่มแล้วเทน้ำ ใช้ไม้เสียบหัวธงค่อยๆ คนให้ละลาย
ครั้นแกะผ้าพันแผลออก กลิ่นคาวเลือดก็ลอยคลุ้ง ไป๋ซูฟางไม่กลัว แต่อาเฟิงกลับคล้ายจะเป็นลม เขาเอามือปิดจมูกแล้วพุ่งตัวออกไปนอกห้อง
ชาติที่แล้วนางเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ ตอนที่คุณหมอผ่าตัดนางต้องอยู่ข้างๆ คอยยื่นสำลีกับถือท่อคอยดูดเลือด ดังนั้นกลิ่นนี้กับผ้าพันแผลที่ตกอยู่ข้างเตียงจึงไม่สามารถทำให้นางกลัวได้
ชาติที่แล้ว...ช่างห่างไกลเหลือเกิน นางมาอยู่ที่แคว้นตงรุ่ยนี่ได้สิบเจ็ดปีแล้ว
อย่าไปคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนเลย คิดแค่ปัจจุบันก็พอ ตั้งสติ!
บุรุษเจ้าของเสียงเย็นชามองบุรุษหน้ากระใส่ยาให้คนบนเตียงจนเสร็จ แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงดำเป็นก้นกระทะ หลังพันแผลเรียบร้อยเขาก็เดินมาที่ล่วมยาแล้วรื้อดูของด้านใน จู่ๆ เขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา “ในชนบทห่างไกลเช่นนี้ หมอคนหนึ่งกลับมีเข็มห่วงกลมกับด้ายเปลือกหม่อนเสียด้วย” น้ำเสียงของเขาฟังคล้ายกำลังดีใจเล็กน้อย
ไป๋ซูฟางมองแวบหนึ่ง อ้อ มันก็คือเข็มกับด้ายที่ใช้ในการผ่าตัดของยุคโบราณนั่นเอง คิดๆ ดูแล้วก็น่าภูมิใจเช่นกัน “วิชาแพทย์ของท่านหมอโอวหยางนับว่าไม่เลว เพื่อนบ้านของข้าคนหนึ่งถูกสัตว์ป่ากัดเข้าที่ขาตอนออกไปล่าสัตว์ บาดแผลใหญ่กว่าปากถ้วยเสียอีก ท่านหมอโอวหยางเย็บให้ เดือนกว่าก็หายแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้ท่านโชคไม่ดี เขาหกล้มศีรษะแตก มิเช่นนั้นคงใช้วิชาเย็บผสานให้ท่านไปแล้ว” ยุคโบราณก็มียาชาเช่นกัน เพียงแต่ผลลัพธ์ไม่ดีเท่ายุคปัจจุบันเท่านั้น
“ไฉนจึงไม่มีแหนบ?”
“ไม่มีอะไรหรือ? อาเฟิงบอกว่าเขาหกล้มระหว่างทาง คงเพราะรีบ ตอนที่ลุกขึ้นจึงไม่ได้เก็บของมาทั้งหมด”
“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” เจ้าของเสียงเย็นชายัดของใส่มือนาง “เจ้ามาเย็บสิ”
ไป๋ซูฟางยืนอึ้งไปชั่วขณะจิต “ข้า?”
“เจ้านั่นล่ะ”
“ข้าเย็บไม่เป็น”
“ข้าสอนเจ้าเอง”
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ตัวเองทำเป็นแต่กลับจะให้นางเป็นคนทำ “ชะ เช่นนั้นนายท่านเป็นคนทำเองไม่ดีกว่าหรือ”
“ไม่มีแหนบก็ต้องใช้มือจับเข็มห่วงกลม มือข้าใหญ่เกินไปทั้งยังแข็งด้าน จับของเล็กๆ ไม่อยู่ สตรีมือเล็ก ใช้มือจับได้พอดี ไม่ยาก เหมือนปักผ้านั่นล่ะ”
นายท่าน มันแตกต่างกันคนละโยชน์เลยเถอะ เนื้อคนกับผ้าบนสะดึงมันจะเหมือนกันได้เช่นไร อีกอย่างหากนางเย็บไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วคนบนเตียงเจ็บจนฟื้นขึ้นมา นางจะตกใจตายเอาได้นา
“เจ้าเย็บเสร็จข้าจะให้สิบตำลึง”
อะไรนะ? สะ สิบตำลึง! ได้ นางเย็บเอง




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
บิดาทิ้งมารดาไว้ที่ชนบทแสนกันดาร เงินที่มีในบ้านถูกใช้จนหมด น้องชายซึ่งขาพิการแต่กำเนิดก็ต้องเรียนหนังสือ ซ้ำมารดายังป่วยออดๆ แอดๆ ไป๋ซูฟางจึงต้องไปทำงานแลกเงินที่โรงเตี๊ยมตั้งแต่เจ็ดขวบ โชคดีที่ข้างกายมักมีคนใจดีคอยช่วยเหลือเสมอ วันหนึ่งมีแขกคนสำคัญมาเข้าพักในห้องพิเศษ ให้สิบตำลึงแต่ต้องช่วยเย็บแผลให้ผู้ติดตามของเขาจะทำหรือไม่ทำ แน่นอนว่าต้องทำอยู่แล้ว! ประสบการณ์การเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ก่อนข้ามภพมาช่วยนางได้ไม่น้อยทีเดียว

เพราะได้เงินมาจากนายท่านผู้นั้น น้องชายนางถึงมีเงินไปสอบเข้ารับราชการ พอน้องชายสอบผ่านตระกูลของบิดาก็รีบส่งคนมารับ หากไม่เห็นแก่มารดาและน้องชาย นางไม่มีทางยอมกลับแน่ๆ ทว่าเมื่อได้เป็นคุณหนูแล้วนางกลับต้องคอยรับมือทั้งมารดาใหญ่และน้องสาวต่างมารดา แถมพอไปเป็นแขกที่จวนอ๋องก็ดันพบความลับสำคัญเข้าอีก จวิ้นอ๋องที่ใครต่อใครบอกว่าสติไม่ดีผู้นั้น ไฉนจึงหน้าตาเหมือนนายท่านคนนั้นกันนะ? มิหนำซ้ำเขายังยื่นข้อเสนอให้นางเป็นชายาของเขาอีก!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”