New Release BLY แปล : เปลี่ยนมารร้ายให้พ่ายรัก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : เปลี่ยนมารร้ายให้พ่ายรัก

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเป็นเช่นนี้
ณ ตำหนักหลัวฝูแห่งวิถีสวรรค์
นั่นคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผู้หนึ่ง สวมชุดสามัญชน สะพายห่อผ้าไว้บนบ่า กำลังรีบรุดมาจากที่ใดสักแห่งในสภาพเหน็ดเหนื่อยจากการรอนแรมเดินทาง
เขาก็คือหลัวเสี่ยวโหลว ตัวละครหลักในเรื่องราวคราวนี้ของเรา
หลัวเสี่ยวโหลวซบบนหลังกระเรียนสวรรค์ บินผ่านประตูยมโลกทะลุสวรรค์ชั้นเก้ามาถึงยังภพภูมิชั้นบน ตลอดทางที่มานับว่าราบรื่นดี เมื่อมาถึงด้านนอกประตูตำหนัก ชายหนุ่มลงจากหลังกระเรียนสวรรค์ มองพื้นอย่างระแวดระวังซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะหย่อนเท้าลง ที่ตรงนี้ไหนเลยจะมีอิฐปูพื้นอันใด เห็นเพียงควันสีขาวลอยหมุนเป็นเกลียววนขึ้นเท่านั้น ตัวคนคล้ายดั่งร่วงลงไปถึงเขตชั้นเมฆมิปาน หลัวเสี่ยวโหลวทอดถอนใจว่า...ผู้วิเศษบนสวรรค์นั้นเหยียบย่างอยู่บนเมฆจริงๆ ด้วย
เวลานี้เองกระเรียนสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงร้องลากยาว หลัวเสี่ยวโหลวเหลียวหลังกลับไปทันควัน จากนั้นก็เห็นเขาแกะห่อสัมภาระออกแล้วรื้อค้นอยู่นานสองนาน ก่อนจะหยิบถุงใบหนึ่งออกมา...เอ่อ
เขาชี้ตัวอักษร ‘พิทักษ์มังกร’ สองตัวบนถุงนั้นแล้วกล่าวกับกระเรียนสวรรค์ “ของสิ่งนี้ชื่อว่าล่าเถียว ปรุงจากโลกมนุษย์ ที่ยมโลกนับว่าเป็นของล้ำค่าหายากอย่างหนึ่ง” จากนั้นจึงมอบขนมทานเล่นนี้แก่กระเรียนสวรรค์ด้วยความ ‘กตัญญูรู้คุณ’ เพียงเห็นวิหควิญญาณคาบล่าเถียวถุงนั้นไว้ในปากแล้วสะบัดหาง ก่อนจะหันคอโผบินไปยังสวรรค์ชั้นเก้าอย่างเย่อหยิ่ง
จนกระทั่งกระเรียนสวรรค์บินไปไกลแล้ว หลัวเสี่ยวโหลวอุ้มห่อสัมภาระขึ้นมาด้วยสองมือพลางหันหน้ากวาดมองสถานที่นี้โดยรอบ...เดิมเขารับตำแหน่งอยู่ที่ยมโลก ทำงานจิปาถะภายใต้อาณัติของพญายม ความต่างชั้นของหน่วยงานประตูยมโลกกับตำหนักหลัวฝูแห่งวิถีสวรรค์นั้น พอๆ กันกับที่ทำการสาขากับกองบัญชาการกลางของพรรคสังคมนิยมเลยทีเดียว ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะโชคดีถึงเพียงนี้...
“น้องหลัวสินะ?”
เสียงร้องทักแว่วมากลางอากาศอย่างฉับพลัน หลัวเสี่ยวโหลวหันมองไปตามเสียงทันใด ร่างครึ่งท่อนล่างลอยอยู่เหนือปุยเมฆขาวก้อนหนึ่ง หนวดเคราสีขาวยาวระพื้น ให้ความรู้สึกล่องลอยของเซียนผู้วิเศษจากแดนไกล
หลัวเสี่ยวโหลวรีบประสานมือคารวะ “ผู้น้อยหลัวเสี่ยวโหลว แล้วท่านคือ...”
ชายชราลูบเคราขาว “ตามข้ามา”
หลัวเสี่ยวโหลวหุบปากสนิทรีบเดินตามไป แม้สายตามิได้ว่อกแว่กตลอดทาง กลับยังรู้อีกว่าทัศนียภาพอันสวยงามโดยรอบนี้ยังอยู่ในเขตแดนเซียนที่แท้จริง

ผู้เฒ่าเทียนจีพาคนมาถึงหอดารา หลัวเสี่ยวโหลวเงยหน้าไปจึงเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากระดานจักรราศีขนาดมหึมา
บุรุษผู้นั้นใบหน้าเย็นชา หล่อเหลาแลดูสูงส่งเหนือผู้คนนับหมื่นลี้ ตรงหว่างคิ้วยังแต้มลายดอกปทุมมาศดอกหนึ่ง มิได้งามเย้ายวน หากกลับแลดูเยือกเย็นเป็นที่สุด ราวกับบัวหิมะบนยอดเขาสูง มิอาจใกล้ชิดสนิทสนมโดยง่าย คนผู้นี้ก็คือเทพดาราฉงถิงผู้เป็นนายแห่งตำหนักหลัวฝู
กล่าวกันว่าท่านเทพดาราผู้นั้นกลายร่างมาจากดอกปทุมดอกหนึ่งบนฝ่ามือของเทพแห่งวิถีสวรรค์ รับหน้าที่ลิขิตดวงชะตา อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่โดดเด่นในบรรดาอนุชนรุ่นสองของทวยเทพ
หลัวเสี่ยวโหลวคารวะผู้เป็นนายเหนือหัวอย่างพินอบพิเทา ทว่าน่าเสียดายที่เวลานี้เทพดารากำลังยุ่งจนไม่มีเวลามาสนใจเขา
เทพดาราฉงถิงมองกระดานจักรราศีอย่างประเมิน สีหน้าลึกล้ำสุดหยั่ง
กระดานจักรราศีแผ่นนั้นละเอียดยิ่งนัก การเกิดแก่เจ็บตายของสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ไปจนถึงโชคลาภเคราะห์ร้าย ความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของฟ้าดินล้วนขึ้นอยู่กับมันทั้งสิ้น เวลานี้บนกระดานจักรราศีมีดวงดาราสีแดงสดใสดวงหนึ่งกำลังส่องแสงสุกสกาวยิ่ง หากกลับมีไอสีดำกลุ่มหนึ่งล้อมรอบอยู่ด้วย ทุกตำแหน่งที่มันเฉียดผ่านไม่มีจุดใดไม่หม่นมัวว่างเปล่า
หลัวเสี่ยวโหลวเบิกตากว้าง...ตายแล้ว นั่นมันดาววิบัตินี่นา!
ที่เรียกว่าดาววิบัตินั้น ก็คือสิ่งมีชีวิตที่แบกรับความชั่วร้ายของวิถีสวรรค์อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อดาววิบัติจุติลงไปยังโลก ก็จะก่อเภทภัยแก่อาณาประชาราษฎร์สร้างความวุ่นวายบนโลกมนุษย์ ในวันที่ถือกำเนิดดวงชะตาจะเป็นอัปมงคลแก่บิดามารดา เมื่อเติบโตขึ้นจะทำให้โลหิตไหลนองเป็นสายธารสร้างความโกลาหลแก่บ้านเมือง หากเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ นั่นก็คือตัวหายนะของสังคมที่จ้องใครคนนั้นก็เคราะห์ร้าย ไม่ตายก็พิการ!
ครั้นเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเทพดารา ก็รู้สึกว่าดาววิบัติดวงนี้มิใช่ธรรมดาสามัญเด็ดขาด แม้แต่คนงานชั่วคราวอย่างหลัวเสี่ยวโหลวก็ยังรู้สึกว่าดาวหางดวงนี้เปล่งประกายเจิดจ้าเสียจนแสบตาเกินไปแล้ว...เอ๊ะ หางของมันยังเจือแสงสีทองสายหนึ่งด้วยหรือนี่
ดาววิบัติดวงนี้...หรือว่าจะเป็นมังกรจุติลงไป!
ฝ่ายหลัวเสี่ยวโหลวแม้จะจ้องจนนิ่งอึ้งตะลึงงัน ทักษะคาดเดากลับไม่เลว หลังจากขบคิดใคร่ครวญดูกลับพอจะเดาได้ถึงแปดเก้าส่วนทีเดียว
“หลัวเสี่ยวโหลว“ เทพดารากล่าวเสียงเย็น “ตามข้าเข้ามา”
หลัวเสี่ยวโหลวกระวีกระวาดตามไป พวกเขามาถึงศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง คิดว่าคงเป็นสถานที่ที่เซียนผู้วิเศษมักใช้ประชุมหารือกัน และคิดว่าด้วยเพราะเทพเซียนบนสวรรค์นิยมละเว้นการทานธัญพืชทั้งห้าเพื่อบำเพ็ญพรต บนโต๊ะจึงไม่มีแม้กระทั่งน้ำให้ดื่มชุ่มคอ
เมื่อคนใหม่มารับตำแหน่ง คนเก่าที่ศักดิ์สูงกว่าจะอวดเบ่งแสดงอำนาจนั้นก็เป็นเรื่องปกติ หลัวเสี่ยวโหลวจึงทำท่าพินอบพิเทาเตรียมล้างหูรอฟังคำสั่งสอนอย่างถ่อมตน กลับนึกไม่ถึงว่าเทพดาราฉงถิงจะทำสีหน้าขึงขังจริงจัง ประโยคแรกที่กล่าวเปิดประเด็นกลับเป็น “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
คำว่า ‘นานมาแล้ว’ ออกจากปากเทพดารา เช่นนั้นคงต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มานานแสนนานแล้วเป็นแน่...
ยามนั้นภพภูมิชั้นบนมีมังกรทองตัวหนึ่ง มังกรทองตัวนั้นเป็นที่รักใคร่ของเทพเซียนบนสวรรค์ ทั้งบุคลิกและความสามารถล้ำเลิศไร้ขอบเขต เหล่าเทพธิดาที่อยากจะมีลูกลิง กับเขา...ไม่ใช่สิ อยากจะมีมังกรทองตัวน้อยกับเขานั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ไหนเลยจะคิดว่าพวกนางพาตัวเองมาส่งถึงปากมังกรทองแล้วเขากลับไม่กิน แต่กลับไปถูกใจเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่โลกมนุษย์เข้า
น่าเสียดาย ในยุคนั้นความคิดยังมิได้เปิดกว้างเหมือนเช่นตอนนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานะของมังกรทอง ไหนเลยจะรักใคร่ชอบพอผู้ใดได้อย่างอิสรเสรี แต่ทว่ามังกรทองไม่สนใจกฎเกณฑ์ของเบื้องบนแม้แต่น้อย เพื่อมนุษย์ผู้นี้แล้วไม่เพียงจะละทิ้งความเป็นเทพ ยังแก้ไขบันทึกดวงชะตา ยังผลให้ดวงชะตาที่วิถีสวรรค์กำหนดไว้พลิกกลับตาลปัตร หนุนนำบัณฑิตยากไร้อายุขัยสั้นให้กลายเป็นประมุขแห่งแคว้นใหม่
แต่กระนั้นความละโมบของมนุษย์กลับไร้ที่สิ้นสุด
มนุษย์ผู้นั้นภายหลังจากขึ้นเป็นประมุขแห่งใต้หล้ากลับคิดตีเสมอเบื้องบน อยากเสาะแสวงหาความเป็นอมตะ คิดเพ้อฝันไร้สาระว่าตนเองจะอายุยืนตราบจนชั่วฟ้า ครั้นแล้วจึงฝากความหวังนั้นมาที่มังกรทอง
มังกรทองคืออะไรนะหรือ? นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตที่คาบช้อนทองมาแต่เกิด กำเนิดจากแก่นจิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่แบกขุนเขาธาราและฟ้าดินเอาไว้! หากกินเนื้อมังกรทองแล้ว นั่นยังบำรุงร่างกายได้ดีกว่าเนื้อพระถังซัมจั๋งเสียอีก! ฝ่ายมังกรทองแม้แจ้งใจดีว่าคนรักวางแผนลอบทำร้ายกลับยังไม่ยอมถอดใจ เชื่อมั่นอย่างสุดซึ้งว่าความรักของตนจะเปลี่ยนแปลงเขา ปลุกจิตสำนึกอันดีงามในใจของเขาขึ้นมาได้ หารู้ไม่ว่าความรักนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว ได้แต่เพียงคิดคะนึงแต่มิอาจตามกลับมา ด้วยเหตุฉะนี้มนุษย์ผู้นั้นจึงร่วมมือกับปีศาจจัดการฝังมังกรทองอย่.
ช้าก่อนๆ เรื่องนี้มีปัญหา มังกรทองมิใช่นายทั้งบนฟ้าและใต้พิภพหรอกหรือ ไฉนบอกว่าจะฝังก็ถูกฝังได้เลยเล่า
ที่แท้ไม่ว่าจะมังกรทองหรือมังกรเงินก็สามารถมีจุดอ่อนได้ตามกฎของธรรมชาติเช่นกัน...กล่าวโดยสรุปคือ ทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมคืนสนอง ฝ่ายมนุษย์ผู้นั้นแย่งชิงหอกมารอันหนึ่งมาจากมือปีศาจ ซึ่งเจ้าของเล่นชิ้นนี้แช่อยู่ในแอ่งโลหิตของเผ่าปีศาจนับร้อยนับหมื่น ผ่านการขัดเงาถึงสามร้อยปีเต็มจึงแบกรับปราณอาฆาตสูงเทียมฟ้าไว้ มนุษย์ผู้นั้นสบโอกาสตอนที่มังกรทองไม่ระวัง แทงหอกทะลวงอกข้างซ้ายของเขา ปราณอาฆาตนับไม่ถ้วนพุ่งมาปะทะโดยตรง สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่วิญญาณของมังกรทอง
เล่าลือกันว่า มนุษย์ผู้นี้เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของมันจึงมิได้สังหารมังกรทองเลยเสียทีเดียว แต่เฉือนเนื้อกรีดกระดูกมังกรทองทั้งที่ยังเป็นๆ ดื่มกินเลือดเนื้อของเขา ด้วยความที่ร่างจริงของมังกรทองนั้นใหญ่มหึมา มนุษย์ผู้นั้นจึงเชื้อเชิญขุนนางคนสนิทตลอดจนสนมที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่มาร่วมเสพสุขโดยพร้อมเพรียงกัน...
ความแค้นของมังกรทองยากจะลบล้าง ท้ายที่สุดในวันที่สี่สิบเก้าของการถูกพันธนาการก็ได้ปลดปล่อยพลังเทพเสี้ยวสุดท้ายทำลายคุกคุมขัง โทสะของมังกรเทพกลืนฟ้าบดบังจันทรา ผู้คนเหล่านั้นที่ทำร้ายเขาถูกทรมานจนอยู่ก็มิได้ตายก็มิได้ ทั้งยังทำให้โลกมนุษย์ปราศจากแสงเดือนแสงตะวันถึงสิบปีเต็ม น้ำแข็งหนาวเหน็บปกคลุมทั่วผืนแผ่นดิน พืชหญ้าไม่แตกหน่อ เสียหายแทบจะราบเป็นหน้ากลอง
ภพภูมิชั้นบนได้ส่งทหารฟ้าขุนพลสวรรค์นับแสนลงมา สิ้นเปลืองแรงกายไปมากโขกว่าจะควบคุมตัวมังกรทองไปยังพระตำหนักกลางได้ ยามนั้นคุณชายผู้คล่องแคล่วฉับไวเมื่อแรกเริ่มได้เข้าสู่ด้านมืดอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นจอมมารไปเสียแล้ว ถลำลึกไปถึงขั้นที่บิดาบังเกิดเกล้ายังเหลืออด แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังเป็นบุตรชายในไส้ที่บิดารักและทะนุถนอมมากที่สุด สุดท้ายจักรพรรดิสวรรค์ยังเห็นแก่สายสัมพันธ์ส่วนตัว เพียงตัดสินให้เขาลงไปอยู่นรกบนดิน รับความทุกข์ยากลำบากกาย รอจนเขาตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิง ปรับปรุงตัวเสียใหม่ค่อยกลับคืนสู่ภพภูมิชั้นบน
“มังกรทองเผชิญอุปสรรคนานัปการบนโลกมนุษย์แล้วยังฝืนยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ได้ จิตใจอันมุ่งมั่นไม่ท้อถอยของเขานี้แม้แต่ข้าผู้เฒ่าก็ยังเทียบไม่ติดฝุ่นเลย...” ผู้เฒ่าเทียนจีทอดถอนใจด้วยความโศกเศร้าไปกับชะตากรรมของพวกเดียวกันอย่างเลี่ยงมิได้
หลัวเสี่ยวโหลวเองพอจะทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของเรื่องนี้บ้างแล้ว ถึงจะพูดว่าสภาพอันยับเยินไม่มีชิ้นดีของมังกรทองนั้นชวนให้ผู้คนร่ำไห้สะอึกสะอื้นจริง แต่สิ่งที่เขาสะเทือนใจมากที่สุดหลังจากได้ฟังยังเป็นความฉลาดทางเชาวน์ปัญญาของตาเฒ่าจักรพรรดิสวรรค์...แนวคิดนี้ออกจะพิสดารเกินไปสักหน่อย
วิญญาณแค้นที่ความร้ายกาจพุ่งสูงเทียมฟ้าดวงหนึ่งถูกจับโยนลงไปดัดนิสัยที่โลกมนุษย์ ทั้งยังใช้กำลังบังคับให้เขาลงไปพร้อมกับติดบัฟซ้ำเติมอย่างเช่น อายุขัยสั้นลงทุกชาติ สายใยครอบครัวเบาบาง แค่ดื่มน้ำก็ยังสำลักได้...ดัดนิสัยรึ ดัดนิสัยพ่อเจ้าสิ!
เทพดาราฉงถิงยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวด้วยความเที่ยงธรรม “ดาววิบัติปรากฏ เดิมทีข้าไม่สะดวกจะสอดมือเข้าไปยุ่ง แต่ดาววิบัตินี้พลังอาฆาตรุนแรง หากปล่อยทิ้งไว้ต่อไป เกรงว่าจะฝึกบำเพ็ญกลายเป็นจอมมารเข้าสักวัน ถึงตอนนั้นจะกลับตัวเป็นคนดีคงยากแล้ว มีเพียงแปรเปลี่ยนพลังอาฆาตของเขา ชักนำเขากลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง จึงจะเป็นแผนการที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้มากที่สุด”
หลัวเสี่ยวโหลวชั่งน้ำหนักไตร่ตรองอยู่ในใจ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าพวกเขาทั้งสองเหตุใดต้องมาบอกเรื่องพวกนี้กับตนด้วย ในใจแอบรู้สึกถึงลางไม่ดีขึ้นมา “เช่นนั้นขอถามท่านทั้งสองว่า สรุปแล้วผู้น้อย...”
ผู้เฒ่าเทียนจีกล่าวด้วยสีหน้าเอ็นดู “น้องหลัว...เจ้าสวดพระสูตรอยู่ในนรกสิบแปดขุมมาพันกว่าปี แม้ร่างสูญสลายเหลือเพียงกระดูกก็ต้องส่งวิญญาณร้ายมานับไม่ถ้วน แล้วยังมีหัวใจเฉกเช่นพระโพธิสัตว์เช่นนี้ได้อีก เรื่องนี้เกรงว่า...ไม่ใช่เจ้าคงมิได้”
“คือ...”
“ท่านหลัว อย่าได้ปฏิเสธอีกเลย หนึ่งวันบนสวรรค์เท่ากับหนึ่งปีบนพิภพ ยามนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว รีบออกเดินทางโดยเร็วจะดีกว่า” สามารถทำให้เทพดาราฉงถิงแห่งแดนสวรรค์เรียก ‘ท่าน’ ได้ เกียรตินี้เกรงว่าถึงมีวาสนาก็ยังยากจะเสพสุขได้ หลัวเสี่ยวโหลวไหนเลยยังจะกล้าลังเลอีก ได้แต่รีบตกปากรับคำเรื่องนี้
ด้วยเหตุฉะนี้หลัวเสี่ยวโหลวเพิ่งขี่กระเรียนสวรรค์บินขึ้นมา ยังมิทันได้ดื่มชาสักคำก็ถูกผู้เฒ่าเทียนจีพามายังแท่นทัศนาเซียนแล้ว
“น้องชาย โลกมนุษย์มีกฎของโลกมนุษย์ ไม่ว่าเซียนหรือมนุษย์ต่างต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น”
หลัวเสี่ยวโหลวเข้าใจความนัยในวาจาของเขา ความหมายของประโยคนี้ก็คือ เมื่อไปถึงแดนมนุษย์แล้ว เวทอาคมทั้งหลายไม่อาจช่วยได้ เห็นทีภารกิจครานี้จะหนักหนาสาหัสเอาการจริงๆ
ยังดีที่ผู้เฒ่าเทียนจีมิได้ใจไม้ไส้ระกำกันเกินไป พริบตาเดียวก็เสกถุงผ้าไหมใบหนึ่งขึ้นมาในมือแล้วกล่าวว่า “ในนี้มียาลูกกลอนทองคำสามเม็ด สามารถชุบชีวิตคนตายและรักษาสรรพโรคได้ เจ้าไปถึงโลกมนุษย์แล้วอาจจะได้ใช้มัน”
หลัวเสี่ยวโหลวซาบซึ้งในพระคุณจนหลั่งน้ำตา มือทั้งสองข้างจับถุงผ้าไหม ไหนเลยจะคิดว่าตาแก่นั่นกลับไม่ปล่อยมือ สองคนฉีกยิ้มเกร็งยื้อยุดกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหลัวเสี่ยวโหลวออกแรงดึงจึงจะแย่งสมบัติล้ำค่านี้มาได้

“ยะ...ยาลูกกลอนทองคำนี้...เอ่อ เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อยนะ!” ผู้เฒ่าเทียนจีกระตุกมุมปากด้วยใบหน้าเหยเกราวเจ็บกล้ามเนื้อ “ข้าไปกำชับคนข้างล่างนั้นไว้แล้วว่าให้คอยดูแลหน่อย พยายามส่งเจ้าไปอยู่ข้างกายดาววิบัติ แล้วถ้าหากโชคไม่ดีถูกเขาตีตายก็ไม่ต้องท้อใจ พยายามสู้ต่อไปนะ...”
“อะไรนะ...”
เวลานี้หลัวเสี่ยวโหลวก้าวขาข้างหนึ่งออกจากแท่นทัศนาเซียนเสียแล้ว ด้านล่างคล้ายดั่งชักโครกพลังสูง เขาทันฟังชัดเพียงประโยคสุดท้าย ร่างทั้งร่างก็ถูกสูบลงไป มีเพียงเสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วระหว่างสวรรค์กับโลก ก้องกังวานไปไกลแสนไกล...


บทที่หนึ่ง

หนุ่มน้อยวัยเยาว์ผู้หนึ่งนั่งหันเข้าหาโต๊ะกำลังเขียนหนังสืออยู่ เวลานี้เข้าสู่ช่วงหนาวจัดแล้ว บนหลังคามีหิมะสีขาวปกคลุมหนา ร่างของเขาสวมเพียงเสื้อกันหนาวบุนวมกลางเก่ากลางใหม่ตัวเดียว ดวงหน้าเล็กขึ้นสีม่วงคล้ำเล็กน้อยด้วยความหนาว
แต่เมื่อพิศดูให้ดี ภายในบ้านอันโอ่อ่ากว้างขวาง แม้แต่เตาผิงอุ่นกายสักลูกล้วนไม่มี เด็กน้อยอายุเจ็ดแปดขวบผู้นี้มือจับพู่กันด้ามหนึ่ง คัดอักษรตามแบบในหนังสือทีละตัวๆ พงศาวดาร ‘สื่อเจี้ยน’ เล่มนี้ยังเป็นตำราที่เขาใช้เบี้ยหวัดครึ่งเดือนของตนเองไปแลกกับขันทีน้อยของตำหนักเหวินหวามา ตำหนักเหวินหวาคือหอตำราในวัง ตำราทั้งสี่คัมภีร์ทั้งห้า ตลอดจนคำสั่งสอนของนักปราชญ์ราชบัณฑิตล้วนอยู่ในนั้นทั้งหมด ทว่าองค์ชายผู้ไม่เป็นที่โปรดปรานอย่างเขา แค่จะยืมหนังสือสักเล่มมาอ่านยังต้องดูสีหน้าขันทีเล็กๆ ว่ามีท่าทีอย่างไร
ในวังหลวงอันลึกล้ำแห่งนี้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้านายที่ไม่ได้รับความรัก แม้แต่สุนัขรับใช้ยังไม่ไว้หน้าให้เกียรติกันเลย
ว่ากันตามหลักแล้ว องค์ชายที่ยังไม่ถึงวัยออกจากวังจะได้รับเบี้ยหวัดยี่สิบตำลึงเงินต่อเดือน แต่เงินที่เขาได้รับจริงในเดือนหนึ่งกลับไม่ถึงหนึ่งตำลึง ส่วนเงินที่เหลือนั้นล้วนปล่อยให้ขันทีผู้ดูแลอมเข้ากระเป๋าตัวเองหมด เพียงเพราะพระมารดาของเขาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว อีกทั้งตนเองยังไม่ได้รับพระเมตตาจากพระบิดาอีก สิบกว่าปีมานี้จึงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สายตาของบ่าวรับใช้ผู้นี้
เย่ว์อวิ๋นชูคัดเสร็จไปหนึ่งแผ่นแล้ววางกระดาษผึ่งไว้ข้างโต๊ะอย่างระมัดระวัง กระดาษและหมึกที่เขาใช้ล้วนเป็นของคุณภาพชั้นเลวที่สุด ถึงขนาดครอบครัวผู้มีอันจะกินในหมู่ชาวบ้านยังไม่ใช้ด้วยซ้ำ ทว่าสำหรับเขาแล้วกลับเป็นของล้ำค่า ไม่อาจใช้สิ้นเปลืองได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เด็กน้อยเป่านิ้วมือที่หนาวจนแข็งแล้วเพ่งดูคราบเลือดที่เปื้อนเป็นด่างดวงบนด้ามพู่กันนั้น ที่แท้ผิวหนังบนมือเขาปริแตกเป็นแผลเพราะถูกความเย็นจัด หนังสือเล่มนี้จะต้องส่งคืนตำหนักเหวินหวาภายในสองวันข้างหน้าแล้ว ถ้าหากเขาอยากจะอ่านต่อ ย่อมทำได้เพียงพยายามคัดลอกตัวหนังสือเหล่านี้ไว้
เย่ว์อวิ๋นชูปีนี้อายุแปดขวบแล้ว ถ้าหากพระมารดามีอิทธิพล เขาคงเข้าไปห้องหนังสือส่วนพระองค์ของจักรพรรดิได้นานแล้ว จนใจที่พระสนมเจินเฟยพระมารดาของเขาหลังจากให้กำเนิดเขาซึ่งเป็นพระโอรสองค์ที่สองได้แล้วก็คลุ้มคลั่งเสียสติไปในชั่วข้ามคืน ไม่ยอมรับเขาเป็นบุตรชายเสียเต็มปากเต็มคำ เจินเฟยเดิมเป็นหญิงงามที่ได้รับความโปรดปรานสูงสุดจากจักรพรรดิ เมื่อถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นเช่นนี้ ผ่านไปไม่กี่วันจึงแขวนพระศอปลิดชีพ
เรื่องเก่านานนมเหล่านี้เย่ว์อวิ๋นชูไปรู้มาจากคำพูดเรื่อยเปื่อยของคนอื่น เขานั้นนับตั้งแต่เกิดมาพ่อก็ไม่แลแม่ก็ไม่รัก เสียเปรียบมาหลายปีแต่ก็ยังมีแม่นมชราใจดีคนหนึ่งคอยดูแล วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วหญิงชราผู้นั้นทนทรมานจากอาการป่วยไม่ไหวตายจากไป เย่ว์อวิ๋นชูนำศิราภรณ์และเสื้อผ้าจำนวนเล็กน้อยที่มารดาทิ้งไว้มอบให้ขันทีน้อยถึงใช้ให้เขาหาโลงสักใบมาบรรจุร่างของแม่นมชราได้ นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาตำหนักไจเต๋ออันเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้จึงเหลือเขาเพียงคนเดียวแล้ว
แต่ทว่าเย่ว์อวิ๋นชูหาใช่คนที่ยอมรับในชะตากรรมแต่โดยดี
ยามเยาว์วัยเขามักจะแอบคลำทางไปตำหนักเสวยหาของกิน มีครั้งหนึ่งจำทางผิดจนไปโผล่ที่หออักษรา วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินการบรรยายชั้นเรียนของราชบัณฑิตภายในวัง และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรัชทายาทเย่ว์จื่อชิง
รัชทายาทประสูติจากฮองเฮาเกาซื่อ เกาซื่อเกิดในตระกูลขุนนางใหญ่ ภายในตระกูลช่วงร้อยปีมานี้ให้กำเนิดอัครมเหสีหนึ่งพระองค์พระสนมอีกสามคน รัชศกหย่งหนิงปีที่สามเมื่อนางเข้าวังก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา หลังจากนั้นหนึ่งปีมีพระประสูติกาลองค์ชายในวันเดียวกันกับพระสนมเจินเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานสูงสุดในยามนั้นพอดี เพียงแต่สตรีผู้ไร้ใดเทียมในโลกหล้าทั้งสองนางนี้โชคชะตากลับแตกต่างกัน
เย่ว์จื่อชิงที่ประสูติในฮองเฮาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุดตั้งแต่กำเนิด องค์ชายน้อยยอมให้พระบิดาและพระมารดาอุ้มไว้ในมือ เนื้อตัวนุ่มนิ่มประเดี๋ยวก็หัวเราะขึ้นมา หยอกเย้าจนจักรพรรดิสำราญพระทัยยิ่งนัก ส่วนเย่ว์อวิ๋นชูที่เกิดจากพระสนมเจินเฟยนั้น ทันทีที่เกิดมาก็เหมือนลูกลิงตัวเล็กผอมแห้ง ออกจากครรภ์มารดาก็มีสัญลักษณ์บ่งถึงความไม่สมบูรณ์ แล้วยังลือกันว่าเพื่อจะแย่งคลอดพระโอรสองค์โตก่อนฮองเฮา ช่วงตั้งครรภ์พระสนมเจินเฟยจึงใช้ยาพื้นเมืองสูตรลับ ถึงได้ทำให้พระโอรสอ่อนแอดูเหมือนจะอายุสั้น จักรพรรดิกำลังจะเอาโทษกับนาง ไหนเลยจะคิดว่าเจินเฟยกลับวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกจากตำหนักหวงจี๋ กล่าวอย่างคลุ้มคลั่งสติฟั่นเฟือนว่านี่มิใช่ลูกของนาง...
เย่ว์อวิ๋นชูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ไม่ไปคิดถึงความลับในวังเหล่านั้นอีก เขาเก็บกระดาษและพู่กันแล้ววางหนังสือที่คัดลอกเสร็จแล้วไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะหยิบเทียนเดินไปที่เตียง
เห็นเพียงบนเตียงยังมีก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งนูนขึ้นมา
เย่ว์อวิ๋นชูเลิกคิ้ว เลิกผ้าห่มผืนบางออกทันที เจ้าตัวเล็กสีดำมะเมื่อมตัวหนึ่งจึงถูกเขาพลิกกลิ้งหลุนออกมา ดวงตาเล็กสีดำขลับคู่หนึ่งกะพริบคราหนึ่งอย่างสะลึมสะลือ พลางเหลียวมองรอบด้านราวกับไม่รู้ว่ายามนี้วันไหนเวลาใด...
“เสบียงสำรองตัวหนึ่งริอ่านปีนขึ้นเตียงขององค์ชายอย่างข้ารึ ลงมา!” เย่ว์อวิ๋นชูแค่นเสียงฮึดฮัดอย่างหยิ่งยโส
ลูกสุนัขสีดำได้ฟังวาจาประโยคนี้แล้วอดกลอกตามองบนมิได้...ดูเจ้าเด็กอัปลักษณ์นี่สิ ทำตัวก้าวร้าววางมาดองค์ชายกับเดรัจฉานตัวหนึ่งเสียได้...แม้จะคิดเช่นนี้ แต่เจ้าหมาน้อยยังยันตัวขึ้น ถอยออกมาเพื่อคืนเตียงให้เจ้าของตัวจริง
เย่ว์อวิ๋นชูมองเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้เดินกระดิกหางออกไปข้างนอก ใบหน้าเล็กซีดขาวฉายแววดุดันขึ้นมาอีกครา “เดรัจฉาน เจ้าจะไปไหน!
เดรัจฉาน...เจ้าลูกหมาสีดำเหลียวหลังกลับไป แววตาสงบนิ่งดุจคลื่นเจือความขุ่นเคืองอันสุดจะบรรยายได้ไว้รางๆ คล้ายกับว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
เย่ว์อวิ๋นชูสะดุดกึกในใจ รู้สึกอึดอัด เอ่ยเสียงงึมงำ “มอง...มองอะไรกัน ยังไม่รีบมานี่อีก มาอุ่นเตียงให้ข้าซะ!”

ลูกสุนัขสีดำมองใบหน้าเรียวรูปแตงขาวผ่องนั้นอย่างจนใจ ริมฝีปากของเด็กน้อยหนาวจัดจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ครั้นกะพริบตาอีกคราบรรยากาศหงอยเหงาทั่วห้องนี้ ไหนจะร่างเล็กบางเป็นไม้กระดานที่สั่นน้อยๆ กัดริมฝีปากฝืนต้านความหนาวเหน็บนั่นอีก...
ครั้นเห็นเจ้าดำกระโดดขึ้นเตียงแล้ว ดวงตาสีดำอ่อนจางคู่นั้นของเย่ว์อวิ๋นชูจึงจะเจือแววยิ้มขึ้นมา บนใบหน้ากลับฉาบด้วยท่าทียอมลดเกียรติ เขาเลิกผ้าห่มออกแล้วจัดแจงห่มผ้าให้หนึ่งคนหนึ่งสุนัขเสียแน่นหนา
“เจ้าเดรัจฉาน เข้ามานี่หน่อย! คิดจะแช่แข็งข้าให้หนาวตายหรือไร!”
เจ้าดำได้แต่ขยับเข้าไปหาอ้อมอกของเด็กน้อยอีกนิด ต่อจากนั้นแขนเย็นเฉียบข้างหนึ่งก็ก่ายทับบนตัวมัน เจ้าหมาน้อยแนบชิดกับร่างเล็กนุ่มนิ่มนี้ มันอดไม่ไหวที่จะเงยศีรษะขึ้นมา จึงเห็นดวงหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือนั้นผลิยิ้มน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจ...
เฮ้อ ช่างเถอะ






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลัวเสี่ยวโหลวผู้ซึ่งเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาจากยมโลก เข้ารับตำแหน่งวันแรกอย่างหน้าชื่นตาบานก็ถูกเล่นงานเข้าเสียแล้ว!? ต้องจุติลงมากล่อมเกลาจอมมารดาววิบัติ แถมไม่ให้ใช้พลังเทพอีก!! มิหนำซ้ำในภารกิจเทพนี้เขายังใช้ได้เพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือ ถึงตายก็ไม่กลัว สู้ต่อไปไม่ท้อถอย...นี่นับว่าเป็นการกลั่นแกล้งในที่ทำงานหรือไม่หนอ

ด้วยเหตุฉะนี้เขาจึงกลายมาเป็นสุนัขรับใช้ขององค์ชายเย่ว์อวิ๋นชู มิใช่ว่าสบประมาท แต่เขาเป็นลูกหมาสีดำตัวหนึ่งจริงๆ!! อาศัยทำตัวน่ารักออดอ้อนขอข้าวกิน แล้วเขาจะกล่อมเกลาดาววิบัติช่วยมวลมนุษย์ไว้ได้หรือ? ถึงแม้ว่าภารกิจจะยากเย็นแสนเข็ญหาใดเปรียบ แต่เขากลับบังเกิดความอาลัยอาวรณ์ต่อเย่ว์อวิ๋นชูอย่างน่าประหลาด คงมิใช่ว่าตนมีเวรมีกรรมอันใดทำนองนั้นกับเขาผู้นั้นจริงๆ หรอกใช่หรือไม่...

...ห้วงฝันยาวนานนับพันปี ห้วงนทีหมุนเวียนเปลี่ยนผัน

เพียงหนึ่งหทัยนี้เท่านั้น อยู่เคียงคู่ตราบชั่วชีวา


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”