New Release BLY แปล : พันธะสาป 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : พันธะสาป 1

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

“.....”
“ว่ากันว่าโลกนี้มีมากมายหลายภพภูมิ เรื่องที่น่าสนุกก็ย่อมมีมากมายตามไปด้วย ต้องรู้จักหาความสนุกใส่ตัวถึงจะไม่เสียดายที่เกิดมาสักครั้งในชีวิต”
“.....”
“ยกตัวอย่างเช่นข้า ถึงแม้ชีวิตนี้จะโชคร้ายไปเสียหน่อย แต่เรื่องสนุกๆ ที่ได้พบเจอก็ยังมีเยอะแยะมากมาย เช่นได้ไปเดินเที่ยวงานวัด เคยไปดูการแสดงงิ้ว เคยได้รับของขวัญ เคยได้กินของขึ้นชื่อจากที่อื่น...”
“.....”
“เจ้าดูสิ แม้แต่คนอย่างข้าก็ยังรู้สึกว่าชีวิตมีเรื่องน่าสนุก ถ้าหากข้าเปลี่ยนเป็นเจ้า จะต้องหาเรื่องที่สนุกๆ มากกว่านี้ได้แน่นอน”
“.....”
“นี่ ข้าบอกแล้วว่าจะต้องสนุกมากแน่ๆ เจ้าก็เลิกทำตัวเหมือนก้อนหินเสียทีได้หรือไม่?”
“.....”
“เฮ้อ จนปัญญากับเจ้าจริงๆ ช่างเถิดๆ เจ้าทำต่อไปเถิด เจ้าคงจะรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันสนุกกระมัง”
“.....”
“จริงสิ ข้าเสนอความคิดอะไรอย่างหนึ่งได้หรือไม่? เจ้าไม่คิดว่านั่งอยู่ที่นี่ตอนกลางคืนมันหนาวหรือ? พรุ่งนี้เปลี่ยนที่ดีหรือเปล่า?”
“.....”
“ฮัดชิ่ว เจ้าคงมิได้จงใจกลั่นแกล้งข้ากระมัง?”
“.....”
“ข้าเดาถูก? ฮัดชิ่ว!”
“.....”
“แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก จะไม่เล่าให้คนอื่นฟังด้วย เพราะว่านี่เป็น ‘ความลับเล็กๆ’ ของพวกเรานี่นา!”
“.....”
“ดึกมากแล้ว คืนนี้เท่านี้พอ กลับด้วยกันดีหรือไม่?”
“.....”
“เป็นเด็กดีจริง มา จูงมือกันไปจนถึงหน้าประตูนะ”
“.....”
“อืมๆ เชื่อฟังดีจริงๆ พรุ่งนี้จะให้รางวัลเจ้านะ”
“.....”
จอมพูดมากบอกว่าจะให้รางวัล ทว่ายังมิได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ วันถัดมาเขาก็จับไข้ไม่สบายเสียก่อน ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น ต่อมาพออาการป่วยของจอมพูดมากหายสนิทดีก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว วันถัดมาเขาถูกส่งตัวออกไปจากหมู่บ้านบนภูเขา จากนั้นก็มิได้หวนย้อนกลับมาอีกเลย

***

หลายปีต่อมา หมู่บ้านบนภูเขาแห่งเดียวกันนี้กลับแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนวันวาน ไม่มีเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความเงียบสงัดวังเวงเท่านั้น
ครั้นบุรุษหนุ่มจัดการกับของเล่นและหุ่นกระบอกที่แตกหักเป็นชิ้นๆ เสร็จ เก็บกวาดสมุดภาพ รูปวาดเอาไว้จนเรียบร้อย สุดท้ายก็หยิบตะเกียงขึ้นมา แล้วโยนตะเกียงลงบนกองฟางที่ปูเตรียมเอาไว้ข้างนอกตั้งแต่แรกอย่างไม่มีลังเลเลยแม้แต่เศษเสี้ยว
ในชั่วพริบตานั้นเปลวไฟลุกวาบขึ้นมาราวกับมังกรเพลิง ไม่นานนักก็ลุกลามไปยังทุกซอกทุกมุมของหมู่บ้านบนภูเขา รอบด้านพลันปรากฏแสงสว่างจากเปลวเพลิง ไอร้อนพุ่งโหมขึ้นสู่ท้องนภา
สถานการณ์เพลิงไหม้อันรุนแรงมิได้ทำให้บุรุษหนุ่มถอยหนีแต่อย่างใด ในนัยน์ตาของเขาสะท้อนเปลวเพลิง ทว่าแววตากลับนิ่งสงบดุจสายธารไหลลึก ไม่มีความแตกตื่นลนลาน ไม่มีวี่แววจะหลบหนี บุรุษหนุ่มเดินเข้าไปในเรือนอย่างเงียบๆ จากนั้นปิดประตูลง สุดท้ายก็มายังหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดสมุดรายชื่อเล่มเล็กๆ อ่านดูอย่างช้าๆ
บนสมุดมีรายชื่ออยู่มากมาย ล้วนถูกเขียนกากบาทสีแดงทับหรือไม่ก็ถูกขีดลบออก ทว่าพอพิศดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งก็พบว่าในบรรดารายชื่อเหล่านี้มีเพียงชื่อเดียวที่หลังจากถูกขีดกากบาทแล้วกลับถูกคนเขียนวงเอาไว้อีกครั้งด้วยสีดำ
บุรุษหนุ่มมองดูสมุดรายชื่อ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอับจนปัญญา
สวรรค์กลั่นแกล้งโดยแท้!


บทที่หนึ่ง


ในราตรีนี้โคมไฟสว่างไสวเพิ่งจะถูกแขวนขึ้นบนถนนสายเริงรมย์ที่ชายแดนแห่งนี้ก็มีแขกเหรื่อเริ่มทยอยแวะเวียนมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย ในกลุ่มผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา คุณชายในชุดผ้าดิ้นงดงามผู้หนึ่งกลับโดดเด่นสะดุดสายตาเป็นพิเศษ
เขามีรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ทว่ากลับมีใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู กำลังครวญเพลงเสียงเบา มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ทำให้คนเห็นแล้วอดชื่นชอบขึ้นมามิได้ หญิงสาวที่พบเห็นเขาระหว่างทางต่างก็ชำเลืองตามองเขาอีกหลายแวบอย่างห้ามใจไม่อยู่ ราวกับรู้สึกว่ายังมองได้ไม่หนำใจอย่างไรอย่างนั้น
คุณชายในชุดหรูหราเดินไปเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าประตูร้านร้านหนึ่งบนถนนสายเริงรมย์ เขาเงยหน้าขึ้นมองชื่อร้านครู่หนึ่ง รอยยิ้มตรงมุมปากยิ่งกดลึกมากกว่าเดิม ต่อจากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าไปในประตูร้านอย่างไร้ซึ่งความลังเล
“เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อตัวเซวียนชิงจากร้านท่าน!”
สิ่งที่ตามมาหลังจากประโยคนี้คือเซวียนชิงถูกเรียกออกมาจากห้อง ทว่ายังไม่ทันเห็นรูปโฉมของคนผู้นั้นอย่างชัดเจนก็ถูกอีกฝ่ายซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่กอดรัดเอาไว้แน่น
“เซวียนชิง เซวียนชิง เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้าช่างงดงามเหมือนในภาพไม่มีผิด ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นเจ้าต้องไปกับข้านะ”
ถัดจากคำพูดประโยคนี้ เซวียนชิงก็ถูกเถ้าแก่น้อยเย่าหลิงพาตัวเข้ามายังห้องรับแขกของหอฉินยวน ยามนี้เซวียนชิงถึงได้มีโอกาสมองเห็นคุณชายในชุดงดงามหรูหราที่ต้องการซื้อตนเองอย่างถนัดตา
เขาตัวสูงยิ่ง เซวียนชิงสูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น ตัวเตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงเต็มๆ ทว่าใบหน้าของเขากลับอ่อนเยาว์ยิ่งนัก ครั้นมุมปากประดับรอยยิ้มก็ยิ่งแลดูเหมือนเด็กน้อยมากกว่าเดิม นัยน์ตาดำสนิท ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง จมูกค่อนข้างสูงโด่ง ริมฝีปากแดงฟันขาว บรรยายได้ด้วยสองพยางค์ว่า...น่ารัก เมื่อเถ้าแก่น้อยถามไถ่ดูถึงได้รู้แน่ชัดว่าปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบหกปีเท่านั้น เด็กกว่าเซวียนชิงถึงเจ็ดปีเต็มๆ
“ขอถามท่านลูกค้าว่ามีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไร? บ้านอยู่ที่ไหน? เหตุใดถึงต้องการซื้อตัวเซวียนชิง?”
“ข้าชื่อจ้าวจื่อลั่ว บ้านอยู่ที่เขตปินโจว มาซื้อตัวเซวียนชิงก็เพราะต้องการจะสร้างครอบครัว”
“ปินโจว? คุณชายจ้าวอุตส่าห์เดินทางรอนแรมมาถึงนี่เพียงเพื่อมาซื้อตัวเซวียนชิง? เหตุใดถึงไม่เลือกหญิงสาวครอบครัวธรรมดาๆ เล่า?” เย่าหลิงไม่อยากเชื่อเท่าไรนัก เพราะว่าสถานการณ์ของเซวียนชิงนั้นค่อนข้างพิเศษอย่างยิ่ง นอกจากนั้นคุณชายที่อยู่เบื้องหน้าก็ดูน่าสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ครั้นจ้าวจื่อลั่วถูกถามเช่นนี้ เขากลับยังคงรักษาใบหน้าแย้มยิ้มพร้อมตอบว่า “ข้าไม่ชอบสตรีมาตั้งแต่เยาว์วัย ส่วนเซวียนชิงก็เป็นคนที่ข้าต้องการ”
เย่าหลิงตรึกตรองวาจาของเขา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามอีกคราว่า “คุณชายจ้าว ภาพวาดที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้...?”
“อ้อ นั่นคือภาพวาดภาพหนึ่งในบ้านข้า คนบนภาพนั้นท่าทางเหมือนกับเซวียนชิง ข้าชื่นชอบมากมาโดยตลอด”
“แล้วที่บอกว่าเซวียนชิงฉลาดนั้นหมายถึง...”
“ก็บอกว่าเขาฉลาดมากนะสิ ดังนั้นเขาย่อมต้องเลือกที่จะกลับไปกับข้า!”
จ้าวจื่อลั่วแย้มยิ้มอย่างเจิดจ้าสดใส ทว่าเย่าหลิงที่เอ่ยสนทนากับเขานั้นใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความละเหี่ยใจ
คนผู้นี้เป็นเพียงเด็กน้อยใสซื่อผู้หนึ่งเท่านั้น กระทั่งตรรกะในยามพูดจายังแลดูมีความคิดเหมือนเด็กๆ ยิ่ง เผชิญหน้ากับเขาหาได้กลัวถูกเขาหลอกไม่ แต่กลัวจะรำคาญจนตายมากกว่า เพราะว่าเขาต้องการให้คนดูแล ต้องการให้คนสั่งสอน เหมือนกับ...เด็กน้อยคนหนึ่ง!
ต่อจากนั้นเย่าหลิงก็สอบถามคำถามเกี่ยวกับครอบครัวของจ้าวจื่อลั่วอีกเล็กน้อย ราวกับกำลังทำกิจวัตรประจำวันก็ไม่ปาน ถึงได้รู้ว่าจ้าวจื่อลั่วเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว เหนือขึ้นไปมีพี่ชายสามคนพี่สาวหนึ่งคน บุพการีทั้งสองมีเขาเมื่ออายุมากแล้วจึงรักใคร่เอ็นดูเขาเป็นที่สุด ดังนั้นเลยมิได้ต่อต้าน ‘ความสนใจ’ ของเขาแต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดไว้ว่าถ้าหากจะแต่งงานจริงๆ ก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมคู่ควรกันถึงเป็นอันใช้ได้
“แล้วที่เมื่อครู่คุณชายจ้าวบอกว่าสร้างครอบครัวคือ...?” เย่าหลิงเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้
จ้าวจื่อลั่วยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “รับอนุก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างครอบครัวใช่หรือไม่เล่า?”
เย่าหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ขานรับอ้อเสียงยาว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“ฮิฮิ อีกอย่างข้าก็ไม่มีทางแต่งเซวียนชิงเป็นภรรยาอยู่แล้ว เถ้าแก่น่าจะรู้ดียิ่งกว่าใคร” จ้าวจื่อลั่วเอ่ยราวกับพูดหยอกล้อ
เย่าหลิงยักไหล่อย่างเหนื่อยใจถือเป็นการยอมรับกลายๆ
จ้าวจื่อลั่วเห็นแล้วก็ยิ้มอย่างเจิดจ้าเบิกบานยิ่งกว่าเดิม รีบเอ่ยโพล่งขึ้นมาทันทีว่า “เซวียนชิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนัก ข้าจำได้ฉายานามที่ผู้คนตั้งให้เขาเรียกว่าอันใดนะ... ‘นายบำเรอสีชาด’ ใช่หรือไม่?”
ชื่อนี้พูดแล้วก็น่าสนใจยิ่ง เป็นฉายามนามที่เหล่าลูกค้าตั้งแก่เซวียนชิง มิได้หมายความว่าเขามีชื่อเสียงจนเป็นดาวเด่นของหอ แต่หมายถึงเขามาพร้อมกับโชคชะตาของ ‘แม่สื่อ’
พูดถึงรูปโฉม หน้าตาของเซวียนชิงอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง สุภาพเรียบร้อย หน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลา ดูสะอาดสะอ้าน แต่ไม่รู้ว่า ‘โชค’ มาจากไหน ถ้าหากมีแขกซื้อเขากลับบ้านหรือว่ารับเขาเป็นอนุเมื่อไร เช่นนั้นก็นับวันรอได้เลย แขกผู้นี้จะต้องจะต้องมีเรื่องมงคลในเร็ววันแน่นอน หลังจากนั้นไม่นานจะได้แต่งงานครองคู่กับคนที่ตนรักจากใจจริง
มีคนไม่เชื่อ แต่ว่าชะตาชีวิตเช่นนี้กลับเกิดขึ้นกับเซวียนชิงซ้ำไปซ้ำมา นับตั้งแต่ที่ขายตัวเข้ามาเมื่ออายุสิบสี่ปี เซวียนชิงเคยถูกคนซื้อมาแล้วถึงสี่คน ถูกคนรับเป็นอนุมาแล้วถึงสามคน ทว่าหลังจากทั้งเจ็ดคนพาเซวียนชิงกลับบ้านแล้ว ไม่นานนักก็เจอคนที่ตนเองถูกใจ หลังจากนั้นก็ขับไล่อนุภรรยาและนางบำเรอทั้งหมดออกไปจนหมดสิ้น จับมือเคียงคู่กับคนที่รักไปชั่วชีวิต
สำหรับพวกเขาแล้ว โชคชะตาในฐานะ ‘แม่สื่อ’ ของเซวียนชิงเป็นสิ่งงดงาม แต่สำหรับเซวียนชิงแล้วค่อนข้างโหดร้ายทารุณมากทีเดียว เพราะชีวิตนี้เขาไม่มีทางมีพิธีแต่งงานเหมือนอย่างคนธรรมดาได้ ถูกลิขิตให้ต้องแบกรับชนชั้นต่ำทรามไปตลอดชีวิต ถึงแม้จะมีคนอยากช่วยเปลี่ยนชนชั้นให้เขาแต่ก็ทำมิได้
“นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ท่านยังรู้เรื่องอื่นอีกหรือไม่?” พูดจบเย่าหลิงก็มองเซวียนชิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง “ข้าหมายถึงภูมิหลังครอบครัวของเขา...”
“ท่านหมายถึงเรื่องที่บิดาของเขาทุจริตรับสินบนบิดเบือนกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตน มารดาเขาซื้อขายตำแหน่งราชการ พี่ชายของเขาอาศัยอิทธิพลยึดครองที่ดินผู้อื่น เขากับพี่สาวเพียงคนเดียวถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีความ สุดท้ายทั้งสองกลับต้อง ‘เป็นชนชั้นต่ำทรามไปตลอดชีวิต’ ใช่หรือไม่?”
“ตรวจสอบอย่างละเอียดเสียจริงนะ”
จ้าวจื่อลั่วเลิกหัวคิ้วอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “ก็เพราะข้าต้องการรับเขาเป็นอนุอย่างไรเล่า!” พูดจบเขาก็หันหน้าไปหาเซวียนชิง แย้มยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “เจ้าจะยอมรับปากกลับไปกลับข้าใช่หรือไม่?”
เซวียนชิงถูกถามจนผงะอึ้งไป หลังจากได้สติกลับคืนมาแล้วจึงเอ่ยตอบอย่างแช่มช้า “ขอโทษด้วย นี่มิใช่เรื่องที่ข้าจะตัดสินใจได้”
“หา!?” สีหน้าจ้าวจื่อลั่วดูเกินจริงเป็นอย่างมาก ครั้นได้ยินถ้อยคำนี้ก็จิตใจหดหู่ลงในทันใด แม้แต่ริมฝีปากซึ่งก่อนหน้านี้ยกยิ้มอยู่ตลอดเวลาก็งอง้ำลงด้วยเช่นกัน “ไฉนถึงเป็นเช่นนี้เล่า? เถ้าแก่ ท่านจะยกเขาให้ข้าใช่หรือไม่? ที่หอนายบำเรอมิใช่ว่ามีเงินก็สามารถซื้อคนที่ตนเองต้องการได้หรอกหรือ?”
เมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้เย่าหลิงก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก มิใช่เพราะจ้าวจื่อลั่วพูดไม่ถูก แต่เป็นเพราะความรู้สึกส่วนตัวต่างหาก สำหรับเขาแล้วนายบำเรอที่หอฉินยวนมิอาจใช้คำว่า ‘สินค้า’ มาจำกัดความได้
อย่างพวกนายบำเรอที่หอฉินยวน อย่าเห็นแค่ว่าแต่ละคนแย้มยิ้มรับแขกอย่างหน้าชื่นตาบาน ในใจทุกคนต่างก็มีอดีตที่ขมขื่นกันทั้งสิ้น นั่นคือจุดตายของพวกเขา เพราะไม่อยากให้ผู้อื่นแตะโดนจึงพยายามซ่อนเร้นเอาไว้อย่างสุดกำลัง วิธีที่พวกเขาแต่ละคนใช้ปกปิดล้วนแตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าวิธีใดก็ตามล้วนแต่เป็นการผลักพวกเขาออกไปจนสุดขอบ
เฉิงอินสุดโต่งเกินไป อิ๋นฮวนปล่อยตัวปล่อยใจเกินไป หลีหวาอดทนอดกลั้นเกินไป...ทว่าเซวียนชิงไม่เหมือนกับพวกเขา อดีตของเซวียนชิงทุกคนต่างก็รู้กันดี ต่อให้คิดจะปิดบังก็ทำไม่ได้ นอกจากนั้นเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว นั่นไม่ถือว่าเป็นชะตากรรมอันรันทดเท่าไรนัก บอกได้แค่ว่าเขา ‘โชคไม่ค่อยดี’ ที่เกิดมาในครอบครัวแบบนั้นก็เท่านั้น
บิดาของเซวียนชิงเป็นนายอำเภอที่อำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง มารดาเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ เหนือขึ้นไปยังมีพี่ชายหนึ่งคนและพี่สาวอีกหนึ่งคน เดิมทีก็เป็นครอบครัวที่อยู่ดีมีสุขครอบครัวหนึ่ง แต่เพราะบิดามารดาและพี่ชายละโมบโลภมากเกินไปจึงทำให้ทุกคนต่างพากันโกรธแค้น สุดท้ายราชสำนักส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้ บิดามารดาและพี่ชายของเซวียนชิงจึงถูกตัดศีรษะเสียบประจานทั้งหมด ส่วนพี่สาวซึ่งมีอายุสิบปีและเขาที่เพิ่งจะฉลองวันเกิดอายุครบหกปีถึงแม้จะรอดพ้นโทษตาย แต่ก็ยากจะหลีกหนีโทษเป็น พวกเขาถูกแยกส่งตัวไปอยู่ที่หอนางโลมและหอนายบำเรอ ถูกลงโทษให้กลายเป็นชนชั้นต่ำทรามไปชั่วชีวิต มิอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
ก่อนจะอายุหกขวบตนเองมีชีวิตอยู่เช่นไร เซวียนชิงจำไม่ได้แม้แต่น้อย เขารู้สึกว่านับตั้งแต่รู้ประสีประสาก็มีชีวิตอยู่ภายใต้สายตาแปลกประหลาดของผู้คนมาโดยตลอด เขารู้ภูมิหลังและสถานะของตัวเองดี และรู้ดีว่าชีวิตของตนเองในชาตินี้เกิดมาเพื่อไถ่บาปเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนมิอาจต่อต้านได้ เซวียนชิงทำได้เพียงโอนอ่อนเชื่อฟังคำสั่ง ทว่าหลายปีผ่านไปเขาก็เคยชินกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว จึงมิได้รู้สึกว่าลำบากทรมานแต่อย่างใด
จากการสอบถาม ในฐานะแขก จ้าวจื่อลั่วมิได้มีปัญหาร้ายแรงอันใด สุดท้ายหลังจากเย่าหลิงได้รับความเห็นชอบจากเซวียนชิง การซื้อขายครานี้ก็สำเร็จผล
ในคืนวันนั้นจ้าวจื่อลั่วจ่ายเงินแล้วพาเซวียนชิงออกมาจากหอฉินยวนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ถึงขนาดไม่ให้เวลาเซวียนชิงจัดเก็บสัมภาระเสียด้วยซ้ำ เขาจ้างรถม้าแล้วรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งคืนไปยังท่าเรือที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
“คุณชายจ้าว พวกเรากำลังหลบใครอยู่หรือไม่? เหตุใดต้องรีบร้อนขนาดนี้เล่า?” เซวียนนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
อีกฝ่ายกลับส่ายศีรษะราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง “มิใช่ เพียงแต่หากเช้าแล้วจะมีเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย...”
“ยุ่งยาก? เป็นเพราะข้าหรือ?”
“มิใช่ เป็นปัญหาของข้าเอง” จ้าวจื่อลั่วพูดถึงตรงนี้ก็มิได้เอ่ยต่อไปอีก เขากลับเปลี่ยนประเด็นสนทนาว่า “เจ้าวางใจเถิด ต่อไปข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง ทั้งอาหารทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าจะซื้อให้เจ้าทั้งหมด เจ้าอยากได้สิ่งใดก็มาบอกกับข้า ขอแค่หาได้ข้าจะหามาให้เจ้าทุกอย่าง”
เมื่อเผชิญหน้ากับวาจาเสนาะหูอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ เซวียนชิงก็ผงะนิ่งไป จากนั้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เอ่ยย้อนถามอย่างอดไม่อยู่ว่า “คุณชายจ้าว เจ้ารับข้าเป็นอนุ จริงๆ แล้วเพราะอยากแต่งงานกับคนที่ตนเองชื่นชอบมากที่สุดผู้นั้นกระมัง?”
“ฮิฮิ ได้แต่งงานกับคนที่รักที่สุด ใครเล่าจะไม่อยาก!” จ้าวจื่อลั่วเองก็ไม่ปฏิเสธ
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย เซวียนพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าในใจกลับลอบถอนหายใจในความ ‘โชคดี’ ของตนเอง การซื้อขายครั้งที่แปดนี้ดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็คงจะเป็นอันสิ้นสุดลง!

***

ปินโจวอยู่ติดทะเล ส่วนเมืองอี้ชวนซึ่งเป็นที่ที่บ้านของจ้าวจื่อลั่วตั้งอยู่ยิ่งมีท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นฉีอี้ ที่ผ่านมาได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งการขนส่งทางทะเล การประมงเจริญรุ่งเรือง และยังเป็นศูนย์กลางเส้นทางการค้าของเหล่าพ่อค้าวาณิชทั้งหลาย
แน่นอนว่าเซวียนชิงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไรนัก ล้วนเป็นจ้าวจื่อลั่วที่เอาแต่พูดฉอดๆ ให้เขาฟังตอนอยู่บนรถม้า นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้ประจักษ์ถึงความสามารถในการพูดพล่ามไม่หยุด เปล่งวาจาไร้สาระไม่ขาดสาย สามารถพูดเจื้อยแจ้วจอแจได้ตลอดทางของจ้าวจื่อลั่ว
เนื่องจากหัวข้อสนทนามีมากมายจับฉ่ายเกินไป เซวียนชิงจึงไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมดในคราวเดียว เพียงแต่สุ้มเสียงยามเอ่ยวาจาของจ้าวจื่อลั่วช่างน่าฟังยิ่งนัก ทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา ความทรงจำสุดท้ายก็คือจ้าวจื่อลั่วอนุญาตให้เขาเอนพิงบนร่างได้ หลังจากนั้นเซวียนชิงก็ผล็อยหลับไป
เซวียนชิงตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะว่าได้ยินเสียงน้ำ เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาคือห้องไม้เล็กๆ อันแปลกตา เขานอนอยู่บนเตียง ทว่าไม่เห็นเงาร่างของจ้าวจื่อลั่ว
เซวียนชิงรู้สึกประหลาดใจ เขาเพิ่งจะก้าวลงจากเตียงยังมิทันได้เปิดประตูออกไปสอบถาม ฝ่าเท้าก็พลันเบาหวิวจนเขารู้สึกไม่สบายตัว ผ่านไปสักพักก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมา นำพามาซึ่งความรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอาเจียน เขาพะอืดพะอมอยู่ครู่หนึ่งจึงพิงแผ่นไม้ที่อยู่ข้างกายเพื่อเดินกลับไปที่เตียง ทว่ากลับยังคงมิอาจปัดเป่าความรู้สึกแปลกๆ นี้ออกไปได้
ความไม่สบายกายอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เซวียนชิงลืมเรื่องที่จะออกไปหาจ้าวจื่อลั่วเสียสนิท เขากลับขึ้นมานอนบนเตียงอีกครั้งหมายจะให้ตนเองรู้สึกดีขึ้นสักเล็กน้อย ทว่าร่างกายก็มีอาการดีขึ้นเพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น หลังจากนั้นถึงแม้เขาจะนอนพักผ่อน แต่ก็ยังรู้สึกหน้ามืดตาลายอยู่ดี ราวกับว่าทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าหมุนกลับตาลปัตร สมองมึนงงวิงเวียนยิ่งนัก
ท่ามกลางความสะลึมสะลือ เซวียนชิงจำไม่ได้ว่าตนเองนอนไปนานเท่าใด ต่อมาดูเหมือนจะมีคนเข้ามาในห้อง ดูแล้วน่าจะเป็นจ้าวจื่อลั่ว แต่ว่าเขามิได้พูดพล่ามเป็นวรรคเป็นเวรเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ อากัปกิริยาของเขาแลดูสงบนิ่งอย่างยิ่ง
ระหว่างที่สติรางเลือนอยู่นั้น เซวียนชิงคิดว่าตัวเองกำลังหลับฝันอยู่ เขาคล้ายกับถูกกรอกอันใดบางอย่างเข้าปาก แล้วก็ดูเหมือนจะอาเจียนอันใดออกมา สรุปแล้วก็คือรู้สึกทรมานอย่างแสนสาหัส
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปจนถึงยามราตรี เมื่อภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงเทียนอันอบอุ่น เซวียนชิงถึงได้สติขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็เห็นจ้าวจื่อลั่วซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง
“คุณชายจ้าว...”
“เจ้าตื่นแล้วหรือ ข้าตกใจแทบแย่!” จ้าวจื่อลั่วได้ยินเสียงก็รีบเร่งขยับเข้ามาใกล้ ใช้หน้าผากดันหน้าผากของเซวียนชิงเอาไว้พร้อมเอ่ยด้วยความห่วงใย “ที่แท้เจ้าก็เมาเรือรุนแรงถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่บอกข้าตั้งแต่ทีแรกเล่า? หากรู้แต่แรกพวกเราจะได้เดินทางทางบกกัน”
ที่แท้ก็อยู่บนเรือนี่เอง เซวียนชิงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเราจะต้องนั่งเรือ...อีกทั้งก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยนั่งเรือด้วย จึงไม่รู้ว่าตัวเองเมาเรือ ขอโทษด้วย สร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”
จ้าวจื่อลั่วได้ยินก็เงียบเสียงไปในทันใด นิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วเขาถึงค่อยเอ่ยถามยิ้มๆ “ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจถึงขนาดนั้นก็ได้ ต่อไปพวกเรายังมีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกนาน ไม่ต้องใช้คำสุภาพหรอก เรียกข้าว่าอาลั่วก็พอ...เรื่องเมาเรือเป็นเพราะความสะเพร่าของข้าเอง เพราะว่าการเดินทางไปบ้านข้านั่งเรือจะถึงเร็วที่สุด ข้าเองก็ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเจ้า คนที่ควรจะขอโทษคือข้าต่างหาก”
ถ้อยคำอันจริงใจของเขาทำให้เซวียนชิงตระหนกตกใจยิ่ง เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงได้ดีกับตนเองปานนี้ ตามหลักแล้วเขาซื้อตัวเซวียนชิงกลับไปก็เพื่อจะได้ครองคู่กับคนรักของตนเองในเร็ววันเท่านั้น ในฐานะเครื่องมือ เซวียนชิงรู้สึกว่าตนเองมิได้มีคุณค่าให้เขาทำดีด้วยขนาดนี้เสียหน่อย ทว่าข้อสงสัยนี้เขากลับไม่มีความกล้าพอจะเอ่ยถาม จ้าวจื่อลั่วก็มิได้สังเกตถึงความอ่อนโยนอันมากล้นเกินเหตุนี้เช่นกัน ยังคงดูแลเซวียนชิงตามเรื่องตามราวของเขาต่อไป
การเดินทางบนเรือตลอดระยะเวลาสองวันครึ่ง เซวียนชิงใช้เวลาส่วนมากไปกับการกึ่งหลับกึ่งตื่น เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างก็จำไม่ได้แน่ชัด แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือล้วนแต่เป็นจ้าวจื่อลั่วที่คอยดูแลห่วงใยเขา ความห่วงหาอาทรนี้เซวียนชิงลอบจดจำเอาไว้ในใจ เขาเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานตนเองจะตอบแทนความเอาใจใส่ของจ้าวจื่อลั่วได้...โดยใช้วิธีพิเศษที่ตนเองเท่านั้นถึงจะมี
พอเปลี่ยนจากเดินทางทางน้ำมาเป็นทางบก อาการของเซวียนชิงก็ดีขึ้นทันตาเห็น แม้ว่ายามเดินทางจะยังง่วงงุนสะลึมสะลือ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีความรู้สึกอยากอาเจียนแล้ว
ยามนี้พวกเขายังเดินทางไม่ถึงปินโจว ทว่าอาลั่วเห็นเซวียนชิงทนรับความทรมานไม่ไหวจึงเปลี่ยนมาเดินทางทางบกแทน
สำหรับความเอาใจใส่เช่นนี้ เซวียนชิงรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก แต่ว่าในขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดต่ออาลั่วเช่นกัน เพราะว่าหากเดินทางทางน้ำจะสามารถไปถึงปินโจวได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเส้นทางทางบกนั้นไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางเนิ่นนานเท่าใด ทว่าอาลั่วนิสัยดียิ่งจึงมิได้ถือสาหาความกับเรื่องพวกนี้
ทั้งสองจ้างรถม้ามาหนึ่งคัน แต่ว่าอาลั่วกลับมิได้จ้างสารถี เขาบังคับรถม้าด้วยตนเอง ตอนกลางวันเซวียนชิงอยู่ภายในรถม้าเพียงคนเดียว มีเฉพาะเวลากลางคืนที่หาที่ค้างแรมเท่านั้น เขาถึงจะพาเซวียนชิงลงมาจากรถม้าพร้อมกับเอ่ยสนทนากัน
ทุกคราที่เดินทางผ่านเมืองเมืองหนึ่งอาลั่วจะแวะพักสักสองสามวัน ยามกลางวันเซวียนชิงอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพียงคนเดียว ส่วนอาลั่วนั่นไม่รู้หายไปไหน ทว่าพอตกค่ำอาลั่วจะกลับมาอย่างตรงเวลา แล้วพาเขาออกไปเดินเที่ยวเล่นข้างนอก ด้วยเหตุนี้การเดินทางครั้งนี้จึงดูยาวนานเป็นพิเศษ พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่ช่วงกลางสารทฤดู ทว่าเดินทางเรื่อยมาจนถึงต้นเหมันต์ก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
“อาลั่ว พวกเราเดินทางช้าเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาหรือ?” เซวียนชิงจ้องมองอาลั่วที่กำลังเล่นสนุกอย่างคึกคักสนุกสนานอยู่เบื้องหน้า เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย
แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมิได้สนใจสักเท่าไร ตอบกลับอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก “ไม่เป็นไรหรอก ข้าบอกกับที่บ้านไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะออกมาเที่ยวเล่นสักหลายวัน มา เซวียนชิง มาลองอันนี้ดูว่าเหมาะกับเจ้าหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ยื่นหมวกผ้ากำมะหยี่ใบหนึ่งมาให้เซวียนชิงสวมดู หลังจากนั้นตนเองก็ถอยออกไปสองสามก้าวแล้วมองสำรวจรูปลักษณ์ของเซวียนชิงอย่างจริงจัง “อืม...ข้าว่าดูดีมากทีเดียว เข้ากับเสื้อผ้าที่ข้ามอบให้เจ้ามาก เอาละ ซื้อเลย!”
“อาลั่ว...” เซวียนชิงถอดหมวกออกอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรกับนายน้อยผู้นี้จริงๆ
อาลั่วดีกับเขามากจริงๆ เซวียนชิงเคยถูกคนซื้อไปก็ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีเจ้านายคนไหนดูแลห่วงใยเขาเช่นนี้เลย ทุกๆ วันพอถึงยามราตรีอาลั่วจะพาเขาออกไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืน พออากาศเย็นลงอาลั่วก็หาคนมาตัดชุดฤดูหนาวให้เขาเป็นพิเศษ ซื้อทั้งรองเท้าซื้อทั้งหมวก ไม่ว่าสิ่งใดก็ตระเตรียมให้จนพร้อมสรรพ อีกทั้งยังตั้งใจเลือกซื้อแต่อันที่แพงๆ อันที่ดีๆ ให้เขาอีกด้วย
เพียงแต่ความดีอันมากจนเกินธรรมดาเช่นนี้ทำให้เซวียนชิงฉงนสนเท่ห์ เขาไม่รู้ว่านายน้อยผู้นี้ในสมองคิดวางแผนอะไรเอาไว้ เขาทั้งไม่รีบร้อนที่จะแตะต้องเซวียนชิง ทั้งมิได้เรียกร้องสิ่งใดที่เลยเถิด เพียงแค่เอาแต่ทำดีกับเซวียนชิงเท่านั้น ช่างชวนให้คนคิดว้าวุ่นไปไกลจริงๆ!
ทั้งสองเดินทางเที่ยวเล่นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปินโจว กว่าจะถึงบ้านพักก็ใกล้จะถึงช่วงตรุษจีนแล้ว
อาลั่วจัดเตรียมห้องนอนเอาไว้ให้เซวียนชิงตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากกลับถึงบ้านก็ให้เขาพักผ่อนอย่างสงบๆ สองสามวัน ไม่ให้ผู้ใดมารบกวน ดังนั้นเซวียนชิงจึงหายเหนื่อยจากการเดินทางได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อร่างกายรู้สึกสบายขึ้น สิ่งแรกที่เซวียนชิงคิดได้คือจะต้องขอบคุณอาลั่ว ทว่าจังหวะไม่ดียิ่ง เขาเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตูห้อง ข้ารับใช้ในบ้านก็บอกเขาว่าเจ้านายไม่อยู่ เขากลับไปที่บ้านของตนเองแล้ว
ทีแรกเซวียนชิงก็ยังฟังไม่เข้าใจ จนกระทั่งยามพ่อบ้านพาเขาไปทานอาหารพร้อมกับแนะนำบ้านหลังนี้ให้ฟัง เขาถึงเข้าใจเรื่องราวในครอบครัวของอาลั่วได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น
“เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่นายท่านกับฮูหยินได้ยกบ้านหลังนี้ให้นายน้อยเล็ก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาอยู่ ดังนั้นบ่าวไพร่จึงมีน้อยตามไปด้วย บัดนี้นายน้อยเล็กต้องการรับท่านเป็นอนุภรรยา ถึงพวกพี่ชายของนายน้อยเล็กรวมถึงคุณหนูใหญ่มิได้คัดค้าน แต่ก็ไม่อนุญาตให้ท่านเข้าไปพำนักในคฤหาสน์สกุลเว่ย...”
“คฤหาสน์สกุลเว่ย? แต่ว่าอา...ข้าหมายถึงนายน้อยเล็กมิใช่แซ่จ้าวหรอกหรือ?” เซวียนชิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
หลังจากพ่อบ้านได้ฟังก็เอ่ยย้อนถามด้วยความแปลกใจตามเช่นกัน “จะเป็นไปได้อย่างไร คนที่นี่ล้วนรู้กันดีว่าในคฤหาสน์สกุลเว่ยมีนายน้อยอยู่สี่ท่านคุณหนูหนึ่งท่าน นายน้อยเล็กมีนามว่าเว่ยเฉิงลั่ว เนื่องจากเป็นลูกหลงของนายท่านกับฮูหยิน อายุจึงห่างกับพวกพี่ชายพี่สาวมาก ดังนั้นเลยได้รับการประคบประหงมเอ็นดูมากที่สุด...บัดนี้ถึงแม้นายท่านกับฮูหยินจะสิ้นไปแล้ว แต่พวกนายน้อยกับคุณหนูก็เอ็นดูน้องชายผู้นี้อย่างสุดชีวิต!”
“.....”
ที่แท้ตนเองก็มิได้เป็นที่โปรดปรานอย่างที่คิด!


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เล่าลือกันว่าหากซื้อตัวเซวียนชิง ‘นายบำเรอสีชาด’ แห่งหอฉินยวนหรือว่ารับเขาเป็นอนุ ผู้ซื้อก็จะได้แต่งงานครองคู่กับคนที่รักในเร็ววัน ทว่าสำหรับเซวียนชิงแล้ว ฉายานาม ‘นายบำเรอสีชาด’ นี้ ไม่เพียงแต่มิได้หมายถึงชะตาชีวิตอันงดงามสวยหรู ยังเป็นตราประทับอันโหดร้ายที่ทำให้เขาไม่มีวันได้รับความรักไปชั่วชีวิต

คุณชายน้อยอาลั่วซึ่งเผยรอยยิ้มน่ารักสดใสอยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็นเพียงแค่ ‘คนผ่านทาง’ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ คนถัดไปของชีวิตเขาก็เท่านั้น ต่อให้ต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกดีๆ ให้กันมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันหลงระเริงจนลืมตัว ขอแค่ได้เป็นอนุภรรยาชายที่ว่าง่ายเชื่อฟังก็พอแล้ว แต่เมื่อล่วงรู้ว่าอาลั่วถูกพิษร้าย เขาผู้ขี้ขลาดตาขาวจะปลุกความกล้าขึ้นมาแบ่งเบาความทุกข์ทนของสามีได้หรือไม่…


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”