New Release เหลียนฮวา : สำรับยาภรรยายอดรัก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : สำรับยาภรรยายอดรัก

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
พระราชทานเหล่าชายาเข้าจวนอ๋อง


เฉิงเยียนผลักประตูกระจกเข้าไปในคลินิก เริ่มตรวจรอบกลางวันตอนบ่ายสามโมง ตอนนี้สองโมงห้าสิบนาทีก็มีคนไข้รอเธออยู่เต็มไปหมดแล้ว
กวาดตามองผู้ป่วยที่อยู่กันเต็มห้องรอบหนึ่ง เธอก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ ปกติแล้วเธอทั้งไม่มั่นใจในตัวเองและขลาดอาย มีเพียงแค่ตอนตรวจรักษาคนไข้ที่เธอจะดึงเอาความกล้าในฐานะแพทย์ออกมาได้ และก็มีแค่ตอนอยู่ในคลินิกเท่านั้นที่เธอจะมีความมั่นใจ
ครอบครัวของเธอสืบทอดวิชากันมายาวนาน มีต้นกำเนิดมาจากตระกูลแพทย์แผนจีนเก่าแก่ ทั้งปู่ทวด ปู่ และพ่อต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนบำบัดที่มีชื่อเสียง พี่ชายพี่สาวก็เป็นแพทย์แผนจีนกันหมด คลินิกแพทย์แผนจีนที่เธอเปิดไม่ถึงสองปีก็มีขาประจำกลุ่มใหญ่แล้ว ด้วยการรักษาโรคด้วยอาหารบำบัดอันเป็นเอกลักษณ์ชนะใจผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่กล้าดื่มยาจีนและไม่กล้าฝังเข็ม อีกทั้งการได้เห็นผู้ป่วยอาการดีขึ้นด้วยยาของเธอยังทำให้เธอมีความสุขได้ตลอดทั้งปี จึงตรวจรักษาทุกวันจันทร์ถึงอาทิตย์
“คุณหมอคนนี้สวยจังเลย เป็นหมอน่ะน่าเสียดายแย่ ต้องไปเป็นดาราถึงจะถูก”
“ฉันว่าเทียบกันแล้วเธอสวยกว่าดาราซะอีก ต่อไปต้องได้แต่งเข้าไปเป็นคุณนายในตระกูลที่ร่ำรวยแน่ๆ”
ได้ยินบทสนทนาอันคึกคักในห้องรอตรวจ เฉิงเยียนเงยหน้าเหลือบมองรายการทอล์กโชว์ที่กำลังฉายอยู่ในทีวี ชื่อรายการคือ ‘สามจิตวิญญาณของการมีสุขภาพดี’ ที่กำลังเน้นย้ำประสิทธิภาพของการรักษาโรคเรื้อรังด้วยการฝังเข็มคือแพทย์หญิงสาวสวยผมยาวสีน้ำตาลแดงดัดเป็นคลื่น โครงหน้าคมตาโต ขนตาหนายาว ผิวขาวกระจ่างใส ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมความมั่นใจ มีบุคลิกความเป็นคนดังโดยกำเนิด
เธอรู้จักแพทย์แผนจีนสาวสวยแซ่จ้าวที่อยู่ในทีวีคนนี้ ช่วงนี้ออกทีวีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปิดไลฟ์สดคุยกับแฟนคลับทุกวัน ในโซเชียลมีเดียก็ลงรูปสวยๆ ของตัวเองประจำ จะนัดเธอตรวจผู้ป่วยนอกทีหนึ่งต้องลงทะเบียนล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือน ทำตัวเป็นดาราอย่างเต็มรูปแบบ
“ถ้าเกิดคุณหมอเฉิงได้รับเชิญไปออกรายการแบบนี้ก็ดีสิ ผลตอบรับต้องสุดยอดแน่”
“ขอทีเถอะ นั่นเพราะคุณหมอจ้าวหน้าตาสะสวยหรอกผลตอบรับถึงได้ดีแบบนี้ ถ้าคุณหมอเฉิงไปออกรายการแบบนี้ กลัวว่าจะได้ผลตรงกันข้ามน่ะสิ”
“มันก็ใช่ การรักษาด้วยอาหารบำบัดของคุณหมอเฉิงถึงกับเป็นหนึ่งในเอเชียเชียวนะ แต่ก็ไม่มีสักรายการมาเชิญเลย คงกลัวเชิญคุณหมอเฉิงไปออกรายการแล้วจะทำผู้ชมตกใจหนีไป”
“เมื่อวานฉันดูข่าวประจำสัปดาห์ คุณหมอจ้าวหมั้นแล้วนะ คู่หมั้นเป็นหนุ่มในฝันทายาทเศรษฐี แค่ขอแต่งงานแหวนเพชรก็ปาเข้าไปจะยี่สิบล้านแล้ว น่าอิจฉาสุดๆ!”
พยาบาลตัวน้อยทำหน้าวาดฝัน “หนุ่มในฝันกับสาวในอุดมคติอย่างคุณหมอจ้าวเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ”
พยาบาลน้อยสองคนที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนไม่รู้ว่าเฉิงเยียนเดินเฉียดผ่านเคาน์เตอร์ไปแล้ว ยังคงส่งเสียงจุกจิกคุยกันต่อ
เฉิงเยียนเข้าไปในห้องตรวจ ปิดประตูแล้วถอดเสื้อนอกกันลมออก เปลี่ยนไปใส่เสื้อกาวน์สีขาว นั่งลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยเปิดจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะของเธอ เป็นจดหมายจากสมาคมแพทย์แผนจีนแห่งเอเชีย เชิญเธอไปที่สถาบันวิจัยที่ปีนัง มาเลเซีย เพื่อบรรยายเรื่องการรักษาโรคด้วยโภชนบำบัด นอกจากการบรรยายแล้วยังมีการประชุมแพทย์แผนจีนประจำปีด้วย มีผู้ได้รับเชิญอีกสามสิบกว่าคนเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงในประเทศ จัดขึ้นในวันเดียวกัน
จดหมายเชิญฉบับนี้ทำให้เธอรู้สึกเบิกบาน เธอชอบการบรรยาย แบ่งปันสิ่งที่ตนได้เรียนรู้มาออกไป แม้จะรู้ว่าหน้าตาของเธออาจกลายเป็นอีกจุดสนใจให้คนเพ่งเล็ง เธอก็ยังยินดีที่จะร่วมงาน เพียงแต่เธอคงขอให้ผู้จัดงานใส่รูปภาพของเธอไว้ในใบปลิวก่อน ให้คนอื่นได้เตรียมใจสักหน่อย พอถึงเวลาเห็นเธอปรากฏตัวพวกเขาจะได้ไม่แสดงอาการตื่นตกใจกันมากนัก
พี่สาวคนโตเคยตำหนิว่าทำไมเธอถึงต้องทำอะไรที่ลดคุณค่าของตัวเองแบบนี้ แต่เธอไม่คิดอย่างนั้น ชีวิตคนเราย่อมต้องมีทางออกใช่ไหม เธอทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำร้าย ลดคุณค่าของตัวเองตรงไหนกัน?
เธอจิบชาบำรุงสายตาและตับไปหลายอึก แล้วกดปุ่มไฟเรียกคนไข้คิวแรก
ถามว่าเธอใส่ใจคำที่คนอื่นพูดถึงหน้าตาของเธอไหม ถ้าบอกว่าไม่ใส่ใจก็โกหกแล้ว ถึงเธอจะขี้เหร่มาตลอดยี่สิบเจ็ดปีจนชินกับความขี้เหร่แล้ว แต่เจอกับสายตา ‘ตะลึงในความอัปลักษณ์’ ของคนอื่น เธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวด ต่อให้ทักษะการแพทย์ของเธอเก่งกาจกว่านี้ก็เปลี่ยนแปลงรูปโฉมตัวเองไม่ได้ แม้มีจิตใจแสนดี ทุกปีไปรักษาคนไข้ในชนบทฟรีๆ กว่าพันคนแล้วมีประโยชน์อะไร สู้ใบหน้าหนึ่งที่สวยสดงดงามก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่คิดศัลยกรรมให้สวยขึ้น แต่สวรรค์กลับจงใจกลั่นแกล้งเธอ เธอแพ้ยาชา คนตั้งมากมายเท่าไรที่พึ่งพาศัลยกรรมทำให้สวยขึ้นได้ กลับเป็นเธอแค่คนเดียวที่ไม่อาจทำได้
เธอมาจากครอบครัวขนาดใหญ่ ที่บ้านมีปู่ย่า พ่อแม่ พี่ชายสามคน พี่สาวสองคน ทั้งหมดล้วนมีรูปร่างหน้าตาปกติมาก แต่เธอเป็นคนเดียวที่แปลกประหลาดที่สุด เธอหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ที่สุด ขี้เหร่เป็นพิเศษ ขี้เหร่มากเหลือเกิน ขี้เหร่จนเธอเติบโตมาถึงป่านนี้ยังไม่มีเพื่อน ไม่เคยคุยเรื่องรักใคร่ วันหยุดก็ไม่มีนัดเดต เพราะแบบนั้นเธอถึง ‘มีความสุข’ ทุกๆ วันที่เปิดประตูตรวจคนไข้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครนัดเธอออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ไม่สู้รักษาคนไข้ดีกว่ายังหาเงินได้ด้วย
เธอรู้ตัวมานานแล้วว่าคงต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ ดังนั้นการมีเงินอยู่กับตัวจึงสำคัญมาก ทุกครั้งที่มองกระจกเธอเข้าใจดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนจะยอมอยู่กับเธอ ผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้ เธอยังกลัวมากกว่าว่าจะคลอดลูกที่หน้าตาน่าเกลียดเหมือนกับเธอ แล้วทำให้เขาต้องทนรับความเจ็บปวดเหมือนที่เธอเคยประสบมา
ดังนั้นต่อให้วันหนึ่งมีผู้ชายตาบอดสักคนมาจีบเธอ ไม่ว่าคุณสมบัติเขาจะดีแค่ไหนเธอก็จะปฏิเสธ เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีสิทธิ์มีความรักคนหนึ่ง
จริงๆ แล้วเธอไม่ได้อยากกลายเป็นคนสวย เธอแค่หวังจะดูปกติธรรมดาเท่านั้นเอง

***

ราชวงศ์อู่ รัชศกเทียนอันปีที่สี่
เดือนท้อ แสงแดดสาดส่องขับเน้นความสดใสของฤดูใบไม้ผลิ หมิงอันต้าจ่างกงจู่ จัดงานจิบชาร่ายกวีในวันเกิดเป็นประจำทุกปี เป็นเป้าหมายในการเชิดหน้าชูตาของสตรีชั้นสูงในเมืองหลวง สตรีชั้นสูงนางใดได้รับเทียบเชิญเข้าร่วมงานจิบชาร่ายกวีแสดงว่าความสามารถของนางได้รับการยอมรับจากหมิงอันต้าจ่างกงจู่ หากได้เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในงานจิบชาร่ายกวีไม่เพียงสามารถได้รับรางวัลใหญ่จากหมิงอันต้าจ่างกงจู่ เทียบเชิญของสตรีชั้นสูงทุกตระกูลในเมืองหลวงก็ยังจะโปรยปรายมาดุจเกล็ดหิมะ เชื้อเชิญให้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อหวังกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น
แม้แคว้นอู่จะสถาปนาโดยทหาร แต่บรรยากาศในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้เอง คนไร้การศึกษา ถึงแม้ภูมิหลังตระกูลจะดีเลิศ รูปโฉมงดงามก็ไม่อยู่ในสายตาของผู้ใด ในทางตรงกันข้าม ผู้มีพรสวรรค์ไม่ว่าในด้านพิณ หมาก อักษร หรือภาพวาดด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ แม้ภูมิหลังตระกูลจะธรรมดาก็ล้วนสามารถได้รับการยกย่อง
ในวันนี้หน้าจวนองค์หญิงแน่นขนัดไปด้วยรถม้ายาวเป็นสาย รถม้าหรูหราโอ่อ่าจากทุกบ้านเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูใหญ่จนแม้แต่น้ำสักหยดยังไม่อาจรั่วไหลออกไปได้ สตรีชั้นสูงส่วนใหญ่ในเมืองหลวงมาถึงแล้ว พวกนางล้วนผ่านการรับรองความสามารถจากหมิงอันต้าจ่างกงจู่จึงได้รับเชิญมา ดังนั้นแต่ละคนจึงยกชายกระโปรงลงจากรถม้าอย่างสง่างาม เชิดหน้ายืดอก ราวกับกลัวผู้คนจะมองเห็นรูปโฉมของพวกนางไม่ชัด
ม้าพันธุ์ดีสีขาวปลอดสองตัวควบมาคู่กันแล้วค่อยๆ หยุดลงหน้าจวนองค์หญิง ม้าทั้งสองตัวขนสีขาวเป็นเงามันอ่อนนุ่ม ปราศจากสีอื่นแซมแม้สักเส้น พวกมันลากรถม้าที่มีม่านลายคลื่นสีเขียวอ่อน บนม่านแขวนปักลายผีเสื้อนับร้อยกระพือปีก รอบด้านประดับด้วยพู่ไหมสีทองห้อยลงมา รถม้าคันนี้ในเมืองหลวงมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ใครมองก็รู้ว่าผู้มาคือบุตรีคนโตของเสนาบดีกรมคลัง อันเฉิงเยียน
อันเฉิงเยียนอายุสิบสามปีก็มีชื่อในเมืองหลวง เป็นอันดับหนึ่งในงานจิบชาร่ายกวีสามปีติดต่อกัน ตอนนี้อยู่ในวัยสิบหก นางพรั่งพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ คนมาสู่ขอนางเหยียบธรณีประตูจวนอันจนราบแล้ว แต่สายตาของนางกลับสูงนัก จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ตกลงเรื่องแต่งงาน
หลังจากรถม้าหยุดนิ่งแล้วสาวใช้คนหนึ่งเลิกม่านรถขึ้น ประคองอันเฉิงเยียนลงจากรถม้า ชั่วอึดใจหนึ่งเสียงฮือฮาด้วยความตื่นตะลึงระคนชื่นชมก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ฝูงชนที่มามุงดูเห็นรูปโฉมงดงามของอันเฉิงเยียนแล้วล้วนต้องอุทานด้วยความชื่นชมอย่างยิ่งยวด
กล่าวถึงความงดงามของอันเฉิงเยียน ก็คือรูปโฉมระดับล่มบ้านล่มเมือง ถึงขนาดทำให้มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา นางเป็นที่หนึ่งในบรรดาสตรีมากความสามารถของเมืองหลวง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์อู่ เพียงนางปรากฏกาย บรรยากาศรอบๆ ก็จะสงบลงโดยธรรมชาติ ขณะนี้ก็เช่นกัน หลังจากทุกคนส่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงและชื่นชมแล้วก็เงียบลงพร้อมกัน จ้องมองนางเยื้องย่างเข้าไปในจวนองค์หญิงด้วยความยกย่องชื่นชม
บ่าวหญิงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีคนหนึ่งก้าวนำไปด้านหน้าเพื่อนำทาง และอันเฉิงเยียนผู้คุ้นชินกับเสียงอุทานอย่างชื่นชมของผู้คนมาอย่างยาวนานก็ตามไปด้วยอากัปกิริยาไร้ที่ติ แม้จวนองค์หญิงจะโอ่โถงงามสง่า ก้าวหนึ่งก้าวก็เห็นหนึ่งทิวทัศน์ แต่ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในสายตานางสักนิด เพราะนางเชื่อว่าตนเองก็เป็นภาพวาดภาพหนึ่ง เพียงนางอยู่ที่ใด ทิวทัศน์อันงดงามย่อมถูกบดบังจนสีสันซีดจาง และนางก็จะกลายเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด เป็นทิวทัศน์ที่โดดเด่นจับตาที่สุด
“แม่นางอัน เจ้ามาได้สักที!” ซูซิ่วซิ่วเห็นนางเข้ามาในสวนก็ร้องเรียกนางเสียงสูงอย่างกระตือรือร้น
นางคือบุตรีคนที่สามจากภรรยาเอกของเสนาบดีกรมขุนนางซูเหมี่ยน ความสามารถธรรมดา อาศัยกัดฟันเรียนอย่างลำบากยากเย็นจึงสามารถออกหน้าออกตาได้ เพียงเพราะมารดาของนางกับหมิงอันต้าจ่างกงจู่มีความสัมพันธ์ไม่เลวนางจึงเข้าร่วมงานจิบชาร่ายกวีนี้ได้ ปกตินางมักกระตือรือร้นในการผูกมิตรกับอันเฉิงเยียนอยู่เสมอ หากทำให้ผู้อื่นคิดว่านางเป็นสหายของอันเฉิงเยียนได้ เช่นนั้นผู้อื่นก็จะมองนางสูงกว่าเดิม
อันเฉิงเยียนมิใช่ไม่รู้แผนการของซูซิ่วซิ่ว แต่นางมิได้ใส่ใจมากมาย หญิงสาวดาษดื่นอย่างซูซิ่วซิ่วอยู่รอบกายนางก็มีแต่จะทำให้นางโดดเด่นยิ่งขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถอยห่างถึงพันลี้
อันเฉิงเยียนแย้มยิ้มบางเบา “แม่นางซู”
ซูซิ่วซิ่วมองรอยยิ้มจางๆ ดุจดอกไม้เบ่งบานของอันเฉิงเยียน ในใจอิจฉาอย่างยิ่ง
“ข้าว่าปีนี้แม่นางอันต้องได้อันดับหนึ่งอีกแน่ๆ” เฉินอวี่เซวียน บุตรีคนรองของจิ้งเยว่โหว เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“นั่นยังต้องพูดอีกรึ ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” กู่จื่อหยุน บุตรีคนที่ห้าของเสนาบดีกรมโยธาพูดอย่างเอาอกเอาใจ
ข้างกายอันเฉิงเยียนห้อมล้อมไปด้วยหญิงสาวหลายคนอย่างรวดเร็ว นางยืนอยู่ตรงกลาง รับการพะเน้าพะนอเจือด้วยความเป็นมิตรจากทุกคน ราวกับหมู่ดาวโอบล้อมดวงจันทร์
“คุณชายเนี่ยมาแล้ว...”
ไม่รู้ว่าใครที่เห็นแล้วนึกสนุกเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นพลันเกิดความปั่นป่วนขึ้น
งานจิบชาร่ายกวีนอกจากจะเชิญสตรีชั้นสูงแล้ว ยังได้เชิญเหล่าผู้เปี่ยมพรสวรรค์มาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย และเนี่ยเฟิ่งอวี้ในฐานะหนึ่งในสี่ผู้เปี่ยมพรสวรรค์แห่งเมืองหลวง ทั้งเป็นหนึ่งในสี่ยอดบุรุษรูปงาม ก็ย่อมต้องได้รับเชิญมาเป็นธรรมดา
“แม่นางอัน ได้ยินว่าเจ้าปฏิเสธการสู่ขอของคุณชายเนี่ย จริงหรือไม่” บุตรีคนที่สามของอันไท่ป๋อ ชางรุ่ยอี๋ถาม
อันเฉิงเยียนตอบเบาๆ “แม่นางชางพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ต้องให้บิดามารดาเป็นผู้กำหนด อาศัยวาจาของแม่สื่อ หาใช่เรื่องที่ข้าพูดแล้วจะตัดสินได้ คุณชายเนี่ยเป็นมังกรในหมู่คน ย่อมต้องมีคู่วาสนาที่ดีกว่ารออยู่ ข้าไม่คิดอาจเอื้อม”
พูดออกมาเช่นนี้ทุกคนก็กระจ่างอยู่แก่ใจ นางปฏิเสธการสู่ขอของคุณชายเนี่ยจริงๆ! ขนาดหนึ่งในสี่ยอดบุรุษรูปงามของเมืองหลวงยังไม่เหลียวแล สายตาของนางสูงส่งเพียงนี้ ต้องแต่งกับผู้มีความสามารถถึงเพียงไหนจึงจะพอใจ? พวกเขาจะคอยดู!
หลายชั่วยาม ผ่านไป การแข่งขันบรรเลงกู่ฉิน เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพเสร็จสิ้นลง อันเฉิงเยียนได้อันดับหนึ่งของงานจิบชาร่ายกวีนี้ติดต่อกันอีกครั้งตามคาด หมิงอันต้าจ่างกงจู่มอบรางวัลให้ด้วยตัวเอง เป็นปิ่นปักผมห้อยระย้าที่ล้อแสงระยิบระยับฝังด้วยหงส์ทองอันหนึ่ง นอกจากตัวปิ่นหงส์จะล้ำค่าเหนือสามัญ สิ่งสำคัญคือการที่หมิงอันต้าจ่างกงจู่ประทานรางวัลให้กับมือ เกียรติอันสูงส่งนี้ไม่มีสิ่งใดทัดเทียม
อันเฉิงเยียนรับรางวัลแล้ว เหล่าสตรีชั้นสูงก็พากันมาแสดงความยินดี ผลัดกันชื่นชมปิ่นหงส์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง เสียงอุทานด้วยความชื่นชมดังขึ้นรอบทิศทาง
“ฮ่องเต้เสด็จ!”
ชั่วขณะนั้นเกิดความวุ่นวายไปทั่ว ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงเสด็จมากะทันหัน ทุกคนล้วนคุกเข่าลงรับเสด็จด้วยความงุนงง
ฮ่องเต้เฟิงอี๋แห่งราชวงศ์อู่อยู่ในวัยย่างยี่สิบห้า ท่วงท่าของพระองค์เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างผู้ปกครองแผ่นดิน ก้าวยาวๆ เข้ามาในบริเวณงาน ด้านหลังตามด้วยฉัตรด้ามยาวคันหนึ่ง ชั่วขณะนั้นสวนอันกว้างใหญ่สามารถได้ยินกระทั่งเสียงเข็มตก ทุกคนต่างกลั้นหายใจ ไม่กล้าหายใจแรงๆ สักครั้ง ในที่นั้นนอกจากคนในจวนองค์หญิงแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยได้พบฮ่องเต้ตัวเป็นๆ จึงประหม่าเป็นธรรมดา
“ลุกขึ้นได้!” เฟิงอี๋โบกมือตามสบายแล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหมิงอันต้าจ่างกงจู่
ทุกคนจึงได้สังเกตว่าข้างเก้าอี้ของหมิงอันต้าจ่างกงจู่มีเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งวางอยู่แต่แรก ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฮ่องเต้จะเสด็จมา ทั้งที่ปกติไม่เคยเสด็จมาร่วมงานจิบชาร่ายกวี แล้วเหตุใดหนนี้ฮ่องเต้จึงเสด็จมา? ใช่มาเพื่อร่วมยินดีในวันเกิดขององค์หญิงหมิงอันหรือไม่? ช่างกระตุ้นต่อมสงสัยของผู้คนโดยแท้
เผชิญกับความกังขาของทุกคน หมิงอันต้าจ่างกงจู่จับผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วกระเเอมเบาๆ ทีหนึ่ง “ฝ่าบาทตรัสเองเถอะเพคะ หมิงอันคงไม่อาจเอ่ยปากเรื่องนี้ได้”
“เสด็จอาหญิงก็เหลือเกิน เรื่องนี้มีอันใดเอ่ยปากไม่ได้กัน” เฟิงอี๋มองเห็นทุกคนตกอยู่ในความงงงัน ยักคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้น “เสด็จอาของเราจวินชินอ๋อง คู่ควรกับสตรีที่มีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ดังนั้นเช้าวันนี้เราจึงตัดสินใจว่า วันนี้สตรีใดได้อันดับหนึ่งในงานจิบชาร่ายกวีจะได้เป็นชายาคู่บารมีของจวินชินอ๋อง เราจะพระราชทานการสมรสให้แต่งงานกันทันที”
เสียงดังอลหม่านด้วยความตื่นตะลึงระคนงุนงงดังขึ้นจากรอบด้าน “แต่งงานทันที?”
จะทันทีได้อย่างไร? เท่าที่ทุกคนรู้ ตัวจวินชินอ๋องยังอยู่ที่ชายแดน ถึงต้องแต่งงานก็ต้องรอเขากลับเมืองมาก่อนกระมัง?
นึกถึงจวินชินอ๋องผู้อารมณ์ร้ายไม่ควรตอแยอย่างยิ่ง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ เสี่ยวเฟิงจื่อพลันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเต็มแผ่นหลัง ค้อมกายกราบทูล “ฝ่าบาท...บ่าวผู้ต่ำต้อยขอบังอาจ จวินชินอ๋องยามนี้ไม่อยู่ในเมือง ให้แต่งงานทันทีนั้นดูเหมือน...เอ่อ...จะมีความลำบากนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่จะยากอันใด?” เฟิงอี๋แย้มยิ้มบางเบา “เราจะเขียนราชโองการให้แต่งด้วยหนึ่งฉบับ ใช้ราชโองการแต่งงานแทน ห้าวันให้หลังแต่งได้!”
สายตาของทุกคนล้วนเลื่อนมาทางอันเฉิงเยียน อันเฉิงเยียนจิกมือใต้แขนเสื้อแน่นจนเจ็บปวด กระโปรงลายดอกไม้สีแดงเจิดจ้าพลันสูญเสียสีสันหมดสิ้น
ให้นางแต่งกับจวินชินอ๋อง จวินชินอ๋องที่หน้าเสียโฉมไปครึ่งหนึ่งผู้นั้น ทั้งยังแก่กว่านางตั้งสิบเอ็ดปี นางปฏิเสธการสู่ขอของเนี่ยเฟิ่งอวี้ มิใช่สงวนไว้เพื่อแต่งกับคนที่คนเห็นยังกลัว ผีเห็นยังหวาดอย่างเฟิงเฉียน...
“แฮ่ม...” หมิงอันต้าจ่างกงจู่เตือนด้วยความหวังดี “แม่นางอัน ยืนเฉยอยู่ไยเล่า ดีใจจนสติหลุดลอยเลยหรือไร? ยังไม่รีบโขกศีรษะขอบพระทัยฝ่าบาทอีก”
หากอันเฉิงเยียนยังคงโง่งมเหมือนหุ่นปั้นอยู่ตรงนั้น เกรงว่าฮ่องเต้จะพิโรธแล้ว ด้วยฮ่องเต้เคารพนับถือเสด็จอาผู้นี้อย่างลึกซึ้ง ทนเห็นผู้ใดกล่าวถึงเฟิงเฉียนไม่ดีไม่ได้แม้แต่น้อย ยิ่งทนให้มีสตรีรังเกียจเฟิงเฉียนไม่ได้
อันเฉิงเยียนกลับมามีสติอีกครั้ง กล้ำกลืนความโกรธเกรี้ยวมหาศาลไว้ในอก นางปรับท่าทีอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงอย่างสั่นๆ “หม่อมฉัน...ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”
เฟิงอี๋ยกมุมปากขึ้นอย่างพึงพอใจยิ่ง “ลุกขึ้นเถอะ วันหน้าเจ้าก็เป็นอาสะใภ้ของเราแล้ว ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
หมิงอันต้าจ่างกงจู่ยกแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปาก เอ่ยกับฮ่องเต้เสียงต่ำ “ฝ่าบาททรงวางแผนจะจัดการเรื่องหลังจากนี้อย่างไรเพคะ หากจวินชินอ๋องกลับเข้าเมืองมา กลัวจะเข้าวังแล้วปีนหลังคาเลาะกระเบื้องเอานะเพคะ”
เฟิงอี๋กะพริบตาสองที หัวเราะออกมาอย่างเบิกบานยิ่ง “หากเสด็จอาพอใจก็ย่อมได้ เราจะเป็นบันไดให้เสด็จอาเอง!”
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเด็กเขาดื้อดึง ยืนกรานให้แคว้นอู่ปะทะกับแคว้นจิน ยามไฟสงครามลุกลามได้หลายวันก็เดินทางไปชายแดนหมายจะมอบขวัญกำลังใจให้กองทัพ ซ้ำยังไม่เอาไหนถูกข้าศึกจับตัวไป เสด็จอาก็คงไม่ต้องเข้าไปในค่ายของศัตรูเพื่อช่วยเขา ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายไม่พอ เพื่อที่จะช่วยเขาใบหน้ายังถูกเผาไปซีกหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามดีๆ ผู้หนึ่งกลับถูกทำลาย กลับตาลปัตรไปเป็นใบหน้าที่คนเห็นคนผวา
เขาไม่สน จะว่าเขาเอาแต่ใจก็ดี ว่าเขาใช้อำนาจฮ่องเต้คุกคามผู้คนก็ช่าง จะอย่างไรเขาก็อยากให้เสด็จอามีภรรยาที่งดงามที่สุดในใต้หล้า เรื่องนี้ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้จุติลงมาก็โต้แย้งไม่ได้ ใครก็อย่าคิดขัดขวาง!


+++++++++++++++++++++++++++++++++
เฉิงเยียนจากแพทย์แผนจีนทะลุมิติกลายมาเป็นพระชายาจวินชินอ๋อง แต่ไฉนจึงมีดวงตาเฉียบแหลมหยั่งรู้ได้ล่ะ จะเป็นไทฮองไทเฮาความดันขึ้น ชายารองของสามีตั้งท้องลูกชู้...ก็มองได้ทะลุปรุโปร่งหมดสิ้นเชียวรึ? อ้อ ที่แท้เป็นอิทธิฤทธิ์ของ ‘ถุงยาวิญญาณ’ ทำให้นางสามารถมองปราดเดียวก็แยกแยะอาการผู้ป่วยได้ แม้กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาของสามีที่เสียโฉมไปเพราะสงคราม นางก็ยังรักษาจนหายได้

แต่ก่อนนางอัปลักษณ์ชวนผวา ยามนี้ย้อนเวลามาเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในใต้หล้า ลิขิตเช่นนี้นับเป็นความเมตตาจากฟ้าเบื้องบนแล้ว นอกจากนั้นคนที่มีจิตใจดีย่อมได้รับสิ่งดีตอบแทน เริ่มแรกสามีต่อต้านราชโองการไม่แต่งงาน มายามนี้รักใคร่นางดุจแก้วตาดวงใจ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ว่า ความเชี่ยวชาญของนางคือใช้อาหารบำบัดโรค หรือว่าใช้อาหารบำบัด ‘รัก’ กันแน่ ...เพียงแต่ความหล่อเหลาองอาจของเขาช่างเป็นภัย แม้แต่สนมของฮ่องเต้ยังหมายปอง?!


ผลงานของผู้แต่ง “ตำรับรักชายากระทะเหล็ก”

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”