New Release เหลียนฮวา : อุบายลับจับท่านอ๋อง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : อุบายลับจับท่านอ๋อง

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
คำทำนายชะตาหงส์


นางไม่สามารถหายใจได้...
ร่างกายเย็นเยียบจนแข็งและชาไปหมด...
พอสูดหายใจเข้าไป น้ำอันเย็นเยือกในทะเลสาบก็ไหลทะลักเข้าปากและจมูก มือเท้าที่เดิมทีปัดป่ายดิ้นรนสุดชีวิตนั้นไม่ฟังคำสั่งตั้งนานแล้ว ร่างกายจมดิ่งลงสู่ด้านล่างเรื่อยๆ และเรื่อยๆ...
ร้องไม่ได้ ตะโกนก็ไม่ออก นางใกล้หมดลมหายใจและใกล้จะตายเต็มที เมื่อนางรู้สึกได้ถึงตรงนี้ นางก็ไม่ดิ้นรนอีกต่อไป ปล่อยตัวเองให้ตามแต่คลื่นลมจะพาไป...
ขณะที่ลอยไปลอยมาหูนางคล้ายจะยังได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆ ของเงาร่างสองร่างที่อยู่บนฝั่ง
“ล้วนว่ากันว่านางเป็นคนมีบุญวาสนาทั้งร่ำรวยสูงส่ง แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าจุดจบของนางกลับเป็นคำว่าตาย”
“ชีวิตนี้ของนางก็ถือว่าได้บรรลุหน้าที่ชะตาชีวิตอันร่ำรวยสูงส่งแล้ว ไม่ถือเป็นการสูญเปล่า”
“ไปดีเสียเถอะ หากมีบุญจริงต่อให้ตายไปแล้วมาเกิดใหม่ก็คงมีชะตาชีวิตที่ร่ำรวยสูงส่งแน่นอน และอย่ามาโทษว่าข้าจิ. รีบตายรีบเกิดใหม่ ย่อมดีกว่าแก่ตายอยู่ห้องนั้น เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่”
“นายท่านลมแรงมากแล้ว ไปกันเถิด”
ดูเหมือนว่าผู้ที่พูดคุยกันอยู่จะจากไปแล้ว หูของนางไม่ได้ยินเสียงพูดคุยอีกต่อไป ตัวนางจมลงสู่ก้นทะเลสาบ นอนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา...
น้ำในทะเลสาบช่วงฤดูหนาวเย็นเยียบยิ่งนัก ก่อนที่นางจะหมดสติไปจริงๆ สายตานางมองผ่านน้ำในทะเลสาบอันหนาวเย็นซึ่งเดิมทีเป็นแผ่นน้ำแข็งแต่ทว่าค่อยๆ ละลายจนเกือบหมด คล้ายกับมองเห็นแสงอาทิตย์ที่สว่างไสวแวววาวที่สุดบนโลกนี้ ความสวยงามและชวนให้คนใฝ่ฝันถึงเช่นนั้นทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้
นางรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว
ในความฝันที่วนเวียนไม่รู้จักจบสิ้นนี้ นางไม่รู้ว่าตายไปแล้วกี่รอบ แต่ช่วงเวลาที่ใกล้จะจมถึงก้นทะเลสาบนั้นเอง นางถึงเพิ่งจะรู้ตัวอีกครั้งว่านี่เป็นเพียงความฝันฉากหนึ่งเท่านั้น
นางมักจะตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เหงื่อกาฬไหลหยดย้อย หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกคว้าน...
ในฝันร้ายเป็นความทรงจำของชาติก่อนที่คอยก่อกวนไม่หยุด เป็นถึงฮองเฮาแต่กลับถูกนางแพศยาใส่ความจนต้องถูกส่งไปยังตำหนักเย็น เพิ่งจะเข้าตำหนักเย็นไปได้ครึ่งปีก็ถูกสนมปีศาจนั่นให้คนมาพาออกไป แล้วโยนนางลงในทะเลสาบที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง...
ความหนาวยะเยือกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ความหวาดกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้สึกที่ถูกน้ำในทะเลสาบไหลทะลักเข้าปากและจมูกน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่ในความฝันนางก็รู้สึกว่านางตายเพราะหายใจไม่ออก ตายแบบนี้มาร้อยครั้งพันครั้ง...
นางลืมไม่ลง และก็ไม่กล้าลืมเช่นกัน
นางมาเกิดใหม่อีกครั้งตอนอายุสิบแปด กลับไปช่วงก่อนหน้าที่นางกับสามีในชาติก่อนจะพบกันสองเดือน เวลานี้เขาเป็นเพียงองค์ชายสี่ที่ไม่มีความสำคัญ ส่วนนางยังคงเป็นแค่บุตรสาวของนายอำเภอเล็กๆ ผู้หนึ่ง...
ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป
“มีบุญวาสนา ร่ำรวยสูงส่ง ชะตาหงส์โดยกำเนิด”
เพราะคำทำนายนี้ เพราะดวงชะตาอันสูงส่งไร้สิ่งใดเทียบนี้ ชาติก่อนนางเลยก้าวกระโดดจากบุตรสาวนายอำเภอเล็กๆ มาเป็นพระชายาในองค์ชายสี่ ผิงอ๋อง ในเวลาต่อมาก็เป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แล้วจากนั้นก็เป็นฮองเฮา ฮองเฮาที่ไม่ตายดี ดูเหมือนว่าจะเป็นชีวิตที่ร่ำรวยสูงส่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นความเพ้อฝันฉากหนึ่งซึ่งตอนจบนั้นเศร้าสลดหาสิ่งใดเทียบ
ในชาตินี้ ก่อนที่คำทำนายนี้จะถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของราชครู นางต้องพยายามสุดความสามารถเพื่อหาคู่ชีวิตใหม่ให้ตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม...
สามีที่ยินยอมสู่ขอนางเป็นภรรยาและมีสถานะพอๆ กับองค์ชายสี่
บุรุษที่ชาติก่อนมีโอกาสเป็นองค์รัชทายาทและขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้มากที่สุด
มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถเพียงพอจะปกป้องนาง เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตนี้ของนาง...
และก็เปลี่ยนแปลงของเขาด้วย


บทที่หนึ่ง
สนองความชอบของผู้อื่น


ทิวทัศน์ยามเดือนสามในเขตลั่วโจวยังคงเต็มไปด้วยสีสันแพรวพราว ดูงดงามละลานตา
ลั่วโจวเป็นสถานที่ที่ใกล้เมืองหลวงที่สุดนอกจากเมืองผูจิงที่เป็นเมืองหลวงรอง ถือได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าขบวนพ่อค้าที่ไปๆ มาๆ จากทั้งทางเหนือใต้ออกตกต้องเดินทางผ่านเมื่อจะเข้าเมืองหลวง เป็นสถานที่อันร่ำรวยและมีชื่อมาช้านาน
เนื่องจากเหตุการณ์ก่อกบฏในวังหลวงเมื่อเก้าเดือนที่แล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทจึงว่างอยู่จนถึงตอนนี้ องค์ชายสี่ ผิงอ๋อง เล่อเจิ้งซวินที่เคลื่อนทัพจากตะวันตกกลับมาช่วยฮ่องเต้ และองค์ชายเจ็ด เซียงอ๋อง เล่อเจิ้งเฉินที่ลงมือบัญชาการทหารม้าอย่างมีระเบียบแบบแผนด้วยตนเองอยู่ที่ลั่วโจวตอนนั้นย่อมกลายเป็นตัวเลือกว่าที่องค์รัชทายาทซึ่งได้รับความสนใจที่สุด
เซียงอ๋อง เล่อเจิ้งเฉินมีนิสัยอบอุ่น เป็นที่นับหน้าถือตา เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและสุภาพอ่อนโยน ปีนี้อายุยี่สิบสองปี เป็นโอรสของหมิ่นกุ้ยเฟย ฉินซื่อเหลียนลุงของเขาเป็นหัวหน้าราชเลขา เมื่ออายุยี่สิบปีก็ออกจากวังไปมีจวนเป็นของตัวเอง ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งร่ายบทกวี ชมบุปผา พูดคุยแต่เรื่องธรรมชาติและทิวทัศน์ ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ไม่พูดคุยเรื่องการเมือง ไม่แย่งชิงผลงาน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และพอใจในสภาพดังกล่าว หากไม่ใช่เพราะเมื่อเก้าเดือนก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการเขตลั่วโจวได้ไม่นานก็พบกับเหตุการณ์ก่อกบฏครั้งนี้พอดี คงไม่มีผู้ใดทั้งในและนอกราชสำนักค้นพบความสามารถในการจัดการการเดินทัพ จัดทัพ วางกลยุทธ์อยู่เบื้องหลังได้อย่างสุขุมเยือกเย็นของเขา
ผิงอ๋อง เล่อเจิ้งซวินนิสัยเผด็จการเย่อหยิ่ง รูปร่างสูงใหญ่ รูปงามหล่อเหลา เป็นโอรสของซูกุ้ยเฟย ท่านตาเป็นรองราชเลขาธิการ ปีนี้อายุยี่สิบสี่ปี อายุมากกว่าเซียงอ๋องเพียงแค่สองปี แต่เมื่อหลายปีก่อนถูกส่งไปทางตะวันตกเพื่อรับหน้าที่แม่ทัพผู้พิทักษ์แดนตะวันตก ครั้งนี้กลับมาเมืองหลวงมีผลงานช่วยเหลือฮ่องเต้ให้รอดพ้นจากอันตรายเลยถูกเรียกตัวกลับมารับตำแหน่งรองเสนาบดีกรมกลาโหม เห็นได้ว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะฝึกฝนและสั่งสอน
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้รับสั่งแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดี โดยให้หัวหน้าราชเลขาเป็นมหาเสนาบดีฝ่ายขวา และรองราชเลขาธิการเป็นมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย การชิงความเป็นใหญ่โดยฝ่ายหนึ่งซ้าย ฝ่ายหนึ่งขวา ฝ่ายหนึ่งบุ๋น ฝ่ายหนึ่งบู๊นี้ กล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นกับผู้ที่จะถูกคัดเลือกเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต ต่อหน้าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมา แต่ลับหลังแต่ละฝ่ายกลับคาดการณ์ต่างๆ กันไป และมีแม้แต่การพนันขันต่อกัน
ทว่าเรื่องเหล่านี้แท้จริงแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาจูจ้งนายอำเภอหลิงเฉิงตัวเล็กๆ ด้วยเล่า?
ผิงอ๋องผู้นั้นอยู่ห่างไกล แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเขาก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่เซียงอ๋องคือผู้ว่าการเขตลั่วโจว เขาที่เป็นนายอำเภอเล็กๆ ต่อให้ไม่ได้พบทุกวัน ทว่าทุกสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ต้องพบสักครั้งหนึ่ง สำหรับเขาแล้วองค์ชายเจ็ดเซียงอ๋องผู้นี้ก็เหมือนกับการมีอยู่ของสวรรค์ เป็นการมีอยู่ที่จะล่วงเกินไม่ได้แม้แต่น้อยเช่นนั้น
ภายใต้แสงจันทร์ นายทะเบียนหวางกังที่มายังจวนนายอำเภอรินชาให้นายอำเภอของเขาถ้วยหนึ่งด้วยไมตรีจิต กลิ่นหอมของดอกไม้บางเบาภายในสวนรวมกับกลิ่นหอมของชาชั้นดีนี้ กล่าวได้ว่าส่งเสริมความดีเด่นให้แก่กันและกัน
“ใต้เท้าอาจจะไม่รู้ แม้การที่ผิงอ๋องกลับเมืองหลวงมารับตำแหน่งรองเสนาบดีกรมกลาโหมจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าผิงอ๋องอายุยี่สิบสี่แล้วบัดนี้ยังไม่ได้คัดเลือกพระชายากลับเป็นเรื่องใหญ่ในราชสำนักเมื่อไม่นานมานี้ขอรับ”
แม้เหล่าองค์ชายและองค์หญิงแห่งราชวงศ์ตงสวี้จะไม่ได้แต่งงานเร็วเหมือนกับราชวงศ์อื่น แต่องค์ชายที่อายุยี่สิบสี่ปีแล้วยังไม่แต่งภรรยานั้นน้อยยิ่งกว่าน้อยจริงๆ
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร” จูจ้งยกชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“ใต้เท้าเลอะเลือนแล้ว ในจวนของใต้เท้ายังมีบุตรสาวที่ยังไม่แต่งงานอยู่นางหนึ่งไม่ใช่หรือ อายุสิบแปดปีกำลังพอเหมาะ ไม่มากไป ไม่น้อยไป นอกจากนี้ยังมีดวงชะตาสูงส่ง...”
เมื่อจูจ้งได้ยินก็ไอขึ้นมาเบาๆ คล้ายกับอยากจะใช้เสียงไอมากลบเกลื่อนประโยคเมื่อครู่นี้ของหวางกัง “หวางกัง จากนี้ไปอย่าได้พูดประโยคนี้อีกเลย ก็แค่พวกหมอดูพเนจรที่พูดล่อลวงให้คนถูกอกถูกใจไปเรื่อยเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ เจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่เลอะเลือน”
หวางกังติดตามจูจ้งมาอย่างน้อยก็สิบปีแล้ว ได้ยินเรื่องราวทั้งเล็กทั้งใหญ่เกี่ยวกับจูเหยียนอู่บุตรสาวท่านนายอำเภอจูมาไม่มากไม่น้อย ตอนนางหนูนี่เป็นเด็กก็เดินไปเดินมาให้เขาเห็นอยู่บ่อยๆ นางเติบโตมางดงามและบริสุทธิ์สะอาดยิ่งนัก เขาที่ไม่มีทั้งบุตรชายและบุตรสาวก็เอานางหนูนี่ไว้ในใจ
“ใต้เท้า รัชทายาทองค์ก่อนก่อกบฏบีบให้ฮ่องเต้ทรงสละราชสมบัติ องค์ชายรองก็ถูกเนรเทศไปอยู่ตงเป่ย องค์ชายสามสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนนี้ผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะขึ้นเป็นรัชทายาทก็คือองค์ชายสี่ผิงอ๋องแล้ว แม้จะกล่าวว่าชื่อเสียงบารมีขององค์ชายเจ็ดเซียงอ๋องก็มีไม่น้อย แต่ฮ่องเต้โปรดที่จะแต่งตั้งผู้ที่อายุมากกว่ามาสืบทอดบัลลังก์ ภายใต้ความได้เปรียบที่เสมอกันของทั้งสองฝ่าย ผิงอ๋องย่อมต้องชนะเป็นแน่”
จูจ้งดื่มชาอีกอึกหนึ่ง เมื่อดื่มหมดก็ให้หวางกังรินชาให้เขาอีกถ้วยหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เหยียนอู่ของข้ากิริยามารยาทไม่เรียบร้อย ทั้งตระกูลของเราก็เป็นตระกูลเล็กๆ จะแต่งเข้าไปเป็นเชื้อพระวงศ์ทำอันใด ตำแหน่งพระชายานางสามารถเป็นได้หรือ? ว่าไปแล้วที่จริงนางหนูของข้าก็มีสัญญาแต่งงานตั้งแต่เด็กแล้ว...”
“สัญญาแต่งงานนั่น...สามารถนับได้หรือขอรับ” หากจูจ้งไม่เอ่ยขึ้น แม้แต่เขาที่เป็นผู้ใกล้ชิดตระกูลจูที่สุดยังเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเลย
จูจ้งถอนหายใจครั้งหนึ่ง “อย่างน้อยรอจนนางหนูอายุยี่สิบปี หากยังไม่มีข่าวคราวของอีกฝ่ายค่อยคุยเรื่องแต่งงานอีกทีเถอะ”
พูดถึงสัญญาแต่งงานที่กำหนดขึ้นตั้งแต่เด็กของจูเหยียนอู่นั้น มันคือสัญญาที่บิดาของจูจ้งและสหายสนิทตระกูลหยวนกำหนดขึ้นมาร่วมกันในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยสัญญากันว่าหลังจากหลานสาวคนโตและหลานชายคนโตของทั้งสองฝ่ายเติบโตขึ้นจะให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน การแต่งงานนั้นกำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในปีที่นางหนูอายุห้าปีไม่รู้ว่าตระกูลหยวนไปล่วงเกินผู้มีอิทธิพลฝ่ายใดเข้า คาดไม่ถึงว่าภายในหนึ่งคืนจะถูกฆ่าปิดปากทั้งตระกูล มีก็แต่ร่างของหลานชายคนโตตระกูลหยวนเท่านั้นที่หาไม่พบตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ ตระกูลจูส่งคนออกตามหาอยู่หลายปียังคงไร้ซึ่งข่าวคราว จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
“ตอนนี้มีโอกาสอันดีรออยู่ ก็ออกจะน่าเสียดายไปหน่อยนะขอรับ”
“มีอะไรน่าเสียดาย แทนที่จะเข้าไปเป็นอนุของคนในราชวงศ์ มิสู้หาตระกูลที่มีฐานะทัดเทียมกันและบุรุษที่รู้จักรักนาง เอ็นดูนางจะดีกว่า นั่นถึงจะเป็นความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต”
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยคิดอาจเอื้อมตีเสมอองค์ชายเหล่านี้ พูดตามความจริงพวกราชวงศ์นั้นยากแท้หยั่งถึงเกินไป พวกเขาขุนนางเล็กๆ เหล่านี้จะสามารถหยั่งถึงหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยียนอู่ที่ชื่นชอบการเที่ยวเล่น ทั้งมีรูปโฉมงดงามและก็เย่อหยิ่ง เรื่องที่เป็นอนุแล้วต้องนอบน้อมประจบประแจงพรรค์นั้นนางทำได้ที่ไหนกัน? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวในการชิงดีชิงเด่นกันเหล่านั้น นางที่เป็นคนตรงไปตรงมาจะรับมือไหวได้อย่างไร
“คุณหนูใหญ่มีใต้เท้าคอยตามใจอยู่ ดังนั้นจึงออกจะมีชีวิตชีวาและอยู่ไม่สุขไปบ้าง แต่อย่างไรเสียใต้เท้าก็ให้คนมาสอนนางตั้งแต่เด็ก ก็ถือว่าเป็นสตรีจากตระกูลผู้ลากมากดีคนหนึ่ง ว่าไปแล้ว...” หวางกังกดเสียงพูดให้เบาลง “ต่อให้แต่งเข้าไปเป็นอนุในจวนผิงอ๋อง ในวันหน้าฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ว่าจะเป็นชายารองหรืออนุก็แค่ตำแหน่งเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน เพราะต่างก็เป็นสนมของฮ่องเต้ทุกคน นี่กับอนุภรรยาทั่วไปจะเทียบกันได้อย่างนั้นหรือ ใต้เท้าว่าเช่นนั้นหรือไม่ขอรับ”
จูจ้งขมวดคิ้วและจ้องมองหวางกัง “จากนี้ไปคำพูดนี้เจ้าอย่าได้พูดอีกเป็นอันขาด ตอนนี้ฮ่องเต้มีพระพลานามัยแข็งแรงดี พูดจาส่งเดชเช่นนี้ระวังจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้”
หวางกังลูบคอแล้วหัวเราะแหะๆ สองที “สิ่งเหล่านี้ผู้น้อยย่อมทราบดีขอรับ แค่กลัวว่าชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวใต้เท้าจะคิดได้ไม่ถี่ถ้วน ดังนั้นจึงแอบปากมากขอรับ”
จูจ้งโบกมืออย่างทนไม่ได้ “หวางกัง ก่อนหน้านี้นางหนูของข้าตกน้ำสลบไสลไม่ได้สติจนเกือบจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ข้าแค่หวังว่านางจะสามารถมีความสุขและปลอดภัยเช่นนี้ไปตลอดเท่านั้น เรื่องอื่นข้าล้วนไม่ใส่ใจ”
กว่าจะสามารถเอาชีวิตของบุตรสาวกลับมาได้จากหน้าประตูผีนั้นไม่ง่ายเลย เขาที่เป็นบิดานี้จะไม่รักและทะนุถนอมให้ดีได้หรือ?
“ขอรับ ผู้น้อยเข้าใจ เพียงแต่รู้สึกเสียดายเท่านั้น”
“เข้าใจก็ดี พลังอำนาจของเบื้องบนไม่อาจคาดเดา มีหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะเสียเปรียบ แต่สุดท้ายอาจจะเป็นการทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดก็ได้ เจ้าเก็บความคิดนี้ไว้เสียเถอะ มีใจมาคิดใคร่ครวญถึงสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมนี้ ยังมิสู้คิดว่าควรจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำจัดการน้ำท่วมอย่างไร หากเจ้าสามารถคิดหาวิธีมอบแก่เซียงอ๋องได้ อนาคตที่สดใสจะรอเจ้าอยู่อย่างแน่นอน”
หวางกังยิ้มฝืดเฝื่อน “ใต้เท้าล้อเล่นแล้ว ข้าก็รู้ว่าระยะนี้เซียงอ๋องกำลังกลัดกลุ้มว่าควรจะเสนอแผนการอย่างไรให้กับฮ่องเต้ แต่อุทกภัยทางใต้ใช้กำลังคนและทรัพยากรไปมากมายมาหลายปีแล้วก็ไม่สามารถหาวิธีที่ถูกต้องได้เสียที สมองของข้านี้ต่อให้คิดจนระเบิดก็ไม่สามารถคิดหาวิธีที่สำเร็จได้เป็นแน่ขอรับ”
จูจ้งหัวเราะแล้วลงมือชงชาด้วยตนเอง ช่วงนี้งานที่ทำบ่อยที่สุดในเวลาที่อยู่ข้างกายเซียงอ๋องก็คือชงชาให้เขา มีหลายคำพูดที่ยิ่งพูดมากเท่าไรก็อาจจะยิ่งทำผิดมากเท่านั้น มิสู้ไม่พูดดีกว่า มีหลากหลายเรื่องราวที่ยิ่งทำมากเท่าไรก็อาจจะยิ่งทำผิดมากเท่านั้น มิสู้ไม่ทำดีกว่า แต่ว่าอย่างน้อยการชงชาให้เซียงอ๋องเป็นสิ่งที่ไม่ผิดแน่นอน นอกจากทำให้คนมองแล้วไม่รู้สึกขวางหูขวางตา ก็ไม่อาจยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดไม่จาและแสดงอย่างโจ่งแจ้งว่าตัวเองไร้ความสามารถหรือโดดเด่นเกินไปได้เช่นกัน
“เช่นนั้นก็ดื่มชา ชมจันทร์เถอะ”
“ขอรับ โชคดีที่หลายเดือนมานี้มีฝนตกน้อย เขตการปกครองทั้งจังหวัดและอำเภอทางใต้หลายที่สร้างเขื่อนเสร็จเรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว คงจะไม่เกิดภัยพิบัติใหญ่เหมือนเช่นปีก่อนแน่นอน”
แม้ใบหน้าจูจ้งจะยิ้มแย้ม แต่ดวงตากลับยากที่จะปิดบังความกังวลไว้ “พลังอำนาจของเบื้องบนยากที่จะคาดเดา เจตนารมณ์ของสวรรค์ก็ยากที่จะคาดเดาเช่นกัน มีเพียงแต่พยายามให้ถึงที่สุดเท่านั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรคงอยู่ที่สวรรค์ลิขิตแล้ว”
แม้จะบอกว่าบรรดาอำเภอทั้งหลายในเขตลั่วโจวไม่เคยได้รับความยากลำบากจากน้ำท่วม แต่ในช่วงไม่กี่ปีนี้การป้องกันและจัดการน้ำท่วมเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากที่สุดในราชสำนัก ทั้งในและนอกราชสำนักต่างก็หวังว่าจะหาวิธีที่ลำบากเพียงครั้งเดียวแต่สบายไปได้ตลอดเพื่อให้ชาวบ้านริมแม่น้ำหรงไม่ต้องได้รับความยากลำบาก
แต่คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ก็เหมือนเช่นวันนั้นที่เหยียนอู่นั่งเรือล่องทะเลสาบ ทั้งๆ ที่เป็นเรือที่เพิ่งสร้างเสร็จและผ่านการตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างถี่ถ้วนว่าปลอดภัยไร้กังวล ทว่าผู้ใดจะไปคาดคิดว่าวันนั้นที่ล่องเรือจะประสบเข้ากับพายุแปลกประหลาดหอบหนึ่ง เรือเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง มีเหยียนอู่ผู้เดียวที่ไม่ได้จับให้แน่นจึงตกจากเรือที่สั่นโคลงเคลงไม่หยุดลงไปในทะเลสาบ ออกแรงกันอยู่พักหนึ่งถึงช่วยขึ้นมาได้ แต่นางกลับสลบไสลไม่ได้สติ...
เดิมทีเขาคิดว่าเขาจะต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไปแล้วเสียอีก
นับว่าครั้งนี้สวรรค์เมตตาเขา ไม่ได้นำชีวิตบุตรสาวที่รักของเขาไป ในขณะที่เหล่าหมอต่างอับจนหนทางต่ออาการสลบไสลไม่ได้สติของนาง ทันใดนั้นเหยียนอู่กลับฟื้นขึ้นมาเอง...
นี่คือเจตนารมณ์ของสวรรค์กระมัง?
เดิมทีเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้มา เขาจูจ้งทั้งยำเกรงและเคารพสวรรค์
หวางกังเห็นเขาครุ่นคิดไม่เอ่ยวาจาอยู่นานจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้ายังคิดถึงพายุอันแปลกประหลาดในทะเลสาบวันนั้นอยู่หรือขอรับ”
จูจ้งไม่เอ่ยคำใด นำชาที่ชงใหม่รินให้พวกเขาทั้งคู่
“ใต้เท้าขอรับ มีเรื่องหนึ่งที่ผู้น้อยไม่ได้เอ่ยถึงมาตลอด...”
พูดมาแบบนี้ก็คืออยากจะพูดแต่ไม่สามารถพูดได้ หากอดกลั้นไว้เกรงว่าต้องทำให้เขาอายุสั้นไปหลายปีทีเดียว
จูจ้งมองเขาอย่างตลกขบขันแวบหนึ่ง “ว่ามาเถอะ”
“ใต้เท้ายังคงจำช่วงก่อนหน้าที่ฮ่องเต้มีราชโองการเชิญพระอาจารย์จ้าวเฉวียนมาจากต่างแคว้น เพื่อมารับหน้าที่ราชครูในวังหลวงให้ราชวงศ์ตงสวี้เราได้กระมัง”
มือที่ยกถ้วยชาชะงักไป จากนั้นจูจ้งก็พยักหน้า “มีเรื่องเช่นนี้จริง”
“วันนั้นที่เกิดลมประหลาดในทะเลสาบ พระอาจารย์ท่านนี้กำลังผ่านหลิงเฉิงและบังเอิญว่าตอนนั้นคนของเขายืนอยู่ที่ริมทะเลสาบพอดีขอรับ”
“อะไรนะ?” จูจ้งตะลึงงันและเหลือบตาขึ้นมองทางหวางกัง “ตอนนั้นเขามาถึงหลิงเฉิงของพวกเราแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่มีใครส่งหนังสือมาแจ้งเลย”
“พระอาจารย์ไม่เหมือนผู้อื่น ทำการใดไม่ให้เป็นที่สนใจและค่อนข้างลึกลับ ข้างกายก็นำศิษย์มาแค่คนเดียว และตลอดการเดินทางล้วนไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ท้องที่ใดเลยขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าจำเขาได้อย่างไร”
“ตอนนั้นนักพรตเฉวียนเจินแห่งวัดเจินกั๋วก็มาธุระที่ลั่วโจวพอดีไม่ใช่หรือขอรับ วันนั้นเขาและผู้น้อยเดินเล่นมาถึงริมทะเลสาบเลยคิดจะรอใต้เท้าล่องทะเลสาบกลับมาดื่มชาและทักทายกันแล้วค่อยกลับ คาดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ริมทะเลสาบก็จำจ้าวเฉวียนผู้นี้ได้ภายในแวบเดียวที่เห็น ผู้น้อยเลยคิดที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปทักทาย แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้และกำลังจะคารวะเขาอยู่ๆ ทะเลสาบกลับมีพายุแปลกประหลาดหอบหนึ่งพัดมา พายุหอบนี้พัดจนทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตากันไปหมด ทว่าผู้น้อยกลับเห็นพระอาจารย์จ้าวเฉวียนผู้นั้นยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น มองท้องฟ้าด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดและก็มองทะเลสาบ...ตอนนั้นผู้น้อยได้ยินพระอาจารย์พูดประโยคหนึ่งมากับหูขอรับ...”
“อะไรนะ?”
หวางกังประสานมือคารวะ จากนั้นก้มศีรษะลงแล้วกดเสียงเอ่ยเบาๆ ว่า “ใต้เท้าต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ตำหนิที่ผู้น้อยพูดเรื่องประหลาดเหนือธรรมชาติ ผู้น้อยจึงจะกล้าตอบขอรับ”
ที่หลายวันมานี้เขาอดกลั้นเรื่องนี้ไว้ ประการแรก เป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณหนูตกน้ำและสลบไสลไม่ได้สติมาตลอดเลยไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ ประการที่สอง เป็นเพราะเขารู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมาจูจ้งไม่เชื่อคำทำนายและผีสางเทวดาเหล่านี้ ดังนั้นจึงระวังแล้วระวังอีก ไม่กล้าพูดออกมาตามใจชอบ ทั้งนี้จะได้ไม่พบกับการกล่าวโทษและมองอย่างดูแคลน ไม่เช่นนั้นนั่นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวอย่างแท้จริง
“ว่ามาเถอะ พูดสิ่งใดมาข้าจะไม่ตำหนิเจ้าทั้งสิ้น” เรื่องเกี่ยวกับพายุแสนประหลาดนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเหยียนอู่ของเขา เขาที่เป็นบิดาจะไม่ฟังได้หรือ?
“ขอรับ เช่นนั้นผู้น้อยจะพูดแล้วนะขอรับ”
จิ๊ ยืดยาดท่ามากเสียจริง!
จูจ้งชำเลืองจ้องเขาแวบหนึ่ง “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าพูดเลย!”
“ใต้เท้าอย่าเพิ่งโมโห ผู้น้อยจะพูดแล้วขอรับ” ก่อนจะพูดหวางกังยังรินชาให้ตัวเองอีกถ้วยหนึ่ง แล้วค่อยเอ่ยว่า “วันนั้นพระอาจารย์พูดว่า...ท้องฟ้าแปรปรวน ชะตาหงส์ปรากฏ เกรงว่าตำหนักบูรพา จะเปลี่ยนแปลง”
ท้องฟ้าแปรปรวนอันนี้ทุกคนต่างก็รู้ แต่ชะตาหงส์ปรากฏ? เกรงว่าตำหนักบูรพา...จะเปลี่ยนแปลง?
เมื่อจูจ้งได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนหน้าถอดสี ถ้วยในมือตกใส่พื้นดังเพล้ง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++
มีบุญวาสนา ร่ำรวยสูงส่ง ชะตาหงส์โดยกำเนิด...

จูเหยียนอู่เป็นเพียงบุตรสาวนายอำเภอ แต่กลับต้องแบกรับดวงชะตาอันสูงส่งเช่นนี้ ชาติก่อนนางจึงถูกผิงอ๋องผู้เป็นสามีหลอกใช้ จนสุดท้ายก็ตายอย่างอนาถ ชาตินี้นางเลยต้องใช้ดวงชะตานี้ให้เป็นประโยชน์ หาสามีดีๆ ให้กับตัวเองให้ได้ และเป้าหมายที่ดีที่สุดก็คือเซียงอ๋อง เขามีสถานะพอที่จะคุ้มครองนางให้ปลอดภัยได้ แต่ท่านอ๋องผู้นี้หลอกไม่ได้ง่ายๆ นางคงต้องวางแผนสักนิด ใจกล้าหน้าทนสักหน่อย ทว่านางยังไม่ทัน ‘จับ’ เขาได้ ความยุ่งยากก็มาเยือน...

การเจรจาสู่ขอของผิงอ๋องโดนปฏิเสธ เขาเลยส่งคนมาใส่ร้ายบิดาของนางว่าทุจริตและละเลยต่อหน้าที่เพื่อบีบให้นางแต่งงานด้วย หากไม่ใช่เพราะเซียงอ๋องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ตระกูลของนางคงต้องจบสิ้นจริงๆ แล้ว แต่นางไม่คาดคิดว่าผิงอ๋องจะขุ่นเคืองจนลงมือทำร้ายเขาได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ บทละครเรื่อง ‘สองอ๋องแย่งชิงหนึ่งสตรี’ นี้รู้ไปถึงฮ่องเต้เสียแล้ว…


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”