New Release เหลียนฮวา : สลักใจเจ้าประติมากร

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : สลักใจเจ้าประติมากร

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
แม่นางคือผู้ใดกัน

ทักษะงานประติมากรรมหยกของแคว้นเทียนเฉานับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า
แม้ตัวจะอยู่ต่างสำนัก แต่เหล่าประติมากรต่างนับถือผู้ยิ่งใหญ่ท่านเดียวกัน
ณ สำนักตงไห่ ประมุขผู้เฒ่าแห่งตระกูลจั๋วผู้มีอายุเกือบร้อยปีได้จากโลกนี้ไปในขณะหลับใหล ถือว่าท่านได้จากไปอย่างสงบ คฤหาสน์ตระกูลจั๋วแห่งตงไห่จึงจัดโถงให้เคารพศพผู้ล่วงลับพร้อมประกอบพิธีไว้อาลัยเป็นเวลาสามวัน
อาจารย์ของนางมีนามว่าฟ่านฉี่ เจ้าของฉายา ‘ผู้เฒ่าอวิ๋นซี’ ผู้ก่อตั้งสำนักตี้จิง เป็นสุดยอดช่างฝีมือเครื่องหยกแห่งเทียนเฉาเช่นเดียวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลจั๋ว ทั้งสองรู้จักกันมามากกว่าหกสิบปี ครั้งนี้ก็รีบเดินทางจากตี้จิงมาที่ตงไห่เพื่ออำลาเพื่อนเก่าเป็นครั้งสุดท้าย
เนื่องจากอยู่ชายฝั่งทะเลตะวันออก คฤหาสน์ตระกูลจั๋วหลังย่างเข้าสู่ยามราตรีจึงเสมือนกับเกาะร้างกลางทะเล
เมื่อสงบจิตและสดับฟังเสียงคลื่นที่ซัดสาดลูกแล้วลูกเล่าซึ่งช่วยชะล้างจิตวิญญาณของมนุษย์และหลอกล่อให้สับสน แล้วลองกลับมาสำรวจดูตนว่าเข้าใจอย่างไร
นางกลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ นอกจากเสียงของหัวใจ
หัวใจในทรวงอกนั้นเต้นแรงกระหน่ำ รุนแรงจนใกล้ทะลุออกหู จนนางได้ยินเสียงหัวใจเต้นแจ่มชัด
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่ามกลางค่ำคืนในปลายสารทนี้จะได้เห็นเขาเดินเตร็ดเตร่ในศาลากลางทะเลสาบของคฤหาสน์ตระกูลจั๋วเพียงลำพัง
หากจะกล่าวว่าท่านอาจารย์อายุแปดสิบกว่าปีของนางและประมุขผู้เฒ่าตระกูลจั๋วเป็นสุดยอดช่างฝีมือ เขาคนนี้ก็คือผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้ใด สมกับคำว่า ‘โดดเด่นน่าตะลึง’
ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีต้นๆ อยู่ในศาลาอันประณีต เขาเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลจั๋วตั้งแต่ช่วงเช้า ยามนั้นนางรีบหลบซ่อนกายอยู่หลังท่านอาจารย์คอยแอบมองเขาทักทายผู้อื่นและจุดธูปไหว้ร่างประมุขผู้เฒ่า เขาอยู่ในชุดที่ทำจากผ้าเนื้อดีสีขาวหยก ตัดด้วยสีเทาเข้มของสาบเสื้อและปลายแขนของชุด ผมสีดำเงางามดังขนอีกาถูกเกี้ยวหยกสีขาวนวลมัดรวบไว้ด้านหลัง ดูแล้วช่างเคร่งขรึมสง่างาม
ในตอนนี้แม้นสะพานเก้ามุมซึ่งเป็นทางเชื่อมไปสู่ศาลากลางน้ำจะประดับด้วยโคมไฟสองดวง แต่เปลวไฟภายในใกล้มอดดับ ส่องไม่ถึงภายในศาลาเลยแม้แต่น้อย ถึงจะเป็นเช่นนั้นดวงดาราและจันทราที่สะท้อนอยู่กลางทะเลก็ช่วยส่องให้เห็นร่างของชายในชุดสีขาวหยกได้
กลางศาลาไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้ มีเพียงหินก้อนใหญ่ที่สูงเท่าเอวตั้งตระหง่านอยู่ เขาทาบมือข้างหนึ่งไว้ที่หินก้อนนั้นและยืนนิ่งไม่ไหวติงพลางเงยหน้าคล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงคิด
ยากที่จะรู้ว่าเขายืนด้วยท่าทางเช่นนั้นมานานเท่าใด แต่ยามที่นางพบเขา เขาก็ยืนอยู่เช่นนั้น
และถูกเขาดึงดูดอย่างเหนือการควบคุม...
เพื่อให้เห็นท่าทางของเขาได้ชัดเจนขึ้น นางยกชายกระโปรงและค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้เขา
“ดีเหลือเกิน ที่เจ้ายังอยู่ตลอด” จู่ๆ คนในศาลาก็พูดขึ้น ทำเอานางสะดุ้งตกใจ
นางตอบสนองความคิดอย่างว่องไว ในไม่ช้าถึงเข้าใจว่าคนที่เขาพูดด้วยไม่ใช่นาง แต่เป็นหินใหญ่ก้อนนั้น
ประติมากรหยกส่วนใหญ่มักจะมี ‘อาการ’ เช่นนี้ ในสายตาพวกเขาหินหยกเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิต และหยกที่ถูกซ่อนอยู่ในหินก็เหมือนกับเด็กทารกที่เติบโตอยู่ในครรภ์มารดา การพูดคุยกับทารกน้อยผ่าน ‘หน้าท้อง’ เช่นนี้ อาจารย์และศิษย์พี่ทั้งสามของนางก็มักจะทำเช่นกัน อย่างที่เขาว่ากาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ แม้แต่ตัวนางเองก็หลีกเลี่ยงที่จะทำเช่นนั้นไม่ได้
ทว่าต่อให้การตอบสนองของนางรวดเร็วกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ เมื่อครู่ที่นางเผลอตกใจทำให้ก้าวเดินของนางซวนเซ
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาให้มองมายังสะพานเก้ามุมนี้
นางทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวตรง แล้วย่อตัวคำนับเขาก่อนจะเยื้องกรายเดินเข้าศาลาไป
ส่งเสียงรบกวนจนทำให้เขาหลุดจากห้วงคิดไปเสียแล้ว นางเดินไปตรงหน้าเขาช้าๆ ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดนางพยายามแสดงความรู้สึกอยากขอโทษที่ปะทุในใจให้ถ่ายทอดออกมาทางใบหน้า ใช้สายตา ใช้สีหน้าสื่อความรู้สึก พร้อมย่อคำนับอย่างอ่อนช้อยอีกครั้ง
นางชี้ไปที่หลอดลมของตน แล้วใช้นิ้วชี้แตะไปที่ริมฝีปากแสดงท่าทางว่าไม่อาจเปล่งเสียงได้ สุดท้ายกุมมือทั้งสองข้างและแนบไปที่อกข้างซ้าย
สำหรับคนที่อยู่ในวงการประติมากรรมหยก เมื่อได้เห็นการกระทำเช่นนี้ต่างก็เข้าใจว่าสัญญาณมือที่นางทำนั้นมีความหมายว่าอย่างไร...
การกำหนดรู้
ในวงการประติมากรรมหยก ‘การกำหนดรู้สำรวจจิตเพื่อสงบสติอารมณ์’ คือหนึ่งในวิชา
จะฝึกวิชานี้จำเป็นต้องห้ามส่งเสียง ห้ามพูดใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่อาจารย์ของนางสั่งให้นางฝึกการกำหนดรู้เป็นเวลาครึ่งปี ในระหว่างนี้ก็ยังพานางออกไปไหนมาไหน ให้นางมาพิธีไว้อาลัยของสหายรักเป็นเพื่อน เห็นชัดว่าต้องการผลักนางเข้าสู่สนามทดสอบ
ผู้คนที่เข้าร่วมพิธีไว้อาลัยประมุขผู้เฒ่าตระกูลจั๋วมีมาอย่างมิขาดสาย ตั้งแต่ช่างแกะสลักของแต่ละสำนักจนถึงพ่อค้าหยกจากแต่ละพื้นที่ต่างมารวมตัวกันที่ตงไห่ มากกว่าเก้าส่วนของคนที่มาจุดธูปเคารพศพนั้นล้วนอยู่แวดวงเดียวกัน และหัวข้อที่พวกเขาใช้สนทนาอภิปรายกันส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเครื่องหยกทั้งหมด
การได้มาพบปะกับเพื่อนร่วมวงการมากมาย สิ่งเย้ายวนใจแสนยิ่งใหญ่นี้ก็เหมือนกับการให้นางเผชิญหน้ากับการเก็บความรู้สึก คอยดูว่านางจะสามารถรักษาความปรารถนาที่ต้องการฝึกฝนได้หรือไม่ ใช้หูรับฟัง ใช้ตาพิศดู ใช้ใจคบมิตร เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของการงดพูด และการระลึกรู้ในใจ
แม้มันจะไม่ง่าย แต่นางก็เชื่อมั่นว่าตนเองจะฝึกฝนวิชานี้สำเร็จ
จนกระทั่งได้พบกับเขา...การกำหนดรู้และงดพูดจึงกลายเป็นเรื่องทรหดขึ้นมาทันที
ช่างฝีมือส่วนพระองค์ในเทียนเฉา จากสิบคนจะมีเจ็ดถึงแปดส่วนที่เป็นคนจากถานหลิงหยวนแห่งเจียงเป่ย เขายงเส้าไป๋ ก็คือประมุขหนุ่มของตระกูลยงแห่งสำนักถานหลิงหยวน
เขารูปลักษณ์หล่อเหลาบริสุทธิ์สูงส่ง วาจาสุภาพนุ่มนวล เหมือนคุณชายผู้อ่อนโยนปราดเปรียว ดุจหยกงามแวววาว ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่กระตุ้นให้นางใจเต้นระส่ำจนอยากฝ่าฝืนข้อห้ามเสียให้รู้แล้วรู้รอด
นางเคยเห็นผลงานแกะสลักรูปบุปผาสกุณาของเขาสามชิ้น ทั้งสามชิ้นแสดงถึงทักษะการสลักแบบลอยตัว นูนสูง และนูนต่ำ เป็นการผสมผสานระหว่าง ‘ความมีชีวิต’ จากภาพนกและดอกไม้ กับทักษะ ‘การเล่นสี’ จากการแกะสลักหยก ไม่เพียงแต่จะมีเอกลักษณ์ แต่ชิ้นงานที่ได้นั้นมีมิติและชีวิตชีวา ราวกับผสมผสานแต่ละสำนักเข้าด้วยกันแล้วเปิดหนทางสู่การรังสรรค์รูปแบบใหม่
ได้ยินมาว่าตอนที่เขาทำผลงานสำเร็จ เขามีอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับนางในตอนนี้
แล้วมองย้อนกลับมาดูที่นาง นับถือผู้เฒ่าอวิ๋นซีเป็นอาจารย์ตั้งแต่แปดขวบ เรียนรู้งานศิลป์จนถึงปัจจุบัน แต่ผลงานที่ดูเข้าท่าก็ยังไม่มีเหมือนเขาสักชิ้น จะไม่ให้นางสำนึกผิดได้รึ
ตอนนี้ ‘ท่านเทพ’ ที่สามารถชี้นำทางออกของนางก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว นางอยากขอคำแนะนำแต่กลับทำไม่ได้ ความคิดในใจตอนนี้ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด
ทั้งนางและเขาห่างกันเพียงสามก้าวเท่านั้น มือของเขายังประทับอยู่ที่ก้อนหินซึ่งสูงถึงเอวก้อนนั้น แต่คิ้วของเขาเริ่มขมวดและสายตาเริ่มไม่นิ่ง
หลังจากฝืนกลั้นคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากไว้ได้ นางจึงส่งสัญญาณมือขึ้นอีกครั้งเพื่อให้เขาทราบว่านางกำลังฝึก ‘กำหนดรู้’ และส่งยิ้มให้เขาคราหนึ่ง
เขาไม่สบตานาง ทั้งยังไม่แสดงท่าทีอันใดกับสัญญาณมือที่นางตั้งใจบอกเขาอีกด้วย
นิ่งเงียบไปได้สักพักเขาก็หันหน้ากลับไปทางก้อนหินอีกครั้ง และในขณะที่นางแปลกใจระคนสงสัยก็ได้ยินเขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ...
“หินคุ้มภัยของตระกูลจั๋วแห่งตงไห่ก้อนนี้ งอกขึ้นมาจากพื้นดิน โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำทะเลสาบ ในหินมีหยก ในหยกมีวิญญาณ ตัวแทนยุครุ่งเรืองของตระกูลจั๋วอย่างประมุขผู้เฒ่าได้ล่วงลับไปแล้ว จากที่ดูในตอนนี้...ไม่มีผู้สืบทอด เจ้าว่าวิญญาณในหยกจะยังคงอยู่อีกได้นานเท่าไร”
ในบรรดาประติมากรหยกมิมีผู้ใดไม่รู้ว่าที่ยอดหินประจำตระกูลจั๋วก้อนนี้มีหยกธรรมชาติซุกซ่อนอยู่
เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อหลายสิบปีก่อน คฤหาสน์ตระกูลจั๋วอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติครั้งนั้น พร้อมกับการปรากฏของแท่งสูงโดดเด่นจากก้นทะเลสาบ
ในตอนนั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลจั๋วยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม เขาค้นพบว่ามีหยกซ่อนอยู่ในหินและถือว่ามันเป็นลางดีจึงได้สร้างศาลาล้อมหินไว้กลางทะเลสาบตามลักษณะรูปร่างของหิน เพื่อรักษาหินหยกที่โผล่พ้นออกมาจากผิวน้ำ
พูดไปแล้วก็น่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นประมุขผู้เฒ่าในวัยเยาว์ก็รังสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยมออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหยกหรืองานแกะสลักหิน ทำให้สำนักตงไห่มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างรวดเร็วปานฟ้าผ่า
ทว่าในชั่วขณะนี้ ในศาลากลางทะเลสาบแห่งนี้ นางได้ยินที่เขาเอ่ยถามแต่กลับไม่รู้สึกว่าเขาถามนางอยู่ เหมือนกับว่า...เหมือนกับว่าเขากำลังพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า
ริมฝีปากเผยอขึ้น แต่อย่างไรเสียก็ยังมิฝ่ากฎที่ห้ามเอ่ยเสียง นางเลียนแบบเขาด้วยการทาบมือไปบนหินบ้าง แล้วหลับตาตั้งสมาธิ
ในหินหยกมีวิญญาณ เมื่อได้สงบใจกำหนดรู้ นิ้วมือทั้งสิบผสานเข้ากับจิตก็รู้สึกได้ถึงการเต้นของชีพจร
นี่เป็นสิ่งที่นางถนัดมากถึงมากที่สุด อาจารย์เคยบอกกับนางว่า นี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานไว้ให้นางใช้หากิน อย่างที่กล่าวกันว่า ในงานประติมากรรมหยก ‘การสำรวจเหนือกว่างานทั้งปวง’ หากนางสามารถค้นพบชีพจรที่ฝังอยู่ในหยกได้ ก็จะสามารถรู้ได้ว่าควรจะสลักแบบใดถึงจะได้รูปสลักที่เป็นหนึ่งเดียวกับหินหยก นั่นถือว่าสุดยอดกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
นางยังต้องฝึกฝน ฝึกสายตา ฝึกจิตวิญญาณ ฝึกพลังใจ
อ้อ นางหาเจอแล้ว!
นางกระตุกแขนเสื้อของชายหนุ่มอย่างเบามือ ในขณะที่เขาเหมือนจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อนางเคลื่อนย้ายมือเรียวเล็กของนางไปตามหิน เขาก็จะเคลื่อนย้ายตาม ถึงจะบอกว่าเขาเคลื่อนย้ายตาม ความจริงแล้วเหมือนว่าเขากำลังประเมินการกระทำของนางในตอนนี้เสียมากกว่า
มือใหญ่ของเขาย้ายตามมือเล็กๆ ของนางอย่างเชื่องช้าและสงบเงียบ สองมือเคลื่อนไปตามการไหลเวียนของวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหินหยก บางครั้งก็เลื่อนขึ้น บางครั้งก็เลื่อนลง ไม่ก็เคลื่อนไปทางซ้าย ไม่ก็เคลื่อนไปทางขวา จนกระทั่งเดินวนรอบก้อนหินใหญ่ได้หนึ่งรอบ และหยุดยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
นางลอบพ่นลมหายใจ เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นหันมามอง นางจึงยิ้มตอบตาหยี
ดูสิ วิญญาณของหินคุ้มภัยไม่เพียงแค่ยังคงอยู่ พลังชีวิตของมันยังรุนแรงอีกต่างหาก
นางกลอกตาไปมาแล้วกะพริบตาหลายครั้ง เป็นการสื่อความในใจให้เขารู้
“ไม่คิดมาก่อนว่าตระกูลจั๋วจะมีผู้มีความสามารถถึงเพียงนี้” หางตาชายหนุ่มชี้ขึ้นทั้งยังกะพริบถี่ นัยน์ตาใต้แพขนตาหนาแฝงรอยยิ้ม
“หัวหน้าตระกูลจั๋วรักความสงบ ยิ่งตอนที่สลักหยกจะไม่ยอมให้มีเสียงเล็ดลอดเด็ดขาด จึงได้รับคนใบ้หูหนวกสี่คนมาเป็นเด็กรับใช้ประจำกาย ตัวเจ้าเองคงเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาหลายปีถึงได้ฝึกวิชานี้ได้”
เสียงของเขายังคงแผ่วเบาตามเคย ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน อย่างไรเสียคนที่อยู่กับเขาตอนนี้เป็นแค่คนใบ้หูหนวก ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้...ช้าก่อน! ไยนางถึงถูกเข้าใจว่าเป็นคนรับใช้ใบ้หูหนวกของตระกูลจั๋วไปได้เล่า
ความสงสัยประดังประเดเข้ามาดั่งคลื่นน้ำที่แผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ นางยังไม่ทันได้คิดให้เข้าใจ แขนข้างหนึ่งก็ถูกเขาคว้าไว้ก่อน
หัวใจของนางเต้นระรัว
“เจ้า...” เขาชะงักไปทันที สีหน้าตกใจแสดงบนใบหน้าหล่อเหลาผุดผ่อง “เจ้าเป็นสตรี”
แม้จะกั้นด้วยชั้นผ้าหนา แต่แขนของนางก็ยังเรียวเล็ก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ...
เขามองไม่ออกว่านางคือสตรีตั้งแต่ตอนแรกรึ!
ตอนนี้กลายเป็นนางที่ชะงักบ้าง ตาเบิกกว้างพูดไม่ออก
ราวกับสัมผัสได้ถึงความตกใจของนาง เขาจึงสงบใจลงแล้วถามขึ้น “เจ้าได้ยินหรือไม่”
นางพยักหน้า แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ทำราวกับมองไม่เห็นนางก็มิปาน จึงใช้นิ้วมือวาดเป็นวงกลมบนมือของเขาที่จับแขนนางไว้แน่นเพื่อให้รู้ว่านางมิได้หูหนวก
การสัมผัสโดยตรงอย่างไม่คาดคิดของนางทำให้ใบหน้าเขาแข็งทื่อขึ้นมาทันที แต่นิ้วมือเรียวยาวและมีกำลังยังคงจับนางไว้แน่น
“ได้ยิน แต่พูดไม่ได้รึ” เขาถามขึ้นอีก
นางจ้องเขาเขม็ง คิดลังเลอยู่สักพักจึงวาดวงกลมที่สองบนหลังมือของเขา เฮ้อ! ก็นางพูดไม่ได้จริงๆ นี่
แต่ ‘การพูดไม่ได้’ ของนางก็เพื่อฝึกวิชา ‘กำหนดรู้’ แล้วที่เขาจู่ๆ ตาบอดมองนางเป็นชาย เป็นเพราะเหตุใดกัน?
ทั้งๆ ที่ตอนเขามาถึงคฤหาสน์ตระกูลจั๋วเมื่อตอนกลางวัน หูตาเขายังกระจ่างสดใส ดวงตาแวววาวดั่งหยกงามต้องแสง ราวกับลมฝนของฤดูใบไม้ผลิช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแวววาวให้ก็มิปาน แล้วไยตอนนี้ถึงตาบอดได้ล่ะ?
ช่างน่าตะลึงเสียจริง น่าตะลึงจนหัวใจของนางจะหลุดออกมา
นางยื่นมือไปแตะที่หนังตาทั้งสองข้างของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับวาดรูปกากบาทบนหลังมือเขา...
เหตุใดจึงมองไม่เห็นหนอ?
เขาเข้าใจความหมายของนาง เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากการสัมผัสผ่านหลังมือแล้วยังจะมีหนังตาอีก
เขาชะงักไป การถูกคนแปลกหน้าสัมผัสเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอยากถอยห่าง แต่พอมาคิดดูแล้ว เป็นเขาที่ไปจับนางก่อน คงจะโทษใครมิได้
เขากลั้นความคิดที่จะยกมือขึ้นเช็ดตาไว้และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “รอบด้านมืดสนิท ดวงตาคู่นี้จึงมองไม่เห็นเป็นธรรมดา”
คืนนี้แสงจันทร์นวลผ่อง กระทบกับคลื่นน้ำในทะเลสาบจนระยิบระยับ ขนาดดวงตาของนางคู่นี้ยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์สิ่งของรอบๆ ได้เป็นรูปร่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่ยืนอยู่ใกล้นางกว่ามาก คิ้วหนาเรียวยาว แพขนตาหนาดั่งพัด จมูกโด่งเป็นสันจนสามารถประทับเงาอยู่บนซีกแก้มข้างหนึ่ง ใบหน้าคมคายถูกแสงและเงาแบ่งเป็นสองซีก ให้ความรู้สึกเด็ดเดี่ยวไม่ยินดียินร้ายดั่งพระจันทร์ท่ามกลางสายลมโชย
นางเก็บรายละเอียดใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่เขากลับมองไม่เห็นสิ่งใด จะบอกว่าเรื่องนี้ธรรมดาได้อย่างไร?
เห็นแน่ชัด...ว่าเป็นโรค
ตาบอดในที่มืด
นางอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายกลับฝืนเม้มปากเป็นเส้นตรง
การที่เขาจับนางไว้ไม่ยอมปล่อยก็คงไม่แคล้วให้นางนำทางเขาออกไป นางจึง ‘ไต่เดิน’ ไปบนหลังมือเขาด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลางเพื่อเลียนแบบท่าทางการเดิน เป็นการบอกว่าจะพาเขาเดินไปยังที่สว่าง
เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางพยักหน้า “ขอบใจ”
ไม่รอให้นางเคลื่อนไหว มือของเขาที่คว้ามือของนางไว้ก็ค่อยๆ ไล้ไปตามข้อศอก แขน สุดท้ายหยุดพาดอยู่ที่ไหล่ของนาง
ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นแดงลามไปถึงหู หัวใจเต้นระรัว ยังดีที่มีเสื้อผ้าช่วยขวางกั้น เขาจึงยังไม่พบว่านางกำลังขนลุกไปทั่วทั้งสรรพางค์
ดังนั้นนางในตอนนี้จึงเดินนำหน้า โดยมีเขาเดินตามจังหวะก้าวเดินของนางอยู่ด้านหลัง เขาเดินออกมาจากศาลากลางทะเลสาบและเดินไปถึงสะพานเก้ามุม
แปดส่วนคงเป็นนางที่คิดไปเอง ถึงได้รู้สึกว่าฝ่ามือของเขาช่างร้อนเหลือเกิน ความร้อนจากฝ่ามือทะลุผ่านเนื้อผ้าทาบอยู่บนไหล่นางจนรู้สึกร้อนชาไปครึ่งซีก
ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดคิดไม่ถึง เดิมทีตั้งใจแค่แอบออกมาเพื่อจะได้เห็นหินคุ้มภัยอันเลื่องชื่อที่โผล่ขึ้นมากลางทะเลสาบในคฤหาสน์ตระกูลจั๋วแห่งตงไห่ให้เป็นบุญตาเท่านั้น แต่สถานการณ์กลับพลินผันจนเป็นเช่นนี้
นับตั้งแต่ได้เห็นงานสลักรูปบุปผาสกุณาฝีมือเขาทั้งสามชิ้น ในใจก็เกิดความเลื่อมใสและนับถือต่อเขา จึงแอบติดตามข่าวคราวของตระกูลยงแห่งถานหลิงหยวนไม่ว่าจะเป็นข่าวเล็กหรือใหญ่ และในตอนนี้นางกำลังเดินอยู่กับบุคคลที่นางนับถือ ทั้งยังทราบโรคของเขาที่มิมีผู้ใดทราบอีกด้วย



++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของยอดประติมากรหยกผู้ยิ่งใหญ่ ความสามารถของซูหย่างเสียนย่อมไร้ข้อกังขา ทว่านางกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพคอยป้อนยาให้ผู้อื่นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะบิดาที่ไปทำให้เทพแห่งวงการแกะสลักหยกยงเส้าไป๋ได้รับบาดเจ็บ นางจึงต้องยอมเอาอกเอาใจเจ้าหนี้คนนี้ให้ดี พร้อมทั้งใช้ความสามารถในการคัดแยกหยกช่วยเขาทำผลงานชิ้นใหญ่ให้สำเร็จ

แต่ใครจะรู้ว่าหนี้ยังชำระได้ไม่ถึงครึ่ง เจ้าหนี้ของนางกลับตกอยู่ในอันตรายเสียก่อน เขาถูกคุณชายเซวียนผู้ชื่นชอบในบุรุษเพศจับตัวไปยังหอชายบำเรอ โชคดีที่นางไหวพริบดีจึงช่วยเขาออกมาได้ มิหนำซ้ำยังแก้แค้นให้เขาด้วยการเอาชนะการประชันหยกและได้ของสำคัญของคุณชายเซวียนมา แต่คาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะบานปลาย กระทั่งเจ้าสำนักยังมาล้างแค้นให้กับหลานชายเพื่อทวงสมบัติตระกูลคืน ส่วนเขาที่รู้เรื่องราวกลับโมโหมากที่นางเอาตัวเองไปเป็นของเดิมพันเสียจนจูบนางครั้งแล้วครั้งเล่า!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”