New Release BLY แปล : Security Blanket ห่มรักที่พักใจ 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : Security Blanket ห่มรักที่พักใจ 1

โพสต์ โดย Gals »

เวลาที่ความรักเริ่มต้นนั้นเหมือนท้องฟ้าปลอดโปร่งเดือนเมษายนที่มีเมฆครึ้มในบางคราว

ถนนถูกย้อมไปด้วยสีแดงสีเหลืองของใบไม้ที่ร่วงโรยลงมาก่อให้เกิดเสียงแห้งกรอบแกรบทุกครั้งที่ย่ำเท้า มิยะ ริวโนสุเกะซุกมือไว้ในกระเป๋าเสื้อและเดินก้มหน้าไม่ให้แมลงหิมะที่สะท้อนแสงสีขาวฟ้าบินเข้าตา
“ริวจัง สวัสดีจ้ะ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับคุณยายยานาอิที่กำลังเข็นรถเข็นซึ่งอัดแน่นไปด้วยผักสดใหม่เพิ่งเก็บเกี่ยว โดยมีเด็กชายวัยประมาณอนุบาลยืนอยู่ข้างกัน
“ลูกสาวยายกลับบ้านเกิดมาคลอดลูกน่ะจ้ะ เด็กคนนี้เป็นพี่ชายคนโต”
“อย่างนั้นเหรอครับ สวัสดีหนูน้อย”
เขาย่อตัวลงไปทักทาย แต่เด็กชายกลับวิ่งไปหลบหลังคุณยานาอิ คุณยานาอิหัวเราะบอกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กขี้อายแล้วหยิบผักสดใหม่ใส่ถุงมาให้ มีหัวไชเท้า ตั้งโอ๋ เผือก ในเมืองคาซึเนะที่อยู่ห่างจากโตเกียวสามชั่วโมงครึ่งแห่งนี้ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรมักแบ่งปันพืชผักแทนการทักทาย
...คล้ายกับ ‘ลูกอม’ ของคนโอซาก้านั่นแหละ
โคบายาชิ คานาเอะ คุณน้าของเขาที่เลี้ยงดูเขามาเหมือนพ่อแม่เคยพูดไว้อย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้นฝากทักทายอาจารย์คานาเอะด้วยนะจ๊ะ”
เขาก้มหัวขอบคุณและบอกลา
“คุณยายฮะ พี่ชายคนเมื่อกี้เป็นคนต่างชาติเหรอ?”
เสียงของเด็กชายดังแว่วมาจากด้านหลัง คุณยานาอิตอบว่าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นกับต่างชาติ
รูปร่างหน้าตาของมิยะที่มีแม่เป็นคนญี่ปุ่น พ่อเป็นคนสเปนนั้นชวนให้สะดุดตาในชนบท ผมสีน้ำตาลไหม้หยักศกเหมือนคลื่นบวกกับโครงหน้าคมเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลทองเกือบเขียว ทั้งที่เมื่อก่อนเคยตัวเล็กนิดเดียวแต่พอขึ้น ม.ต้น ก็สูงขึ้นพรวดพราดอย่างกับต้นถั่วของแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ตัวเขาซึ่งตอนนี้เป็นนักเรียน ม.ปลาย ปีสามก็สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแล้ว ดังนั้นมิยะจึงเดินห่อไหล่พยายามทำตัวให้ไม่สะดุดตามาก เขาไม่ถูกโรคกับการเป็นจุดสนใจ
เมื่อเดินเข้าถนนที่เต็มไปด้วยไม้พุ่มตลอดทางก็เริ่มมองเห็นอาคารรูปทรงคล้ายกล่องสีดำ หน้าประตูบ้านหน้าตาสวยงามทันสมัยที่พบเห็นได้ยากในเมืองคาซึเนะมีป้ายที่เขียนว่า ‘Takasago’ และต้นคริสต์มาสที่มีโคนต้นสนสีทองเต็มต้น ด้านล่างนั้นมีคำว่า ‘Mon chouchou’ ตัวเล็กๆ เขียนอยู่
“สวัสดีครับ...”
เมื่อเปิดประตูไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็พบกับอากาศอบอุ่นปะทะบนแก้มของเขาแผ่วเบา ด้านในอาคารรูปทรงทันสมัยที่เป็นบ้านส่วนตัวนั้นให้บรรยากาศของร้านกาแฟได้มากอย่างไม่คาดคิด
“ยินดีต้อนรับ มิยะคุง”
ทาคาซาโงะ ซายากะผู้เป็นทั้งเจ้าของบ้านและเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ‘Mon chouchou’ เดินออกมาต้อนรับเขา เขาเป็นชายอายุสามสิบเจ็ดผู้มีส่วนสูงเกินหนึ่งร้อยแปดสิบ ไม่เข้ากับชื่อหวานๆ ของตัวเอง ผมยาวหยักศกเล็กน้อยถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง เคราที่ไม่ถูกตัดแต่ง เชิ้ตขาวรัดรูปกับเสื้อกั๊กและโบหูกระต่าย ผ้ากันเปื้อนคาดเอวยาวถึงขา ทั้งหมดนั้นดูสง่าจนไม่น่าเชื่อว่าที่นี่เป็นร้านกาแฟในชนบท
“มารับคานะจังเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำกับวิธีการพูดนุ่มนวล หากไม่พูดก็จะดูเท่จนเข้าถึงตัวยาก แต่เนื่องจากเจ้าตัวมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลา คนขี้อายอย่างมิยะจึงสามารถพูดคุยกับทาคาซาโงะได้อย่างไม่ประหม่า
“มาด้วยเหรอครับ? เขาทิ้งมือถือไว้แล้วหายตัวไปเลย”
“ก็คานะจังเกลียดการผูกมัดนี่นะ”
ทาคาซาโงะหัวเราะเฝื่อนและหันไปทางโซฟาสีฟ้าสดใสบอกว่าอยู่ทางนั้น จึงมองเห็นคานาเอะนอนเอื่อยพาดขาผอมไว้กับที่เท้าแขนโซฟา
“คานาเอะจัง?”
คานาเอะยังคงหลับลึก เปลือกตาปิดไม่ขยับเขยื้อนตัว ขนตายาว ริมฝีปากสีอ่อน ใบหน้าได้รูปราวกับตุ๊กตาดินเผาตัวเล็กๆ และรูปร่างผอมเพรียวเหล่านั้นแทบดูไม่ต่างจากสมัยก่อนทั้งที่อายุสามสิบเจ็ดปีแล้ว เพียงแต่วันนี้มีรอยคล้ำใต้ตาเพิ่มขึ้นมา
“มาถึงก็หลับเลย คงเหนื่อยมากเลยสิ”
“ดูเหมือนว่าจะทำของไปจัดแสดงร่วมกับคนอื่นตอนปีใหม่ไม่ได้น่ะครับ เมื่อกี้ผมแอบดูตอนที่รินน้ำชาไปให้เขาที่ห้องทำงานก็เห็นจานแตกเต็มไปหมด ทั้งที่ไม่ว่าอันไหนก็สวยแท้ๆ...”
“ก็คานะจังเป็นคนไม่ยอมผ่อนปรนนี่นะ ถึงได้เป็นห่วงแล้วออกมาตามหาใช่ไหมล่ะ”
ทาคาซาโงะหรี่ตาลง ทำให้เขารู้สึกเขินที่ทำตัวเป็นลูกนกเดินตามแม่ต้อยๆ ขึ้นมา
คานาเอะเป็นช่างปั้นหม้ออายุน้อยที่เป็นที่จับตามองอย่างมาก แม้ด้วยหน้าตาแบบนี้ทำให้มีแฟนคลับผู้หญิงเยอะจนถูกคนในวงการนินทาว่าดังเพราะหล่อ แต่เรื่องฝีมือก็เป็นที่ยอมรับเหมือนกัน
“เมื่อวานแทบไม่ได้นอนเลยแท้ๆ”
นักสะสมที่อยากได้ผลงานของคานาเอะนั้นมีเป็นจำนวนมากจนไม่เคยจัดหาได้ทัน มิยะเห็นใจในความเหนื่อยและจัดผ้าห่มที่ใกล้จะหล่นขึ้นไปห่มให้ดีๆ บางทีคงจะเป็นผ้าห่มที่ทาคาซาโงะนำมาห่มให้
“มิยะคุง กินมื้อเย็นรึยัง?”
“ยังเลยครับ”
“จะปลุกคานะจังก็น่าสงสาร กินข้าวที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับเถอะ”
“ขอบคุณครับ อ๊ะ ถ้างั้นเมื่อกี้ผมได้ผักมาด้วย...”
มิยะตั้งใจจะยกให้ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่มีปัญหาขาดแคลนผักเลยแม้แต่น้อย พอเข้าไปด้านในเคาน์เตอร์ก็พบกับตะกร้าที่มีผักจนเต็มล้นอย่างที่คิดไว้ เป็นปริมาณมากขนาดต่อให้เอามาใช้กับเมนูร้านก็ยังใช้ไม่หมด
“จากสมาคมแม่บ้านสินะครับ”
ทาคาซาโงะพยักหน้าตอบ สมาคมแม่บ้านก็คือกลุ่มแม่บ้านวัยเฉลี่ยสามสิบ ไม่รู้เป็นเพราะนำโดยเหล่าคุณน้าที่ใกล้เลยวัยสาวแล้วหรือเปล่าจึงไม่มีใครกล้าหือ เป็นกลุ่มที่มีอำนาจใหญ่โตในเมืองคาซึเนะ ดูเหมือนว่าทาคาซาโงะจะฮอตระเบิดในหมู่สมาคมแม่บ้านเพราะ ‘มีเสน่ห์ที่หาไม่ได้จากสามี’
“ขอบคุณในน้ำใจของเหล่ามาดามจริงๆ”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงทาคาซาโงะต้องลำบากลำบนนำผักที่จัดการอย่างไรก็จัดการได้ไม่หมดไปหมักดองแล้วให้ตอบแทนสมาคมแม่บ้านอีกที ตกอยู่ในวังวนการแบ่งปันผลผลิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของประเพณีชนบท ทีแรกเขานึกว่าทาคาซาโงะซึ่งเคยอยู่ในเมืองจะเหนื่อยกับเรื่องนี้ ทว่าทาคาซาโงะกลับสนุกไปกับความแปลกใหม่เสียอย่างนั้น
“เอาไปทำอะไรดีน้า รากโกโบของคุณทาคาฮาตะ ฟักทองของคุณคุโด้ ตั้งโอ๋ของคุณยามาโอกะ”
ทาคาซาโงะลูบเคราด้วยใบหน้าครุ่นคิดอยู่ด้านหน้ากองผักที่ได้รับมาจากเหล่าแม่บ้าน บรรยากาศอย่างกับหนุ่มอิตาลีเจ้าเสน่ห์ที่เคยเห็นแต่ในทีวี เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงถึงได้เคลิบเคลิ้มนัก
“วันนี้อากาศหนาว ทำซุปหมูใส่ผักเยอะๆ ก็แล้วกัน บวกกับซุปไข่เพราะอยากใช้ตั้งโอ๋เร็วๆ ส่วนรากโกโบอันใหญ่นี่ก็...อืม ทำคิมปิระโกโบ แล้วกัน คิดว่าไง?”
มิยะเงียบไปชั่วอึดใจและพยักหน้าตอบ เขาไม่ค่อยชอบโกโบเพราะรสจัด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอุตส่าห์ทำให้จึงไม่ควรเลือกกิน
“มิยะคุง ช่วยไปเปลี่ยนเป็น Close ให้ทีได้ไหม?”
“อ๊ะ ครับ”
เมื่อมองนาฬิกาก็เป็นเวลาหกโมงแล้ว แม้ว่าเวลาร้านปิดคือหนึ่งทุ่ม แต่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ
มิยะพลิกป้าย ‘Mon chouchou’ ที่แขวนบนประตูให้สลับมาเป็น ‘Close’ แม้ว่าการทำร้านแบบนี้จะดูไม่กระตือรือร้นแต่นั่นมีเหตุผลที่ช่วยไม่ได้อยู่
ทาคาซาโงะเป็นเพื่อนสนิทของคานาเอะมาตั้งแต่สมัย ม.ปลาย เพิ่งลาออกจากบริษัทในโตเกียวที่ทำอยู่แล้วย้ายมายังเมืองคาซึเนะประมาณหนึ่งปีก่อน ในตอนแรกทาคาซาโงะไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังสักเท่าไรนัก ปกปิดเรื่องส่วนตัวไว้ด้วยสไตล์ของคนเมืองแล้วซื้ออาคารเก่ามารีโนเวตให้ทันสมัย ใช้ชีวิตชนบทอย่างมีระดับ แต่นั่นเป็นเรื่องไม่เข้าท่าสำหรับคนชนบทอย่างมาก
‘ลุงเป็นนีต เหรอ?’
เด็กๆ ในละแวกใกล้เคียงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่ปิดบัง
‘ฉันกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนจากชีวิตน่ะ’
ทาคาซาโงะตอบอย่างเจ้าบทเจ้ากลอน แต่สายตาคนชนบทที่มีต่อชายโสดอายุสามสิบปลายๆ ที่เอ้อระเหยลอยชายไม่ทำงานทำการนั้นช่างเย็นชานัก จนถึงขนาดเตือนกันว่าห้ามเข้ามาใกล้แถวนี้เหมือนเขาเป็นคนโรคจิต ในที่สุดทาคาซาโงะจึงเริ่มร้อนรนขึ้นมาว่าปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เขาใช้เวลาสามวันถ้วนในการเรียนและสอบใบประกอบอย่างเร็วจี๋ และร้านกาแฟ ‘Mon chouchou’ จึงได้ถือกำเนิดในอีกสามเดือนต่อมา
เพราะนี่เป็นร้านที่เปิดเพื่อแสดงออกว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิตตกงาน จึงสัมผัสถึงความกระตือรือร้นไม่ได้เป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้นอาคารชั้นแรกที่ถูกปรับปรุงเป็นสไตล์ร้านกาแฟบวกกับกาแฟแก้วละร้อยห้าสิบเยนที่ถูกไม่แพ้กาแฟร้านสะดวกซื้อทำให้สมาคมแม่บ้านยังสาวเข้ามาสอดส่องเป็นกลุ่มแรก ทาคาซาโงะเป็นสุภาพบุรุษ ขอเพียงแค่มีโอกาสได้ลองพูดคุยก็จะรู้ทันที นั่นทำให้สมาคมแม่บ้านตกเป็นทาสรักในพริบตา และไม่รู้ว่าดีหรือร้าย ด้วยสกิลการโฆษณาปากต่อปากชั้นสูงทำให้ได้ลูกค้าขาประจำเพิ่มมาอีก จนทาคาซาโงะถูกยอมรับว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเมืองคาซึเนะในที่สุด
‘ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะผันมาเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ชีวิตเนี่ยแฟนทาสติกดีเนอะ’
ปัจจุบันทาคาซาโงะเองก็อิ่มเอมกับการใช้ชีวิตชนบทพลางบริหารร้านกาแฟไปแบบสบายๆ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรบัญชีของร้านกาแฟก็ติดตัวแดง เรื่องที่ว่าทาคาซาโงะหาเลี้ยงชีพได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนามาจนถึงตอนนี้
ระหว่างที่มิยะช่วยทาคาซาโงะล้างผักก็ได้ยินเสียงหาวหวอดดังขึ้น
“อ๊ะ คานาเอะจัง ตื่นแล้วเหรอ?”
“...หืม? ริวมาด้วยเรอะ”
คานาเอะนั่งขัดสมาธิบนโซฟา เกาหัวที่ปกคลุมไปด้วยผมเส้นยาวดังแกรกๆ ทั้งใบหน้าที่ยังไม่ตื่นดี แม้ว่ากิริยาจะดูไม่ค่อยดีแต่เพราะมีใบหน้างดงามเป็นต่อจึงทำให้มองแล้วไม่ขัดตา
“คานาเอะจัง เมื่อกี้คนของแกลเลอรีมันสะโทรมาแน่ะ”
“ว่าไงบ้าง?”
“บอกว่าจานชามสำหรับทำสัญญาปีหน้าตอนนี้มีคนติดต่อเข้ามาจองจนเต็มแล้ว แล้วก็มีคนรบเร้าอยากซื้อ ‘ยูอิ’ ให้ได้อยู่ เขาฝากมาถามว่าจะเอายังไง”
“บอกไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ‘ยูอิ’ ฉันไม่ขาย เดี๋ยวโทร...อ้าว ลืมเอามือถือมาซะงั้น”
“ผมเห็นวางทิ้งอยู่ในห้องทำงานก็เลยเอามาวางไว้ให้บนโต๊ะแล้ว”
คานาเอะพูด ‘แทงกิ้ว’ แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ จานใบใหญ่สีดำที่เคลือบแต่งสีขาวคือผลงานชิ้นโบแดงของคานาเอะที่มีชื่อว่า ‘ยูอิ’ เจ้าตัวบอกว่าผลงานนี้ตั้งใจจะมอบเป็นมรดกให้กับเจ้าสาวที่แต่งเข้าตระกูลมิยะ จึงแทบไม่ค่อยนำมาจัดแสดงแม้จะเป็นงานจัดแสดงเดี่ยวก็ตาม ทำให้ในหมู่นักประเมินและแฟนๆ เรียกมันว่าอัญมณีแห่งมายา
“มิยะคุงเนี่ยช่างสังเกตจริงๆ เลยเนอะ” ทาคาซาโงะกล่าว
มิยะหัวเราะตอบเขินๆ “บังเอิญน่ะครับ”
“ไม่หรอก ช่างใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากจริงๆ จนไม่อยากเชื่อว่าเป็นหลานของคานะจังที่ใส่รองเท้าแตะกับชุดซามุเอะ แล้วสวมโค้ตยาวทับเพราะขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อเนี่ย”
“อันนั้นก็น่าทึ่งไปเลยนะครับ”
“ต่อให้จับคู่ชุดแบบนั้นก็ยังใส่แล้วดูดีอีกเนอะ”
มิยะพยักหน้าสุดแรง ทั้งที่ใส่ชุดซามุเอะคู่รองเท้าแตะน่าจะทำให้ดูเหมือนตาลุงแท้ๆ แต่พอคนผอมซูบอย่างคานาเอะถกแขนเสื้อขึ้นกลับทำให้เกิดเสน่ห์เฉพาะตัวได้อย่างน่าประหลาด
“แต่ว่านะมิยะคุง ถ้าตามใจคานะจังมากเข้าเดี๋ยวก็กลายเป็นว่าไปกระตุ้นความขี้เกียจของคานะจังหรอก”
“คงไม่หรอกครับ”
เขาดีใจที่ถูกมองว่าพึ่งพาได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคานาเอะที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กก็ยิ่งแล้วใหญ่ ในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นคานาเอะที่คุยโทรศัพท์จบก็เดินมายังเคาน์เตอร์
“...ซวยแล้วสิ คนที่อยากได้ ‘ยูอิ’ ดันเป็นฮานาฟุสะจัง”
มิยะกับทาคาซาโงะร้องเอ๋ขึ้นมาพร้อมกันขณะที่คานาเอะทำหน้ารำคาญจากใจ
ฮานาฟุสะจังเป็นหลานสาวของยามาเบะ อาคิโนะซึ่งเป็นช่างปั้นหม้อตระกูลใหญ่ในวงการและเป็นสตอล์กเกอร์ของคานาเอะ เธอหลงรักคานาเอะที่เจอกันในงานเลี้ยงตั้งแต่แรกเห็นและใช้เส้นสายของปู่เพื่อมาพบหน้าโดยอ้างว่ามาศึกษาการทำงาน กระทั่งข้ามขั้นไปรบเร้าขอแต่งงานกับคานาเอะโดยยังไม่ทันคบหา เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักแต่ข้างในน่ากลัว
“ฝ่ายธุรการอุตส่าห์ปฏิเสธไปแล้วว่าจะไม่ขาย ‘ยูอิ’ แท้ๆ แต่ทางนั้นเหมือนจะโทรตื๊ออยู่เป็นชั่วโมงว่าอยากให้ฉันติดต่อไปเองโดยตรงแล้วยังอ้างชื่ออาจารย์ยามาเบะอีก ฝ่ายธุรการแทบจะร้องไห้แล้ว”
“เพราะไม่รับสายไม่ตอบเมลเลยรึเปล่า”
แต่นั่นเป็นเพราะว่าเล่นโทรมาวันละหลายสิบครั้งถึงได้ทำแบบนั้น...
“คานะจังห้ามโทรไปเด็ดขาดนะ โดนแทงแหงๆ”
ทาคาซาโงะทำอาหารไปย่นคิ้วไป
“ยิ่งอีกฝ่ายเป็นฮานาฟุสะจังด้วยคงไม่จบง่ายๆ แน่”
“ค่อยยังชั่วเนอะที่เคยปฏิเสธคำชวนไปกินข้าวตอนแรก”
“ตอนนั้นมันรู้สึกหนาวสันหลังน่ะสิ แสดงว่าลางสังหรณ์ของฉันยังแม่น”
ทั้งคู่รำลึกอดีตพลางพยักหน้าหงึกหงักกันสองคน
ศิลปินวัยรุ่นที่มีทั้งความสามารถและผลงานแถมยังหน้าตาดีอย่างคานาเอะนั้นเนื้อหอมเอามากๆ แต่คานาอะจะไม่เอ่ยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในบ้านโดยให้เหตุผลว่าไม่ดีต่อการเรียนรู้ของมิยะ แม้ว่าคานาเอะจะไม่เคยเล่าเรื่องความรักของตัวเองให้มิยะฟังเลย แต่มิยะรู้สึกว่าคานาเอะมีคนที่คบหากันมานานอยู่ แม้นี่จะเป็นการคาดเดาของเขาเองก็ตาม บางครั้งก็คิดว่าที่คานาเอะไม่ยอมแต่งงานสักทีอาจเป็นเพราะมีเขาอยู่
“แต่ข้ามขั้นจากคบหาไปแต่งงานเลยก็น่าลำบากใจเหมือนกันนะ การแต่งงานมีส่วนช่วยให้สุขภาพจิตมั่นคงดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็จริง แต่อีกฝ่ายเป็นคนที่เราจะต้องร่วมชีวิตเพราะงั้นควรไตร่ตรองให้ดีสิ”
“นั่นสินะ ความรักควรมองโดยปิดตาข้างเดียว แต่การแต่งงานน่ะควรเปิดตามองให้ชัด ไม่งั้นจะเป็นเหมือนซายะจังที่อยู่กินกับภรรยามาห้าปีแต่โดนนอกใจไปหาแฟนที่อยู่กินด้วยกันมาเหมือนกัน”
คานาเอะเท้าคางมองทาคาซาโงะ
“ถึงจะเป็นคนที่ไม่เหมาะกับคำว่า ‘ภรรยา’ สุดๆ ก็เถอะนะ”
มิยะลอบมองสีหน้าเศร้าสลดของทาคาซาโงะที่ไม่ค่อยได้เห็น
...คนเนื้อหอมอย่างคุณทาคาซาโงะก็เคยมีอดีตขมขื่นแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย...
มิยะรู้สึกเหมือนได้เห็นใบหน้าของทาคาซาโงะที่ไม่มีใครเคยเห็นแวบหนึ่ง ไม่ว่าจะเอาบ้านส่วนตัวมาทำเป็นร้านกาแฟ หรือจะทำท่าทางเหมือนพึงพอใจกับชีวิตในชนบท แต่ทาคาซาโงะเองก็ลำบากเหมือนกัน
“ข้าวเย็นมีแค่นี้เหรอ?”
คานาเอะเอียงคอถามหลังอาหารที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ถูกวางเรียงบนเคาน์เตอร์
ซุปหมูใส่ผักที่ได้มาจากสมาคมแม่บ้านอย่างเต็มเปี่ยม คิมปิระโกโบ ซุปไข่ใส่ตั้งโอ๋ มันภูเขานึ่งราดซอสโชยุ คานาเอะทำใบหน้าปั้นยากจ้องอาหารเย็นที่น่าจะทำให้เลือดไหลเวียนดีเหล่านั้นเขม็ง
“ไม่มีเนื้อเลย”
“อยู่ในซุปหมูไง”
ทาคาซาโงะตอบ
“นั่นมันซุปต่างหาก ไม่มีอะไรให้เคี้ยวเลย”
“อายุเกินสามสิบแล้วกินไขมันมากเกินไปไม่ดีนะ ฉันไม่อยากเห็นคานะจังพุงย้วยเป็นคนแก่”
“ไม่ใช่สำหรับฉันสักหน่อย ริวกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโตนะ กินแต่ผักมันจะไปโตได้ไง”
“ฉันว่ามิยะคุงโตมากพอแล้วล่ะ”
มิยะพยักหน้าตามคำบอกของทาคาซาโงะ สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรตอน ม.ปลาย ปีสามน่ะมากพอแล้ว แต่คานาเอะเดินเข้ามาในเคาน์เตอร์ ค้นตู้เย็นหยิบเนื้อสเต๊กออกมาแล้วเอื้อมมือไปหาเขียงสำหรับสเต๊กบนตู้เก็บภาชนะชั้นบนสุด แต่เนื่องจากตู้เก็บภาชนะนั้นสูงติดเพดาน ไม่ว่าคานาเอะจะเอื้อมอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง มิยะกับทาคาซาโงะจึงเอื้อมมือไปพร้อมกัน ทาคาซาโงะที่เร็วกว่านั้นยื่นเขียงหนักๆ ส่งให้คานาเอะรับจนเกิดเสียงดังตุ้บ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นัยน์ตาสีน้ำตาลทองกับผมลอน...มิยะเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่มีหน้าตาโดดเด่นด้วยสายเลือดของคนต่างชาติและมองโลกในแง่ลบ เขามีอดีตอันน่าเศร้าที่ต้องเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็กและเคยต้องเดินโซซัดโซเซไปตามถนน แต่คุณอาซึ่งเป็นช่างปั้นหม้อหน้าใหม่อย่างคานาเอะก็ช่วยรับเขามาเลี้ยงเหมือนลูก คนที่มาเยือนทั้งสองที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในชนบทนั้นมีทาคาซาโงะ เจ้าของร้านกาแฟที่เป็นเพื่อนกับคานาเอะมานานหลายปี กับคุนิโอะ เพื่อนสมัยเด็กที่มีนิสัยช่างดูแล ชายหนุ่มเหล่านั้นเป็นคนที่ไม่มีใครมาทดแทนได้สำหรับมิยะ ทว่าแต่ละคนนั้นเก็บซ่อนความรักที่บอกใครไม่ได้เอาไว้!?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”