New Release BLY แปล : สะท้อนรักผ่านดวงตา ~YES OR NO คนที่ใช่ ใครที่ชอบ ภาคพิเศษ~

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : สะท้อนรักผ่านดวงตา ~YES OR NO คนที่ใช่ ใครที่ชอบ ภาคพิเศษ~

โพสต์ โดย Gals »

สะท้อนรักผ่านดวงตา


ชินชอบใบหน้าด้านข้างที่มองเห็นจากมุมเยื้องด้านหลัง ดวงตาที่มองเห็นเพียงข้างเดียวไม่หันมาทางนี้ แต่นั่นไม่น่ากลัวเลยสักนิด เขาจะค่อยๆ มองตามสายตานั้น สังเกตท่าทีว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูอะไร คิดสิ่งใด หรือกำลังจะทำอะไร ชินจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นอย่างกับแมว ไม่ใช่แค่เงี่ยหูฟัง แต่ตั้งสมาธิทั่วร่าง เฝ้ารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพริบตาต่อไป จากมุมนี้เมื่อมองเลยไหล่ไปจะไม่เห็นปาก แต่ยามที่มองเห็นการเคลื่อนไหวซึ่งบ่งบอกว่าริมฝีปากนั้นขยับอ้าออกเล็กน้อยเตรียมจะเปล่งเสียงออกมา เพียงแค่นั้นก็แสนสุขจนหัวใจล่องลอย
เขาชอบใบหน้าด้านข้าง


งานใส่แคปชันของเทปบันทึกภาพเริ่มต้นตั้งแต่รุ่งสาง ชินสวมเฮดโฟนพลางฟังเทปเขียนระบุความยาว บันทึกทั้งหัวเรื่องและไทม์โค้ด อย่างเช่น ‘0° 32’15”~ 0° 33’17” ฉากแม่คลอดลูก’ เพื่อใช้อ้างอิงในการตัดต่อ สรุปก็คืองานใส่สารบัญนั่นเอง ทั้งที่เคยดูในห้องอัดมาแล้วหนหนึ่ง แต่พอมาตรวจเช็กอีกครั้งในฐานะวัตถุดิบสำหรับออกอากาศ เขากลับหัวเราะซ้ำจุดเดิมบ้าง จุดใหม่บ้าง ประทับใจไปกับการพูดคุยอย่างชำนิชำนาญของบรรดาผู้ร่วมรายการบ้าง มีอะไรใหม่ๆ ให้ค้นพบอยู่เสมอ หากเปรียบเปรยด้วยการทำอาหารแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นเพียงการเตรียมวัตถุดิบอันน่าเบื่อหน่าย ถึงกระนั้นชินก็ชอบงานใส่แคปชันอยู่ดี สิ่งที่ยากคือเขามักเกือบหลุดปากหัวเราะ เพราะอย่างนั้นถึงได้อยากหมกตัวทำงานในห้องตัดต่อเดี่ยวมากกว่า ช่วยไม่ได้ที่ห้องเหล่านั้นโดนจับจองไปหมดแล้ว ชินจึงต้องตั้งสมาธิทำงานในบูทตัดต่อที่มีแค่ฉากกั้นพลางพยายามเกร็งมุมปากที่ทำท่าจะหลุดยิ้มอยู่เรื่อย
ชินจมจ่อมอยู่กับงานโดยไม่กินไม่ดื่ม เมื่อบิดขี้เกียจสุดแรงเพื่อคลายอาการเมื่อยหลังพลางแหงนมองนาฬิกาจึงพบว่าเลยสิบโมงแล้ว พักหน่อยดีกว่า
ทันทีที่ถอดเฮดโฟนออก เสียงของโลกภายนอกก็ลอยเข้ามาในหูเปลือยเปล่า เป็นชั่วพริบตาที่มักเกิดความรู้สึกหลอนไปว่าถูกลากเข้าไปในการสับเปลี่ยนช่องทีวี ตอนที่ชินมาถึง รอบข้างบูทยังเงียบสงัดไร้ผู้คน แต่ตอนนี้กลับโกลาหล เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เสียงอ่านสคริปต์ดังมาจากโต๊ะถัดไปสองตัว
“...ตอนที่จะย้ายมาโตเกียวเนื่องจากได้งานที่สถานีโทรทัศน์ พ่อแม่ของเธอค้านหัวชนฝา อาจเป็นเพราะไม่เชื่อว่าลูกสาวขี้อายที่เอาแต่แอบหลบอยู่หลังพี่สาวผู้แก่กว่าสองปีจะทำอาชีพผู้ประกาศข่าวได้...”
ดูเหมือนจะเป็น VTR เล่าประวัติความเป็นมาที่จะใช้เปิดในงานเลี้ยงฉลองแต่งงานหรือไม่ก็อาฟเตอร์ปาร์ตี้ของผู้ประกาศข่าวสาว เสียงอ่านเป็นเสียงผู้ชาย คงเป็นใครสักคนในแผนกผู้ประกาศข่าวเหมือนกัน สิ่งแรกที่ชินคิดคือ เสียงสดใสแฮะ ตามด้วย สดใสเกินไปหน่อย
“หลังจากรถชินคันเซ็นค่อยๆ เคลื่อนห่างจากสถานีบ้านเกิดจนภาพครอบครัวโบกมือลาลับตาไป เธอก็ใช้เวลาหลังจากนั้นร้องไห้ตลอดสี่ชั่วโมงครึ่งจนกระทั่งถึงโตเกียว แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตคนเดียวครั้งแรกในมหานคร วันคืนในแผนกผู้ประกาศข่าวที่ใฝ่ฝันดำเนินมาด้วยการถูกดัดสำเนียงบ้านเกิดอย่างเข้มงวด ถึงชีวิตความเป็นอยู่จะชวนให้กังวล แต่สิ่งที่ช่วยประคับประคองเธอไว้ก็คือเขาผู้คอยเป็นกำลังใจให้แม้อยู่ไกลกัน”
ฟังจากสคริปต์แล้วควรจะเป็นช่วงที่พูดเสียงขรึม แต่เสียงนั้นกลับร่าเริงแจ่มใสจนสื่อความยากลำบากหรือความกังวลออกมาได้ไม่ดีนัก ทั้งที่เสียงดี มีพลัง แถมยังอ่านเก่ง แต่กลับผิดฝาผิดตัวอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้อ...”
ชินได้ยินเสียงถอนหายใจถนัดหูแม้จะมีฉากกั้นอยู่สองฉาก
“จะว่าไงดี ช่วยอ่านให้มันชวนซาบซึ้งกว่านี้ไม่ได้เหรอ?”
ใช่ๆ เขาเกือบเผลอเออออไปกับคนตำหนิที่มองไม่เห็นหน้า
“เอ๊ะ ไม่ซึ้งเหรอฮะ”
“ไม่เลยสักนิด... ถึงจะบอกว่าร้องไห้ตลอด แต่ใช้เสียงแบบนั้นไปก็รังแต่ชวนให้คิดว่า ‘โกหกแหง’ ซะมากกว่า ที่จริงแค่นึกถึงหน้านายก็อยากขำแล้ว”
ใครกันนะ เสียงคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้ แต่ก็ใช่ว่าตนรู้จักผู้ประกาศข่าวดีพอจะนึกชื่อออกได้ทันที ถ้าเป็นนักแสดงตลกยังว่าไปอย่าง
“นั่นมันเพราะรู้คาแรกเตอร์ของผมต่างหาก ถ้าลองถอดอคติออกไปแล้วตั้งใจฟังด้วยจิตใจผ่องใสนะ รับรองน้ำตาไหลพราก”
“ไม่มีทาง นายเนี่ยไม่เหมาะกับ VTR แนวสะเทือนอารมณ์เอาซะเลย ควรไปขอร้องคุนิเอดะมากกว่าจริงๆ สินะ...”
“เฮ้ๆๆ อย่าบั่นทอนความมุ่งมั่นอยากช่วยงานแต่งของเพื่อนร่วมงานรุ่นเดียวกันของผมสิฮะ”
“เอาเถอะ ยังเหลือเวลาจนกว่าจะอัดเสียง ไปฝึกมาซะ ฉันไปละ มีถ่ายทำนอกสถานที่”
ดูเหมือนจะสลายตัวแล้วแฮะ งั้นเราก็สลายตัวด้วยคน จังหวะที่ชินคิดพลางทำท่าจะสวมเฮดโฟนอีกครั้ง เสียงเมื่อครู่ก็ดังขึ้นใกล้ๆ ด้านหลัง
“อ๊ะ ‘โกโก’ นี่นา”
แทนที่จะบอกว่าด้านหลัง ควรเรียกว่าแถวๆ ไหล่มากกว่า ความกะทันหันทำให้ชินสะดุ้งหันกลับไปมอง ดวงตาที่กำลังจ้องมองมาในระยะประชิดนั้นไม่ผงะถอย ภายในวงม่านตาทอประกายมีชีวิตชีวาราวกับเศษกระจกสีกระจายอยู่ทั่ว ชินเผลอหลับตาปี๋ก่อนไถลเก้าอี้ถอยออกห่าง
“เอ๊ะ? นี่ ‘โกโกแดช’ ไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนี้แต่กลับไม่ถือสักนิด แถมยังชะโงกมองหน้าจอที่หยุดภาพไว้ชั่วคราวอีกต่างหาก
อย่างนี้นี่เอง เสียงแบบนั้นกับหน้าตาแบบนี้งั้นเหรอ รูปลักษณ์เปี่ยมชีวิตชีวาทำให้ชินเข้าใจในที่สุด อีกฝ่ายชวนให้รู้สึกถึงความอยากรู้อยากเห็นอันสดใสที่มีต่อโลก ราวกับสุนัขที่ออกมาเดินเล่นครั้งแรกจนสนอกสนใจไปหมดทุกอย่าง ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะ ‘ไร้เดียงสา’ แต่กลับแฝงด้วยความมีไหวพริบอันเหมาะสมกับคนหนุ่มหน้าตาดี ชินเอ่ยตอบดีเลย์เล็กน้อยว่า “ก็ใช่อยู่หรอก” พอตอบไปแล้วถึงเพิ่งสงสัยว่าควรใช้คำสุภาพมากกว่าหรือเปล่า แต่อายุของทั้งสองดูไล่เลี่ยกัน แถมอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีขุ่นเคืองใจสักนิด
“ใช่จริงๆ สินะ? โอ๊ะ ‘มอเตอร์คอยล์’ !”
คู่หูตลกวัยละอ่อนที่โดนดันในช่วงนี้นั่งอยู่ริมสุดของที่นั่งขั้นบันไดสำหรับแขกรับเชิญ ชายหนุ่มสังเกตเห็นอย่างตาไวก่อนชี้มือร้องบอกว่า “ฉันชอบมาก!” ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“ออกอากาศเมื่อไร?”
“อีกสองสัปดาห์”
“หืม~...เอ๊ะ”
คราวนี้อีกฝ่ายสังเกตเห็นขวดน้ำพลาสติกที่ดื่มค้างไว้วางอยู่บนโต๊ะจึงหันมาถามว่า “อะไรเนี่ย”
“มีโพคารีสีเหลืองขายด้วยเหรอ”
“ผสมเรดบูลน่ะ”
ชินผสมเครื่องดื่มชูกำลังลงไปหลังจากดื่มโพคารีครึ่งขวด เขามักทำเช่นนี้ยามทำงานโต้รุ่ง แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครเห็นดีเห็นงามด้วยสักคน
“อร่อยเหรอ?”
“งั้นๆ”
ขืนกินอาหารจะง่วง เขาจึงดื่มน้ำแก้ท้องว่าง ทั้งยังเป็นการปลุกใจ และคิดเองเออเองว่ามันอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร
“คราวหน้าฉันลองบ้างดีไหมน้า อ๊ะ โทษทีที่มารบกวน ทำต่อเถอะๆ”
“อือ”
ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่กลับเผลอพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง รู้สึกว่าผู้ประกาศข่าวที่ยื่นหน้ามาพูดในสิ่งที่อยากพูดก่อนจากไปอย่างรวดเร็วนั้นจะชื่อมินางาวะ ทัตสึกิ ชินเพิ่งจดจำชื่อและหน้าได้เมื่อเร็วๆ นี้เพราะความจำเป็นบังคับ ความที่ฝ่ายผลิต ฝ่ายข่าว และแผนกผู้ประกาศข่าวตั้งอยู่คนละชั้น ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ได้สนใจอีกฝ่ายนัก เมื่อได้คุยกับตัวเป็นๆ ก็รู้สึกว่า ‘สุดยอดเลยแฮะ’ เท่านั้นเอง อะไรสุดยอดน่ะหรือ ก็ความเอนจอยชีวิตไงล่ะ ท่าทางเหมือนไม่มีเรื่องกลุ้มใจแม้แต่เรื่องเดียว ถึงจะไม่ควรคิดแบบนี้ทั้งที่ไม่รู้จักมักจี่กันก็เถอะ
“นี่ๆ”
“หวา”
พอตั้งท่าจะทำงานต่อจริงจัง เสียงสบายอารมณ์ก็เอ่ยทักจากด้านหลังอีกครั้ง
“ตกใจเกินเหตุมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ?”
“เพราะเข้ามาทักปุบปับน่ะสิ!”
“ก็ฉันอ้อมไปทักจากด้านหน้าไม่ได้นี่นา เอ้า นี่”
ทัตสึกิวางกระป๋องน้ำผักลงบนโต๊ะ
“ฉันให้ น่าจะดีต่อสุขภาพ”
“เอ๊ะ?”
“งานตัดต่อก็พยายามเข้า ฉันจะตั้งตารอการออกอากาศ”
“...ขอบคุณ”
น้ำผลไม้ยังไม่เท่าไร คำพูดนั้นต่างหากที่ทำให้ชินดีใจ พอผงกศีรษะเบาๆ ทัตสึกิก็ยิ้มแฉ่งตอบอย่างเป็นมิตร เป็นพวกชีวิตดีไมตรีเลิศในอุดมคติเลยสินะ ทั้งที่อีกฝ่ายใจดีด้วย แต่ชินกลับอดคิดแกมเสียดสีไม่ได้ เหตุผลก็ง่ายๆ เป็นเพราะเขาไม่ถูกโรคกับคนประเภทนั้นนั่นเอง คนจำพวกที่โปรยออร่าอันเจิดจ้าไปทั่วได้อย่างง่ายดายมักทำให้ชินรู้สึกตัวแข็งทื่อจนไม่อาจขยับเขยื้อน เหมือนกับกลายเป็นเงาที่เกิดจากการแผดเผา แน่นอนว่าเขารู้ตัวดี ว่าการดูถูกตัวเองจนรู้สึกอย่างนั้นต่างหากคือปัญหา
ชินดื่มน้ำในขวดตามด้วยน้ำในกระป๋องจนหมดเกลี้ยง จากนั้นจึงหยุดพักจากงานแล้วกลับมายังห้องสตาฟ
“ขอโทษครับ งานใส่แคปชันเดี๋ยวผมค่อยทำต่อตอนกลางคืน”
“อ้าว ปกติเวลานี้จะอยู่ที่โตโยทีวีไม่ใช่เหรอ”
“รายการปรับโฉมใหม่ ช่วงที่ผมทำก็เลยหายไปด้วยน่ะครับ ดูเหมือนว่าจะหั่นงบแล้วเน้นถ่ายให้จบในสตูดิโอเป็นหลัก”
“ที่ไหนๆ ก็ซบเซากันหมดเลยแฮะ”
“แต่ผมได้หน้าที่รับผิดชอบใหม่แล้วครับ”
“รายการไหน?”
ชินชูนิ้วชี้ขึ้นไปชั้นบน
“ ‘เดอะนิวส์’ ”
“จริงดิ? นายเคยทำรายการข่าวด้วยเรอะ?”
“เปล่า ไม่เคยครับ ผมเองก็กังวลสุดๆ แต่มันเป็นคำสั่งของบริษัท...”
ในเมื่อเป็นทีมงานเอาต์ซอร์ซของบริษัทผลิตรายการ เมื่อมีรายการใดต้องการตัว เขาก็จะถูกส่งไปทำแล้วรับค่าจ้างมา เท่านั้นเอง
“ ‘เดอะนิวส์’ เนี่ยชิตาระซังเป็นโปรดิวเซอร์สินะ? น่าจะทำงานด้วยง่าย...กว่าโปรดิวเซอร์ของที่นี่”
ประโยคสั้นๆ ที่เสริมด้วยเสียงกระซิบกระซาบทำให้ชินได้แต่ยิ้มแห้ง ชินเคยเจอชิตาระแค่ตอนที่ไปพบปะทักทายร่วมกับฝ่ายขายของบริษัทผลิตรายการเมื่อสัปดาห์ก่อน ชายคนนั้นท่าทางเป็นคนพูดรู้เรื่อง ไม่มีพิธีรีตรองน่าอึดอัดแม้แต่น้อย
“แต่ว่านายน่ะ อยู่ที่นี่อย่าพูดถึงรายการข่าวให้มากนักดีกว่า”
“เอ๊ะ ทำไมล่ะครับ...”
“ทำไมงั้นเหรอ เรื่องนี้ดังจะตาย...”
ทันใดนั้นเอง ‘โปรดิวเซอร์ของที่นี่’ ที่เพิ่งโดนกล่าวถึงหยกๆ ก็ก้าวเข้ามา
“สวัสดีคร้าบ”
เขามุ่งหน้าไปที่โต๊ะของตัวเองด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ยินเสียงทักทายของทีมงานสักนิด จากนั้นจึงมองดูเอกสารที่กองอยู่บนนั้นแล้วเอ่ยเรียก “ชิน” ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“เก็บกวาดซะ”
“ครับ”
หลังจาก ‘โปรดิวเซอร์ของที่นี่’ หรือโซมะ ซาคาเอะโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะและมุ่งหน้าไปยังห้องสูบบุหรี่ทั้งที่เพิ่งมาถึงบริษัท ชินก็ลงมือจัดระเบียบโต๊ะซึ่งรกจนมองคีย์บอร์ดไม่เห็น ทั้งที่เพิ่งจัดเก็บไปไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่สภาพกลับเหมือนไม่ได้เก็บกวาดมาแรมเดือน คนที่มีตำแหน่งเป็นถึงโปรดิวเซอร์ของรายการมักมีของส่งมาถึงกองพะเนิน ทั้งซีดีหรือดีวีดีของทาเลนต์ที่อยากดัน เอกสารเพื่อการโฆษณา บัตรเชิญร่วมงานรอบสื่อของภาพยนตร์หรือละครเวที จดหมายเชิญให้ไปถ่ายทำในอีเวนต์พิเศษของห้างหรือศูนย์การค้า และอื่นๆ อีกมากมาย ท่ามกลางจดหมายโฆษณาเหล่านั้นมักมีใบแจ้งหนี้ที่สำคัญปะปนอยู่ด้วยจึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ซาคาเอะเกลียดการเสียเวลามาคัดแยกทีละฉบับ เขาจึงสั่งให้ชินทำแทน พูดให้ถูกต้องแล้วคือสั่งแค่ชินคนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าการที่ทีมงานแตะต้องจดหมายจ่าหน้าถึงโปรดิวเซอร์ย่อมไม่ใช่เรื่องสมควร แต่ซาคาเอะเป็นถึงผู้อำนวยการผลิตรายการ กล่าวคือเป็นหัวเรือใหญ่ ที่นี่จึงไม่มีใครกล้าตักเตือนเขาเรื่องนั้น
ชินคัดแยกจดหมายออกเป็นสี่ประเภทได้แก่ ของที่เห็นได้ชัดว่าจำเป็น ของที่เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็น ของที่ค่อนไปทางจำเป็น และของที่ค่อนไปทางไม่จำเป็น จากนั้นจึงรวบรวมให้เข้าใจง่ายๆ แล้วค่อยหันไปเอ่ยกับไดเรกเตอร์ “เรื่องเมื่อกี้น่ะครับ”
“ที่ว่าอย่าพูดถึงรายการข่าวให้มากจะดีกว่านั่น เพราะอะไรเหรอครับ?”
“ก็ต้องเพราะคนนั้นแหงอยู่แล้ว”
อีกฝ่ายใช้คางพยักพเยิดไปยังทางเดินที่ซาคาเอะเดินจากไป
“เขาเกลียดพวกรายการข่าวน่ะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่างละมั้ง? รายการข่าวท่าทางน่ารำคาญจะตาย อยากรู้ก็ลองไปถามเองสิ? แต่หาจังหวะเหมาะๆ ล่ะ ขืนฟิวส์ขาดขึ้นมาปุบปับ ทางนี้จะพลอยลำบากไปด้วย”
ซาคาเอะอยู่คนเดียวในห้องสูบบุหรี่ เขาคาบบุหรี่ในปากพลางเท้าคางพิงกรอบหน้าต่าง ชินรู้สึกโชคดีที่ได้ครอบครองใบหน้าด้านข้างที่ชอบนั้นไว้คนเดียว แต่การอยู่สองต่อสองก็ทำให้หลบสายตาได้ยาก โชคดีที่อีกฝ่ายเป็นพวกไม่แยแสท่าทีละล้าละลังทำนองนั้น แสงแดดเดือนสิงหาคมส่องผ่านกระจกเข้ามาภายใน ซาคาเอะกะพริบตาถี่ๆ คล้ายกับแสบตา บางทีเขาอาจเพิ่งตรงดิ่งมาจากร้านเหล้าที่ใดสักแห่ง
“เก็บกวาดเสร็จแล้วครับ”
“การถ่ายทำในย่านการค้าที่พูดถึงวันก่อนเป็นไงบ้าง”
ซาคาเอะไม่ได้ตอบรับรายงานของชินว่า ‘อืม’ หรือ ‘ขอบใจ’ เขาจะพูดเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากพูดในตอนนั้น เพราะซาคาเอะเป็นคนแบบนั้น
“เกือบโอเคแล้วครับ มีแค่ร้านเดียวที่ไม่ยอมออกทีวี แต่เขาชอบดู ‘โกโก’ ก็เลยต่อรองกันอยู่ ว่ากันตามตรงแล้ว น่าจะขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้ดำเนินรายการด้วย”
“ไม่รู้หัวแข็งหรือแค่บ้าดารากันแน่”
เฮอะ ซาคาเอะเยาะหยัน เขาคนนี้ดูดีมีชีวิตชีวาที่สุดก็ตอนที่ทำสีหน้าดูแคลนคนอื่นนี่แหละ ชินคิด เพราะนั่นคือการแสดงนิสัยของเจ้าตัวออกมาตามตรง
“ส่ง ‘คันเด็นชาโตว์’ ไปดีไหม”
ซาคาเอะเอ่ยชื่อคู่หูตลกที่กำลังมาแรงที่สุดตอนนี้
“ไม่รู้จะว่างไหมนะครับ”
“เจ้าพวกนั้นหัวไว ถ่ายทำไม่นานหรอก สักสามชั่วโมงน่าจะพอไหว เดี๋ยวฉันโทรไปเอง”
แม้จะเป็นคู่หูขายดีจนนัดหมายยาก แต่คนที่เห็นแววและปลุกปั้นพวกเขามาตั้งแต่สมัยยังเป็นหน้าใหม่ก็คือซาคาเอะกับ ‘โกโกแดช’ ฝ่ายนั้นจึงน่าจะยอมฟังเพราะ ‘โซมะซังขอมาทั้งที’ ถึงอย่างไรนักแสดงก็เป็นอาชีพที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และหน้าที่เป็นพิเศษ ซาคาเอะขยี้บุหรี่ที่สั้นลงก่อนหยิบมวนต่อไปขึ้นมาคาบต่อ ชินรีบยื่นไฟแช็กให้แล้วจุดไฟอย่างว่องไว
“เอ่อ”
ทักไปก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองตามเคย ดูเหมือนซาคาเอะจะคิดว่าการทักทายหรือการตอบรับเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ขืนสงสัยว่า ไม่ได้ยินหรือเปล่านะ แล้วเรียกซ้ำ อีกฝ่ายจะตะคอกกลับว่า ‘หนวกหู’ ทันที ชินจึงเอ่ยต่อทั้งๆ อย่างนั้น
“ตั้งแต่วันนี้ ผมต้องไปทำอีกรายการหนึ่งของที่นี่”
“รายการไหน”
“ ‘เดอะนิวส์’ ครับ”
ซาคาเอะใช้ฟันบนและล่างขยี้บุหรี่ในปากเบาๆ จนเกิดเสียงดังปึ้ด ชินสะดุ้งเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาอื่นนอกจากนั้น ซาคาเอะโยนบุหรี่มวนที่สองที่บิดงอลงในที่เขี่ยบุหรี่ก่อนจะกอดอก ลดสายตาลงมองบริเวณซึ่งสว่างไสวด้วยแสงแดดกลางวันนิ่งๆ โดยไม่สูบต่อ แววตากร้าวนิ่งงันดุจมีเยื่อหุ้มกางกั้นอีกชั้น เขาตัดขาดจากโลกภายนอกโดยไม่เอ่ยคำ ทีมงานมักกระซิบกระซาบว่า “โซมะซังปิดสวิตช์” แต่ความจริงไม่ใช่เลย ภายในหัวสมองของซาคาเอะกำลังทำงานเต็มพิกัด เรื่องที่คิดมักเป็นเรื่องของรายการอยู่เสมอ และเมื่อหวนกลับมาก็จะพูดอย่างสุขใจว่า “ทำอันนั้นกันเถอะ” หรือ “คิดเรื่องสนุกๆ อยู่น่ะ” ในเวลาแบบนั้นซาคาเอะจอมเย่อหยิ่งที่เอาแต่ดูแคลนคนอื่นจะกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยเล่าเหตุการณ์ที่โรงเรียนให้ฟัง ทุกครั้งที่เห็นประกายสุกใสนั้นอยู่ตรงหน้า ชินจะคิดอย่างไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยว่า ดีจริงๆ ที่ติดตามคนคนนี้มา รวมถึงคิดว่า จากนี้ก็จะติดตามคนคนนี้ต่อไป ด้วย เพียงแต่เจ้าตัวจะกดเปลี่ยนสวิตช์ตอนไหนนั้นไม่มีใครล่วงรู้ ชินจึงหลบฉากมาจากตรงนั้นอย่างเงียบงัน




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ชินซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในรายการวาไรตี้ยอดนิยมอย่าง ‘โกโกแดช’ ได้รับมอบหมายให้เข้าไปทำงานข่าวภาคดึกของสถานีโทรทัศน์แห่งเดียวกันจนได้มารู้จักกับมินางาวะ ทัตสึกิ ผู้ประกาศข่าวผู้รับผิดชอบข่าวกีฬา ทัตสึกิเป็นชายเสียงดังผู้มีดวงตาทรงพลัง ทั้งที่เป็นคนประเภทที่ไม่ถูกโรคด้วย แต่ชินกลับไม่อาจละสายตาจากทัตสึกิที่พูดอย่างมีชีวิตชีวาได้ ขณะที่ชินขอแค่ได้มีส่วนร่วมในรายการโปรดอย่าง ‘โกโก’ ในฐานะลูกน้องของซาคาเอะ โปรดิวเซอร์ที่ตนหลงใหลได้ปลื้ม ทัตสึกิก็ลดระยะห่างเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”