New Release BLY แปล : บุพเพบาป 2 (เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : บุพเพบาป 2 (เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่สิบเอ็ด

เช้าตรู่ แสงตะวันแรกอรุณฉายส่องเข้ามาภายในห้อง อันเซ่าโหยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้า
เขาคุกเข่ามาตลอดทั้งราตรี บัดนี้ฟ้าสางแล้วจำต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับมาเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ ในวันนี้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ นวดขาที่เป็นเหน็บชาทั้งสองข้างเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกอย่างเชื่องช้า
เขาเทน้ำสะอาดมาล้างหน้า บ้วนปาก ความเย็นเยียบของน้ำช่วยปลุกให้เขาตาสว่าง ต่อมาก็ใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำที่ติดค้างอยู่บนใบหน้าให้แห้ง จากนั้นอันเซ่าโหยวก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ
บิดามารดาที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากที่สุดทยอยเสียชีวิตจากไป สกุลอันก็ไม่มีคนหรือสิ่งใดที่ทำให้เขาห่วงหาอาวรณ์อีก เขาเริ่มสับสน เริ่มงุนงง ในภายภาคหน้าเขาต้องอยู่ที่สกุลอันต่อไปด้วยเหตุผลอันใดเล่า
“นะ นายน้อย”
“...!”
ในขณะที่เขาลังเลอยู่ ทันใดนั้นเสียงของพ่อบ้านก็ดังขึ้นข้างกาย
“มีอันใดรึ?” อันเซ่าโหยวหันหน้ากลับไปถาม
เห็นเพียงแววตาของพ่อบ้านหลุกหลิกไม่อยู่นิ่ง สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก พูดจาตะกุกตะกัก ท่าทางร้อนรนชวนให้คนรู้สึกแปลกใจยิ่ง
“นายน้อย...นะ นายน้อยอี้หราน ชะ เชิญท่านไปหา บอก...บอกว่า...มีเรื่องสำคัญจะปรึกษาขอรับ”
วาจาคลุมเครือนี้ทำให้อันเซ่าโหยวเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆ อี้หรานก็เรียกเขาไปปรึกษาหารือเรื่องใดอย่างไม่มีสาเหตุตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้!?
“...ใครสั่งให้เจ้ามา?” อันเซ่าโหยวรู้สึกแปลกพิกลจึงเปลี่ยนแปลงท่าทีจากที่นุ่มนวลเมื่อครู่นี้มาเป็นขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถาม
“นะ นายน้อยอี้หรานขอรับ...”
ในใจของพ่อบ้านก็รู้สึกขัดแย้งเช่นกัน ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นเจ้านาย ทว่ากลับ...เฮ้อ!
ท่าทางของพ่อบ้านไม่เหมือนกับกำลังโกหก แต่เหมือนกับมีเรื่องปิดบังยากจะเอื้อนเอ่ยมากกว่า หรือว่าอี้หรานมีเรื่องสำคัญจริงๆ?
อันเซ่าโหยวเดินมายังเรือนของอันอี้หรานเพียงลำพังอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งโดยแฝงความสงสัยเอาไว้ในใจ
พอเปิดประตูออก เขาก็ตะลึงงันไปเล็กน้อย ภายในเรือนมีคนอยู่มากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ อันอี้หราน คุณหนูเว่ย รวมถึงอาๆ ลุงๆ เหล่านั้น...
แม้นว่าอันเซ่าโหยวจะมีนิสัยใจคอใสซื่อบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็คลุกคลีอยู่ในสนามการค้ามานานหลายปี เขาจึงมิได้คาดหวังกับญาติพี่น้องเหล่านี้เท่าไรนัก แต่เดิมทีเขาคิดว่าพวกอาๆ ลุงๆ เพียงแต่เกาะกลุ่มรวมตัวกับบิดาเท่านั้น หากบิดาสิ้นไป พวกเขาก็น่าจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะออกลูกไม้ใหม่เร็วเช่นนี้
รวมถึง อันอี้หราน...
“อี้หราน รวมถึงท่านลุงท่านอาทุกท่าน เรียกข้ามามีธุระอันใดหรือ?”
ในระหว่างที่สังเกตมองนั้น สายตาของอันเซ่าโหยวจงใจหยุดลงบนร่างของอันอี้หรานนานกว่าผู้อื่น อันอี้หรานในวันนี้มิได้เป็นญาติผู้พี่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมาในวันวานคนนั้นอีกแล้ว ในดวงตาของเขากลับมีความทะเยอทะยานและ...ความปรารถนาเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน!
‘ญาติผู้พี่ของท่าน ข้าหมายถึงอันอี้หราน เขาอันตรายยิ่ง ทางที่ดีท่านควรอยู่ห่างๆ เขาเอาไว้หน่อย’
ยามนี้คำที่เฉิงอินเคยกล่าวเตือนเขาโผล่เข้ามาในหัวใจของเขา อันเซ่าโหยวจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก
หรือว่าที่เฉิงอินกล่าวมาจะเป็นความจริง!?
ทีแรกไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบคำถามของเขา แต่หลังจากอันอี้หรานส่งสายตาให้ทุกคนหนึ่งที คนที่อายุมากที่สุดในบรรดาท่านลุงท่านอาเหล่านั้นก็ก้าวออกมา เอ่ยกับอันเซ่าโหยวด้วยน้ำเสียงและฐานะของผู้อาวุโส
“เซ่าโหยวเอ๋ย พวกเรากับบิดาของเจ้าถือว่าเป็นสหายใกล้ชิดกัน เรื่องที่เขากังวลพวกเราเองก็รู้ดี เจ้าคิดดูสิ...เจ้าก็ใกล้จะสามสิบแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรสักคน ดังนั้น...”
“เรื่องทายาทสืบสกุลท่านลุงท่านอาทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล” อันเซ่าโหยวตอบกลับทันที ดวงตาทั้งสองข้างมองไปทางภรรยาในนาม แววตาอันเย็นชานั้นทำให้นางหดตัวแอบอยู่หลังอันอี้หรานอย่างห้ามไม่อยู่
การกระทำอันโจ่งแจ้งเช่นนี้ทำให้อันเซ่าโหยวพอจะรู้เรื่องราวอันใดบางอย่างได้ในบัดดล เขาเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ มิใช่ว่าไม่พอใจ เพียงแต่รู้สึกคาดไม่ถึงเท่านั้น!
เมื่ออันเซ่าโหยวกล่าวออกมาเช่นนี้ บรรยากาศก็พลันกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด ทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอันใดดี ผู้อาวุโสหลายคนพากันมองไปทางอันอี้หราน พฤติกรรมเช่นนี้ยิ่งทำให้อันเซ่าโหยวแน่ใจว่าคนต้นคิดเรื่องนี้จะต้องเป็นญาติผู้พี่ที่ตนเองไว้ใจเป็นแน่แท้
พอคิดถึงตรงนี้อันซ่าโหยวก็อดกำหมัดแน่นมิได้ หัวคิ้วขมวดลึก ในดวงตาฉายแววงุนงงและไม่อยากจะเชื่อ ร่างกายก็ค่อยๆ สั่นเทิ้มเบาๆ ตามโทสะที่เพิ่มพูนสูงขึ้น...
ที่ผ่านมาในใจของเขาเห็นอันอี้หรานเป็นสหายที่สนิทที่สุด เป็นญาติพี่น้องและผู้ช่วยที่คู่ควรแก่การไว้ใจมากที่สุด แม้ว่าทั้งสองจะเคยอยู่ห่างกัน แต่เมื่อได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เขายังคงเห็นอันอี้หรานเป็นสหายรู้ใจ มิหนำซ้ำเมื่อก่อนอันเฉิงอิงยังเคยพูดกับเขาเองว่าอิจฉาญาติผู้พี่ที่เขามักจะพูดถึงบ่อยๆ ผู้นั้น จากจุดนี้ก็พอจะเห็นได้ว่าอันเซ่าโหยวให้ความสำคัญกับมิตรไมตรีระหว่างพวกเขาทั้งสองยิ่ง
แต่เมื่อเขาพบว่าจริงๆ แล้วตนเองคิดผิด ญาติพี่น้องที่ได้รับความไว้วางใจจากตนเองผู้นี้เองก็คอยจ้องจะแย่งชิงอำนาจและตำแหน่งของเขาเหมือนกับคนอื่นๆ เขาก็เจ็บช้ำใจยิ่งนัก!
หรือว่าในสกุลอันไม่มีใครให้เขาไว้เนื้อเชื่อใจได้สักคน!?
อันอี้หรานไม่แยแสความโกรธเกรี้ยวและความตกใจของอันเซ่าโหยว เขาดันตัวคุณหนูเว่ยที่อยู่ด้านหลังออกมาอย่างเยือกเย็น บอกเป็นนัยว่าถึงตานางแล้ว
ถึงแม้คุณหนูเว่ยจะขี้ขลาดและใจอ่อน แต่ก็ไม่กล้าทรยศต่อบุรุษที่ตนเองชอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมถึงลูกของพวกเขาอีกด้วย...
ดังนั้นนางจึงเดินไปด้านหลังอย่างตัวสั่นงั่นงกแล้วหยิบกระดาษกับพู่กันเดินไปหาอันเซ่าโหยว ระหว่างนั้นนางเอาแต่ตัวสั่นไม่ยอมหยุด ความเย็นชาและแววตาของสามีคนปัจจุบันทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นทวีคูณ
“สะ สามี...พะ พวกเราหย่ากันเถิด...” คุณหนูเว่ยรวบรวมความกล้าเปิดปากเอ่ยออกมาในที่สุด
อันเซ่าโหยวมองนางแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ “เพราะว่าเจ้าหลงรักอี้หรานอย่างนั้นหรือ?”
“...!” คุณหนูเว่ยผงะอึ้งไปในทีแรก หลังจากหายตื่นตระหนกแล้วนางก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่...เขาต่างหากที่เป็นคน...ที่ข้าชอบ”
อันอี้หรานได้ยินเช่นนั้น มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้ากับเยวี่ยเอ๋อร์รักกันจากใจจริง ที่นางต้องการคือบุรุษที่จริงใจกับนาง”
เสียงนี้ทำให้อันเซ่าโหยวสะอิดสะเอียนยิ่ง เขาเองก็เป็นบุรุษเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมิได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แต่ก็คงไม่มีบุรุษผู้ใดอยากเห็นภรรยาของตนเองคบชู้สู่ชาย ซ้ำยังยอมรับออกมาโต้งๆ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีก
“...นอกจากนั้นเล่า?” หลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่ อันเซ่าโหยวก็เอ่ยถามต่อไป “อันอี้หราน เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก? ตำแหน่งเจ้าบ้านสกุลอัน? สูตรลับหมักสุราเก้าวสันต์?”
“เฮอะ...เซ่าโหยว เจ้านี่ฉลาดจริงๆ” อันอี้หรานเองก็รู้ดีว่าหากเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา อันเซ่าโหยวคงจะคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้เป็นแน่ “ข้าต้องการทั้งหมด ตำแหน่งของเจ้ามิได้ควรเป็นของเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าเองก็ไม่เหมาะสม...”
“เจ้าฝันไปเสียเถิด!” ไม่รอให้เขาพูดจบ อันเซ่าโหยวก็ถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยแววแห่งความเป็นอริศัตรู “พวกท่านเองก็เหมือนกัน!”
คนที่เขาพูดถึงก็คือพวกลุงๆ อาๆ ที่ทำตัวเป็นหญ้ายอดกำแพง เหล่านั้น เมื่อก่อนตอนอันจี้อวี่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็เอาแต่ประจบประแจงเขา ตักตวงหาผลประโยชน์ บัดนี้พอเขาตายไปแล้ว พวกเขารู้ว่าไม่สามารถหาผลประโยชน์จากอันเซ่าโหยวได้จึงพากันเบนเข็มไปหาอันอี้หราน ช่างสารเลวจริงๆ!
“หากข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้สูตรลับของสุราเก้าวสันต์กับตำแหน่งเจ้าบ้านไปครอง!”
ที่แท้สกุลอันมีกฎปฏิบัติที่มิได้เขียนร่างเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้อยู่หนึ่งข้อคือ...คนที่ได้ครอบครองสูตรสุราเก้าวสันต์จะได้กลายเป็นเจ้าบ้านสกุลอัน นี่เป็นสูตรลับที่สืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ทว่าตอนนี้คนที่ล่วงรู้สูตรลับนี้มีเพียงอันเซ่าโหยวและอันเฉิงอิงเท่านั้น
คล้ายกับว่ารู้คำตอบของเขาตั้งแต่แรกแล้ว อันอี้หรานจึงมิได้มีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงนัก หลังจากแค่นเสียงหัวเราะฮึเขาก็กระซิบอันใดบางอย่างที่ข้างหูคุณหนูเว่ยเบาๆ ทันใดนั้นสีหน้าของคุณหนูเว่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด แต่ว่านางก็ยังคงมิได้ฝ่าฝืนคำสั่งเขา นางพยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบกาสุราใบหนึ่งออกมาจากข้างหลัง
ครั้นเห็นกาสุรา อันเซ่าโหยวก็ตระหนักได้ถึ.ิตของอีกฝ่าย ขณะที่กำลังคิดจะฉวยจังหวะหนีเอาตัวรอดนั้น มิคาดคิดว่าอันอี้หรานกลับเตรียมพร้อมป้องกันฝ่ามือของเขาเอาไว้ก่อนแล้ว พอซัดฝ่ามือเข้าใส่ ก็มีลูกสมุนรูปร่างสูงใหญ่กำยำสี่คนเดินเข้ามาจากนอกประตูเพื่อขวางทางอันเซ่าโหยวเอาไว้
เดิมทีอันเซ่าโหยวก็หาใช่ชาวยุทธ์ไม่ วรยุทธ์หมัดมวยก็ฝึกไว้เพียงแค่เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์ถึงสี่คนย่อมต้านทานไม่ไหวเป็นธรรมดา มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการเอาไว้ที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว เขามองดูอันอี้หรานรับกาสุราใบนั้นมาแล้วสาวเท้าเข้ามาหาตนอย่างช้าๆ ส่วนตาเฒ่าพวกนั้นและคุณหนูเว่ยต่างถอยออกไปอย่างขลาดกลัวเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
ขี้ขลาดตาขาวเสียจริง!
อันเซ่าโหยวถลึงตาใส่ผู้ที่เดินเข้ามาอย่างดุร้าย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแน่น เขาดิ้นรนขัดขืนโดยแรงแต่กลับไร้ผล
จนกระทั่งอันอี้หรานเดินเข้ามาใกล้เขา คว้าหมับเข้าที่คางของเขา ดวงตาทั้งสี่ข้างสบประสาน ทำให้เขาขยับเขยื้อนมิได้
“ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาตลอด ข้านี่มันมีตาหามีแววไม่จริงๆ!” อันเซ่าโหยวเอ่ยโพล่งเช่นนี้
ทว่านี่กลับทำให้อันอี้หรานขบขำแทน เขาหัวเราะสองคราแล้วเอ่ยว่า “เซ่าโหยว อย่าโทษว่าข้าไร้ปรานีเลย มิหนำซ้ำเจ้าเองก็มิได้เก่งกาจไปกว่าข้าเสียหน่อย!”
“อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับคนชั่วช้าอย่างเจ้า!” อันเซ่าโหยวตะคอกอย่างไม่พอใจ
แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ อันอี้หรานแค่นเสียงหัวเราะพร้อมกับเอ่ย “ที่ข้าทำกับเจ้า ก็ไม่ต่างอันใดกับที่เจ้ากระทำต่ออันเฉิงอิงนั่นแล...พอเจ้าได้ตำแหน่งเจ้าบ้าน เจ้าก็รังแกเขา แต่ข้านั้นรังแกเจ้าก่อน แล้วค่อยได้ตำแหน่ง ต่างกันตรงไหนเล่า?”
“ข้ามิได้...” ต่ำทรามขนาดนั้นเสียหน่อย!
“มิได้อันใด? ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ดีว่าทุกคนมิได้ชื่นชอบอันเฉิงอิง รู้ดีว่าคนในบ้านรองทุกคนรวมถึงข้ารับใช้เหล่านั้นล้วนแต่ข่มเหงรังแกเขา แต่เจ้ากลับทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เหยียบย่ำหลอกใช้ความรักความจริงใจของเขาอย่างกำเริบเสิบสาน! แบบนี้ไม่นับหรือ? อันเซ่าโหยว เจ้.ิตกว่าข้ามากนัก!”
“เจ้า...” วาจาเหล่านี้ของเขาทำให้อันเซ่าโหยวมิอาจตอบโต้กลับได้ นี่ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
“ข้าเก่งกาจกว่าเจ้า ฉลาดปราดเปรื่องกว่าเจ้า! ตำแหน่งเจ้าบ้านนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่เหมาะสมคู่ควร!” อันอี้หรานเอ่ยอย่างถือดี “ส่วนเจ้า...ก็แค่ล่อลวงไอ้สวะอย่างอันเฉิงอิงให้ลุ่มหลงถึงได้ครอบครองอำนาจก็เท่านั้น”
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดถึงเขาเช่นนั้น!”
เมื่อเอ่ยถึงเฉิงอิน อันเซ่าโหยวก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอันใดไป ในใจคล้ายกับกำลังข่มกลั้นโทสะอยู่ เขาไม่ยอมให้ผู้อื่นมาดูหมิ่นเหยียดหยามเฉิงอิน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่ได้ทั้งสิ้น!
“ไม่อนุญาต?” อันอี้หรานเลิกคิ้วนิดๆ “น่าขัน...คำพูดเหล่านี้ล้วนเคยออกมาจากปากเจ้าเองทั้งนั้นมิใช่หรือ?” พูดจบเขาก็ยกกาสุราขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะกรอกใส่ปากอันเซ่าโหยว
“เจ้าวางใจเถิด พอเจ้าตายไปแล้ว ข้าจะจัดพิธีศพให้อดีตเจ้าบ้านกับบิดาของเจ้าอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี ส่วนสูตรลับสุราเก้าวสันต์นั้น...ข้าจะไปเอาจากชู้รักของเจ้าเอง”
“...!”
อันเซ่าโหยวจ้องมองเขาอย่างตะลึงลาน เข้าใจเจตนาของอันอี้หรานในทันใด
เป้าหมายของเขาคือตำแหน่งเจ้าบ้านของอันเซ่าโหยวและสูตรลับสุราเก้าวสันต์จากอันเฉิงอิงมาตั้งแต่แรก
“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าไปหาเขา!” อันเซ่าโหยวสลัดขัดขืนพันธนาการด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีประโยชน์
เมื่อเห็นเขาสีหน้าดุร้ายถมึงทึง โกรธเกรี้ยวไม่วางวาย อันอี้หรานก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
“ทำไม? เจ็บปวดใจรึ?” อันอี้หรานหัวเราะเบาๆ “ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่า...ที่แท้เจ้าก็มีความจริงใจให้เขาอยู่นิดๆ เหมือนกัน...”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำหยอกล้อของเขา อันเซ่าโหยวก็ไร้กะจิตกะใจจะโต้เถียงอันใด แต่พอเห็นท่าทางมีแผนการในใจของเขา ก็เกรงว่าเขาคงจะคิดหาทางหนีทีไล่เอาไว้หมดแล้ว ถึงค่อยเริ่มแผนการในวันนี้ ถ้าหากทุกอย่างดำเนินไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เช่นนั้นเกรงว่าเฉิงอินคง...
“ห้ามเจ้าแตะต้องเขา ถ้าต้องการสูตรลับสุราเก้าวสันต์ละก็...ข้าจะให้เจ้าเอง!”
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายตลบ พออันเซ่าโหยวเปรียบเทียบผลได้ผลเสียดูแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจออกมา
อันอี้หรานรู้สึกตื่นตะลึงกับการตัดสินใจของเขายิ่ง ชั่วครู่ผ่านไปกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ
“เฮอะ...ฮ่าๆ...” จู่ๆ เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น “เซ่าโหยวเอ๋ยเซ่าโหยว คิดไม่ถึงเลยว่าจริงๆ แล้วเจ้ามิใช่ว่าใจดำไร้ปรานี แต่รักมั่นล้ำลึกต่างหาก!”
อันเซ่าโหยวมิได้สนใจคำพูดของเขา แค่นเสียงหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “เลิกพูดพล่ามไร้สาระได้แล้ว สูตรลับอยู่ในช่องลับบนชั้นหนังสือในห้องหนังสือของข้า เจ้าไปเอามาก็พอ...แต่ว่าหลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้าห้ามไปตามหาเขาเด็ดขาด!”
อันอี้หรานยักไหล่อย่างหาได้หวาดกลัวไม่ เขาไม่อยากทำให้มันมากเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ในเมื่อสิ่งที่ต้องการได้มาครอบครองอยู่ในมือ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปตามหาเจ้าสวะชั้นต่ำนั่นอีก
“เจ้านี่ใจดีจริงๆ หรือว่าจะเป็นอย่างที่เยวี่ยเอ๋อร์พูด...หัวใจของเจ้าอยู่กับเขาตั้งแต่แรกแล้ว?”
น้ำเสียงเย้าหยอกกลับมิได้นำมาซึ่งคำตวาดด่าทอจากอันเซ่าโหยว เขาเพียงแต่ถลึงตาทั้งสองข้างอย่างโกรธจัด จ้องมองใบหน้าของอันอี้หรานตาไม่กะพริบ น่าครั่นคร้ามหวาดกลัวราวกับต้องการสลักเสลาความโกรธแค้นนี้ไว้ในใจของตนเองก็มิปาน
แววตาของเขาทำให้อันอี้หรานไม่สบอารมณ์ยิ่ง ทั้งที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดถึงยังมีสายตาแบบนั้นได้!?
อันอี้หรานยิ่งมองยิ่งขัดหูขัดตา ด้วยอารามโกรธเกรี้ยว เขาจึงซัดหมัดเข้าใส่แก้มขวาของอันเซ่าโหยว ต่อยจนอันเซ่าโหยวหน้าหัน แก้มขวาบวมเป่งขึ้นมาในทันใด มุมปากก็มีโลหิตไหลรินลงมาสายหนึ่ง
จากนั้นเขาคว้าคอเสื้อของอันเซ่าโหยวขึ้นมา เอ่ยข่มขู่ว่า “อย่าคิดว่าเท่านี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ต่อให้ข้าปล่อยชู้รักของเจ้าไป...แต่ว่าเจ้า อย่างไรก็ต้องตาย!”
“เฮอะ...อันอี้หราน เจ้านี่มันน่าสมเพชจริงๆ!”
ตำแหน่งเจ้าบ้านของอันเซ่าโหยวได้มาจากอันเฉิงอิง เขารู้ดีว่าการจะอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้านที่ได้มาอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมนี้ให้มั่นคงนั้นยากลำบากเพียงใด ทว่าเขากับอันอี้หรานไม่เหมือนกัน ตำแหน่งของเขาได้มาเพราะเฉิงอินยอมยกให้อย่างยินยอมพร้อมใจ แต่ว่าอันอี้หรานกลับเป็นการปล้นชิงตำแหน่งอย่างแท้จริง!
แม้นการที่เฉิงอินยกตำแหน่งให้ในทีแรกจะทำให้อันเซ่าโหยวหวาดระแวงอยู่ในใจพักหนึ่ง แต่ความไม่สบายใจนั้นถูกความโกรธเกลียดกลบทับไปจนหมดสิ้น บัดนี้อันอี้หรานกลับแย่งชิงตำแหน่งไปอย่างโจ่งแจ้ง นี่ก็เป็นการกำหนดชะตากรรมในภายภาคหน้าของเขาเอาไว้แล้วว่า เขาจะต้องถูกมโนธรรมอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่ทรมานไปทั้งชีวิต!
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!”
อันอี้หรานโมโหกลบเกลื่อน จากนั้นประเคนหมัดใส่อันเซ่าโหยวอีกหลายหมัด แต่ไม่ว่าเขาจะต่อยตีอย่างรุนแรงแค่ไหน ดวงตาเย็นชาที่เจือด้วยแววเย้ยหยันของอันเซ่าโหยวคู่นั้นกลับไม่ไหวหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“น่าชังนัก เจ้าลองจ้องข้าอีกสิ!”
บางทีอาจเป็นเพราะความร้อนตัว อาจเป็นเพราะความหวาดกลัว อันอี้หรานจึงมีท่าทีตระหนกลนลานอยู่ไม่น้อย ลำพังแค่หมัดมิสามารถเติมเต็มความปรารถนาของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงยกกาสุราที่อยู่อีกด้านขึ้นมา จับคางของอันเซ่าโหยวเอาไว้ บังคับกรอกสุราลงไปในปาก
“เจ้าไปตายเสีย! ไปตาย! ไปตายเสีย!”
อันเซ่าโหยวถูกพละกำลังมหาศาลกุมตัวเอาไว้ แม้ว่าจะดิ้นรนขัดขืน ทำให้สุราพิษไหลออกมาจากปากไม่น้อย แต่ภายใต้สภาวะที่ไม่มีที่ใดให้หลบหนี ไม่มีหนทางใดให้ล่าถอย สุราพิษจำนวนหนึ่งจึงยังคงไหลเข้าไปในคอของเขาอยู่ดี
“อึ้ก!”
จนกระทั่งเห็นก้นกาสุรา อันอี้หรานถึงค่อยรามือพลางหอบหายใจแฮกๆ เขาโยนกาสุราทิ้ง ปล่อยตัวอันเซ่าโหยว ส่วนชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ถอยออกไปข้างนอกอย่างเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนายยิ่ง
“ฮ่า...ฮ่า...”
“แค่กๆ...อึ้ก...แค่ก...”
ภายในห้องเหลือคนเพียงสองคนเท่านั้น เสียงหายใจอันรุนแรงและเสียงไอค่อกแค่กไม่หยุดดังแทรกสลับกัน อันอี้หรานมีสีหน้าคลุ้มคลั่ง มุมปากยกยิ้มอย่างแข็งกระด้าง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าอันเซ่าโหยว
ส่วนอันเซ่าโหยวกลับไร้เรี่ยวแรงไปหมดทั้งกายา ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยาหรือไม่ เขาทำได้เพียงล้มกองกับพื้น มิสามารถออกแรงได้แม้แต่เศษเสี้ยว
พักใหญ่ผ่านไปอันอี้หรานก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา เขามองเห็นกาสุราเปล่าที่อยู่ข้างเท้า จากนั้นหันไปมองอันเซ่าโหยวที่ฟุบหมอบอยู่กับพื้น เขาจึงรู้ว่าตนเองได้ทำมันลงไปจริงๆ แล้ว!
“ฮ่า...ฮ่าๆ...ข้าทำสำเร็จแล้ว...สกุลอันเป็นของข้าแล้ว...เป็นของข้า!” อันอี้หรานเริ่มพูดพึมพำกับตนเอง ราวกับว่าการทำเช่นนี้จะสามารถสะกดกลั้นความหวาดหวั่นต่อการทำผิดของเขาได้
“แค่ก...”
อันเซ่าโหยวได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดว่าอะไร ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าภายในร่างกายเหมือนจะมีเปลวเพลิงกองหนึ่งลุกโชนขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดขั้วหัวใจระลอกหนึ่ง คล้ายกับว่าอวัยวะภายในกำลังถูกทับจนแหลกเละ เจ็บปวดยากจะทนทานอย่างสุดแสน
“อั้ก...อ๊ากก!”
ถึงแม้อันเซ่าโหยวจะอดทนอดกลั้นเก่งแค่ไหน ความเจ็บปวดยามพิษร้ายแผ่ลามก็ยังทำให้เขาตัวงอร้องครวญครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ สิ่งที่ออกจากปากมาพร้อมกับเสียงยังมีโลหิตแดงฉานที่ทะลักออกมาจากร่างกาย สาดกระเซ็นไปทั่วพื้น สีแดงสดสะดุดตานั่นชวนให้อกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก
“อึ้ก...อุก...”
เจ็บ เจ็บเหลือเกิน!
อันเซ่าโหยวใช้มือข้างหนึ่งกุมบริเวณท้อง ส่วนมืออีกข้างออกแรงพยุงตนเองเอาไว้ ทว่ายังคงวาดหวังจะหนีออกไปจากที่นี่
พิษออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์ ความทรมานจากความเจ็บปวดทำให้เบื้องหน้าของเขามืดสนิท มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า ซ้ำร้ายยังมิอาจรับรู้ได้เลยว่ามีผู้ใดอยู่รอบด้านบ้าง ถึงกระนั้นเขาก็ยังอยากจะหนี ต่อให้ต้องคลานก็ตามที เขาก็ยังอยากจะหนีไปจากบ้านนี้!
“อิน...เฉิง...อิน...”
เขายื่นมือออกไปท่ามกลางความมืดมิด ที่นั่นมีแสงสว่างจุดเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียว เมื่อพิศดูกลับพบว่าเป็นใบหน้าแย้มยิ้มของเฉิงอิน
เขาไม่อยากตาย หากยังไม่ได้พบหน้าเฉิงอิน เขาจะตายมิได้!
อันเซ่าโหยวคิดถึงเฉิงอิน แต่อีกด้านก็หวาดกลัวความรู้สึกในใจที่มีต่อเฉิงอิน ดังนั้นเขาจึงสัญญากับตัวเองว่า...ทุกปีเมื่อถึงวันตรุษเขาถึงจะสามารถแวะไปเยี่ยมเยียนเฉิงอินได้
บัดนี้ใกล้จะเข้าสู่ปลายปีแล้ว ใกล้จะฉลองวันตรุษแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถไปหาเฉิงอินได้เสียที เขาอยากรู้ว่าเฉิงอินสบายดีหรือไม่ เขารอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน เขาจะต้องไปหาเฉิงอินให้ได้!
ความยึดติดแกร่งกล้าอัดแน่นเต็มในสมองของอันเซ่าโหยว เขาลืมไปชั่วขณะว่าตนเองอยู่แห่งหนใด ลืมไปว่าตนเองถูกพิษร้ายแรง ถึงขนาดลืมว่าเขาไม่รู้ว่าเฉิงอินอยู่ที่ใดด้วยซ้ำไป...
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด หรือเพราะคิดว่าเขาจะต้องตายเป็นแน่ อันอี้หรานถึงได้เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เขารอคอยความตายอยู่เพียงลำพัง
ความปวดร้าวภายในร่างกายทำให้อันเซ่าโหยวยากจะกระดิกกระเดี้ยได้ เขาคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองประตูห้องซึ่งอยู่ห่างจากตนเองออกไปเพียงไม่กี่ก้าว จากนั้นก็ค่อยๆ สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป
ในชั่วพริบตาที่เขาจวนจะหมดสติไปนั้น ดูเหมือนว่าประตูห้องจะถูกใครบางคนเปิดออก




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พายุแห่งความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอีกครา ครั้งนี้ก็ยังคงมีที่มาจากสาเหตุเดิม นั่นคือ...ตำแหน่งเจ้าบ้านสกุลอัน อันเซ่าโหยวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าความไว้ใจและความประมาทเลินเล่อจนเกินเหตุจะกลับทำให้ตนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขายื่นมือออกไปท่ามกลางความมืดมิด ที่นั่นมีแสงสว่างจุดเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียว เมื่อพิศดูกลับพบว่าเป็นใบหน้าแย้มยิ้มของเฉิงอิน

คำพูดเมื่อสิบปีก่อนที่เคยถูกมองข้ามไป ยามนี้กลับซาบซึ้งตราตรึงใจเหลือคณา เป็นครั้งแรกที่อันเซ่าโหยวรู้ซึ้งถึงความนัยอันล้ำลึกในถ้อยคำนั้น... นั่นมิใช่คำพูดล้อเล่น มิใช่คำพูดส่งเดช และมิใช่คำลวงหลอก แต่ว่าเป็นคำสาบานที่ยึดมั่นมาตลอดชั่วชีวิต เฉิงอินกลายเป็นศรัทธาเดียวที่ช่วยประคับประคองชีวิตเขาเอาไว้ บุพเพสันนิวาสของพวกเขาทั้งสองจะไม่ต้องจบลงด้วยคำว่า ‘บาป’ ได้หรือไม่?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”