New Release BLY แปล : บุพเพบาป 1

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : บุพเพบาป 1

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

เมืองฉวีหยางซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขตผิงโจวแห่งแคว้นฉีอี้ ร้านขายสุราน้อยใหญ่ในเมืองมีจำนวนไม่น้อย ในจำนวนนั้นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือสกุลอันซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง สูตรลับที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นสามารถหมักบ่มสุราเก้าวสันต์ได้ เป็นสุราบรรณาการที่ถวายแก่วังหลวง สกุลอันจึงร่ำรวยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักด้วยเหตุนี้
พอตระกูลเริ่มเจริญรุ่งเรือง คนในครอบครัวเมื่อมั่งคั่งร่ำรวยก็เริ่มมีปัญหาอย่างยากจะหลีกเลี่ยง สกุลอันก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน
ว่ากันว่าในสกุลอันเมื่อหลายรุ่นก่อนมีคุณชายซึ่งเชี่ยวชาญในด้านกิจการสุราถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกันสองคน นายท่านอันในตอนนั้นไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี จนกระทั่งยามใกล้สิ้นชีวิตก็ยังมิอาจตัดสินใจเลือกผู้สืบทอดได้ ดังนั้นพอนายท่านอันเสียชีวิตไป สองพี่น้องก็ทะเลาะแก่งแย่งกันเป็นผู้สืบทอด สุดท้ายคนเป็นพี่ชายกลับแพ้ให้แก่ผู้เป็นน้องชายเพราะความประมาทเลินเล่อเพียงนิดเดียว เพื่อปกป้องตัวเองและตำแหน่งผู้สืบทอดสกุล ผู้เป็นน้องชายจึงแยกบ้านกับพี่ชาย จากนั้นขับไล่พี่ชายและครอบครัวของเขาออกไปจากเมืองฉวีหยาง
นับตั้งแต่บัดนั้นมา สกุลอันก็แยกเป็นบ้านใหญ่และบ้านรอง คนของบ้านใหญ่เมื่อถือกำเนิดมาก็มีสิทธิ์ได้สืบทอดสกุลอันต่อไป ทว่าคนจากบ้านรองกลับทำได้เพียงแบกรับคำตราหน้าว่าเป็นพวก ‘ขี้แพ้’ เกาะผู้อื่นใช้ชีวิตไปวันๆ...

วสันตฤดูเวียนมาบรรจบอีกครา พ่อค้าหาบเร่เดินขวักไขว่ไปมาในเมืองฉวีหยางอย่างไม่ขาดสาย ในวันนี้มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูสกุลอันซึ่งอยู่ทางใต้ของเมือง เด็กชายตัวน้อยผู้งดงามราวกับบริวารของพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้หนึ่งเดินลงมาจากบนรถม้า ทว่าในดวงตาของเด็กชายกลับไม่มีความสดใสอ่อนเยาว์เหมือนอย่างที่เด็กรุ่นเดียวกันควรจะมี กลับมีแต่ความล้ำลึกเฉยเมย เต็มไปด้วยความเย็นชา
เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายของคฤหาสน์สกุลอัน อักษรคำว่า ‘หลวง’ สีทองอร่ามซึ่งอยู่ตรงมุมล่างด้านขวาโดดเด่นทิ่มแทงสายตายิ่ง ทำให้หัวคิ้วเล็กๆ ของเขาอดขมวดขึ้นมาเบาๆ มิได้ ครั้นหวนย้อนนึกถึงคำพูดที่บิดาจากบ้านรองเอ่ย สีหน้าแววตาของเขาก็ยิ่งทวีความหนักอึ้ง
“เซ่าโหยว นับตั้งแต่ปีนี้ไป เจ้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านใหญ่...จำเอาไว้นะ พอไปอยู่ที่บ้านใหญ่ หากเจ้าไม่กดหัวผู้อื่น ผู้อื่นก็จะกดหัวเจ้า!”
“ท่านพ่อ ท่านแม่...” เด็กชายร้องเรียกเสียงต่ำเบา
เขาซึ่งยังเยาว์วัยรู้ดีว่า ในภายภาคหน้าอาจจะเรียกขานพวกท่านเช่นนี้มิได้อีกแล้ว

บ้านใหญ่สกุลอันให้กำเนิดผู้สืบทอดสกุลเพียงคนเดียวติดต่อกันมาสามรุ่นแล้ว อันหย่งฮุยเจ้าบ้านคนปัจจุบันรู้สึกว่าพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ในเรือนที่ใหญ่โตเกินไปเช่นนี้ออกจะดูอู้ฟู่ฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงส่งคนไปพาเด็กชายคนหนึ่งจากบ้านรองที่อายุอานามไล่เลี่ยกับบุตรชายมาอยู่อาศัยที่นี่เป็นการถาวร
ด้านหนึ่งก็หวังว่าในบ้านจะคึกคักครื้นเครงขึ้นอีกสักหน่อย อีกด้านหนึ่งก็คิดจะอาศัยเด็กทั้งสองเป็นสะพานเชื่อม เพื่อแก้ไขบรรเทาความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ระหว่างบ้านใหญ่และบ้านรอง
อันเซ่าโหยวถูกอันหย่งฮุยจูงมือพาเดินมายังเรือนชั้นในของบ้านสกุลอัน พอเดินเข้าไปในเรือนก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขอันใสแจ๋วปานกระดิ่งดังออกมาจากในเรือน
ครั้นอันหย่งฮุยได้ยินเสียงนี้ก็ระบายรอยยิ้มนุ่มนวลของผู้เป็นบิดาออกมาทันที เขาเอ่ยไปยังทิศทางนั้นว่า “เฉิงอิง อย่าซนสิลูก รีบมาหาพ่อทางนี้มา”
พอได้ยินเสียงนี้ ไม่นานนักเงาร่างเล็กจ้อยก็โถมเข้าใส่อ้อมกอดของอันหย่งฮุยทันที “ท่านพ่อ!”
อันเซ่าโหยวยืนอยู่อีกด้าน สำรวจมองเจ้าบ้านสกุลอันในอนาคตอย่างไม่แสดงออกทางสีหน้าแววตา
อันเฉิงอิงปีนี้อายุห้าขวบ อายุน้อยกว่าอันเซ่าโหยวสองปี เพราะว่ามีบิดาที่รักใคร่ประคบประหงมตนเองจึงไม่เคยรู้จักความยากระกำลำบากเลยแม้แต่น้อย ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนผิวขาวผ่องเนียนนุ่ม เป็นนายน้อยที่น่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
อันหย่งฮุยอุ้มบุตรชายเอาไว้ บีบแก้มน้อยๆ ของเขาเบาๆ หลังจากนั้นก็หอมแก้มเขาเล็กน้อยอย่างห้ามใจไม่อยู่ เฉิงอิงตัวน้อยถูกหอมจนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก หลังจากสองพ่อลูกกอดหอมกันพอแล้ว อันหย่งฮุยถึงค่อยแนะนำเด็กชายที่อยู่ข้างกายให้บุตรชายรู้จัก
“เฉิงอิงดูสิ นี่คือพี่เซ่าโหยว ต่อไปเจ้าจะต้องเรียนหนังสือกับเขา เล่นกับเขา ต้องทำตัวดีๆ กับพี่ชายนะ รู้หรือไม่?”
เฉิงอิงน้อยไม่สนใจสักนิดว่าตนเองมีพี่ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนเมื่อไร เขารู้แต่เพียงว่าต่อไปพี่ชายผู้นี้จะเล่นสนุกเป็นเพื่อนตนเองเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเดินไปยืนตรงหน้าอันเซ่าโหยวอย่างใจกว้างยิ่ง หัวเราะคิกคักแล้วดึงมือเขาเอาไว้
“พี่ชาย ต่อไปเรามาเล่นด้วยกันนะ!”
อันเซ่าโหยวหัวเราะเยาะในใจ ทว่าหน้าฉากยังคงเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา “ได้ เล่นด้วยกัน!”
บุพเพบาป...ได้ถือกำเนิดขึ้นนับแต่บัดนั้น



บทที่หนึ่ง


“อิน...เฉิงอิน เฉิงอิน?”
เสียงอันคุ้นเคยและแรงเขย่าแผ่วเบาดึงคนที่กำลังหลับสนิทให้กลับมาจากห้วงนิทรา
“หือ?”
เฉิงอินหรี่ตาเล็กน้อยพลางลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้กุ้ยเฟย สติสัมปชัญญะยังคงมึนงงไม่แจ่มชัด ท่าทางสัปหงกครั้งแล้วครั้งเล่าดูราวกับคนขี้เมาที่ดื่มสุราจนเมามาย
“เฮ้อ...ว่าอยู่แล้วเชียวว่าปล่อยให้เจ้านอนหลับตอนกลางวันไม่ได้ รีบตื่นเร็วเข้า เถ้าแก่น้อยกลับมาแล้ว!” บุรุษซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขารินน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยเพื่อปลุกสติให้ตื่น
เขาค่อยๆ รับถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ในที่สุดคนผู้นี้ก็ไม่โงนเงนไปมาแล้ว แต่สีหน้าท่าทางยังคงไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าเท่าใดนัก
เซวียนชิงกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่น้อยซื้อของที่เจ้าต้องการมาด้วย เจ้า...”
เขายังเอ่ยวาจาไม่ทันจบก็เห็นเพียงเฉิงอินซึ่งเมื่อครู่ท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรงจวนจะตายอยู่รอมร่อผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับถูกอสนีบาตจู่โจม ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยหน้าตาสดชื่นแจ่มใส
“เถ้าแก่น้อย ข้ารักท่าน รีบเอาสุราเก้าวสันต์มาให้ข้าเร็วๆ เข้า!”
“.....”
ภาพเหตุการณ์นี้ช่างชวนให้คนขบขันโดยแท้ บุรุษซึ่งรับหน้าที่เดินมาปลุกเขาอดส่ายศีรษะยิ้มๆ มิได้ เซวียนชิงหมุนกายเดินออกไปนอกประตู ตามเฉิงอินลงไปที่ชั้นล่าง
เมื่อเขามาถึงชั้นล่าง นายบำเรอเกือบทุกคนในร้านแห่งนี้ต่างก็มากระจุกตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ทั้งหมด ภายในห้องโถงใหญ่วันนี้ไม่มีลูกค้า ทว่าผู้คนที่เหล่านายบำเรอห้อมล้อมอยู่กลับเป็นคนงามสองคน คนหนึ่งในมือถือกระดาษและพู่กันพลางขานชื่อ ส่วนอีกคนรับหน้าที่ส่งมอบสิ่งของ ตอนนี้พวกเขากำลัง...แบ่งของโจรกันอยู่!
“ขนมแผ่นหิมะ จากอำเภอชิงสุ่ย ของใคร?” เย่าหลิงคนงามหมายเลขหนึ่ง หรือก็คือเถ้าแก่ของร้านนี้เอ่ยตะโกนไปทางทุกคน
“ของข้า!” ที่รอบนอกของวงล้อมมีคนยกมือขึ้นขานตอบ
“เอาละ ข้าขอจดก่อน...ขนมแผ่นหิมะของอิ๋นฮวน” เขาพูดพลางเขียนคำว่า ‘อิ๋น’ ลงตรงหน้าคำว่า ‘ขนมแผ่นหิมะ’ บนกระดาษ “เสี่ยวถิงใช้วรยุทธ์โยนให้เขาซิ อย่าให้กระแทกหน้าเขาเป็นแผลเล่า ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้าไปทำงานแทนตำแหน่งเขา”
นายบำเรอที่นี่ต่างรู้ดีว่าเย่าถิงซึ่งรับผิดชอบส่งมอบของกำนัลเป็นน้องชายแท้ๆ ของเถ้าแก่น้อย เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของเขางดงามกว่าเย่าหลิงถึงสามส่วน เป็นโฉมสะคราญอย่างแท้จริง เถ้าแก่น้อยภาคภูมิใจในตัวน้องชายคนนี้ยิ่ง แต่ว่าอุปนิสัยใจคอของเขานั้น...
เขามิได้พูดอันใดมาก ยื่นมือโยนออกไปทันที ขนมแผ่นหิมะนั้นลอยวาดเป็นเส้นโค้งเหนือศีรษะทุกคน ก่อนจะร่วงลงในมือของนายบำเรอที่ชื่อว่าอิ๋นฮวนอย่างพอดิบพอดี ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นรอบด้าน ผู้คนต่างพากันโห่ร้องชื่นชมเป็นการใหญ่
เสียงกู่ร้องดังขึ้นเป็นเวลาไม่นานนักก็ถูกเสียงของเถ้าแก่ตัดบท “บ๊วยเขียวแห่งเขาเสวี่ยซาน...ใครอยากได้ของเปรี้ยวเข็ดฟันเช่นนี้กันฮึ? ตั้งครรภ์หรืออย่างไร?”
วาจาของเขาก่อให้เกิดเสียงหัวเราะครืนระลอกใหญ่ ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าในร้านนี้มีแต่บุรุษเพศ ไหนเลยจะมีหญิงสาวตั้งครรภ์อันใดกันเล่า!?
“ข้า ข้า!” คนผู้หนึ่งยื่นมือออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาอยู่ด้านในของวงล้อม เย่าหลิงจึงยื่นสิ่งของที่เขาต้องการให้ไปทันที
“ข้าก็แค่คิดถึงอาหารรสเลิศจากบ้านเกิดเฉยๆ เถ้าแก่น้อยอย่าพูดจาปากร้ายเช่นนี้ได้หรือไม่?”
“ได้ๆๆ แต่ว่าหลีหวา ข้าก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ อาหารรสเลิศจากบ้านเกิดเนี่ยเปลี่ยนบ้างได้หรือไม่? ข้าจำได้ว่าเป็ดย่างของที่นั่นก็เลื่องชื่อมากทีเดียว...ต่อมา สุราเก้าวสันต์...อ้อ อันนี้ข้ารู้ เฉิงอิน เฉิงอิน?” เย่าหลิงเริ่มสอดส่องหาตัวเขา
ของกำนัลชิ้นนี้เขาจำได้แม่นมั่นยิ่ง เพราะว่าทุกปีเฉิงอินจะต้องคิดหาวิธีหาสุรานี้มาดื่มให้ได้ นับตั้งแต่พวกเขารู้จักกันก็เป็นเช่นนี้มาตลอด
“ทางนี้ ทางนี้!”
เฉิงอินมุดเข้ามาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ในมือรับสุราชั้นเลิศสองไหเอามา จากนั้นกอดเอาไว้ในอ้อมกอดราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
“ตามที่เราคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ ข้าเอาของมาให้เจ้าแล้ว เจ้าเองก็ต้องเชื่อฟังข้า อย่ารับแขกมากเกินไปอีก มันจะส่งผลต่อร่างกาย...”
ในขณะที่เย่าหลิงเปิดประเด็นนั้น เฉิงอินก็รีบยิ้มพลางขานรับติดๆ กัน “รู้แล้วๆ ท่านคือเถ้าแก่ ข้าย่อมต้องฟังท่านอยู่แล้ว อย่างไรเสียสิ้นปีนี้ก็สิ้นสุดแล้ว ข้าจะไม่ทำงานหนักเกินไปอีก วางใจเถิดๆ” พอเอ่ยจบเขาก็ประคองสุราเก้าวสันต์สองไหวิ่งปรู๊ดไปยังห้องของตนเองอย่างมีความสุข ไม่รู้เช่นกันว่าเขาฟังเข้าหูบ้างหรือไม่ หรือว่าแค่ขานรับไปส่งๆ เท่านั้น
เฉิงอินรีบเดินไปอย่างเร่งร้อน เฉียดผ่านเซวียนชิงที่เมื่อครู่ขึ้นไปปลุกเขาและกำลังเดินลงมาชั้นล่างไป พอเห็นรอยยิ้มนั้นเขาก็อดถอนหายใจออกมามิได้...เวรกรรมแท้ๆ!
ที่นี่คือหอฉินยวนซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนของแคว้นฉีอี้ เป็นหอนายบำเรอแห่งหนึ่ง ทำการค้าเช่นเดียวกับหอนางโลมอื่นๆ แต่ว่าร้านแห่งนี้มีเอกลักษณ์ที่ชวนให้คนรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งคือ...นายบำเรอทุกคนในร้านล้วนแต่ยินยอมพลีกายขายตน ไม่มีการบีบบังคับหรือยุยง และก็มิได้รังเกียจในอาชีพนี้ ด้วยเหตุนี้เมื่อมีลูกค้ามาเยือนที่ร้าน นอกจากสาเหตุทางด้านสุขภาพร่างกายแล้ว ไม่เคยมีคนปฏิเสธที่จะรับแขกมาก่อน จุดนี้ทำให้บรรดาลูกค้าพึงพอใจยิ่ง
กิจการที่ร้านนี้คึกคักเป็นอย่างมาก ทั้งลูกค้าหน้าเก่าหน้าใหม่พากันแวะเวียนอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของร้านก็มีไม่น้อย กิจการดีวันดีคืน เหล่านายบำเรอเห็นเช่นนี้ก็ปลาบปลื้มยินดีตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าการดึงดูดลูกค้าให้ได้นั้นไม่เพียงแต่ต้องบริการอย่างรอบคอบเอาใจใส่ รูปโฉมของนายบำเรอก็จะให้ย่ำแย่น่าเกลียดมิได้ จุดนี้ยิ่งไม่มีผู้ใดเป็นกังวล ด้วยการวางแผนอย่างเฉียบคมชาญฉลาดของเถ้าแก่น้อยคนปัจจุบัน บุรุษหนุ่มรูปงามล้วนไม่มีผู้ใดเล็ดลอดสายตาแหลมคมของเขาไปได้
แต่ดังคำที่ว่าคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ สำหรับเหล่านายบำเรอแล้วเรื่องของเถ้าแก่น้อยเย่าหลิงยังคงถือเป็นปริศนา ไม่สิ ควรพูดว่าคนที่เคยเป็นเถ้าแก่ของหอฉินหยวนล้วนแต่เป็นปริศนาทั้งสิ้น
กิจการของหอนายบำเรอแห่งนี้ดูเหมือนเป็นการสืบทอดจากพ่อสู่ลูก ลูกรับช่วงต่อจากพ่อ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ‘ลูก’ นี้มาจากไหน
ยกตัวอย่างเถ้าแก่น้อย บิดาของเขาคือเถ้าแก่คนที่แล้ว แต่ว่าอยู่มาวันหนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่ง จู่ๆ เขาก็พา ‘ภรรยารัก’ ที่เป็นบุรุษเหมือนกันมาที่นี่ หลังจากนั้นไม่นาน อยู่มาวันหนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่งอีกครา เขาก็พา ‘ลูกรัก’ หน้าตางดงามมาอีก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเด็กนี่มาจากที่ไหนกันแน่!?
เหล่านายบำเรอต่างก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ในตัวเย่าหลิงเป็นอย่างมาก ส่วนเย่าหลิงไหนเลยไม่เคยไม่รู้สึกว่าพวกเขาเองก็เต็มไปด้วยความลึกลับปริศนามากมาย
ไม่มีบุรุษคนใดเกิดมาก็ยินยอมพลีกายขายตัว เกิดมาก็อยากทำอาชีพเช่นนี้ ทว่าทุกคนในร้านกลับยอมขายตัวอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ สิ่งนี้มักจะทำให้เย่าหลิงนึกสนใจใคร่รู้อยู่เสมอๆ แต่เพราะเขาให้ความเคารพกับทุกคนจึงไม่เคยปริปากเอ่ยถาม
เบื้องหลังของทุกคนล้วนมีเรื่องราวส่วนตัวของพวกเขาเองอยู่ บ้างโศกศัลย์ บ้างสุขสันต์ บ้างเจ็บปวด บ้างเริงรื่น...แม้เย่าหลิงไม่รู้ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่เขารู้ว่าบทสรุปสุดท้ายกลับมิเป็นไปดังปรารถนา ดังนั้นทุกคนถึงได้เดินมาจนถึงจุดจุดนี้ เย่าหลิงมิอาจปลอบประโลมบาดแผลความเจ็บปวดของพวกเขาได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา หลังจากนั้นพอพวกเขาอายุพ้นยี่สิบห้าปีก็หาสถานที่ให้พวกเขาได้พักกายาก็เพียงเท่านั้น
ช่วงอายุยี่สิบห้าปีเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่เหล่านายบำเรอต้องเผชิญ นายบำเรอที่พ้นอายุช่วงนี้ไปแล้ว ส่วนมากมักจะถูกรังเกียจว่าแก่ชรา ช่วงวัยที่งามสะพรั่งที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสร้างความสำราญรับใช้ลูกค้าเหล่านั้นอีก ยามนี้สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่มีแต่เพียงความโดดเดี่ยวและเดียวดาย
เพราะทนเห็นพวกเขาต้องมีจุดจบอย่างน่าอเนจอนาถเช่นนี้มิได้ ดังนั้นเถ้าแก่รุ่นก่อนๆ จึงซื้อที่ดินที่เมืองถงหลิงในเขตหลินโจวเอาไว้แปลงหนึ่ง พร้อมทั้งสร้างบ้านเรือนเอาไว้ที่นั่น ได้ยินว่าที่นั่นทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก เหมาะแก่ก่อนพักผ่อนรักษาสุขภาพ เหล่านายบำเรอที่อายุพ้นยี่สิบห้าปีไปแล้วสามารถเลือกที่จะไปใช้ชีวิตต่อที่นั่นได้ แม้ว่าชีวิตอาจจะมิได้มั่งคั่งและมีความสุขมากมายนัก แต่ก็ถือว่าพอมีพอกิน ต่อมาพอมีนายบำเรอย้ายไปพำนักที่นั่นมากขึ้นๆ ก็มีคนตั้งชื่อให้ตรอกนั้นว่า... ‘ตรอกเร้นลับ’
สิ้นปีของปีนี้เฉิงอินแห่งหอฉินยวนก็จะอายุครบยี่สิบห้าปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงบอกกล่าวถึงแผนการของตนเองให้ทุกคนรู้มาตั้งแต่แรกแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครเอ่ยย้ำเตือน...เขาจะไปใช้ชีวิต ‘บั้นปลาย’ ที่เขตหลินโจว และแน่นอนว่าเย่าหลิงก็มิได้คัดค้านความต้องการของเขาแต่อย่างใด

คืนนี้ร้านต่างๆ ซึ่งอยู่ในตรอกซอยเริงรมย์จุดโคมสุกสกาวเปิดประตูร้านเตรียมทำการค้า ในซอกซอยที่แลดูเงียบสงัดในยามทิวาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขึ้นมาในบัดดล
อำเภอเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชายแดนของแคว้นฉีอี้ พ่อค้าวาณิชและนักเดินทางที่สัญจรไปมาหลั่งไหลไม่ขาดสาย พอล่วงยามราตรีแน่นอนว่าย่อมต้องมีสิ่งที่บุรุษต้องการจะปลดปล่อย ภายในตรอกที่ทอดยาวสายนี้หอนางโลมตั้งเรียงรายติดกันหลายร้าน แต่ทว่าหอนายบำเรอกลับมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เนื่องด้วยหลายปีที่ผ่านมาการร่วมสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับบุรุษด้วยกันเป็นที่นิยมชื่นชอบ ดังนั้นกิจการของหอฉินยวนซึ่งเป็นหอนายบำเรอเพียงแห่งเดียวนี้จึงดีตามไปด้วยเช่นกัน
ครั้นโคมไฟถูกจุด ประตูเปิดออก ก็มีแขกประจำเดินเข้ามาภายในร้าน เย่าหลิงในฐานะที่เป็นเถ้าแก่จึงย่อมต้องเดินแย้มยิ้มออกไปต้อนรับเป็นคนแรก ในเมื่อเป็นแขกประจำเย่าหลิงจึงรู้รสนิยมความชอบของพวกเขาเป็นอย่างดี เขาเอ่ยส่งสัญญาณเป็นนัยหนึ่งที จากนั้นก็มีนายบำเรอจำนวนหนึ่งเดินล้อมวงเข้ามาทันใด ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยออดอ้อนคุณชายอย่างนั้นคุณชายอย่างนี้ ต่อมาพวกเขาก็พาบรรดาลูกค้าเข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่หรือไม่ก็ในห้องเพื่อ ‘ค่อยๆ’ คุยกัน
การค้าขายก็เป็นเช่นนี้แล เหล่าบุรุษควักเงินซื้อความรักเพียงชั่วข้ามคืนที่นี่ ได้รับการปรนเปรอตลอดทั้งราตรี ต่างฝ่ายต่างเต็มอกเต็มใจ ราตรีวสันต์พ้นผ่านไร้สิ้นร่องรอย พอผ่านพ้นคืนนี้ไปทุกคนก็กลายเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักกันและไม่มีสิ่งใดๆ เกี่ยวข้องกันแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
แต่ว่าครั้งแรกแปลกหน้า ครั้งที่สองคุ้นตา มีไม่น้อยที่รู้จักมักคุ้นกันนานวันเข้าแล้วเกิดเป็นความรักสิเน่หา คืนนี้ก็ดูเหมือนจะมีอยู่หนึ่งคน!
“เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อตัวเซวียนชิงจากร้านท่าน!” ชายหนุ่มท่าทางองอาจผึ่งผายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาภายในร้าน ก่อนจะตะโกนเสียงดังกึกก้อง
สุ้มเสียงดังกังวานของเขาดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะไม่แยแสที่ตนเองกลายเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น ยังคงยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มเช่นเดิม
ครั้นได้ยินเสียงนี้ เย่าหลิงก็รีบวิ่งเข้ามา แวบแรกที่เห็นคนผู้นี้เขาก็คิดว่าดูมิใช่คนเลวร้ายแต่ว่ากลับไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด เขาจำไม่ได้ว่าเซวียนชิงเคยรับแขกคนนี้ด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วเหตุใดเขาถึงต้องการครอบครองตัวเซวียนชิงด้วยเล่า?
เดิมทีเซวียนชิงกำลังลิ้มรสสุรากับเฉิงอินสหายรักอยู่ที่ชั้นบน พอได้ยินว่ามีคนเรียกชื่อเขาก็รีบลงมาดูทันที เฉิงอินเองก็ตามมาดูเรื่องสนุกๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอทั้งสองเดินมาถึงชั้นล่าง เซวียนชิงยังมิได้พิศมองคนผู้นั้นให้ชัดๆ ถนัดตา ชายหนุ่มคนนั้นก็พุ่งเข้ามากอดเซวียนชิงไว้แน่นสนิทในทันที
เขากอดพลางเอ่ยว่า “เซวียนชิง เซวียนชิง เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เจ้าช่างงดงามเหมือนในภาพไม่มีผิด ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เพราะฉะนั้นเจ้าต้องไปกับข้านะ”
“.....”
เนื่องจากเสียเปรียบที่ความสูง เซวียนชิงจึงถูกเขากอดรัดเอาไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น ใบหน้าแนบสนิทกับแผ่นอกของเขา แม้แต่จะเอ่ยตอบก็ยังทำมิได้
เฉิงอินเห็นภาพฉากนี้ก็อดหลุดหัวเราะพรวดออกมามิได้ เขาค่อยๆ เดินไปยังข้างกายเย่าหลิงก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “เถ้าแก่น้อย เซวียนชิงไปหาเรื่องคนประหลาดผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
บุรุษผู้นั้นแม้นจะรูปร่างสูงใหญ่ แต่ว่าใบหน้านั้นไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ค่อนข้างอ่อนเยาว์ น่าจะอายุน้อยกว่าเซวียนชิงเสียอีก เฉิงอินคาดคะเนว่าเขาไม่มีทางอายุเกินยี่สิบปีแน่นอน!
“ใครจะไปรู้เล่า?” เย่าหลิงยักไหล่ หลังจากนั้นก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ท่านลูกค้าผู้นี้ ข้ารู้ว่าท่านตื่นเต้นมาก แต่ไม่เห็นต้องตื่นเต้นจนกอดรัดเซวียนชิงให้ขาดอากาศหายใจตายเลยนี่นา?”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าลงมองด้วยความประหลาดใจ ครั้นก็เห็นเซวียนชิงถูกเขากดเอาไว้ในอ้อมกอด พวงแก้มไปจนถึงใบหูขึ้นสีแดงเถือก มือทั้งสองข้างตีแขนทั้งสองข้างของเขาไปมาไม่ยอมหยุด ท่าทางดูทรมานยิ่งนัก
“ว้าก!” เขารีบร้อนปล่อยมือออกโดยเร็ว
ในที่สุดเซวียนชิงก็หลุดพ้นจากเงื้อมือมารได้เสียที เขาถอยกรูดไปอีกด้านแล้วหอบหายใจไม่หยุด ไม่มีแม้แต่แรงจะเอ่ยต่อว่าด่าทอ
เฉิงอินเห็นดังนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่นอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ภายในห้องโถงใหญ่ พอมีคนได้ยินเสียงหัวเราะก็พากันหัวเราะตามอย่างไม่ไว้หน้า เซวียนชิงถูกเสียงหัวเราะกลืนกลบ จึงมองไปทางบุรุษผู้นั้นอย่างกระฟัดกระเฟียด ชายหนุ่มเองก็รู้สึกผิดยิ่ง เลยเอ่ยขอโทษไม่หยุดอยู่อีกด้าน ขอให้เซวียนชิงให้อภัยตนเอง
เย่าหลิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น ดังนั้นจึงพาพวกเขาทั้งสองไปพูดคุยกันอย่างละเอียดที่ห้องชั้นใน เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวข้องกับอนาคตของเซวียนชิง ในฐานะเถ้าแก่ เขาย่อมต้องรับผิดชอบให้ดี
ก่อนจะเดินจากไปเย่าหลิงมอบหมายงานในการต้อนรับลูกค้าให้กับเฉิงอิน เฉิงอินน้อมรับอย่างยินดีปรีดา ยามนี้เขาว่างงานเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเถ้าแก่น้อยห้ามเขารับแขกมากเกินไป หลายวันนี้จึงไม่ให้โอกาสเขารับแขกเลยสักคนเดียว เขาอึดอัดแทบบ้าอยู่แล้ว
ดีละคราวนี้ เถ้าแก่น้อยมอบงานพ่อเล้าให้เขา เขาถนัดงานแบบนี้อยู่แล้ว อยู่ในวงการนี้มาเกือบสิบปี เขาละเชี่ยวชาญนัก!
โดยทั่วไปแล้วยามไฮ่ จะเป็นช่วงเวลาที่มีลูกค้ามากมายและพลุกพล่านที่สุด ทว่าพอถึงเวลาแล้วกลับไม่เห็นพวกเถ้าแก่น้อยออกมาเสียที เฉิงอินร้องเรียกลูกค้าจนเสียงใกล้จะแหบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้า เขารับน้ำชาที่มีคนยกมาให้แล้วดื่มลงไปสองสามอึก จากนั้นวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยต้อนรับทักทายลูกค้าต่อไป เหล่านายบำเรอที่ที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเขาซึ่งกำลังยืนอยู่อีกด้านเห็นแล้วก็พากันทอดถอนใจ...เฮ้อ เจ้า ‘คนบ้างาน’ นี่เอาอีกแล้ว
“อุ๊ย ท่านหก? ลมอันใดพัดท่านมาที่นี่ได้เล่า?” เฉิงอินไม่สนใจความคิดของคนอื่น รีบจ้องหาเหยื่อรวยๆ ในทันใด ก่อนจะปรี่ถลาไปหาในทันที
คนที่เดินเข้าประตูมาคราวนี้คือลูกค้าเก่าผู้หนึ่ง แซ่เฉียน เป็นพ่อค้าเปิดหอสุรา ทุกคนล้วนเรียกขานเขาว่าท่านหกสกุลเฉียน เขามีเงินมากมายเหลือเฟือสมดั่งชื่อ ดังนั้นทุกคราที่เห็นเขามาเยือน เหล่านายบำเรอที่อยากจะได้เงินไม่มีผู้ใดไม่อยากตักตวงเงินก้อนโตจากเขา
นายท่านหกสกุลเฉียนเดินยิ้มกริ่มเข้ามาหาเฉิงอิน จากนั้นเอ่ยกับเขาว่า “เฉิงอินเอ๋ย รีบไปหาคนหน้าตาสะสวยมาให้ข้าสักสองสามคนซิ วันนี้ข้าพาเศรษฐีใหญ่มาด้วยนะ”
“ขอรับๆๆ เชิญด้านบนเลยขอรับ” ครั้นได้ยินคำว่า ‘เศรษฐีใหญ่’ เฉิงอินก็ยิ้มแก้มปริ ไม่ต้องสนใจว่าเขาเป็นใคร ต้อนรับเข้ามาในร้านก่อนค่อยว่ากัน
นายท่านหกสกุลเฉียนชื่นชอบนายบำเรอที่รู้จักกาลเทศะ เฉิงอินเป็นที่ถูกอกถูกใจของเขายิ่งนัก หากมิใช่เพราะอายุมากเกินไปนิด เขาจะต้องพากลับไปเลี้ยงดูสักสองสามเดือนแน่นอน แต่ว่าเขาก็ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยความคิดเช่นนี้ออกมามากเกินไป เพราะถึงอย่างไรวันนี้เขาก็มีแขกผู้มีเกียรติที่ต้องดูแล
ดังนั้นท่านหกสกุลเฉียนจึงหันกายกลับไป เอ่ยออกไปด้านนอกว่า “คุณชายอันมิต้องเกรงใจ นายบำเรอที่นี่เชื่อฟังว่าง่ายจนเป็นที่เลื่องลือ ปรนนิบัติท่านให้สบายกายได้แน่นอน!”
เฉิงอินสนใจใคร่รู้ในตัวเศรษฐีใหญ่ผู้นี้อย่างเต็มเปี่ยม ดวงตาคอยมองสอดส่องออกไปเป็นระยะๆ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น เหล่านายบำเรอที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังยุ่งหรือว่างอยู่ ล้วนแต่พากันแอบมองไปทางหน้าประตูอย่างมิอาจห้าม
เสียงของนายท่านหกสกุลเฉียนเพิ่งจะสิ้นลง ก็เห็นบุรุษคนหนึ่งเดินเข้ามาในประตูร้านด้วยฝีเท้ามั่นคง
“หล่อเหลาไม่เบาเลยนี่นา!” เฉิงอินได้ยินคนพูดจากอีกด้านหนึ่ง
เขาพิศมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน บุรุษผู้นี้สวมใส่ผ้าดิ้นงามหรูหรา ดวงตาสุกสกาวราวกับดาวตก สองแก้มแฝงด้วยความเย่อหยิ่ง เครื่องหน้าคมสัน มิได้แค่หน้าตาดีธรรมดาๆ เท่านั้น หว่างคิ้วเจือด้วยความปราดเปรื่องและฉลาดเฉลียว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มิอาจหาเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
เอ๋? ใบหน้านี้มัน...คุ้นตายิ่งนัก เดี๋ยวนะ...คงจะไม่...บังเอิญขนาดนี้กระมัง?





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สกุลอันอาศัยสูตรลับที่ตกทอดกันมาหลายรุ่นหมักบ่มสุราเก้าวสันต์ เป็นสุราบรรณาการที่ถวายแก่วังหลวง ด้วยเหตุนี้จึงพอจะจินตนาการได้ว่าสกุลอันร่ำรวยมั่งคั่งเพียงใด ทว่าหลังจากบ้านหลักมีผู้สืบทอดสกุลเพียงคนเดียวมาสามรุ่น เจ้าบ้านคนปัจจุบันจึงรับเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายมาอุปการะ ในปีนั้นอันเฉิงอิงอายุห้าขวบ อันเซ่าโหยวอายุเจ็ดขวบ บุพเพบาป...ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

ยี่สิบปีต่อมา ที่หอนายบำเรอเล็กๆ มีนายบำเรอนามว่าเฉิงอิน เขาไม่เคยเลือกแขกและต้อนรับแขกอย่างขยันขันแข็ง สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือสุราเก้าวสันต์... ในวันวานเขาเคยเป็นถึงนายน้อยบ้านใหญ่สกุลอัน บัดนี้กลับกลายเป็นนายบำเรอร่วมเรียงเคียงหมอนกับคนมากหน้าหลายตา ส่วนเด็กชายจากบ้านรองผู้นั้นกลับกลายเป็นเจ้าบ้านสกุลอัน เวลาล่วงผ่าน สิ่งต่างๆ ผันเปลี่ยน ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้างหนอ...?


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”