New Release เหลียนฮวา : โฉมงามปรมาจารย์เครื่องหอม

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : โฉมงามปรมาจารย์เครื่องหอม

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
ทางกลับเมืองหลวงอันทุลักทุเล


เรือนพักตากอากาศบนภูเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเจียงหนาน มีเรือนหลังหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยป่าไผ่ ค่อนข้างลับหูลับตา ในอากาศของช่วงต้นวสันตฤดูเจือด้วยกลิ่นหอมกรุ่นสายหนึ่ง เด็กสาวในอาภรณ์สีชมพูผู้หนึ่งถือกล่องผ้าดิ้นใบหนึ่งเอาไว้ในมือ เดินเข้ามาในเรือนด้วยท่าทางงดงามน่ามอง ทันใดนั้นสาวใช้สองนางก็ถอยออกไปนอกห้องอย่างพินอบพิเทา
ภายในห้อง สตรีสูงศักดิ์อายุราวห้าสิบปีผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยท่วงท่าเกียจคร้านสบายใจ มองดูเด็กสาวชุดชมพูอย่างยิ้มๆ “จะไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ป้าอวิ๋น นี่คือเครื่องหอมชนิดใหม่ที่ฟางเฟยตั้งใจปรุงให้ท่านเป็นพิเศษ มีด้วยกันทั้งหมดหกชนิด” หนีฟางเฟยวางเครื่องหอมที่ปรุงเสร็จสิ้นทั้งหกชนิดในมือลงบนโต๊ะกลมซึ่งอยู่อีกด้าน
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ จ้องมองบุตรสาวของสหายเก่าซึ่งอยู่เบื้องหน้า จากนั้นตบลงบนตั่งนุ่มข้างกายเบาๆ หลังจากบอกใบ้ให้นางนั่งลงแล้วจึงกุมมือของนางเอาไว้ “ข้าอยู่เป็นม่ายมานานหลายปี ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ กับเรื่องราวทางโลก ไม่มีสิ่งที่รักที่ชอบอีกแล้ว จะมีก็แต่เครื่องหอมที่เจ้าปรุงนี่แล จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเลิกใช้มิได้”
“ขอบคุณป้าอวิ๋นที่ไม่รังเกียจ ทว่าฟางเฟยถือกำเนิดในตระกูลทำเครื่องหอม ในกายมีโลหิตของหนีซินปรมาจารย์ปรุงเครื่องหอมอันดับหนึ่งของราชวงศ์จินอยู่ ไม่มีทางเป็นคนโง่เขลาไร้ความสามารถไปได้แน่นอน” หนีฟางเฟยเผยสีหน้าแววตาภาคภูมิใจ ขับเน้นให้ใบหน้างามดุจหยกสลักซึ่งแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมบางๆ ยิ่งงามเจิดจ้ามากขึ้น
แต่ว่าครั้นป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ได้ยิน เพลิงโทสะในใจที่มอดดับมาหลายปีกลับปะทุขึ้นมาอีกครา “มารดาของเจ้า ‘แต่ง’ คนโง่เขลาผู้หนึ่งเข้าบ้านมิใช่หรือ ทำให้ตนเองต้องตายทั้งเป็น ที่น่ายินดีก็คือเจ้ามิได้สืบทอดสิ่งใดมาจากคนโง่เขลานั่นแม้แต่เศษเสี้ยว” น้ำเสียงยามเอ่ยวาจานี้เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยันเท่าที่คนคนหนึ่งจะมีได้
หนีฟางเฟยอับสิ้นคำพูด บิดาเป็นเขยแต่งเข้า มารดาของนางแต่งสามีเข้าบ้านจริงๆ และทำให้ตนเองต้องตายจริงๆ
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่เห็นสีหน้าของเด็กสาวประเดี๋ยวขาวซีดประเดี๋ยวเขียวคล้ำก็รู้ว่าตนเองปากไวเกินไป แต่นางไม่โกรธเกรี้ยวมิได้ เครื่องหอมที่หนีซินปรุงเมื่อสมัยสาวๆ ช่วยให้นางกับพระสวามีได้เสกสมรสกันสำเร็จ นางเองก็ซาบซึ้งในน้ำใจในครานี้ ทั้งสองฝ่ายจึงไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวอยู่เป็นประจำ ยามหนีซินเอ่ยถึงการแต่งงาน นางยังแอบแวะไปดูต่งอี้ป๋อซึ่งเป็นชายในดวงใจของหนีซินเป็นพิเศษเลยด้วยซ้ำ
นางถือกำเนิดมาในวังหลวง เคยพบเจอคนมามากมายหลากหลายรูปแบบ จึงคิดว่าคนผู้นี้อ่อนแอปวกเปียกเกินไปซ้ำยังมิใช่คนดีเด่อันใด ดังนั้นเลยพยายามกล่าวเตือนหนีซินอย่างจริงใจว่ามิให้แต่งงานกับคนผู้นี้ ทว่าหนีซินกลับไม่เห็นด้วยกับวาจาของนาง ทำให้ทั้งคู่ห่างเหินกัน ค่อยๆ ไปมาหาสู่กันน้อยลง
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกใหญ่อย่างเคร่งขรึม จากนั้นเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ถ้าถึงคราวจำเป็น ก็ให้ผู้คนทั่วไปได้ล่วงรู้ว่าเจ้าของตัวจริงของ ‘หอมู่ฟาง’ ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดินเป็นใคร”
ได้ยินเช่นนี้หนีฟางเฟยก็พ่นลมหายใจออกมาเงียบๆ ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่เป็นทั้งมารดาและเป็นทั้งอาจารย์ของตน ก่อนที่ตนจะไปจากเรือนพักตากอากาศตนไม่ปรารถนาจะได้ยินนางตำหนิต่อว่าบิดามารดา “ฟางเฟยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่คิดว่าเมื่อเด็กสาวผู้นี้จากไปแล้วไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อใด นางก็อดพะวักพะวนใจมิได้
นางไร้บุตรธิดา เห็นหนีฟางเฟยเป็นบุตรสาวของสหายรักจึงตั้งใจอบรมเลี้ยงดูอย่างสุดความสามารถ เมื่อคิดว่าพอหนีฟางเฟยกลับไปถึงเมืองหลวงแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับจิตใจอันสกปรกโสมมของผู้คน ความห่วงใยในใจก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้น แม้ว่าทั้งสองจะมีกิจการที่บริหารร่วมกัน แต่นางกลับไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเลยสักครา และไม่อยากไปจากเรือนพักตากอากาศอันสงบเงียบที่ทำให้นางได้อยู่ห่างไกลจากความเจ็บปวดโศกศัลย์แห่งนี้อีกด้วย จึงมิอาจเดินทางกลับเมืองหลวงเป็นเพื่อนหนีฟางเฟยได้
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ถอนหายใจหนึ่งคำรบ จากนั้นตบมือนางเบาๆ “เจ้าไม่เป็นวรยุทธ์ต่อยเตะ แต่วิชาตัวเบาเก่งกาจเหนือใคร ข้าไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า แต่ว่าจิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง...”
“ป้าอวิ๋นโปรดวางใจ ฟางเฟยมีข้อมูลที่ท่านให้มาจึงเตรียมการป้องกันเอาไว้บ้าง เพียงแต่รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้างที่คนที่ข้าต้องคอยระวังกลับรวมถึงบิดาของข้า ภรรยาใหม่ของบิดา แล้วก็น้องสาวต่างมารดาอีกสองคน”
“ข้าเข้าใจความรู้สึกนี้ดี คนที่ต่อสู้แย่งชิงกันในวังหลวงก็มีแต่วงศ์ตระกูลสายเลือดเดียวกัน ใครบ้างเล่าจะเห็นแก่ความเป็นญาติพี่น้อง?” ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ยิ้มขมขื่นก่อนจะมองดูเด็กสาวอีกครั้ง “ถ้าหากเจ้าเหนื่อยก็กลับมาเถิด”
“ฟางเฟยจะต้องกลับมาแน่นอนเจ้าค่ะ แต่เป็นหลังจากที่ช่วงชิงทุกสิ่งที่เป็นของมารดากลับมาได้แล้วถึงจะมีหน้ากลับมาพบป้าอวิ๋น” หนีฟางเฟยกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่จดจ้องเด็กสาวอายุสิบแปดปีตรงหน้าด้วยความสงสารเวทนา เรือนกายยืนเหยียดตรง ดูแล้วมีความมั่นใจในตนเองอีกทั้งยังสุขุมเยือกเย็น ทว่าความเจ็บปวดรวดร้าวในใจกลับมีไม่น้อย ต้องเห็นมารดาของตนเองถูกผู้อื่นเล่นงานจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา คนที่อยู่รับใช้ปรนนิบัติข้างกายมารดาก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น มีเพียงแม่นมผู้หนึ่งที่หนีเอาตัวรอดได้สำเร็จ บิดามีภรรยาใหม่ แม่เลี้ยงก็มีน้องสาวฝาแฝดให้นางอีกสองคนในทันที ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งไม่อยากเห็นนางให้รกหูรกตา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จึงถูกบีบให้โตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน
เพื่อรักษาชีวิตตนเอง นางต้องแกล้งป่วยเพื่อขอร้องบิดาให้ส่งนางมารักษาตัวที่เรือนพักตาอากาศอันห่างไกลของมารดาซึ่งตั้งอยู่ที่เจียงหนานแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกลืมเลือนมาเป็นเวลากว่าสิบปี ไม่มีใครสนใจไยดีแม้แต่คนเดียว
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หนีฟางเฟยก็คุกเข่าลง โขกศีรษะเสียงดังก้องให้นางสามคราอย่างขึงขังจริงจัง “ฟางเฟยจะต้องไปจากที่นี่แล้ว บุญคุณที่ป้าอวิ๋นมีต่อฟางเฟย...” เมื่อพูดถึงตรงนี้วาจาก็จุกอยู่ในลำคอของนาง
“เอาละ รีบลุกขึ้นเสีย ท่วงท่าดุจคุณหนูตระกูลใหญ่เช่นนี้แสดงให้แม่เลี้ยงใจดำกับบิดาไร้สำนึกของเจ้าดูก็พอ ข้าชอบตัวเจ้าที่เป็นแบบเดิมมากกว่า”
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ไม่ชอบการจากลา ยิ่งทนดูความโศกเศร้าของเด็กสาวในเวลานี้มิได้ จึงตั้งใจกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ แต่นางรู้มาตลอดว่าเด็กสาวเก่งกาจยอดเยี่ยมเพียงใด จะนุ่มนวลอ่อนโยนก็ได้ ปราดเปรื่องซุกซนก็ได้ เยือกเย็นสุขุมก็ได้ ยายหนูของนางเป็นนางมารน้อยที่พลิกโฉมได้มากมายหลายหลาก
หนีฟางเฟยเองก็รู้ดีว่านางทำใจจากลามิได้ ขอบตาจึงพลันแดงระเรื่อเล็กน้อย นางกะพริบตาปริบๆ พยายามกลั้นความรู้สึกอยากร่ำไห้อย่างสุดกำลังแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยปากอย่างสัตย์จริงว่า “ป้าอวิ๋นเคยพูดว่าท่านเป็นนางมารเฒ่า แต่ข้าเป็นนางมารน้อยที่ท่านสั่งสอนปลุกปั้นมาเองกับมือจนเก่งกาจยิ่งกว่าผู้เป็นอาจารย์ ในภายภาคหน้าไม่ว่านางมารน้อยจะอยู่ที่ใด ในใจจะคำนึงหานางมารเฒ่า ขอนางมารเฒ่าได้โปรดรักษาตน อย่าคิดถวิลหานางมารน้อยมากเกินไปเล่า”
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่สูดหายใจเฮือกใหญ่อย่างเงียบๆ ข่มกลั้นรสขมปร่าที่อยู่ในลำคอ ก่อนจะหยิบถ้วยชาซึ่งอยู่อีกด้านขึ้นมาจิบเบาๆ หนึ่งอึก
จะไม่ถวิลหาได้อย่างไรเล่า?
ในยามที่นางหมดอาลัยตายอยากท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิต ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนพักตากอากาศไปวันๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต ฟางเฟยซึ่งเป็นบุตรสาวของสหายเก่าในวันวานก็พลันปรากฏตัวขึ้นที่เรือนพักตากอากาศข้างเคียง นางไปพบเจอเข้า ทำให้นางมีแรงฮึดสู้ขึ้นใหม่อีกครั้ง นางอบรมสั่งสอนทุกอย่างที่สตรีสูงศักดิ์ควรรู้ให้แก่ฟางเฟยเองกับมือ เชิญอาจารย์มาสอนนางปรุงเครื่องหอมอย่างลับๆ ถึงขนาดสั่งให้องครักษ์ลับสอนวรยุทธ์ให้กับนางด้วยซ้ำ ให้นางมีความสามารถในการป้องกันตัวเองมากขึ้นอีกนิด
ฟางเฟยฉลาดเฉลียวมาโดยกำเนิด ในด้านการทำเครื่องหอมก็ได้รับถ่ายทอดพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมเหนือใครมาจากมารดา มีจมูกที่ไวต่อกลิ่นมาตั้งแต่เกิด อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาซึ่งนางหามาให้ฟางเฟยอย่างลับๆ ต่างก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ว่านางไม่เคยแพร่งพรายฐานะที่แท้จริงของฟางเฟยให้ใครรู้ และไม่อนุญาตให้พวกเขาเผยความลับแก่คนนอกด้วยเช่นกัน นางไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำลายแผนการแก้แค้นของฟางเฟยเด็ดขาด
พอเติบใหญ่ขึ้นฟางเฟยอยากทำกิจการค้าขายเครื่องหอม นางก็ออกเงินสนับสนุนให้ฟางเฟยเปิด ‘หอมู่ฟาง’ ให้นางออกไปทำการค้าข้างนอกในฐานะ ‘แม่นางซีเหยียน’ ค่อยๆ รุกคืบเบียด ‘ร้านหยวนเซียง’ ของสกุลหนีทีละก้าวๆ มิคาด พอกิจการเครื่องหอมซึ่งสืบทอดกันมากว่าร้อยปีของสกุลหนีเริ่มตกต่ำ กลับทำให้สกุลหนีเริ่มคิดถึงบุตรสาวคนโตที่พวกเขาทอดทิ้งเนิ่นนานหลายปีขึ้นมา
“ข้าว่าจ้างคนจากสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของเจียงหนานมาอารักขาเจ้า ขบวนเดินทางกลับเมืองหลวงของเจ้าคราวนี้ยิ่งใหญ่เอิกเกริก คนนอกคงจะเดากันว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่ง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากไปได้ คงจะไม่มีปัญหาอันใด แต่ว่าข้ากำชับไห่ถังเอาไว้แล้วว่าถ้าหากเกิดเรื่องอันใดหรือมีอุปสรรคอันใดจริงๆ ก็จงไปหาทางการแล้วหยิบป้ายคำสั่งของข้าออกมา พวกเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นพอรู้ว่าเจ้ามีข้าคอยหนุนอยู่เบื้องหลังจะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน” ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่เห็นนางขอบตาแดงก่ำ ตนเองก็ขอบตาแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน “ไห่ถังกับเสี่ยวเหลียนจะคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าอย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่เพียงลำพังเด็ดขาด สกุลหนีเป็นดั่งถ้ำเสือบึงมังกร เจ้าต้องระวังๆ เอาไว้”
คำกำชับกำชาอย่างขันแข็งทำให้ประกายหยาดน้ำตาปรากฏขึ้นในดวงตาของหนีฟางเฟย นางรู้ว่าป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ยังคงเป็นห่วงนาง เพราะว่านางไม่ยอมรับองครักษ์ลับสิบนายที่ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่ส่งให้มาอยู่ข้างกายนางเอาไว้
แต่ว่านางไม่อยากเอาแต่หลบซ่อนอยู่ใต้ปีกของป้าอวิ๋นตลอดไป นางต้องเรียนรู้ที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเอง เรียนรู้ที่จะรับมือกับแผนการสกปรกชั่วช้า อย่างไรเสียป้าอวิ๋นก็ไม่สามารถปกป้องนางไปได้ตลอดชีวิต อีกทั้งนางยังต้องแก้แค้นคนที่สังหารมารดา นางจะต้องเข็มแข็งให้มากขึ้น
ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่เห็นนางมีหยาดน้ำตาวาววับ หัวใจก็ยิ่งปวดร้าว “จริงๆ เชียว คนเราพอแก่ตัวก็จะชอบพูดพล่ามไปเรื่อยเปื่อย รีบไปได้แล้ว ส่งตัวปัญหาอย่างเจ้าออกไป ในที่สุดข้าก็จะได้พักผ่อนสงบๆ เสียที” นางหลับตาลงในทันใด
หนีฟางเฟยวางกำยานเครื่องหอมลงในเตาทองคำซึ่งอยู่บนโต๊ะแล้วจุดไฟ กลิ่นหอมจางๆ ของดอกพุดซ้อนแผ่กำจายออกมาจากกระถางกำยานทันที นางหันไปมองป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่อีกครา หลังจากถวายคำนับอย่างเคารพนบนอบแล้วจึงค่อยหันกายเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์

***

เมื่อขบวนรถอันยาวเหยียดเคลื่อนตัวเข้าสู่อำเภอเหอจือก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว เมฆดำครื้มทะมึน มีเค้าลางเหมือนว่าสายพิรุณกำลังจะโปรยปราย หนีฟางเฟยรีบออกคำสั่งให้เข้าโรงเตี๊ยมร้านหนึ่งเพื่อทานอาหารค่ำกันก่อน จากนั้นจึงให้ผู้คุ้มกันซึ่งเป็นผู้นำขบวนออกไปเสาะหาที่พัก เพราะอย่างไรพวกนางก็มีกันถึงเจ็ดคันรถกับสิบกว่าคน การจะหาที่พำนักมิใช่เรื่องง่าย บางคราจำเป็นต้องเช่าบ้านเรือนของชาวบ้านไปก่อน
ครั้นทุกคนทานอาหารเสร็จแล้ว ผู้คุ้มกันเยี่ยซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนก็กลับมาพอดี เขานำทางทุกคนมายังบ้านเรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงเตี๊ยมไปทางขวามือสองซอย
“ลำบากท่านแล้ว รีบไปทานอาหารเถิด” เสี่ยวเหลียนเอ่ยขอบคุณ
ผู้คุ้มกันเยี่ยรีบร้อนตอบกลับว่ามิกล้า แต่สายตากลับหันไปทางหนีฟางเฟยซึ่งกำลังเดินไปยังเรือนหลังหนึ่งโดยมีไห่ถังคอยปรนนิบัติรับใช้
พวกเขาเป็นคนของสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน เดินทางอารักขานายบ่าวสามคนนี้มาครึ่งเดือนแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เคยมีผู้ใดเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแม่นางหนีผู้นั้นเลย นางเข้าออกที่ใดมักจะสวมหมวกติดผ้าโปร่งปิดหน้าเอาไว้ตลอด แต่เคยมีบางครั้งที่ผ้าโปร่งถูกลมพัดพลิ้วออก พวกเขาจะได้ยินเสียงเอ่ยชื่นชมด้วยความตื่นตะลึงไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ผู้คุ้มกันอย่างพวกเขาหากไม่นำอยู่ด้านหน้าก็ตามอยู่ด้านหลังนาง จึงไม่ได้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ได้ยินเสียงนางแล้วคิดว่าน่าจะอายุยังน้อย
ที่น่าแปลกคือ นางมีความคิดเป็นของตัวเองยิ่ง ทั้งยังปฏิบัติกับผู้อื่นเป็นอย่างดี ใครออกไปจัดการธุระที่อื่นจนพลาดเวลาอาหาร นางจะกำชับสาวใช้ให้ห่ออาหารร้อนๆ เอาไว้ มีบางคราที่สภาพอากาศไม่ดีหรือสภาพถนนหนทางไม่ดีทำให้เลยเวลาอาหารหรือต้องรีบเร่งเดินทางเพื่อเข้าพักในอีกเมืองหนึ่ง พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินเสียงต่อว่าพร่ำบ่นของนางเลยสักครั้ง
“ยังจะมองอีกหรือ? ฝนตกหนักแล้ว ผู้คุ้มกันเยี่ย ท่านยังไม่ไปอีก”
เสี่ยวเหลียนกางร่มขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว นางเบ้ปากเล็กน้อย พอเห็นผู้คุ้มกันเยี่ยซึ่งยังหนุ่มแน่นรีบวิ่งเข้าไปหลบใต้หลังคาอีกฝั่งอย่างกระอักกระอ่วนใจ นางก็ส่ายศีรษะเบาๆ จริงๆ เลยเชียว ยังไม่ได้เห็นรูปโฉมเจ้านายก็เป็นแบบนี้เสียแล้ว ถ้าได้เห็นแล้วจะยังมีแก่ใจทำงานอีกหรือ?
สายฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำ คนกลุ่มใหญ่ต่างแยกย้ายเข้าไปอาบน้ำพักผ่อนในเรือนของตนเอง ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม สายฝนก็หยุดลง จันทราดวงดาราต่างพากันเผยโฉมออกมา
เรือนที่หนีฟางเฟยและสาวใช้ประจำกายทั้งสองพำนักอยู่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ตกแต่งจัดวางได้อย่างประณีตงดงาม ยามนี้นางนั่งพิงอยู่ริมหน้าต่าง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างฉลุลายอย่างเงียบงัน ลมวสันต์หนาวยะเยือกพัดโชยเข้ามาจากทางหน้าต่าง เปลวเทียนภายในห้องประเดี๋ยวสว่างไสวประเดี๋ยววูบเลือน บนโต๊ะกลมข้างเตียงมีเตากำยานกระเบื้องเคลือบสีขาววางอยู่ ควันกำยวนลอยวนเป็นเกลียวขึ้นสูง แผ่กระจายกลิ่นหอมละมุนอันสดชื่นจางๆ
“คุณหนู อากาศเย็นยิ่ง เส้นผมเพิ่งจะเช็ดแห้งเมื่อครู่ ระวังจะจับไข้เอาได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวเหลียนพร่ำบ่นราวกับยายเฒ่าพลางหยิบเตาอุ่นมือยื่นให้หนีฟางเฟย
หนีฟางเฟยรับเอามา คลี่ยิ้มบางๆ ให้เสี่ยวเหลียนก่อนมองไปทางท้องนภาซึ่งมีดวงดาวดารดาษอย่างเงียบๆ
นางซึ่งอาบน้ำชำระล้างกายเสร็จสิ้นแล้ว เส้นผมดำขลับยาวสลวยแผ่สยายอย่างตามอำเภอใจอยู่บนร่างกาย ขับเน้นให้ใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามืออันงามล้ำโดดเด่นดวงนั้นยิ่งงามตราตรึงมากขึ้น นัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นเจือด้วยความฉลาดเฉลียวปราดเปรื่อง จมูกงามได้รูปที่เชิดขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากสีดอกอิง แดงระเรื่อโดยไม่ต้องแต่งแต้ม อาภรณ์ตัวกลางสีขาวบริสุทธิ์คลุมทับด้วยผ้าคลุมกันลมสีเงินยวง งดงามราวกับภาพฝันก็มิปาน
“คุณหนูดูราวกับเทพธิดาลงมาจุติเลยเจ้าค่ะ ข้าได้เห็นเทพธิดาทุกวัน ช่างเป็นบุญเหลือเกิน” เสี่ยวเหลียนมีใบหน้ากลมกลึง ดวงตากลมโต บนใบหน้ามีกระ ชอบหัวเราะทั้งยังปากหวาน ปรนนิบัติรับใช้หนีฟางเฟยมาเจ็ดปีแล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนยามหนีฟางเฟยออกไปค้าขายข้างนอก นางไม่สามารถตามไปด้วยได้ ป๋ออวิ๋นต้าจ่างกงจู่บอกว่านางพูดมากเกินไป
ไห่ถังซึ่งมีรูปโฉมงามเฉิดฉันยกน้ำชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณหนูชอบความสงบ”
นี่เป็นการบอกนัยๆ ว่านางเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเกินไป เสี่ยวเหลียนแลบลิ้นน้อยๆ ไม่กล้าพูดมากอีก
ถึงแม้นางกับไห่ถังจะถูกต้าจ่างกงจู่ยกให้คุณหนูทั้งคู่ แต่ตนเองนอกจากฝีมือการทำอาหารกับฝีมือการเย็บปักถักร้อยอันเป็นเลิศแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีกเลย ส่วนไห่ถังนั้นไม่เหมือนกัน นางเป็นหลานสาวของแม่นมสวี่ซึ่งเป็นนางกำนัลข้างกายต้าจ่างกงจู่ ฝึกฝนวรยุทธ์จนเก่งกาจล้ำเลิศ เวลาเจ้านายออกไปข้างนอกจะขาดนางไปมิได้ นอกจากนั้นนางยังมีอุปนิสัยเข้มงวด ดังนั้นตนเองจึงมิกล้าพูดจาเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุดใส่นางเหมือนอย่างที่พูดกับคุณหนู
หนีฟางเฟยมองไห่ถังซึ่งกำลังวางถ้วยชาลงแล้วระบายรอยยิ้มบางๆ “เสี่ยวเหลียนสดใสร่าเริงไม่อยู่นิ่ง เจ้าก็อย่าเข้มงวดกับนางเกินไปเลย นางรู้จักขอบเขตของตัวเอง”
“คุณหนูโอ๋เสี่ยวเหลียนเกินไปแล้ว คุณหนูปฏิบัติต่อข้ากับเสี่ยวเหลียนเหมือนดั่งพี่น้อง ถือเป็นวาสนาของพวกเราทั้งสอง แต่ในฐานะบ่าวรับใช้ก็ต้องพึงสำนักตัวไว้ ยิ่งกว่านั้นยังต้องรู้จักหน้าที่ของตนเองให้ดี” ไห่ถังปีนี้อายุยี่สิบ แม่นมสวี่เป็นผู้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ อากัปกิริยาท่าทางล้วนแต่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของวังหลวง แบ่งแยกสูงต่ำอย่างชัดเจน อยู่ข้างกายหนีฟางเฟยมาห้าปีแล้ว
“ข้าก็มิได้ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองเสียหน่อย เป็นความจริงที่คุณหนูงดงามปานเทพธิดา ตอนเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปกินอาหารยามอู่ วันนี้ ผ้าโปร่งบนหมวกปิดหน้าของคุณหนูถูกลมพัดพลิ้วขึ้น เจ้าก็ได้ยินเช่นกันนี่นาว่ามีคนส่งเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงมากมายเพียงใด” เสี่ยวเหลียนบู้ปาก เอ่ยโต้แย้งให้ตนเองเสียงแผ่วเบา
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้หนีฟางเฟยก็พลันขมวดคิ้ว จากนั้นหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเงียบๆ หนึ่งอึก ระหว่างทางกลับเมืองหลวง แค่ขบวนเดินทางอันใหญ่โตก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากพอแล้ว ถึงแม้นางจะสวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้อย่างระมัดระวัง แต่ก็มีอยู่หลายคราที่เผลอเผยโฉมหน้าอย่างไม่ทันระวังตัวทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายไม่น้อย เคยมีจอมเสเพลที่ร่ำรวยมีอำนาจกว้างขวางไล่ติดตามมาตลอดทางเข้ามาเกาะแกะนาง อากัปกิริยาคำพูดคำจาดูเหมือนสุภาพเรียบร้อย ทว่าดวงตาที่วาววับไปด้วยราคะกลับชวนให้คนสะอิดสะเอียนยิ่ง จนกระทั่งไห่ถังเผยวรยุทธ์อันแข็งแกร่งออกมาถึงสามารถขับไล่เขาออกไปได้ เส้นทางกลับเมืองหลวงเส้นนี้ยังอีกยาวไกล อาจจะต้องพิจารณาว่าจะใช้หมวกคลุมหน้าที่ปิดบังได้ทั้งตัวดีหรือไม่ เหมือนกับในยามที่แม่นางซีเหยียนออกไปทำการค้าข้างนอก ใช้หมวกคลุมหน้าปกปิดตนเองอย่างมิดชิด ไม่ให้ผู้คนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลี่รุ่ยหลินได้รับพระบัญชาให้มาตรวจสอบคดีขุนนางทุจริต แต่กลับถูกใส่ร้ายจนเกือบถูกประหาร ทั้งที่ลำพังแค่ใบหน้าของเขาก็สามารถดึงดูดอิสตรีได้เป็นพันเป็นหมื่นคนแล้ว ซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์หลวง จอหงวนฝ่ายบู๊ เหตุใดจะต้องข่มเหงขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน? แต่ข่าวลือยิ่งแพร่สะพัดคนก็ยิ่งหลงเชื่อ ทำให้เขาอยากแก้ตัวก็จนปัญญา ทว่าเจ้าทุกข์ผู้โฉมงามปานเทพธิดาซึ่งถือกำเนิดในตระกูลทำเครื่องหอมผู้นี้กลับอยู่ข้างเขา
คืนนั้นนางปาผงหอมชนิดพิเศษใส่คนร้ายทำให้สามารถใช้ผีเสื้อพิสูจน์กลิ่นหอมนี้ลากตัวคนร้ายตัวจริงออกมา เขาจึงตอบแทนบุญคุณด้วยการอารักขานางเดินทางกลับบ้านที่เมืองหลวงซึ่งจากมาสิบกว่าปี ทั้งยังส่งคนไปจับตาดูครอบครัวนาง ต่อมาเขารู้ว่าแม่เลี้ยงจะจับนางแต่งงานเพื่อแลกกับสินสอด น้องสาวต่างมารดาก็อิจฉารูปโฉมและเกรงกลัวพรสวรรค์ในการปรุงเครื่องหอมของนางจนคิดจะให้คนมาทำลายความบริสุทธิ์ เขาทนจนอดทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงให้ความช่วยเหลือนางในการตอบโต้ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงนางกลับมาเพื่อทวงคืนทุกอย่างจากครอบครัวจอมปลอมที่สังหารมารดาของนาง!



รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”