New Release เหลียนฮวา : ยอดชายาแห่งใต้หล้า

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ยอดชายาแห่งใต้หล้า

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
ข้ามภพมาเป็นพระชายา


“ตายแน่ๆ พวกเราจะต้องสายแน่ๆ!” ม่อจื่อซีก้มหน้าตอบข้อความในกลุ่มไม่หยุดมือ ปากก็พึมพำไปด้วย
วันนี้เป็นวันสำคัญที่หัวหน้าแผนกศัลยกรรมได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ พิธีส่งมอบตำแหน่งเริ่มตอนเก้าโมงเช้า จากที่อยู่ของพวกเธอขึ้นทางแยกต่างระดับไปโรงพยาบาลใช้เวลาขับรถไม่เกินยี่สิบนาที แต่ขณะนี้กำลังมีการก่อสร้างถนน ทำให้ตอนนี้แปดโมงครึ่งแล้วเธอและฉินซู่ซู่ยังติดอยู่บนทางด่วนขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
พอรถที่แออัดกันเคลื่อนไปข้างหน้าจนค่อยๆ พ้นช่วงคอขวด ฉินซู่ซู่ก็รีบเหยียบคันเร่งในทันที เร่งความเร็วจาก 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปเป็น 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง “ถ้าอย่างนั้นฉันขับเร็วหน่อยแล้วกัน!”
ม่อจื่อซีเงยหน้าขึ้นมอง “นี่เธอ! เธออยากตายหรืออย่างไร แล้วยังจะโดนปรับข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอีก! ถนนช่วงนี้มักมีตำรวจคอยถ่ายรูปตรวจจับความเร็วตามไหล่ทางอยู่ด้วย!”
ดวงตาทั้งคู่ของฉินซู่ซู่มองตรงไปข้างหน้า เธอเปลี่ยนช่องจราจรและขับด้วยความเร็วต่อเนื่อง แซงรถคันแล้วคันเล่าพร้อมกับพึมพำว่า “ถูกปรับดีกว่าโดนหัวหน้าเคือง แล้วยิ่งวันนี้หัวหน้าเพิ่งเป็นผู้อำนวยการวันแรก ตามนิสัยชอบผูกพยาบาทของเขา หากวันนี้พวกเราไม่ไปปรากฏตัวในห้องประชุมให้ตรงเวลา ต่อไปก็คงต้องระวังตัวให้ดีกว่าเดิม”
เป็นศัลยแพทย์มาหกปี เธอเข้าใจดีว่าภายใต้ตึกยักษ์สีขาว ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นสำคัญกว่าความสามารถในการรักษาโรคมากมายนัก หากไม่ใช่เพราะเธอได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากครอบครัวมาอย่างดี ก็คงจะหลงทิศทางไปนานแล้ว
“เธอพูดถูก” ม่อจื่อซีรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถโต้แย้งได้ “ก็ได้ เกินอัตราที่กำหนดก็เกินอัตราที่กำหนดไป โดนปรับก็โดนปรับไป แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะ”
ม่อจื่อซีเพิ่งพูดจบฉินซู่ซู่ก็เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว รถชิดช่องทางขวาในทันทีแล้วเบรกที่ไหล่ทาง ม่อจื่อซีถูกกระแทกอย่างแรง โทรศัพท์มือถือในมือก็ร่วงหล่นเช่นกัน หากไม่มีเข็มขัดนิรภัยเธอคงจะกระเด็นออกไปทางกระจกหน้ารถแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เธอมองฉินซู่ซู่ที่กำลังดึงเบรกมือและปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างไม่รู้สึกตัว
ฉินซู่ซู่ยื่นมือไปหยิบกล่องยาปฐมพยาบาลที่เบาะหลังรถ “ข้างหลังเกิดอุบัติเหตุ มีเลือดไหลนองเต็มพื้น ฉันจะลงไปช่วยเหลือ!”
เพราะอาชีพของเธอจึงต้องมีกล่องยาปฐมพยาบาลติดรถไว้
“ซู่ซู่ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนมีคุณธรรม!” ม่อจื่อซีรีบคว้ามือเธอไว้ “แต่ว่าจะต้องมีคนแจ้งตำรวจแล้ว รถพยาบาลก็คงจะมาถึงเร็วๆ นี้ พวกเราจะสายแล้ว เธอพูดเองไม่ใช่หรือว่าถูกหัวหน้าเคืองน่ากลัวกว่าโดนปรับเสียอีก เธอลงไปตอนนี้ พวกเราคงสายแน่ๆ!”
ฉินซู่ซู่มองเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การไปสายสำคัญกว่าชีวิตหนึ่ง...ไม่สิ อาจจะหลายชีวิตอย่างนั้นหรือ? หากพวกเขาเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนของเธอ เธอจะทำอย่างไร เธออยากจะให้มีคนที่ช่วยพวกเขาได้แต่กลับไม่ช่วยอย่างนั้นหรือ? เราอาจจะไปสายเพียงห้านาที แต่พวกเขาอาจจะมีชีวิตต่อไปก็ได้?”
ม่อจื่อซีไม่สามารถโต้แย้งได้อีกแล้ว เธอปล่อยมืออย่างจนใจ “ก็ได้ เธอรีบไปเถอะ ฉันขอโทรไปแจ้งสถานการณ์ให้คุณหมอหลินรู้ก่อน ให้เขาช่วยอธิบายให้หัวหน้าเข้าใจ”
“อืม!” จิตใจของฉินซู่ซู่อยู่ที่การช่วยเหลือคน เธอหิ้วกล่องยาปฐมพยาบาลเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหลังโดยไม่หันมามอง
ม่อจื่อซีมองร่างเพื่อนสนิทที่วิ่งไปทางกระจกมองหลัง ร่างสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผมยาวประบ่าสีกาแฟพลิ้วตามการเคลื่อนไหว ฉินซู่ซู่มีใบหน้าที่สวยไม่แพ้นางแบบชื่อดัง เธอมักจะคิดเสมอว่า หากเธอเป็นฉินซู่ซู่ เธอคงจะใช้ใบหน้าหาเงิน จะไม่มีวันเป็นศัลยแพทย์ที่แสนทรมานเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
หลังจากเก็บโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเธอก็ไม่ได้โทรหาคุณหมอหลิน แต่โทรไปหาเกาจ้งอัน ถ้าหากฉินซู่ซู่รู้ว่าเธอให้เกาจ้งอันขอความเมตตาต่อหัวหน้าแทนพวกเธอจะต้องโกรธเธอแน่
เธอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เกาจ้งอันเป็นบุรุษพยาบาลชั่วช้าที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรัก ทำให้ฉินซู่ซู่เสียใจเจียนตาย แต่เขาก็เป็นศิษย์โปรดของหัวหน้า มีเพียงเขาเท่านั้นที่ออกหน้าช่วยพวกเธอพูดจึงเป็นไปได้ที่หัวหน้าจะไม่ผูกพยาบาท
โทรติดแล้ว อธิบายสถานการณ์แล้ว หลังจากเกาจ้งอันรับปากม่อจื่อซีรีบจบการสนทนาแล้วลงจากรถ หยิบป้ายไฟฉุกเฉินสามเหลี่ยมออกมาจากกระโปรงหลังรถแล้วตั้งไว้ท้ายรถในระยะห่างที่เหมาะสม เพิ่งวางเสร็จก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถพยาบาลและรถตำรวจดังมาแต่ไกล
เธอรู้สึกโล่งใจ คราวนี้พวกเธอก็ไปได้แล้วสินะ? หากขับเร็วหน่อยอาจจะไม่สายก็ได้ ถึงแม้จะสายก็คงสายไม่มาก...
ทว่าขณะที่เธอกำลังคิดจะวิ่งไปเรียกฉินซู่ซู่ กลับเห็นรถบรรทุกปูนซีเมนต์เสียการควบคุมชนเข้ากับรถเก๋งสองคัน หลังจากรถเก๋งคันหนึ่งถูกดูดเข้าไปอยู่ใต้ท้องรถ รถบรรทุกก็ชนกับรถที่อยู่ข้างหน้าอีกสามคันด้วยความเร็ว ตามด้วยชนราวกั้นแล้วพลิกคว่ำ เพียงพริบตาเดียวเพลิงก็ลุกลามคล้ายกับระเบิด
ม่อจื่อซีตะโกนเสียงดังลั่น “ฉิน ซู่ ซู่!”
นอกจากเสียงเบรกของรถที่ดังอยู่ในหูเธอแล้ว เสียงชน เสียงกระจกแตกละเอียด ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง

***

ร้อน! ร้อน! ร้อน!
ความรู้สึกเดียวหลังจากที่ฉินซู่ซู่มาถึงสมัยราชวงศ์อวิ๋นก็คือร้อน!
เคยคิดว่าสมัยโบราณไม่มีปัญหามลภาวะทางอากาศและภาวะโลกร้อน อากาศจะต้องเย็นสบายกว่ายุคปัจจุบันมาก ใครจะรู้ว่าฤดูร้อนของที่นี่ร้อนยิ่งกว่าปัจจุบันเสียอีก อาจจะเป็นเพราะเธออยู่แต่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่ออยู่ที่นี่แม้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนเหงื่อก็ยังไหลท่วมตัว?
มองไปรอบๆ ตัว ห้องก็ไม่เล็กแล้วยังเก็บกวาดได้สะอาดมาก แต่การตกแต่งนั้นเรียบง่ายมาก บนโต๊ะเครื่องแป้งว่างเปล่า เธอนั่งลงบนเตียงไม้จวี่ มองเห็นตัวเองที่ข้ามภพมาในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แม้จะเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่แตกต่างจากตัวเองในยุคปัจจุบัน ภพก่อนเธอมีหน้าตาเฉลียวฉลาด ม่อจื่อซียังบอกว่าเธอมักจะแสดงความห้าวหาญวางอำนาจกับผู้อื่น แต่เธอในตอนนี้หน้าตางดงามหมดจด ดวงตาดำขลับ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือน่าเอ็นดู คางแหลม ขนตายาวเหมือนพัดขนนก ปากเป็นรูปกระจับ ผิวเหมือนหยกไร้มลทิน หน้าตาไม่เลว เสียอยู่อย่างเดียว...
เธอลุกขึ้นยืนในทันที
ร่างกายนี้ดูเหมือนจะสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แตกต่างจากตัวเองในยุคปัจจุบันมาก
เธอยกขาขวาขึ้นเตะไปมา จากนั้นก็เปลี่ยนไปเตะขาซ้าย สิ่งที่สะดุดตาคือรองเท้าที่ปักลายดอกไห่ถัง คู่นั้น เท้าดอกบัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดูทำให้เธอตื่นตะลึง ไม่ว่าจะเป็นความยาวของขาหรือขนาดของเท้าล้วนทำให้เธอไม่คุ้นเคย หลังจากถอนหายใจแล้วเธอก็นั่งลงบนเตียงเหมือนเดิม คิดถึงขาเรียวยาวของตัวเองในภพก่อนจริงๆ เลย!
นอกจากจะไม่พอใจกับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองแล้ว เธอยังไม่พอใจกับการแต่งกายในเวลานี้ เสื้อและกระโปรงสีเขียวที่สวมอยู่บนร่างกายนี้หมายความว่าอย่างไร? ตอนที่เพิ่งมาถึงและยังสลลบอยู่เธอได้ยินแว่วๆ ว่าคนรับใช้ที่นี่ทุกคนเรียกเธอว่าพระชายา แต่ทำไมพระชายาที่เห็นในละครโทรทัศน์ต่างใส่ชุดผ้าไหม สวมเครื่องประดับเงินและทองคำ แต่เธอกลับดูซอมซ่อแบบนี้?
เธอยอมรับความจริงเกี่ยวกับการข้ามภพมาเป็นคนสมัยโบราณของตัวเองได้แล้ว แล้วก็เงียบขรึมไปสามวัน เพราะเธอกลัวว่าพอเอ่ยปากจะเผยพิรุธออกมา ดังนั้นเมื่อฟื้นขึ้นมาเธอจึงได้แต่ใช้ตามอง ใช้หูฟัง สังเกตคนและเรื่องราวรอบๆ ตัว
ที่เยี่ยมไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเธอไม่พูด คนรับใช้ทั้งสาวและแก่ที่เดินเข้าเดินออกแต่ละคนก็พากันเงียบจนเหมือนคนใบ้ ไม่เพียงแค่ไม่คุยกัน แม้แต่เวลาเดินก็เดินเบาๆ เหมือนกลัวจะทำให้ผีตื่น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าอีกหนึ่งเดือนเธอก็คงยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเหมือนเดิม ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจจะถามด้วยตัวเองให้รู้เรื่อง ถามให้รู้เรื่องว่าทำไมพระชายาอย่างเธอถึงได้มาอยู่ในเรือนเก่าทรุดโทรมแบบนี้ แล้วทำไมท่านอ๋องที่ควรปรากฏตัวเคียงคู่กับพระชายากลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงา?
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากห้องด้านนอก สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือยกน้ำชา เมื่อเห็นเธอนั่งบนเตียงก็ทำท่าทางเหมือนตกใจ ถาดในมือเกือบจะตกลงพื้น
ก็สมควรแล้ว เพื่อที่จะไม่ต้องเอ่ยปากพูด หลายวันมานี้เธอจึงทำได้เพียงแกล้งนอนป่วยอยู่บนเตียง อย่างมากที่สุดก็ลุกขึ้นมาดื่มน้ำ ข้าวต้ม หรือยา ตอนนี้จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งต้องทำให้นางตกใจเป็นธรรมดา
“พระ พระชายา”
ฉินซู่ซู่มองสาวใช้หน้ากลมคนนี้ อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี มัดมวยผมสองข้าง เธอจำได้ว่าสาวใช้อีกคนหนึ่งเคยเรียกสาวใช้คนนี้ด้วยเสียงเบาๆ ว่าซานหู เธอจึงแสร้งทดลองเรียกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ซานหู”
“เพคะ!” ซานหูสะดุ้ง เลียริมฝีปากเหมือนทำอะไรไม่ถูก “พระ พระชายามีอะไรจะบัญชาเพคะ”
ฉินซู่ซู่พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าต้องการดื่มน้ำชา”
“เพคะ!” ซานหูรีบวางถาดลงบนโต๊ะ เทน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นให้ด้วยสองมือแต่มือกลับสั่นเล็กน้อย
ฉินซู่ซู่รับถ้วยชามาพลางจ้องมองนางตาไม่กะพริบ นางเป็นอะไรไป แค่พูดกับเธอสองประโยคเท่านั้นจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้เลยหรือ?
เธอจิบชาอึกหนึ่งก็วางถ้วยชาไว้ข้างเตียงตามสบาย เห็นซานหูสีหน้าตื่นตะลึงเธอจึงพึมพำในใจ ทำแบบนี้ไม่ได้หรืออย่างไร? เธอทำได้เพียงหยิบถ้วยชาขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดื่มชารวดเดียวจนหมดถ้วย ซานหูรีบยกถาดมา โค้งตัวเล็กน้อยคอยรับ เธอเลยวางถ้วยชาลงบนถาดด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ
ซานหูโค้งตัวถอยออกไป นำถาดไปวางบนโต๊ะแล้วจึงเดินมาคำนับพร้อมถามว่า “พระชายาทรงต้องการเสวยหรือยังเพคะ”
ฉินซู่ซู่ส่ายหน้า รู้สึกว่าท่าทางย่อเข่าของนางช่างน่าเหนื่อยจึงพูดว่า “เจ้ายืนดีๆ ข้ามีคำถามหลายคำถามจะถามเจ้า”
“เพคะ” ซานหูรีบยืนตามคำบัญชา นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดูท่าทางยังคงตื่นเต้นมาก
ฉินซู่ซู่พินิจพิเคราะห์ในการใช้คำ แต่ก็คิดว่าสาวใช้คนนี้ท่าทางไม่ค่อยฉลาด หากเธอพูดจาอ้อมค้อมมากเกินไปเกรงว่านางคงฟังไม่เข้าใจ ในที่สุดจึงตัดสินใจพูดตรงๆ “คืออย่างนี้ เนื่องจากข้าป่วยจึงลืมเรื่องราวต่างๆ ไปมากมาย แม้แต่ตัวข้าเองชื่ออะไรก็ลืมไปแล้ว ดังนั้นเลยต้องถามเจ้า”
ซานหูยกมือขึ้นปิดปากในทันที เบิ่งตาโต พูดตะกุกตะกักว่า “พระองค์ลืมแม้แต่ชื่อของพระองค์เองหรือเพคะ บ่าวคิดแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นบ่าวพยายามดึงพระองค์ไว้สุดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางพระองค์ไม่ให้เอาพระเศียรชนกำแพงได้ ตอนนี้มีพระอาการไม่ปกติ จะทำอย่างไรดีเพคะ...”
ฉินซู่ซู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ที่แท้เจ้าของร่างเดิมชนกำแพงตายนี่เอง
เธอพูดขึ้นอีกอย่างสุขุมว่า “ลืมไปแล้วก็ช่างเถิด เจ้าบอกข้าก็ได้นี่ เพียงแต่อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้นที่รู้ก็พอ”
“เพคะ” ซานหูรีบเช็ดน้ำตา “พระองค์ทรงต้องการรู้อะไร บ่าวจะบอกพระองค์ทุกเรื่องเลยเพคะ”
ฉินซู่ซู่พอใจกับท่าทางของซานหูเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้นางจะไม่ค่อยฉลาดแต่อย่างน้อยก็ไม่มีนิสัยลังเลยืดยาด
“ก่อนอื่นข้าชื่ออะไร อยู่ที่บ้านท่านแม่มีฐานะอะไร และตอนนี้มีฐานะอะไร”
ปัญหานี้ไม่ยาก ซานหูตอบได้อย่างเป็นระเบียบไม่สับสน “พระชายามีพระนามว่าฉินซู่เอ๋อร์ เป็นบุตรสาวคนที่ห้าที่เกิดจากอนุภรรยาของผู้ว่าการเขตฟางโจวในเจียงเป่ย บัดนี้เป็นพระชายาของอี้ชินอ๋อง เพคะ”
เกิดจากอนุภรรยา? อี้ชินอ๋อง? ฐานะต่างกันราวฟ้ากับดินยังสามารถคู่กันได้ จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน
ฉินซู่ซู่พึมพำเบาๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เหตุใดข้าจึงได้เสกสมรสกับอี้ชินอ๋อง"
ซานหูย่อเข่าตอบ “งานเสกสมรสของพระชายาเป็นพระบัญชาของฮ่องเต้เพคะ”
ฉินซู่ซู่...ไม่ใช่สิ ตอนนี้เธอคือฉินซู่เอ๋อร์ ได้ยินดังนั้นก็เบิ่งตาโต
น่าประหลาดใจยิ่งนัก ตั้งแต่โบราณกาลมาตำแหน่งชินอ๋องนั้นมีน้อยมาก พูดตามเหตุผลแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอี้ชินอ๋องจะต้องเป็นพี่น้องกับฮ่องเต้ เจ้าของร่างเดิมมีความสามารถอะไรถึงทำให้ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้นางแต่งงานกับชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ได้?
“อี้ชินอ๋องคือใครกัน?”
ซานหูย่อเข่าตอบอีกครั้ง “อี้ชินอ๋องก็คือพระอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเพคะ”
คนสมัยโบราณจะต้องเคารพนบนอบกันถึงเพียงนี้เลยหรือ? ฉินซู่เอ๋อร์รู้สึกเวียนหัวกับกิริยาท่าทางของนาง เธอกระแอมครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “เวลาพูดกับข้าไม่ต้องย่อเข่าตลอดเวลา ยืนตอบก็พอแล้ว”
“ซานหูชะงักไปนิดหนึ่ง “บ่าว...เคยชินแล้วเพคะ”
ฉินซู่เอ๋อร์มองนาง จ้องหน้านิ่งแล้วชี้แจงว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าต้องปรับตัวให้เข้ากับความเคยชินของข้า ข้าไม่เคยชินกับการที่คนย่อเข่าคุยกับข้าตลอดเวลา”
“เพคะ...” เดิมทีซานหูคิดจะย่อเข่าอีก แต่เมื่อคิดได้ว่าต้องปรับตัวให้เข้ากับความเคยชินของพระชายาจึงรีบยืนตรงขึ้นมาทันที
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินซู่เอ๋อร์ก็ได้รู้ชีวประวัติของเจ้าของร่างเดิมและต้นสายปลายเหตุเรื่องการแต่งงาน แล้วก็ได้รู้สถานภาพของตัวเองอย่างชัดเจน
เวลานี้อยู่ในช่วงรัชศกหยวนซิงปีที่สิบสองแห่งราชวงศ์อวิ๋น พระชนมายุของกษัตริย์เซียวหลิงอวิ๋นและอี้ชินอ๋องเซียวหลิงเสวี่ยต่างกันสิบแปดพรรษา ทรงเป็นทั้งพระบิดาและพระเชษฐา
เดิมทีเซียวหลิงเสวี่ยมีคู่หมั้น นางคือแม่ทัพหญิงมู่เยวี่ยถง วีรสตรีผู้กล้าหาญไม่แพ้บุรุษ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานหนึ่งเดือน นางเสียชีวิตในระหว่างทำสงครามกับแคว้นจิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเซียวหลิงเสวี่ยก็ถูกมองว่ามีดวงกินภรรยา อายุยี่สิบสี่แล้วยังไม่ได้แต่งงาน
วันหนึ่งฮ่องเต้ทรงปลอมพระองค์เป็นชาวบ้านเสด็จประพาสเจียงเป่ย ทรงได้ยินขุนนางที่ลาดตะเวนอยู่ในเจียงเป่ยกล่าวว่าผู้ว่าการเขตฟางโจวมีบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา รูปโฉมงดงามแต่มีดวงกินสามี อายุสิบเก้าปีแล้วยังไม่มีใครมาสู่ขอ ฮ่องเต้ทรงเกิดความคิดขึ้นมาในทันที ทรงมีความคิดแปลกๆ ว่า ในเมื่อคนหนึ่งมีดวงกินภรรยา คนหนึ่งมีดวงกินสามี ตามความคิดที่ว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ ดังนั้นเมื่อเสด็จกลับถึงเมืองหลวงจึงได้มีพระราชโองการสมรสพระราชทาน
แน่นอนว่าเซียวหลิงเสวี่ยนั้นไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่กษัตริย์ไม่เคยตรัสล้อเล่น ประกอบกับเซียวหลิงเสวี่ยก็เคารพฮ่องเต้มาโดยตลอดจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขัดพระราชโองการทำให้ฮ่องเต้ทรงเสียหน้า ดังนั้นเขาเลยจำใจรับพระราชโองการสมรสพระราชทาน แต่งงานและรับฉินซู่เอ๋อร์เป็นชายาหลวง
เดิมทีมารดาแท้ๆ ของฉินซู่เอ๋อร์เป็นเพียงสาวใช้ในจวน ต่อมาอุ้มท้องนางจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นอนุภรรยา ส่วนนางถึงแม้จะหน้าตาดี แต่การพูดจาและการกระทำกลับงุ่มง่าม ไม่เป็นที่โปรดปรานของนายท่านฉินแม้แต่น้อย อยู่ในจวนก็โดนข่มเหงรังแกมาตั้งแต่เด็กจนมีนิสัยจงเกลียดจงชังสังคมอันฟอนเฟะ เมื่อวันหนึ่งได้บินขึ้นยอดไม้กลายเป็นหงส์ อยู่ในจวนก็เที่ยวสั่งการผู้อื่นด้วยความอหังการ วางอำนาจบาตรใหญ่ อยู่ข้างนอกก็ใช้อำนาจและอิทธิพลกดขี่ข่มเหงผู้อื่น พูดแต่ว่าตนเองเป็นพระชายาของอี้ชินอ๋อง สั่งให้คนอื่นเปิดตาดูให้ชัด ไม่เพียงแค่คนในจวนเท่านั้นที่ไม่ชอบนาง เซียวหลิงเสวี่ยนั้นถึงขั้นไม่เคยสนใจนางเลยนับตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในจวน คืนวันแต่งงานก็ไม่รู้ว่าไปไหน จนถึงวันนี้ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยร่วมห้องกันเลย
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่? ที่นี่ดูทรุดโทรมมาก ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนที่อยู่ของพระชายา”
ฉินซู่เอ๋อร์รู้สึกว่าหัวข้อสนทนานี้อ่อนไหวมาก เพราะเห็นได้ชัดว่าซานหูตัวเกร็งขึ้นมาทันที
“นั่นเป็นเพราะพระองค์...เอ้อ พระองค์ทรงฆ่าแม่นางเหอฮัว...”
ฉินซู่เอ๋อร์ยืนขึ้นอย่างยากที่จะปกปิดความตื่นตระหนกได้ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองซานหูตรงๆ ซานหูตกใจกับท่าทางของนางจนถอยไปสามก้าว
ฉินซู่เอ๋อร์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น “เจ้าบอกว่าข้า...ฆ่า ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง?!”
หน้าที่ของเธอคือการช่วยคน คำว่าฆ่าคนสองคำนี้ห่างไกลกับเธอมาก จู่ๆ ได้ยินคำสองคำนี้เกี่ยวข้องกับตัวเอง เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
“ไม่ พระองค์ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง...” ครั้นเห็นเจ้านายมีท่าทางตื่นตระหนกเช่นนั้นซานหูก็รีบอธิบาย “พระองค์เป็นผู้สั่งการให้โบย ใครจะคาดคิดว่าแม่นางเหอฮัวจะเสียชีวิตเช่นนี้”
ฉินซู่เอ๋อร์ล้มลงนั่งบนเตียงตามเดิม
ดังนั้นก็เท่ากับสั่งฆ่านั่นเอง?
สวรรค์! จริงๆ แล้วเจ้าของร่างเดิมเป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงได้ใจดำอำมหิตเช่นนี้? เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่านับแต่นี้ไปจะใช้ชีวิตอย่างไร
ซานหูมองดูสีหน้าเจ้านายแล้วพูดขึ้นด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งว่า “ความ ความจริงจะกล่าวโทษพระชายาก็ไม่ได้เพคะ เพราะแม่นางเหอฮัวเจตนายั่วให้พระองค์กริ้วตลอดเวลา บอกว่านางรับใช้ท่านอ๋องมาตั้งแต่เด็กบ้าง เป็นคนของท่านอ๋องบ้าง มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่สามารถเรียกใช้นางได้ มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่สามารถโบยนางได้ พระองค์ไม่สามารถโบยนางได้ เมื่อพระองค์กริ้วจึงสั่งให้สาวใช้จับตัวนางไว้แล้วโบยยี่สิบที ใครจะคาดคิดว่าร่างกายนางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ พอโบยเสร็จนางก็กระอักเลือดตาย เวลานั้นพระองค์ทรงตกใจอย่างยิ่ง ตรัสตลอดว่าไม่ได้เจตนา ไม่คิดว่านางจะตาย”
จริงด้วย ผู้หญิงที่เติบโตมาในห้องในหอไม่น่าจะอำมหิตได้ขนาดนั้น...ฉินซู่เอ๋อร์หลับตาสูดลมหายใจลึกพยายามทำใจให้สงบ “ดังนั้นท่านอ๋องจึงกริ้วเลยส่งข้ามาอยู่ที่เรือนโทรมๆ หลังนี้?”
ซานหูพยักหน้า “พระองค์ไม่อาจยับยั้งความโกรธได้ ทรงคิดแต่จะสิ้นพระชนม์ จึงวิ่งเอาพระเศียรชนกำแพง เลือดออกมากมาย เกือบจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ท่านหมอเคยมาตรวจพระอาการและบอกว่าพระองค์ไม่มีทางรอดแล้ว แต่ไม่ถึงสองวันพระองค์กลับค่อยๆ มีพระอาการดีขึ้น แม้แต่ท่านหมอเองยังไม่อยากจะเชื่อ บอกว่าพระองค์จะต้องมีบุญวาสนาในบั้นปลาย”





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนอื่นเป็นพระชายาต่างก็มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แต่เจ้าของร่างเดิมกลับก่อกรรมทำชั่วทำให้ผู้คนโกรธเคือง คนที่ข้ามภพมาสิงร่างของนางอย่างฉินซู่ซู่เลยต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย โชคดีที่เธอมีฝีมือในการรักษาโรคทั้งแผนจีนและแผนตะวันตก และบังเอิญได้รักษาให้ชนชั้นสูงหลายคนจนได้ ‘ผู้ช่วยที่มีความสามารถ’ มา จึงหมดปัญหาเรื่องการเลี้ยงชีพ
ผู้ช่วยคนนั้นถูกทุกคนเรียกขานว่าท่านห้า ทีแรกเขาดูสูงศักดิ์ วางตัวเหนือคนทั่วไป ทว่าหลังจากที่โดนเธอสั่งสอนไปหลายครั้งเขาก็เปลี่ยนจากตื่นตะลึงในฝีมือการผ่าตัดของเธอกลายมาเป็นเชื่อถือ แล้วยังเป็นผู้รับรองและหาผู้ป่วยให้ ยามเธอตกอยู่ในอันตรายเขาก็ใช้ร่างกายปกป้อง เมื่อเห็นเขาต้องบาดเจ็บสาหัสเธอก็รู้ตัวแล้วว่ามีใจให้เขา และเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา เธอถึงกับเอ่ยปากขอหย่ากับท่านอ๋องผู้เป็นสามีที่ไม่เคยพบหน้ากัน แต่ทั้งที่คิดว่าจะได้ครองคู่กับเขาแล้วแท้ๆ เธอกลับได้รู้ฐานะของเขาว่าสูงส่งกว่าที่คิดไว้หลายเท่านัก ที่สำคัญ...เขายังเป็นคนเดียวกับสามีเดนมนุษย์ที่ไม่เคยเหลียวแลเธอเลย...


ผลงานของผู้แต่ง “ตำรับรักชายากระทะเหล็ก”

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”