New Release BLY แปล : DOUBLE BIND 4 (เล่มจบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : DOUBLE BIND 4 (เล่มจบ)

โพสต์ โดย Gals »

DOUBLE BIND 4 (เล่มจบ)

...ร่างของเขาไหวเบาๆ
มามิยะ โชได้สติกลับคืนมา สมองอันมึนงงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาถูกใครบางคนอุ้มพาดบ่าแล้วพาลงไปตามบันไดมืดสลัว ในขณะที่มือและเท้าถูกมัดติดกันทั้งสองข้าง
คนที่แบกเขาอยู่น่าจะเป็นชายร่างยักษ์ที่ทำร้ายเคย์ ทั่วทั้งร่างโดนซ้อมจนปวดระบมไปหมด เขาไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วหลังจากหมดสติไป แต่รู้สึกว่าไม่ได้สลบไปนานขนาดนั้น
จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้างก็ไม่รู้ น่าแปลกที่เขาไม่กังวลหรือหวาดกลัวกับมันเลย คงเป็นเพราะอารมณ์และความคิดความอ่านของเขาทื่อลงมาก นับตั้งแต่วินาทีที่หลอมรวมเข้ากับเคย์ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลคาซาอิ โชก็กลายเป็นผู้ชมข้างสนามมาโดยตลอด
แม้จะถูกเคย์ควบคุมร่าง เขาก็ยังมีสติอยู่ เพียงแต่ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดหรือกระทำของเคย์เลย ได้แต่เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเหม่อลอย คล้ายกับมองภาพที่ไหลผ่านกระจกรถ ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมา
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจความคิดและการกระทำทั้งหมดของเคย์ แต่เขากลับมั่นใจว่าเคย์ทำถูกแล้ว และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำอย่างนี้เท่านั้น เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบังคับ ที่เกิดจากการถูกเคย์ครอบงำจิตใจ หรือเพราะมีหลักฐานที่ทำให้คิดอย่างนี้กันแน่ เพียงแต่เขาไม่รู้สึกอยากขัดขืนเคย์แม้แต่น้อย
ชายร่างยักษ์หยุดเดินเมื่อลงไปจนสุดบันได โชซึ่งอยู่ในสภาพห้อยหัว มองเห็นประตูบานหนึ่งผ่านทางสีข้าง มันคือประตูเหล็กขึ้นสนิมท่าทางแข็งแรงที่ถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจเก่าๆ
พริบตาที่ชายคนนั้นไขกุญแจเปิดประตู กลิ่นฉุนอย่างรุนแรงก็โชยมาปะทะจมูก มีทั้งกลิ่นเหม็นเน่า กลิ่นของเสียจากร่างกาย กลิ่นตัว และกลิ่นอะไรต่อมิอะไรปะปนกันจนคละคลุ้ง ตามปกติแล้วเขาคงกลั้นอาเจียนสุดชีวิต แต่โชในตอนนี้กลับเห็นเป็นเรื่องไกลตัว และไม่สะทกสะท้านเลยทั้งที่รู้ว่ามันเหม็นแค่ไหน
ชายคนนั้นวางเขาไว้ที่มุมห้องก่อนจะออกไปอย่างเงียบเชียบ โชยืดขาออกแล้วยันตัวนั่ง สอดส่ายสายตาไปรอบห้องขนาดยี่สิบเสื่อที่ไร้ชีวิตชีวา ผนังและพื้นคอนกรีตกะเทาะออกหลายแห่ง ภายในห้องไม่มีหน้าต่างสักบาน บรรยากาศจึงมืดสลัวเพราะมีเพียงหลอดไฟห้อยอยู่ดวงเดียว
นอกจากโชแล้วยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ฮาโตริ ชิโนบุนอนหงายอยู่ในห่อผ้าพลาสติกสีฟ้า กองเลือดขนาดใหญ่ที่ไหลซึมออกมาบ่งบอกว่าเจ้าตัวน่าจะได้รับบาดเจ็บ ดีไม่ดีอาจจะตายไปแล้วก็ได้เพราะไม่ขยับเลยสักนิด
ตรงข้ามกับฮาโตริมีชายอีกคนนอนคว่ำหน้าจมกองอ้วกอยู่ ในห้องมืดสลัวจนมองเห็นหน้าไม่ชัด แต่โชได้ยินเสียงครางของชายคนนั้นแว่วมาเป็นระยะ จึงรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ยังมีชายแปลกหน้าอยู่อีกคน เบ้าตาเหี่ยวย่นลึกโหล แก้มซูบตอบ ปากอ้าค้างเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมาผอมแห้งราวกับกิ่งไม้
ชายคนนี้ตายแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากร่างของเขานี่เอง
หัวใจของโชรู้สึกหวั่นไหวเป็นครั้งแรก เมื่อจู่ๆ ทั้งร่างก็สั่นสะท้าน คล้ายกับมีอะไรบางอย่างไปกระตุ้นต่อมความกลัวเข้า
...กลัวจัง ไม่ชอบที่นี่เลย ใครก็ได้ช่วยด้วย
ภาพน่าขนลุกปรากฏขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า คล้ายจะซ้ำเติมหัวใจที่กำลังหวาดผวา
ห้องอันมืดมิด นิ้วที่ตะกุยผนังจนชุ่มเลือด เสียงร้องไห้ของเด็ก ร่างซูบผอมเล็กๆ นอนแน่นิ่งและเริ่มเน่าสลาย ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา...
นั่นใคร? เด็กน่าสงสารที่อดอยากตายคนนั้นคือใคร?
เขาน่าจะรู้อยู่แล้ว เพราะเขาก็อยู่ในห้องนั้นด้วยและเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ใช่แล้ว โชนึกในใจ เขาเห็นเด็กคนนั้นตายไปต่อหน้าต่อตา เด็กคนสำคัญ เด็กที่น่าสงสาร
เด็กคนนั้นเป็น...
จังหวะที่กำลังจะนึกเรื่องสำคัญออก สมาธิของเขาก็ถูกจิตสำนึกของเคย์ที่ตื่นขึ้นมาทำลายลงเสียก่อน
“ยกโทษให้ไม่ได้...”
เสียงเคย์พึมพำ โชรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมากที่เคย์โผล่มาก่อนที่เขาจะจำเรื่องในอดีตได้
ไม่จำเป็นต้องนึกให้ออกแล้ว เพราะเคย์รู้ดี ดังนั้นแค่ฝากทุกอย่างให้เคย์จัดการก็พอ
โชยกร่างให้เคย์ด้วยความโล่งใจ แล้วกลับมาเป็นคนดูข้างสนามอีกครั้ง
“โหดร้าย โหดร้ายเกินไปแล้ว อภัยให้ไม่ได้...”
เสียงพึมพำมืดมนของเคย์ ดังสะท้อนอยู่ภายในห้องที่เหมือนขุมนรกราวกับเป็นคำสาปร้าย


1

หลังเสร็จสิ้นพิธีเก็บอัฐิ เหล่าเครือญาติต่างกลับมาที่เรือนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมกุโระเพื่อร่วมทำบุญและรับประทานอาหาร จากนั้นจึงค่อยๆ ทยอยกันกลับไป แม้ว่าเซนะ จิอากิจะเคยอาศัยอยู่ที่นี่แค่ช่วงสั้นๆ แต่เขาก็อยู่ส่งแขกกับชินโด ทาคายูกิซึ่งเป็นเจ้าภาพจนกระทั่งจบงาน
เมื่อแขกคนสุดท้ายกลับไป ในห้องพระกว้างๆ จึงเหลือแค่พวกเขาสองคน
“เหนื่อยหน่อยนะครับ ทาคายูกิซัง”
“ขอบคุณมาก จิอากิ นายช่วยฉันได้เยอะเลย”
ชินโดผู้มีเฝือกคล้องแขนซ้ายที่คอเอ่ยขอบคุณ เซนะส่ายหน้านิดๆ แล้วบอกว่า “ไม่หรอกครับ” เขาแค่คอยอยู่เคียงข้างชินโดเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงจะเป็นงานศพที่มีเฉพาะเครือญาติ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสมาคมโทเซก็ช่วยเป็นธุระให้หมดแล้ว โดยมีบริษัทรับจัดงานศพคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ตั้งแต่พิธีในคืนส่งศพไปจนถึงพิธีกรรมต่างๆ เซนะจึงไม่จำเป็นต้องลงมือทำอะไรอีก
บนหิ้งบูชามีป้ายวิญญาณ รูปถ่าย และกล่องสำหรับบรรจุไหเก็บอัฐิตั้งอยู่ เซนะเห็นธูปใกล้จะมอดหมดแล้ว จึงลงไปนั่งคุกเข่าหน้าหิ้งบูชาแล้วจุดธูปดอกใหม่ให้
วันนี้ร่างของชินโด โยชิโนบุ ประธานสมาคมโทเซรุ่นที่สอง ได้กลับคืนสู่เถ้าธุลีอย่างสงบท่ามกลางญาติสนิททั้งหลาย ทว่าความเหนื่อยยากที่แท้จริงของชินโด น่าจะอยู่ที่งานอำลาอย่างยิ่งใหญ่ขององค์กร ซึ่งจะถูกจัดขึ้นหลังจากนี้มากกว่า
เซนะลดมือที่พนมอยู่แล้วนั่งมองภาพของโยชิโนบุ กระทั่งชินโดเดินมานั่งข้างๆ
“...ทาคายูกิซัง แล้วเรื่องผู้สืบทอดไปถึงไหนแล้วครับ?”
ตอนแรกเขาลังเลที่จะถามคำถามนี้ เพราะใช้ชีวิตตัดขาดกับทางสมาคมมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจถามออกไป
“ไม่รู้เหมือนกัน ต้องรอดูการประชุมกับฝ่ายบริหารพรุ่งนี้”
ก่อนหน้านี้ชินโดเคยบอกว่า หากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเกินครึ่งจากฝ่ายบริหาร ก็ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป พรุ่งนี้จึงเป็นวันตัดสินชะตาของชินโดที่กำลังยืนอยู่บนทางแยก ว่าจะได้เป็นประธานรุ่นที่สามหรือไม่
“พูดอย่างนี้มันอาจจะเสียมารยาท แต่จริงๆ แล้วคุณไม่อยากเป็นประธานรุ่นที่สามใช่รึเปล่า?”
“ไม่หรอก” ชินโดส่ายหัวโดยไม่ถือสาคำถามของเซนะ
“ตอนที่ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตบนเส้นทางนี้ ฉันก็ตั้งใจว่าจะรับช่วงต่ออยู่แล้ว”
อีกฝ่ายไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย เซนะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ที่ปราศจากความละโมบโลภมาก เพราะชินโดตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นประธานรุ่นที่สาม ไม่ใช่อยากจะเป็น
เซนะเหม่อมองรูปถ่ายของผู้ล่วงลับพลางนึกในใจว่า โยชิโนบุช่างเป็นพ่อที่โชคดีจริงๆ เพราะชินโดเต็มใจตอบรับความรู้สึกของเขา โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องบีบบังคับเลย เซนะไม่ได้จะตำหนิตัวเอง แต่เทียบกันแล้วลูกชายอีกคนของโยชิโนบุกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ภายนอกโยชิโนบุอาจเป็นแค่คุณลุงคนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา เซนะเจ็บปวดและโศกเศร้ากับการจากไปของอีกฝ่าย แต่ที่ไหนสักแห่งในใจเขากลับรู้สึกอ้างว้างมากกว่า คล้ายกับในยามที่อะไรบางอย่างสิ้นสุดลง ไม่รู้เป็นเพราะความรู้สึกซับซ้อนที่สั่งสมอยู่ภายในหรือเปล่า
เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาในฐานะลูกชาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตำหนิในความไร้หัวใจของตนมากเท่าที่กลัว อาจเป็นเพราะรู้แล้วว่าเบื้องหลังการจากลาแสนขมขื่นเมื่อสิบสี่ปีก่อน มีความรักอันลึกซึ้งของพี่ชายและพ่อซ่อนอยู่ ทำให้ตะกอนที่ทับถมมานานปีสลายหายไปบางส่วน หัวใจของเขาจึงพบกับความสงบสุข และขจัดความเจ็บแค้นออกไปได้
‘ไม่ร้องก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้านายได้ทำเพื่อพ่อแล้ว สักวันจะต้องให้อภัยตัวเองได้’
ระหว่างพิธีศพ เขาหวนนึกถึงคำพูดของคามิโจอยู่หลายครั้ง และรู้สึกเหมือนถูกช่วยเอาไว้ทุกครั้ง
สิ่งที่เซนะโหยหาจากก้นบึ้งหัวใจคือการให้อภัยตนเอง ยิ่งโกรธแค้นผู้อื่น ความรู้สึกผิดบาปและเกลียดชังก็ยิ่งย้อนเข้าหาตัว เซนะจึงต้องทนอยู่กับความใจแคบของตนมาเป็นเวลานาน โดยที่ไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรมานยิ่งกว่าอะไรดี
ในฐานะนักจิตวิทยาคลินิก เขาเคยรักษาคนไข้จนอาการดีขึ้นมาหลายราย ด้วยการค้นหาต้นตอที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ แล้วปลดปล่อยคนไข้จากสิ่งเหล่านั้น แต่พอเป็นปัญหาของตัวเอง เขากลับไม่กล้าเผชิญหน้ามันด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าจำเป็นต้องปล่อยมือจากความโกรธแค้นเพื่อให้ได้อิสระมา แต่ทุกครั้งที่นึกถึงอดีต เขากลับถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสอยู่ร่ำไป
ที่ผ่านมาเขาเคยคิดมาตลอดว่าเป็นความผิดของชินโดและโยชิโนบุ ที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย ต่อให้จุดกำเนิดจะมาจากคนทั้งคู่ แต่ถ้าเขาตั้งใจจริง ก็สามารถหลุดพ้นได้เร็วกว่านี้อยู่แล้ว เซนะเลือกที่จะหนีจากชินโดและโยชิโนบุ จนสูญเสียโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับอดีต จึงใช้เวลายาวนานกว่าจะพบกับความสงบสุขในจิตใจ นับเป็นการทรมานตนเองโดยแท้
“...ทาคายูกิซัง ถ้ารู้ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าทำไมคุณลุงถึงยอมให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกัน?”
การที่ชู้รักซึ่งกำลังตั้งครรภ์ของตนไปลงเอยกับผู้เป็นน้องชาย ก็เหมือนกับการถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย สำหรับยากูซ่าที่ให้ความสำคัญกับหน้าตาแล้ว ไม่ต่างจากการทรยศหักหลังเลย แต่โยชิโนบุกลับยอมให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน และเมื่อน้องชายจากโลกนี้ไป เขาก็ยังเฝ้าปกป้องเซนะต่อในฐานะคุณลุง จะอธิบายง่ายๆ ด้วยคำว่าใจกว้างก็คงทำได้ แต่เรื่องนี้เป็นคำถามที่ค้างคาใจเขามาตลอด
“ถึงจะเป็นภรรยาน้อย แต่พ่อก็รักแม่ของนายจากใจจริง ฉันพูดได้แค่นี้แหละ”
คำพูดของชินโดนั้นเรียบง่ายและชัดเจน หากเป็นเมื่อก่อน เซนะคงมองว่าเป็นแค่คำพูดสวยหรู แต่ตอนนี้เขากลับยอมรับมันได้ง่ายๆ เพราะต้นเหตุที่ทำให้เรื่องมันซับซ้อน ก็คือหัวใจอันขุ่นมัวของเขาเอง
“พ่อเป็นยากูซ่าที่สมบูรณ์แบบ แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขากลับแสดงออกไม่ค่อยเก่ง”
“คุณก็แสดงออกไม่เก่งเหมือนกัน”
แม้ปากจะพูดเป็นเชิงเย้าแหย่ แต่เขาก็คิดอย่างนั้นจริงๆ โยชิโนบุกับชินโดคือพ่อลูกกันอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเลือกเส้นทางเดียวกัน โยชิโนบุตัดสินใจปล่อยมือจากแม่ของเซนะ ส่วนชินโดตัดสินใจบอกเลิกกับเขา ทั้งที่ต่างก็รักอีกฝ่ายมาก ไม่สิ เพราะรักมากนั่นแหละถึงได้ตัดสินใจอย่างนี้
“ก็อาจจะใช่ แต่ในฐานะยากูซ่าฉันยังอ่อนหัดเกินไป และคงไม่มีวันเป็นแบบพ่อได้เลย”
ท่าทีที่ชินโดแสดงออกมาดูเป็นธรรมชาติ หาใช่การประชดประชัน พอเห็นชินโดพูดจาถ่อมตนโดยไม่ได้ดูถูกหรือแดกดันตัวเอง ความรู้สึกที่คล้ายกับความเปลี่ยวเหงาก็พลันเกิดขึ้น เพราะเขาคิดว่าชาตินี้คงไม่มีวันเข้าใจหัวอกอันซับซ้อนของชินโดได้แน่นอน
ทว่ามีอย่างหนึ่งที่เซนะรู้ดี ถึงชินโดจะตัดสินใจเป็นยากูซ่าเพราะความคิดเปลี่ยนไปจากสมัยก่อน แต่เขามั่นใจว่าจนถึงตอนนี้ชินโดก็ไม่ได้ชื่นชอบเส้นทางนี้เลย
สมัยอยู่มหา’ลัย ชินโดเคยฝันอยากทำงานในวงการภาพยนตร์ ถึงขั้นเคยทำงานพิเศษในสตูดิโอถ่ายทำของบริษัทผลิตภาพยนตร์มาแล้ว เซนะเชื่อว่านี่คือความปรารถนาของชินโดจริงๆ ไม่ใช่ความฝันเลื่อนลอยของวัยรุ่นที่แค่บอกเล่าออกมาก็พอใจ แต่สุดท้ายชินโดก็เลือกตัดใจจากความฝัน แล้วก้าวเข้าสู่โลกที่ตนเกลียดชังเพื่อช่วยสนับสนุนบิดา
ชินโดพอใจกับชีวิตในตอนนี้หรือเปล่า ขณะที่เกิดคำถามขึ้นในใจ ประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดกับเขาตอนมาเยี่ยมโยชิโนบุครั้งสุดท้ายก็ย้อนคืนมา
‘ฉันอยากให้นายได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไปให้ไกลจากวงการนี้ โดยไม่ถูกผูกมัดจากฉันหรือตระกูล และได้ทำงานที่ตนรัก...’
เพราะรักและปรารถนาให้เซนะมีความสุขอย่างแท้จริง ชินโดจึงตัดสินใจบอกเลิกกับเขา คำพูดเหล่านั้นช่วยปลดปล่อยเซนะจากความทุกข์ทรมานในอดีต ถ้าอย่างนั้น ชินโดที่ยอมปล่อยมือจากอิสระและความฝันของตัวเองเพื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ จะมีความสุขจริงๆ หรือ
ตอนนี้คุณมีความสุขไหมครับ?
เคยคิดเสียใจที่ไม่ได้เลือกเส้นทางอื่นหรือเปล่า?
สาเหตุที่เขาเพิ่งเกิดคำถามนี้ในใจ น่าจะเป็นเพราะมุมมองที่มีต่อชายคนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ที่ผ่านมาเขาเคยคิดว่าตนเป็นผู้เสียหายมาตลอด แต่แท้จริงแล้วเขาก็สร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นเช่นกัน ชินโดต้องทุกข์ทรมานเพราะติดอยู่ตรงกลาง ระหว่างสถานะของพี่ชายและความรู้สึกของคนรัก จนนำไปสู่คำบอกเลิกเมื่อสิบสี่ปีก่อน หลังจากกลัดกลุ้มอยู่พักใหญ่ ในที่สุดชินโดก็เลือกให้ความสำคัญกับพ่อแท้ๆ ก่อนความรัก เขาเข้าใจความรู้สึกของบิดา และคิดไปถึงอนาคตของเซนะ จึงเลือกเส้นทางที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับตัวเอง
ชินโดพูดน้อยเกินไป ส่วนวิธีการก็ค่อนข้างจะมัดมือชก แต่ถ้าวันนั้นชินโดพูดอย่างอ่อนโยนว่าเลิกกันเพื่อตัวเขา เซนะคงพยักหน้าไม่ลงแน่นอน เขาถอยออกมาได้ก็เพราะถูกบอกเลิกอย่างเย็นชา แม้จะต้องทนทุกข์อย่างยาวนาน แต่เขาก็ผิดเองที่ไม่ยอมพุ่งชนตรงๆ ในเมื่อรับไม่ได้ก็ควรจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกนั้น คนที่หนีออกมาอย่างเขาจึงไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิชินโดด้วยซ้ำ
ชินโดกล่าวขอโทษในความไม่เอาไหนของตนที่ทำได้แค่บอกเลิกกันด้วยวิธีอันขมขื่น แต่มาคิดดูดีๆ มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนั้นชินโดยังเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปี
ถึงอย่างนั้นก็ไม่นับว่าเด็กแล้ว เพราะเขาโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตอบรับคำขอร้องของโยชิโนบุ หลังได้รับรู้ถึงความรักอันลึกซึ้งที่โยชิโนบุมีต่อเซนะแม้จะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาก็ตาม ผิดกับเซนะที่ทนอยู่กับความเจ็บปวดของตนอย่างเดียวมาตลอด เขาจมอยู่ในความเจ็บแค้นที่ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จึงไม่เคยรู้สึกถึงความผูกพันทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาเจ็บแค้นความจริงที่ว่าพวกตนมีสายเลือดเดียวกันด้วยซ้ำ เรียกว่าตรงข้ามกับชินโดไปเสียทุกอย่าง
“ทาคายูกิซัง ผมขอพูดจาถือดีหน่อยเถอะครับ คุณอดทนมากเกินไปแล้ว บางครั้งมันก็ทำให้คนที่อยู่รอบข้างเจ็บปวดได้นะครับ ต่อให้ต้องฝืนตัวเอง คุณก็ควรระบายออกมาบ้าง การแสดงความอ่อนแอให้คนที่รักเห็นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับ”
ชินโดพยักหน้าเงียบๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำว่ากล่าวตักเตือนที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว จึงทำหน้าจนใจแล้วยอมให้เซนะดุแต่โดยดี
เซนะใช้ปลายนิ้วดันแว่น แล้วเสริมต่อด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า
“คนเราต้องรู้จักเรียนรู้จากผู้อื่นสิครับ ผมก็ตั้งใจว่าจะซื่อตรงต่อตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะผมก็เป็นพวกยุ่งยากที่ไม่กล้าเปิดเผยความในใจกับคนสำคัญเหมือนกับคุณ”
เขายังทำใจเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะมีวันที่กล้าเรียกหรือเปล่า ทั้งหมดนี้คือที่สุดของเขาแล้ว
ชินโดยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง เซนะจึงส่งยิ้มบางๆ กลับไป
เหมือนฝันเลยที่ได้พูดคุยกับชินโดด้วยความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้ ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าดีแล้ว แต่อีกใจก็แอบเหงาเล็กน้อยที่จากนี้ไปจะไม่โศกเศร้าเวลานึกถึงชินโดอีกแล้ว ความรู้สึกนี้ห่อหุ้มดวงใจของเขาไว้อย่างอ่อนโยน ไม่ใช่ความรู้สึกในแง่ลบแต่อย่างใด
จู่ๆ ก็นึกอยากเจอคามิโจขึ้นมา ชายผู้ชอบทำตัวเฉื่อยแฉะจนดูแทบไม่ออกว่าเป็นตำรวจแผนกสืบสวนสอบสวนหนึ่ง ใบหน้าของอีกฝ่ายผุดขึ้นมาบ่อยจนน่ารำคาญ และเป็นใบหน้าไร้การปรุงแต่งที่ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆ กลับกัน อีกฝ่ายควรจะรู้จักปั้นหน้าให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ
รีบกลับดีกว่า กลับไปเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระเหมือนที่ผ่านมา ต่อให้เขาเผลอทำตัวไม่น่ารักใส่ คามิโจก็คงจะบ่นแล้วยอมลงให้อีกตามเคย
ถึงอย่างนั้นเซนะก็ยังไม่ยอมตอบรับคำสารภาพรักของคามิโจ จึงปล่อยให้อีกฝ่ายรออยู่อย่างนี้เพราะกลัวที่จะให้คำตอบ
ตอนที่คามิโจสารภาพรัก เซนะดีใจมากที่อีกฝ่ายคิดจริงจังถึงขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้ายังคงความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดเอาไว้ พวกเขาก็จะคบกันได้แบบชั่วคราว แต่เมื่อไรที่มันพัฒนาเป็นความรักจริงจัง พวกเขาคงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
ไม่ใช่ว่าเซนะอยากไปกิ๊กกับชายอื่น หรือไม่อยากถูกผูกมัดกับคนคนเดียว แต่เพราะไม่กล้าพอที่จะถลำลึกไปกับใครคนใดคนหนึ่ง ที่ผ่านมาจึงเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น
ถ้าเป็นคนที่สับเปลี่ยนแทนกันได้ ต่อให้ต้องสูญเสียสักกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ตัวตนของคามิโจมีอิทธิพลต่อเซนะมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งกว่านี้ เพราะชอบถึงได้หวาดหวั่น หากยังเดินหน้าต่อไป สิ่งที่รออยู่ก็คือความรักจริงจังที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด
ถึงแม้ว่าจะชอบไปแล้ว และมีความสุขกับความรักอันอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้ ก็ยังมีสิทธิ์โดนหักหลังทอดทิ้งเข้าสักวันอยู่ดี




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฮาโตริขาดการติดต่อไปขณะไล่ตามคนร้ายในคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง!? ชินโดจึงถอดหน้ากากของยากูซ่าทิ้ง แล้วตามไปช่วยฮาโตริด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เซนะกังวลกับการหายตัวไปของโช เด็กหนุ่มผู้เป็นโรคบุคลิกภาพแตกแยก เขาและคามิโจ นายตำรวจที่ไล่ตามคดีนี้อยู่กำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้ว…!! คนร้ายที่โชพบในที่เกิดเหตุครั้งแรกคือใครกันแน่!? ความรักและความผิดอันน่าตกตะลึงกำลังจะปรากฏขึ้น เมื่อชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายของปริศนาต่อเข้าด้วยกัน!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”