New Release BLY แปล : สิเน่หารัชทายาท

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : สิเน่หารัชทายาท

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

แปดปีก่อน
ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย...เยี่ยจื่อตันในวัยสิบแปดปีเบ้ปาก มองดูร่างน้อยๆ ที่สูงไม่ถึงเอวของตน ในใจโมโหกระฟัดกระเฟียด กลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่าย
เขาถูกเด็กรับใช้ในบ้านลากลงมาจากเตียงดาวเด่นของหอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง...หอเซียนหลง
ตั้งแต่รู้ว่าบิดาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและพี่สาวผู้เป็นเสียนเฟย ของเขาต้องการส่งเขาไปสอดแนมข้างกายองค์รัชทายาท เป็นไท่ฟู่ ในองค์รัชทายาทอะไรนั่น คนหนุ่มเลือดร้อนอย่างเยี่ยจื่อตันก็เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ในถนนสายหอนางโลม ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับบิดาของเขาอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรเสียในสายตาของคนทั้งใต้หล้า เขาเยี่ยจื่อตันเป็นเพียงจอมเสเพลที่ไร้ความรู้ความสามารถ ไม่อยากจะเสียสละอิสรภาพของตนเองเพื่อความทะเยอทะยานของผู้เป็นพี่สาว
เทียบกับการไขว่คว้าชื่อเสียงเกียรติยศ การได้รับแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางสูงศักดิ์ สิ่งที่เยี่ยจื่อตันปรารถนามากกว่าคือชีวิตที่สำราญเริงใจ มีอิสรเสรีสามารถทำตามใจปรารถนาได้
เขารักคนงาม รักสุราเลิศรส รักกลิ่นอายแห่งอิสรภาพอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสดชื่นของวสันตฤดู แล้วจะยอมถูกจับตัวให้ไปอยู่ในตำหนักเล็กๆ นั่น กลายเป็นหมากของผู้อื่นได้อย่างไร?
เพียงแต่ในเมืองหลวงที่อำนาจของสกุลเยี่ยแผ่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เขาจะหนีไปได้นานสักแค่ไหนกัน? ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเขาจึงถูกลากลงมาจากเตียงด้วยสภาพทุลักทุเล จากนั้นถูกจับแต่งตัวให้สะอาดสะอ้านมายืนอยู่หน้าประตูตำหนักเฉาหวาด้วยภาพลักษณ์ ?ครูผู้เป็นแบบอย่าง? อันถูกต้องตามระเบียบถูกกระเบียดนิ้ว
?เจ้าคือองค์รัชทายาทหลิวป๋อ?? เยี่ยจื่อตันเอ่ยอย่างเฉยชา
หลังกราบไหว้อาจารย์แล้ว ฝ่าบาท ฮองเฮา พี่สาว ท่านพ่อต่างออกจากห้องหนังสือไปหมดทุกคน เหลือเพียงคนคนเดียวที่นั่งตัวตรงอยู่บนเสื่อรองพื้น
หลิวป๋อเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
เยี่ยจื่อตันคิดในใจว่า ถึงแม้เด็กผู้นี้จะแต่งกายหรูหราสูงส่ง แต่กลับไม่มีท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจเหมือนอย่างที่เชื้อพระวงศ์ในวัยเดียวกันควรจะมี มิหนำซ้ำยังดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียอีก
พอเปรียบเทียบกับเด็กที่เรียบร้อยผู้นี้แล้ว ทั้งที่ตนเองอายุสิบแปดปีแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดถึงแลดูเป็นเด็กน้อยเอาแต่ใจและน่าสมเพชถึงเพียงนี้เล่า?
?เหตุใดถึงไม่ตอบข้า? พิธีกราบไหว้ครูเมื่อกี้ องค์รัชทายาทก็มิได้ทำความเคารพตามธรรมเนียมที่กำหนดไว้? เยี่ยจื่อตันขมวดคิ้ว เฮ้อ หาเรื่องบีบคั้นเด็กตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง เขานี่ทำตัวเป็นเด็กน้อยเสียจริงๆ
มือเล็กๆ หยิบพู่กันขึ้นมา หลิวป๋อเขียนอักษรไม่กี่ตัวลงไปบนกระดาษ
ท่านอาจารย์ไม่รู้หรือว่าป๋อเอ๋อร์หูไม่ได้ยินอีกทั้งยังพูดไม่ได้?
ลายมือพู่กันอันงามประณีตเป็นระเบียบเรียบร้อยแฝงด้วยความเยาว์วัยน้อยๆ แต่กลับทำให้เยี่ยจื่อตันอ่านแล้วตื่นตะลึงขึ้นมาในฉับพลัน
คนที่ตนเองต้องอบรมสั่งสอนเป็นเป็นเด็กที่ไม่ได้ยินและพูดไม่ได้ผู้หนึ่ง?
สวรรค์ ท่านพ่อกับพี่สาวตั้งใจจะทรมานเขาจริงๆ เสียแล้ว!
เยี่ยจื่อตันแทบจะหักพัดจีบในมือทิ้ง เขากัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น โทสะเดือดดาลรุนแรงยิ่งกว่าเดิม...ไม่ถูก
?ในเมื่อไม่ได้ยิน แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อครู่ข้าพูดอะไร?? เขาหรี่ตาลง
ป๋อเอ๋อร์ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กำลังพูดอะไร แต่ว่าดูจากท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของท่านอาจารย์แล้ว คงจะกำลังถามที่ป๋อเอ๋อร์ไม่ยอมเอ่ยตอบ ดังนั้นจึงได้ตอบเช่นนี้
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง...เยี่ยจื่อตันพยักหน้า แสดงให้รับรู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว
ท่านอาจารย์ไม่ชอบสอนหนังสือป๋อเอ๋อร์หรือ? เมื่อเขียนประโยคนี้เสร็จหลิวป๋อก็หยุดพู่กันลง เงยศีรษะน้อยๆ ที่เกล้าผมจุกสองข้างขึ้น
เยี่ยจื่อตันไม่ออกความเห็น ทั้งมิได้พยักหน้าและมิได้ส่ายหน้า ตั้งใจจะดูว่าหลิวป๋อจะมีปฏิกิริยตอบสนองเช่นไร
ทันใดนั้นหลิวป๋อก็ยิ้มเยาะราวกับยั่วยุหาเรื่องก็ไม่ปาน จากนั้นก้มหน้าเขียนว่า ป๋อเอ๋อร์เองก็ไม่ชอบเหมือนกัน!
เยี่ยจื่อตันเบิกตากว้าง พัดแทบจะร่วงหล่นลงพื้น
ทว่าก็แค่แตกตื่นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ยามนี้เขากำลังพินิจมององค์รัชทายาทผู้ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาผู้นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ดวงตาเรียวรีหรี่ลง แสดงท่าทีเสียดสีเย้ยหยันออกมา รัชทายาทน้อยในตอนนี้แตกต่างจากองค์รัชทายาทคนที่สุขุมนิ่งเงียบรู้จักควบคุมตัวเองต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง...อันไหนคือโฉมหน้าที่แท้จริงขององค์รัชทายาทกันแน่?
สีหน้าแววตาเช่นนี้คงอยู่เพียงช่วงสั้นๆ แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่หลิวป๋อจะกลับคืนสู่สีหน้าปกติดังเดิม แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง
ศิษย์กล่าววาจาไม่ดี ขอท่านอาจารย์โปรดให้อภัย เชิญท่านอาจารย์เริ่มการสอนเถิด
เยี่ยจื่อตันเห็นหลิวป๋อใช้พู่กันลบคำว่า ?อาจารย์ชั่ว? ออกไปเบาๆ แล้วเขียนคำที่สุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับสถานะของตนออกมา ต่อมาก็เงยหน้าขึ้น ระบายรอยยิ้มนุ่มนวลให้ตนเอง ราวกับว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
?แกร๊ก...?
เยี่ยจื่อตันได้ยินเสียงปริแตกเบาๆ และแผ่วอ่อนดังมาจากภายในหัวใจของตนเอง
คนหนุ่มเลือดร้อนอย่างเขาที่เริ่มเที่ยวเตร็ดเตร่ตามย่านอโคจรมาตั้งแต่อายุสิบสี่ กลับหัวใจหวั่นไหวเพราะเด็กน้อยที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง!
เมื่อปีนั้นเยี่ยจื่อตันอายุสิบแปด หลิวป๋ออายุสิบขวบ



บทที่หนึ่ง

เดือนห้า เป็นช่วงที่ดอกทับทิมในวังหลวงบานสะพรั่งงดงามที่สุด ตำหนักทั้งหลังราวกับถูกส่องสะท้อนอยู่ท่ามกลางสีแดงเข้ม เหล่าข้าหลวงนางกำนัลเดินขวักไขว่ไปตามพุ่มบุปผาและเฉลียงทางเดิน ปัดกวาดกลีบดอกไม้และเศษใบไม้ที่ไม่มีวันปัดกวาดหมดอย่างขยันขันแข็ง
หลิวป๋อในชุดลำลองสีเหลืองผลซิ่ง กำลังก้มหน้าเดินไปบนทางเดินเชื่อมสู่ตำหนักเจียวซูซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮาอย่างช้าๆ
ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในอนาคตผู้นี้อายุสิบแปดปี มีใบหน้าที่ถือได้ว่าหล่อเหลาหมดจด ขนคิ้วอ่อนบาง ดวงตาเรียวรี ริมฝีปากบางเฉียบ นัยน์ตาสงบนิ่งไม่ไหวหวั่นและเรือนกายเพรียวระหง
ไม่มีความน่าเกรงขามอย่างผู้เป็นองค์รัชทายาท ไม่มีความหยิ่งผยองอย่างผู้สูงศักดิ์ ถ้าหากเปลี่ยนอาภรณ์ซึ่งตัดเย็บอย่างงดงามประณีตบนร่างกายตัวนี้ออกไป เขาก็ดูเหมือนบัณฑิตหน้าขาวผู้หนึ่งเท่านั้น
บุปผาสีแดงอมส้มดอกหนึ่งค่อยๆ ลอยร่วงลงมาจากยอดไม้อย่างช้าๆ หลิวป๋อเงยหน้าขึ้น ใช้ดวงตาที่ค่อนข้างเรียวรีคู่นั้นมองกลีบบุปผาร่วงหล่นลงบนพื้นดินแล้วชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
สายลมอุ่นๆ ซึ่งเจือด้วยไอชื้นของคิมหันตฤดูพัดเอาเชือกถักร้อยหยกเส้นยาวตรงข้างเอวของหลิวป๋อให้พลิ้วขึ้น และพัดเอาเส้นผมยาวให้ตกลงปรกตรงข้างแก้มของเขาด้วยเช่นกัน เงาร่างที่ดูล่องลอยในที่สุดก็เผยความสูงส่งเฉกเชื้อพระวงศ์ออกมา
บริพารสี่ห้าคนที่คอยติดตามปรนนิบัติอยู่ข้างกายสวมใส่อาภรณ์ชาววังสีน้ำเงินยืนเรียงเป็นสองแถว เดินตามอยู่ด้านหลังหลิวป๋ออย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ขบวนแถวเดินเคลื่อนไปอย่างเอื่อยช้า ครั้นเหล่านางกำนัลเห็นพวกองค์รัชทายาทเสด็จมาแต่ไกลก็ค่อยๆ ถอยไปอีกด้านพร้อมคุกเข่าลง มองดูแถวขบวนเดินห่างออกไปอย่างช้าๆ
?ปึง!?
ทันใดนั้นที่สุดปลายเฉลียงทางเดินไม่รู้ว่าผู้ใดทำของประดับที่ตั้งอยู่ตรงราวรั้วร่วงหล่น แจกันดอกไม้สีแดงสดซึ่งมีหูจับสองข้างหล่นลงกับพื้น เมื่อข้าหลวงนางกำนัลทุกคนได้ยินเสียงต่างก็หยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้าหันไปมอง มีเพียงหลิวป๋อผู้เดียวเท่านั้นที่ยังคงเดินต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ
แจกันดอกไม้กลิ้งจากสุดปลายเฉลียงทางเดินไปตามพื้นกระเบื้องศิลาเขียวมาจนถึงข้างเท้าของหลิวป๋อ หลังจากนั้นก็พลันปริแตกออก เศษชิ้นส่วนแตกกระจายไปทั่วพื้น
ยามนี้เองหลิวป๋อถึงได้หยุดฝีเท้าลง ขมวดคิ้วน้อยๆ ด้วยความตระหนกตกใจ
?คนไม่รักชีวิตผู้ใดมันกล้าทำให้องค์รัชทายาทตกพระทัย!? จางถงซึ่งเป็นบริพารที่ยืนอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทพุ่งปรี่ออกมา ชี้นิ้วไปยังเศษแจกันที่อยู่บนพื้น ใช้เสียงที่ยากจะแยกแยะว่าหญิงหรือชายของเขาตวาดเสียงดังลั่นว่า ?รีบออกมาเดี๋ยวนี้ ดูซิว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!?
?องค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ! จางกงกง โปรดไว้ชีวิตด้วย!?
เห็นเพียงนางกำนัลน้อยอายุไม่ถึงสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างร้อนรนกระวนกระวาย แล้วคุกเข่าลงดัง ?ตุ้บ? แผ่นหลังผอมบางสั่นเทิ้มไม่ยอมหยุด
?กล้าดีนักนะ ใครก็ได้ จัดการนางเสีย!?
จางถงตะโกนเสียงแหลมสูง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลิวป๋อซึ่งอยู่ข้างกายเขาเริ่มขมวดหัวคิ้วขึ้นน้อยๆ
?จะ จางกงกงไว้ชีวิตด้วยเถิด! บ่าวเพิ่งจะเข้าวังมา ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ถึงได้เผลอทำให้องค์รัชทายาทตกพระทัย...? นางกำนัลน้อยพูดตะกุกตะกัก
ครั้นเห็นว่าเหล่าองครักษ์กำลังล้อมตนเองเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาจากไหน รีบหมอบคลานไปอยู่ข้างเท้าหลิวป๋อในทันที จากนั้นกอดขาหลิวป๋อเอาไว้พลางร่ำไห้อย่างน่าสงสารเวทนา เงยหน้าขึ้นมาร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง ?องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดช่วยบ่าวด้วยเถิดเพคะ! บ่าวไม่ได้ตั้งใจ บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเพคะ!?
ดวงตาของหลิวป๋อเหลือบมองนางกำนัลน้อยแวบหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็โน้มกายลง
ดวงตาทั้งสองข้างของนางกำนัลน้อยลุกวาวนิดๆ คล้ายกับว่ามองเห็นความหวังที่จะมีชีวิตรอด ?องค์รัชทายาท ได้โปรดช่วยบ่าวด้วยเถิดเพคะ!?
หลิวป๋อก้มศีรษะลง แสงแดดในยามบ่ายสาดส่องลงบนใบหน้าอันเยาว์วัยของเขา ทำให้เครื่องหน้าที่ธรรมดาไม่โดดเด่นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ครั้นเห็นหลิวป๋อค่อยๆ ยื่นแขนออกมาจากแขนเสื้อกว้าง คล้ายกับหมายจะพยุงตนเองขึ้น นางกำนัลน้อยก็ยื่นมือของตนเองออกไปอย่างซาบซึ้งตื้นตัน
ทว่ากลับเห็นหลิวป๋อน้อมกายลง หลังจากยื่นมือออกไปค่อยๆ จัดการกับชายอาภรณ์ที่ถูกน้ำกระเด็นโดนเสร็จแล้วก็ยืดตัวขึ้นทันที แล้วเดินตรงต่อไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง
?องค์รัชทายาท...องค์รัชทายาท!? นางกำนัลน้อยจ้องมองแผ่นหลังของหลิวป๋อที่เดินห่างออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา มือที่ยังคงอยู่กลางอากาศชะงักค้างแข็งทื่ออยู่กับที่
จางถงรีบเร่งเดินตามฝีเท้าของหลิวป๋อไป อีกด้านหนึ่งก็หันไปพูดกับเหล่านางกำนัลที่กำลังล้อมวงมุงดูเรื่องสนุกว่า ?มองอะไรของพวกเจ้า? ไปทำงานเสีย! องครักษ์ที่อยู่ทางนั้น ลากนางเด็กนี่ไปลงโทษเสีย!?
ฝูงคนแตกฮือในฉับพลัน เหลือเพียงองครักษ์ผู้หนึ่งที่เดินมายังข้างกายนางกำนัลน้อยแล้วก็ย่อตัวลง ?ขอความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาท? เจ้าไม่รู้หรือว่าองค์รัชทายาทไม่ได้ยินเสียงแถมยังพูดไม่ได้? ดูท่าทางเจ้าคงจะเพิ่งเข้าวังมาจริงๆ?
?อะไรนะ? องค์รัชทายาทเขา...? ดวงตาของนางกำนัลน้อยเบิกถลนในทันใด
?ถูกต้อง รัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นคนใบ้ตัวจริงเสียงจริง!?

***

เสด็จแม่
ภายในตำหนักเจียวซู หลิวป๋อกางแขนออก ทำความเคารพต่อสตรีที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากขยับน้อยๆ แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดออกมา
ป๋อเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด
สตรีซึ่งเกล้าผมเป็นทรงมวยเมฆาสูงยกมือขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า นางประทินโฉมอ่อนๆ มีรูปโฉมละม้ายคล้ายคลึงกับหลิวป๋อ
นิ่งสงบ สุภาพเรียบร้อย ไร้จริตมารยา มิได้งามเฉิดฉันหยาดเยิ้มดั่งดอกโบตั๋น มิได้สวยสง่าเหมือนกับดอกเสาเย่า แต่กลับมีเอกลักษณ์ซึ่งโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด เหมือนกับดอกอิ๋งชุนฮวา ในฤดูใบไม้ผลิ
อาจจะเป็นเพราะราบเรียบเกินไป พอเทียบกับสตรีที่ในวัยสาวงามเลิศล้ำเย้ายวนใจ แต่พออายุค่อยๆ มากขึ้นกลับแก่ชราลงอย่างรวดเร็วเหล่านั้นแล้ว ใบหน้าของหวังฮองเฮาผู้นี้กลับดูเหมือนกาลเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ยังคงนิ่งสงบนุ่มนวลเหมือนดั่งวันวาน
นางก็คือมารดาของหลิวป๋อ ภรรยาเอกของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หวังอีอวิ๋น เป็นผู้ครอบครองตราประทับหงส์ สตรีผู้เป็นมารดาแห่งแผ่นดินต้าจาง
ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นคนใบ้อีกด้วย
การที่คนใบ้ได้กลายเป็นฮองเฮาถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ซ้ำนางยังให้กำเนิดบุตรชายที่เป็นใบ้มาอีกคน อีกทั้งยังได้เป็นถึงรัชทายาท มีแต่คำว่า ?ปรากฏการณ์? เท่านั้นที่สามารถบรรยายได้
แต่ว่าเมื่อเทียบกับชะตากรรมต่างๆ นานาที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องประสบพบเจอมา การที่คนใบ้ได้เป็นฮองเฮา เป็นรัชทายาท ก็ไม่ได้ดูแปลกประหลาดอันใดนัก
หลิวเป่าโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เป็นบุตรชายคนที่แปดของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ถือกำเนิดจากนางกำนัลผู้หนึ่ง องค์ชายต้อยต่ำที่ไม่มีผู้ใดหนุนหลัง ถูกชะตาลิขิตให้โดนมองข้ามมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ภายในตำหนักเย็น เขาและมารดาที่นอกจากถูกฮ่องเต้องค์ก่อนลวนลามยามดื่มสุราเมามายเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่เคยถูกเรียกตัวไปปรนนิบัติอีกเลยต้องใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน อดมื้อกินมื้อ อย่าว่าแต่ฮ่องเต้องค์ก่อนเลย เกรงว่าแม้แต่เหล่าข้าราชบริพารเองก็คงจะลืมว่ามีพวกเขาสองแม่ลูกอยู่ในวังด้วย
หลังจากแม่นมชราที่คอยดูแลพวกเขาทั้งสองลาจากโลกนี้ไป ผู้ดูแลฝ่ายในที่มีอำนาจก็ส่งแค่หวังอีอวิ๋นซึ่งเป็นนางกำนัลใบ้ที่พูดไม่ได้ ตำหนักไหนก็ไม่ต้องการไปยังที่พำนักอันซอมซ่อทรุดโทรมของพวกเขา
ดังนั้นด้วยความเห็นชอบจากมารดา หลิวเป่าในวัยสิบแปดปีจึงแต่งนางกำนัลที่พูดไม่ได้ผู้นี้เป็นภรรยา ได้มีสตรีคนแรกในชีวิตของเขา
ในปีที่สี่หลังจากหวังอีอวิ๋นให้กำเนิดหลิวป๋อแก่หลิวเป่า ฮ่องเต้องค์ก่อนก็เสด็จสวรรคต พี่ชายทั้งเจ็ดและน้องชายทั้งสองของหลิวเป่าต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์
ทว่าผลสรุปสุดท้ายกลับกลายเป็นหลิวเป่าซึ่งไม่เป็นที่โดดเด่น ไม่มีผู้ใดสนใจฉวยจังหวะจากสถานการณ์วุ่นวายร่วมมือกับญาติผู้พี่หลิวยวนซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าผู้ครองศักดินาที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ บุกเข้ายึดเมืองหลวงได้ในคราวเดียว
หลิวเป่าได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ หวังอีอวิ๋นได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา หลิวยวนเนื่องจากมีคุณงามความชอบ นอกจากที่ดินศักดินาที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว ยังได้รับมอบหมายได้ดูแลเมืองต่างๆ หลายแห่งซึ่งเดิมทีอยู่ในความรับผิดชอบของบรรดาพี่ชายของหลิวเป่า อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งเป็นหนิงอ๋อง สามารถกินเบี้ยหวัดจากราชสำนักไปได้ตลอดชีวิต
ส่วนองค์ชายน้อยที่พูดไม่ได้อย่างหลิวป๋อผู้นี้ก็ได้กลายเป็นรัชทายาทใบ้องค์แรกในประวัติศาสตร์แคว้นต้าจาง ได้ย้ายจากตำหนักเย็นอันเงียบเหงามาอยู่ในตำหนักเฉาหวาอันหรูหรา
สิบสี่ปีก่อนคงจะไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าคนทั้งสามในตำหนักเย็นจะได้กลายเป็นฮ่องเต้ ฮองเฮา และรัชทายาทในภายหลังกระมัง
ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง? รอบกายแม่ไม่สงบเลย...
หวังอีอวิ๋นยื่นมือออกมา ขยับมืออย่างงามสง่าเป็นภาษามือที่มีแต่พวกเขาสองแม่ลูกเท่านั้นที่เข้าใจความหมาย
ช่วงนี้คนที่คอยสอดแนมลูกถูกย้ายออกไปเกือบหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลิวป๋อขยับมือบอกด้วยรอยยิ้ม
เขามองดูจางถงที่ฉงนงงงวยอยู่ข้างๆ รอยยิ้มในดวงตายิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
การที่พูดไม่ได้บางครั้งกลับทำให้สะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยคนที่แอบสอดแนวพวกเขาสองแม่ลูกอยู่ในที่ลับและที่แจ้งก็มิอาจเข้าใจเนื้อหาในบทสนทนาของทั้งคู่ได้
เนื่องจากสองแม่ลูกทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ ดังนั้นมีช่วงระยะหนึ่งที่พวกหลิวเป่าสามคนพ่อแม่ลูกล้วนใช้ภาษามือสื่อสารความหมายกัน จนกระทั่งหลิวป๋อโตขึ้นเล็กน้อย เรียนรู้ตัวอักษรได้แล้ว ถึงค่อยฝึกใช้พู่กันและหมึกถ่ายทอดความคิดของตนเอง
ถึงแม้นางกำนัลที่คอยรับใช้แม่ลูกคู่นี้มานานปีส่วนมากจะเข้าใจภาษามือที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวันบ้างไม่มากก็น้อย แต่ว่าคนทั้งสามซึ่งในช่วงหลายปีมานี้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอันตรายและความลำบาก จะใช้ภาษามือที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจอย่างรู้กันเพื่อสื่อสารความลับต่อกัน...เฉกเช่นในยามนี้
ในสายตาคนนอก แม่ลูกที่กำลังยิ้มละไมบางๆ คู่นี้กำลังพูดคุยไต่ถามสารทุก์สุกดิบทั่วๆ ไปกันเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงกำลังสนทนาถึงเรื่องราวของบ้านเมืองกันอยู่
ป๋อเอ๋อร์รู้หรือไม่ ได้ยินว่าคราวนี้หนิงอ๋องจะเข้าวังมาอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อเจ้า
หนิงอ๋อง? หนิงอ๋องที่เมื่อปีนั้นหลังจากช่วยเหลือเสด็จพ่อให้ได้ขึ้นครองราชย์แล้วก็ประจำการอยู่ที่ชายแดนมาตลอดสิบกว่าปีผู้นั้น?
หลิวป๋อไม่เพียงแต่รู้จักบุคคลรุ่นพ่อผู้นี้ อีกทั้งยังคุ้นเคยกับชื่อเสียงเรียงนามของเขาเป็นอย่างดี
หนิงอ๋องได้รับสมญาณามว่าเทพเจ้าแห่งสงครามมาตั้งแต่เมื่อสิบสี่ปีก่อน เล่าขานกันว่าเขาเชี่ยวชาญแตกฉานทั้งบุ๋นและบู๊ อีกทั้งยังมีรูปโฉมงดงามอย่างเลิศล้ำ ถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเกริกก้องในรุ่นก่อน ทว่าบิดาของเขามิได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ก่อน ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ใช้ชีวิตเป็นท่านอ๋องน้อยผู้ว่างงานอยู่ที่ชายแดนทางเหนือ
แต่ว่าทองคำไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปล่งประกาย เนื่องด้วยโชคชะตามาบรรจบ หลิวยวนซึ่งเมื่อปีนั้นยังเป็นแค่ท่านอ๋องน้อยกับหลิวเป่าบุกทะลวงจากทางเหนือมาจนถึงเมืองหลวง บุกเบิกรากฐานแห่งราชันของยุคใหม่ สร้างชื่อเสียงเลื่องระบือไว้ในประวัติศาสตร์
ทว่าหนิงอ๋องผู้นี้ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง ก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้าสู่เมืองหลวงอีกเลย แม้แต่ในช่วงที่ท่านอ๋องทั้งหลายเข้าเมืองหลวงมาส่งบรรณาการและรายงานการปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่เคยเห็นท่านอ๋องผู้นี้เดินทางมายังเมืองหลวงเลยสักครั้ง
ในใจหลิวป๋อรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเคารพยำเกรงผู้อาวุโสท่านนี้มาโดยตลอด มิใช่เพียงเพราะความยิ่งใหญ่ของเขา แต่ยังเพราะความลึกลับของเขาอีกด้วย ดังนั้นพอได้รู้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อจะได้พบกับบุคคลในตำนานผู้นี้ ในใจของเขาก็รู้สึกดีใจอยู่นิดๆ
แต่น่าเสียดายที่เสด็จแม่ของเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้
ป๋อเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่าปีนั้นมีขุนนางใหญ่มากมายที่สนับสนุนให้หนิงอ๋องขึ้นครองราชย์ หวังอีอวิ๋นขมวดคิ้ว
ป๋อเอ๋อร์พลันแตกตื่นตกใจ จ้องมองใบหน้าเศร้าสร้อยเป็นกังวลของมารดา
ถึงแม้เสด็จพ่อของเจ้าจะเป็นพระโอรสในฮ่องเต้องค์ก่อน แต่คุณงามความชอบในการศึกของหนิงอ๋องและเสน่ห์ของเขา รวมถึงสายโลหิตที่สูงศักดิ์ไม่แพ้บิดาของเจ้า เคยเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งของเสด็จพ่อเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง
ถ้าเช่นนั้น...เหตุใดสุดท้ายคนที่ได้ขึ้นครองราชย์ถึงเป็นเสด็จพ่อเล่า?
หลิวป๋อไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุอันใดอยู่ๆ เสด็จแม่ถึงได้ย้ำเตือนเรื่องเก่าเมื่อปีนั้นกับตนเองขึ้นมาในวันนี้ที่เรื่องราวในอดีตได้จบสิ้นไปเนิ่นนานหลายปีแล้ว
หวังอีอวิ๋นผู้นุ่มนวลอ่อนโยนอยู่เป็นนิจเผยรอยยิ้มซึ่งเจือแววเย้ยหยันเล็กน้อยออกมา
บุรุษผู้นั้น คงจะไม่มีใครเดาออกหรอกว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไรกันแน่? แผ่นดินอันไพศาลถูกประเคนยกให้แต่กลับขอสละ มีแต่คนที่นิสัยเดายากอย่างเขาเท่านั้นแหละถึงจะทำได้ อย่างไรก็ตามป๋อเอ๋อร์ต้องระวังเอาไว้ให้ดี หลิวยวนมาคราวนี้คงมิได้แค่มาอวยพรให้แก่เสด็จพ่อเจ้าแน่ๆ!
หลิวป๋อขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงแค่ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด
หรือว่า...การที่หนิงอ๋องเข้าเมืองหลวงคราวนี้มีวัตถุประสงค์อื่น? เขามาเพื่อแย่งชิงแผ่นดินกลับคืนไป หรือว่าเพราะเหตุผลอื่นกันแน่?
ป๋อเอ๋อร์ แม่รู้จากหมอหลวงบอกว่าสุขภาพของเสด็จพ่อเจ้าแย่แล้ว...
หวังอีอวิ๋นคล้ายกับว่าไม่อยากวนเวียนอยู่กับหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับหนิงอ๋องอีก สายตาของนางหม่นหมองลง ก่อนจะกลับมามีสีหน้าท่าทีสงบเยือกเย็นเหมือนเดิมอย่างระแวดระวัง เพียงแต่รอยยิ้มแลดูฝืดเฝื่อนเล็กน้อย
ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ลูกไปเยี่ยมเสด็จพ่อที่ตำหนักเจี้ยนหนิงมา เสด็จพ่อเขา...เกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นเหมันตฤดูปีนี้ หลิวป๋อยิ้มขื่นพลางขยับมือบอก
ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้มาสิบกว่าปี แต่หลิวเป่าก็ใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญอยู่ในตำหนักเย็นมาตั้งแต่เยาว์วัย ร่างกายบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งโรคภัยเอาไว้ตั้งนานแล้ว กอปรกับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในปีนั้นแล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นต่อให้หลายปีมานี้ใช้โอสถชั้นเลิศไปมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
นอกจากนั้นตั้งแต่ตอนที่ชมหิมะในอุทยาหลวงเมื่อปีก่อนแล้วมิทันระวังเผลอโดนลมหนาวจนจับไข้เข้า ร่างกายของหลิวเป่าก็ย่ำแย่ลงทุกวี่วัน ดื่มโอสถไปก็ไม่น้อย แต่กลับไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย
หมอหลวงบอกว่าเขาพร่องทั้งเลือดทั้งลม ทว่าไม่มีวิธีใดจะรักษา ทำได้เพียงมองดูฮ่องเต้ซูบเซียวผ่ายผอมลงทุกวันๆ
ถ้าหากเป็นฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่ไร้ซึ่งคุณธรรมความดีก็แล้วไปเถิด ทว่าหลิวเป่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีซึ่งขยันทำงานราชกิจอยู่เป็นนิจ ทุกวันจะตรวจอ่านหนังสือฎีกาจนถึงยามสาม พอยามห้า ไก่ขันก็ออกว่าราชการในท้องพระโรง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ร่างกายก็ยิ่งรับภาระไม่ไหว หากมิใช่เพราะใช้โสมพันปีที่ได้รับบรรณาการมายื้อชีวิตเอาไว้ เกรงว่าป่านนี้คงจะล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้นไปแล้ว อาจจะถึงขนาดสิ้นชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นก็เป็นได้
หวังอีอวิ๋นนึกยินดีที่หลิวป๋อออกจากสถานที่ซึ่งไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนั้นมาได้ตั้งแต่อายุสี่ขวบ ถึงแม้ตอนนี้จะดูผ่ายผอมอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็แข็งแรงกว่าเสด็จพ่อของเขามาก
ในราชสำนักยังมีคนที่คัดค้านเรื่องตำแหน่งรัชทายาทของลูกอยู่มากมาย...หลิวป๋อสีหน้าจนปัญญา
ป๋อเอ๋อร์ แม่จะไม่ยอมให้พวกเขาได้สบโอกาสแน่นอน ครั้งนี้พวกเราจะแพ้ไม่ได้! ไม่ว่าจะพวกขุนนางที่คัดค้านเจ้า หรือว่าหนิงอ๋องที่มีจุดประสงค์ชั่วร้าย แม่จะไม่ยอมให้พวกเขามาเป็นก้อนหินพันเท้าลูกแน่ หวังอีอวิ๋นขมวดคิ้ว
หลิวป๋อยื่นมือออกไปดึงฝ่ามือของมารดาที่เต็มไปด้วยรอยหยาบกร้านขึ้นมา เมื่อปีนั้นก็ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเสด็จพ่อจะโดดเด่นเหนือใครในการต่อสู้ระหว่างองค์ชายทั้งหลายมิใช่หรือ? ในเมื่อเสด็จพ่อทำได้ ถ้าอย่างนั้นป๋อเอ๋อร์ก็ต้องทำได้เช่นกัน!
แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเขาปลอบประโลมหัวใจของหวังอีอวิ๋นให้สงบลง หัวคิ้วนางจึงค่อยๆ คลายออก
หลิวป๋อก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน เขาตบหลังมือของมารดาเบาๆ รอยกร้านหนาๆ และผิวพรรณหยาบกระด้างราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวในวันวานเมื่อครั้งที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต้องลำบากยากเข็ญเพียงใดเพื่อจะได้กินข้าวสักคำหนึ่ง
ริมฝีปากบางสีดอกอิงฮวา ของเขาเม้มขึ้น ในแววตาเปล่งประกาย เขาแอบสาบานในใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องรักษาอำนาจที่แลกมาด้วยชีวิตของเสด็จพ่อและหยาดเหงื่อแรงกายทั้งชีวิตนี้เอาไว้ให้ได้ พวกเขาสองแม่ลูกจะไม่ยอมถูกผู้ใดรังแกอีกแล้ว
ไม่มีวัน!
หวังอีอวิ๋นจับมือของบุตรชายเอาไว้แทนอย่างไร้คำพูด พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการให้กำลังใจ
ในสระน้ำนอกตำหนักเจียวซู ใต้ดอกบัวตูมที่รอวันผลิบาน ปลาหลีฮื้อ สีทองแหวกว่ายไปมาอย่างสำราญใจทว่าไร้สุ้มเสียง
หากมองดูจากไกลๆ แม่ลูกที่นิ่งเงียบทั้งสองคนก็เหมือนกับปลาหลีฮื้อสองตัวที่แหวกว่ายอย่างเงียบงัน ถูกจองจำอยู่ในบ่อน้ำอันงดงามตระการตาของวังหลวงแห่งนี้ เหมือนมัจฉาสีทองที่ดูแล้วเป็นเพียงสิ่งของตั้งแสดงเอาไว้เท่านั้น ไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านได้แม้แต่เศษเสี้ยว ราวกับว่าอาจจะถูกคนกระทำตามใจชอบเมื่อไรก็ได้...
สายตามองหลิวป๋อทอดมองเลยไหล่ของมารดาออกไปไกลแสนไกล จ้องมองไปยังกำแพงวังซึ่งอยู่ไกลออกไปแล้วระบายรอยยิ้มออกมาจางๆ
อ่อนแออย่างนั้นหรือ? บางครั้งความอ่อนแอก็เป็นอุบายในการป้องกันตนเองอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้อื่นไม่นึกหวาดระแวง





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
?ท่านอาจารย์ไม่ชอบสอนหนังสือป๋อเอ๋อร์หรือ? พอดีเลย ป๋อเอ๋อร์ก็ไม่ชอบเหมือนกัน!?
หลิวป๋อได้เจอกับเยี่ยจื่อตันเป็นครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดชังยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้คนผู้นี้มีบิดาทะเยอทะยาน ดันคิดจะดึงเขาลงจากตำแหน่งรัชทายาท กอปรกับเยี่ยจื่อตันเป็นถึงจอมเสเพลผู้เลื่องชื่อ เอาแต่เที่ยวหาความสำราญที่หอนางโลมอยู่ร่ำไป ให้คนแบบนี้มาสอนหนังสือเขา เขาไม่ถูกสั่งสอนจนเสียผู้เสียคนก็ถือว่าบรรพบุรุษสั่งสมบุญบารมีไว้มากมายแล้ว
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวกลับแตกต่างจากที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง... หลังจากได้เป็นอาจารย์ เยี่ยจื่อตันก็ปรับเปลี่ยนนิสัยลอยชายดั่งแต่ก่อน ไม่เพียงแต่เอาจริงเอาจัง ซ้ำยังปกป้องเขาแม้ต้องแตกหักกับคนในครอบครัว แล้วยังสัญญาอย่างหนักแน่นว่าจะคอยอยู่เคียงข้างเขาไปชั่วชีวิต พอรับรู้ถึงความอ่อนโยนและเอาใจใส่ของเยี่ยจื่อตัน เขาก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองค่อยๆ อ่อนระทวย...
เดี๋ยวก่อน เบื้องหลังทั้งหมดนี้คงมิได้มีแผนการร้ายอันใดใช่หรือไม่? ขะ...เขาไม่หลงกลหรอกนะ ต้องเป็นเขาต่างหากที่หลอกใช้เยี่ยจื่อตันเพื่อรักษาตำแหน่งของตนและเพื่อสืบหาความลับที่แอบซ่อนอยู่ในการแย่งชิงบัลลังก์เมื่อสิบสี่ปีก่อน!


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”