New Release : โรเซนครอยส์ ภาค อองช์ นครหลวงอันเป็นนิรันดร์ (เล่ม12 จบ)

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : โรเซนครอยส์ ภาค อองช์ นครหลวงอันเป็นนิรันดร์ (เล่ม12 จบ)

โพสต์ โดย Gals »

บทที่ 1

หลังจากเรอเน่หลบหนีจากอองช์มาสมทบ กองทัพอากิแตนก็ย้ายมาพำนักในตำหนักเชเรท์ ตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากอองช์ในระยะเดินทางราวหนึ่งวัน อดีตเคยเป็นที่ตั้งของนครหลวงในรัชสมัยของพระเจ้ากองส์ซึ่งเป็นกษัตริย์สิบรัชกาลก่อน
การกลับมาของดยุคมงฟอรต์ ผู้สำเร็จราชการที่หายสาบสูญไม่ทราบชะตากรรม ทำให้ทัพอากิแตนคว้าชัยเหนือทัพฟาเลนในการต่อสู้ที่ป้อมป่าบาวมุซได้อย่างงดงาม นอกจากทัพข้าศึกที่รุกเข้าประชิดชายแดนจะล่าถอยไปแล้ว กษัตริย์เรอเน่ผู้เยาว์วัยที่ตกเป็นตัวประกันยังได้รับความช่วยเหลือจนกลับมาโดยสวัสดิภาพ
ที่เหลือก็แค่ไล่ทัพอัลเบียนออกไปจากอองช์เท่านั้น บรรยากาศในหมู่ไพร่พลเปี่ยมด้วยความสดใส ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ดยุคมงฟอรต์ยังเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่รู้ แถมกษัตริย์เรอเน่ก็ตกเป็นเชลยของศัตรู บางทีอากิแตนอาจล่มสลายไปทั้งๆ อย่างนี้ก็ได้ เหล่าทหารเคยทำหน้าหม่นหมองเพราะคิดเช่นนั้น แต่บัดนี้กลับทำงานอย่างมีชีวิตชีวาพลางส่งเสียงเอ็ดอึงราวกับเป็นเรื่องโกหก
?....แต่แกรนด์ดัชเชสที่เป็นพระคู่หมั้นยังเป็นตัวประกันอยู่ไม่ใช่เรอะ??
?นางไม่เกี่ยวซะหน่อย? ถึงจะเป็นคู่หมั้น แต่เดิมทีก็เป็นแค่เจ้าหญิงประเทศอื่น นอกจากนั้น ถ้าเป็นมหาอำนาจเหมือนฟาเลนกับรุสซี หรืออยู่ใต้อาณัติของสันตะสำนักที่ลอมบาร์เดียยังว่าไปอย่าง แต่เอเบลไฮต์เป็นแค่ประเทศภูเขาบ้านนอกคอกนา....?
พลทหารที่แบกกระสอบข้าวสาลีอยู่บนบ่าหันไปหาเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะลิ้นแข็งทื่อไปทั้งๆ อย่างนั้น
เพราะอัศวินผมเงินผู้ถือกำเนิดจาก ?ประเทศภูเขาบ้านนอกคอกนา? กำลังจ้องมาทางนี้จนตาเขียว พลทหารและเพื่อนร่วมงานที่สังเกตเห็นเช่นกันค่อยๆ ย่องเข้าไปหลบในเงาเกวียนเทียมม้า
?ให้ตายสิ พูดจาไม่รู้จักคิด!?
?อย่าคิดมากเลยน่า ซาล่า ดยุคมงฟอรต์ไม่ใช่คนประเภทที่จะเพิกเฉยต่อเจ้าหญิงหรอก?
ซาลาแวนต์โกรธจัด ยังคงถลึงตามองเกวียนที่พลทหารแอบอยู่ไม่เลิก ฟานที่เดินอยู่ข้างๆ จึงพูดปราม
ทั้งสองเป็นอัศวินแห่งเอเบลไฮต์ ข้าราชบริพารผู้จงรักภักดีของมาร์การีต แกรนด์ดัชเชสผู้เป็นกษัตริย์ทั้งที่ยังเยาว์วัยเพียงสิบชันษาเช่นเดียวกับเรอเน่ ขณะนี้พวกเขาร่วมทัพอยู่กับอากิแตนในฐานะประเทศพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือมาร์การีตที่ถูกจับตัวไปอีกครั้ง
?ข้ารู้ ฟาน เจ้านั่นแหละเลิกคิดมากได้แล้ว?
?เรื่องอะไร??
เท้าที่เดินนำอยู่หยุดชะงัก ฟานหันหน้ากลับไปถาม อัศวินผมเงินจึงตอบผู้เป็นสหายด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างผิดวิสัย
?เรื่องที่เจ้าหญิงโดนจับไปอีกครั้งไม่ใช่ความผิดของเจ้า?
?ข้าไม่คิดว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งหมดหรอก แต่ครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะข้า
ถ้าตอนนั้นข้าบังคับเกวียนได้ดี เจ้าหญิงคงไม่กระเด็นออกไป แถมดัชเชสก็จะไม่ต้องช่วยนางจนถูกทิ้งไว้ที่นั่น....?
ฟานวางแผนกับเซซิลเพื่อช่วยมาร์การีตและเรอเน่ แม้นายพลที่ชื่อเอรีคจะบุกเข้ามากลางคันเพราะหมายหัววันเดอริส แต่ตอนที่นั่งเกวียนออกมาจากคฤหาสน์ ฟานก็หลงเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
จนกระทั่งเสียงปืนที่เจ้าอาร์มองนั่นเตรียมไว้ดังกึกก้อง
?ความผิดพลาดของข้าทำให้ท่านปิ๊กนี่พลอยเป็นอย่างนั้นไปด้วย....?
ปิ๊กนี่เข้ากำบังกระสุนปืนเพื่อปกป้องพวกเขา แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่อาการของเขาในตอนนี้ใช่ว่าจะประมาทได้ ได้ยินว่าซูซานน่าที่หลบหนีจากอองช์มาพร้อมเรอเน่คอยเฝ้าดูแลไม่ยอมห่าง
?ฟาน! ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของเจ้าถึงขนาดนั้นเลยนะ!?
?ข้ารู้! นั่นอาจเป็นเพียงอุปัทวเหตุที่เกิดจากความบังเอิญมากมายทับซ้อนกันจึงไม่มีใครคาดการณ์ได้ แต่....ข้าอดคิดไม่ได้ อย่างน้อย....หากข้าสังเกตเห็นเจ้าจิ้งจอกอัลเบียนนั่นให้เร็วเท่าท่านปิ๊กนี่ ข้าอาจรับบังเหียนมาควบคุมได้ดีกว่านั้นสักเล็กน้อยก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเกวียนก็คงจะไม่โยกคลอนจนเจ้าหญิงกระเด็นออกไป....ข้าเอาแต่คิดเรื่องที่คิดป่านนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า....?
?ฟาน....?
ซาลาแวนต์จ้องหน้าฟานที่ขำเฝื่อนคล้ายจะเยาะหยันตัวเอง
?พูดอะไรของเจ้า! เซื่องซึมยกใหญ่แบบนั้นไม่สมเป็นเจ้าเอาซะเลย! ฟาน!?
ชายหนุ่มโพล่งเสียงดังคล้ายกับกำลังโกรธพลางตบหลังอีกฝ่ายสองป้าบ
?ถึงตัวเองจะผิดก็ยังใช้ลิ้นช่างเจรจานั่นกลบเกลื่อน แบบนั้นถึงจะสมเป็นเจ้ามากกว่า เซอร์ฟาน เลอ เดอ ดิวตี้แห่งเอเบลไฮต์ผู้มีลิ้นแปดแฉกมัวแต่เซื่องซึมเพราะพลาดท่าแค่หนสองหน น่าเวทนาชะมัด?
?ซาล่า....เจ้านี่นะ?
ฟานที่โดนตบหลังเต็มแรงนิ่วหน้า แต่แล้วก็ผุดยิ้.
?มัวแต่บ่นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่วยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
ที่สำคัญกว่านั้น ต้องคิดว่าจะพาเจ้าหญิงกลับมายังไงต่างหาก?
?อา ใช่แล้ว ฟาน! คิดอย่างนั้นสิถึงจะสมเป็นเจ้า!?
แม้วิธีปลอบใจจะไม่ได้เรื่อง แต่ฟานก็ดีใจกับความรู้สึกของสหาย หลายวันมานี้เขาเอาแต่เซื่องซึม ซาลาแวนต์คงทนดูเฉยๆ ไม่ได้
ทันใดนั้น ฟานก็แหงนมองหอคอยที่บังเอิญเดินผ่าน
บางทีเจ้าชายแห่งอัลเบียนที่โดนกักขังอยู่บนนั้นก็น่าจะซึมอยู่เหมือนกัน
ซ้ำยังอยู่ตามลำพังโดยไม่มีสหายคอยปลอบใจ....
....แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของข้านี่นะ
?เป็นอะไรไป? ฟาน?
?เปล่า ไม่มีอะไร ซาล่า?
ฟานหันหลังใส่หอคอย ก่อนจะเดินเคียงไหล่ซาลาแวนต์ผละออกจากบริเวณนั้น

***

วันเดอริสจมปลักอยู่ในความเกลียดชังตนเองอย่างล้ำลึกดังที่ฟานคิดนอกหอคอย
แม้จะตกเป็นเชลยของอากิแตนและถูกกักขังอยู่ภายในหอคอย แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่คุกใต้ดิน อีกทั้งแขนขาก็มิได้โดนล่ามด้วยโซ่ตรวน
....โดนขังแบบนั้นยังสบายใจเสียกว่า
ห้องที่วันเดอริสอยู่เป็นห้องรับแขกสำหรับชนชั้นสูง อาหารและการดูแลถือว่าดีเยี่ยม แต่นั่นกลับทำให้อึดอัด
ไม่สิ บางทีนี่อาจเป็นความรู้สึกผิดที่ตนรอดชีวิตมาได้มากกว่า
วันเดอริสยังไม่รู้แน่ชัดว่าราลเซนสิ้นใจแล้วหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจคิดในแง่ดีว่าบางทีอาจยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ อีกฝ่ายคือนายพลเอรีคคนนั้น เมื่อวันเดอริสที่หมายหัวเอาไว้หนีรอดมาได้ นายพลหมูป่านั่นย่อมเดือดดาล พุ่งเป้าความโกรธไปยังราลเซนที่ช่วยปกป้องเป็นแน่ มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังชุลมุนเพราะมีทหารมากมาย ในเวลาเช่นนั้น ต่อให้ผู้บัญชาการไม่ตั้งใจก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน
บางทีการลอบสังหารเขาก็อาจเล็งไว้ให้เป็นเช่นนั้น หากดูแต่ภายนอกก็จะเข้าใจว่าวันเดอริสคัดค้านและแข็งขืนต่อการจับกุมเซซิล ระหว่างที่เข้าปะทะกันอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อระงับการต่อต้านของเขา พลทหารคนหนึ่งก็เกิดพลาดพลั้งมอบแผลฉกรรจ์ให้กับมกุฎราชกุมาร....เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมอ้างว่าความตายของเขาเป็นแค่อุบัติเหตุได้
ป่านนี้ราชวังอองช์คงกำลังจัดงานศพให้ตนอยู่....คิดแล้ววันเดอริสก็หัวเราะหึๆ หากทำลายใบหน้าแล้ว จะใช้ศพที่ไหนมาแทนก็ย่อมได้ ไม่มีทางที่ฮาโรลด์คนนั้นจะไม่คิดเรื่องนี้
งานศพของตนเองไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะได้ชมกันง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นก็อยากเห็นสักครั้ง....
โคฟินที่สองผู้เป็นบิดาจะเกาะโลงศพของวันเดอริสกันแสงหรือเปล่าหนอ? แสร้งเล่นละครเป็นบิดาที่หลั่งน้ำตาในงานศพของโอรสที่ตนเป็นผู้สั่งฆ่า
วันเดอริสรู้ว่าบิดาของตนโดนฮาโรลด์ เนวิล....ไม่สิ อาร์มองเป่าหูด้วยคำหวาน โคฟินที่สองเป็นคนไร้ความสามารถ เขาจึงกริ่งเกรงโอรสผู้ปรีชาอยู่เสมอ บางทีอาจรู้สึกด้อยกว่าด้วยก็ได้ เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นผนวกกับความรักที่มีต่อนางสนมที่กำลังตั้งครรภ์ เขาก็ย่อมคิดเข่นฆ่าได้แม้กระทั่งลูกชายในสายเลือดของตนเอง นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ไม่สิ หากบอกว่านั่นคือสิ่งที่เรียกว่ากษัตริย์ วันเดอริสก็ไม่มีคำใดจะโต้แย้ง
ถึงกระนั้น การเกือบโดนบิดาบังเกิดเกล้าสังหารก็ทำให้วันเดอริสช็อกไม่น้อย จริงอยู่ที่เขาเคยดูแคลนบิดาผู้แสนธรรมดา แต่บางแห่งในใจเขาก็ยังพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่าความรักของผู้ให้กำเนิดอยู่บ้าง มิหนำซ้ำยังหลงเชื่อว่าหากขาดตนไปแล้ว ประเทศชาติย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ได้
แต่แล้วเขาก็ตระหนักว่าภาพลวงตานั้นเป็นสิ่งที่พังทลายลงได้อย่างง่ายดาย
ป่านนี้ฮาโรลด์ ไม่สิ อาร์มองคงกำลังหัวเราะลั่น วันเดอริสไม่โกรธแค้นที่โดนหักหลังเพราะเอือมระอาตนเองที่มั่นใจอย่างประหลาดว่าสามารถใช้งานชายอันตรายผู้นั้นได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเขาโกรธแค้น....เรื่องที่สูญเสียราลเซนไปเพราะแผนร้ายของชายคนนั้น แต่สุดท้าย นั่นก็เป็นผลตอบแทนจากการที่ตนเมินเฉยต่อคำเตือนของราลเซนที่ว่าชายคนนั้นอันตรายเรื่อยมา ยิ่งคิด ความรู้สึกอยากแก้แค้นก็ยิ่งไม่มีทีท่าจะผุดขึ้น
วันเดอริสเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด คนของอากิแตนที่ไม่เคยเห็นหน้าก้าวเข้ามา เสื้อผ้าที่ปราศจากดาบและบรรยากาศของเจ้าตัวบ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ทหาร ท่าทางคงเป็นมหาดเล็กที่รับใช้ในวัง
ชายคนนั้นคำนับราวกับมิได้อยู่ต่อหน้าเชลย หากแต่เป็นแขกผู้มีเกียรติ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
?ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าอยากเชิญพระองค์ไปดื่มชา ว่าอย่างไรพระเจ้าค่ะ??
?ชา??
วันเดอริสกังขา ไม่เข้าใจความหมายที่เรอเน่เชิญตนในตอนนี้ไปหา
เขาผุดยิ้มเสียดเย้ย
?ตัวข้าในตอนนี้คงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ใช่รึ? ข้าเป็นเชลยนี่นะ?
?หมายความว่าจะทรงรับคำเชิญของฝ่าบาทสินะพระเจ้าค่ะ??
มหาดเล็กตอบด้วยท่าทีสุภาพแต่เปลือก สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะได้ยินถ้อยคำเสียดสีของวันเดอริส
?ถูกต้อง?
?ถ้าเช่นนั้น เชิญทางนี้พระเจ้าค่ะ?
วันเดอริสตามหลังมหาดเล็กออกจากห้อง

?ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาของกษัตริย์อากิแตน กษัตริย์ที่นี่มีธรรมเนียมต้อนรับเชลยด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ??
วันเดอริสเอ่ยขึ้นโดยไม่นั่งลงบนเก้าอี้ตามที่โดนเชื้อเชิญ
โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางห้องอันกว้างขวาง ขอบโต๊ะทั้งสองด้านยาวพอสำหรับนั่งได้ราวหลายสิบคน
เรอเน่นั่งหันหลังให้เตาผิงและเครื่องประดับกำแพงอันหรูหรา โดยมีดยุคมงฟอรต์ ผู้สำเร็จราชการชุดดำนามออสการ์อยู่เคียงข้าง
?เชลยอะไรกัน! เราเชิญเจ้าชายมาที่ตำหนักแห่งนี้โดยถือว่าท่านเป็นแขกคนสำคัญของเรา ท่านคงทราบดีว่าช่วงนี้ทางเรากำลังยุ่งอยู่กับหลายๆ อย่าง ขออภัยด้วยที่ที่ผ่านมามิได้ต้อนรับท่านด้วยตัวเอง เราดีใจเป็นอย่างยิ่งที่หาโอกาสพูดคุยกับท่านสบายๆ เช่นนี้ได้เสียที เชิญท่านนั่งก่อนเถิด?
เมื่อเรอเน่บอกหน้าระรื่น วันเดอริสก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลงหน้าโต๊ะอาหาร หากอีกฝ่ายเป็นออสการ์ที่อยู่ข้างๆ วันเดอริสคงพูดเหน็บแนมสักคำสองคำไปแล้ว แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเด็ก ขืนทำตัวดื้อดึงเช่นนั้นคงดูไม่สมเป็นผู้ใหญ่กันพอดี
ที่นั่งของวันเดอริสอยู่ตรงข้ามกับเรอเน่พอดิบพอดี หมายความว่าทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ไกลห่างจากกัน
ผู้ที่อยู่ในห้องประกอบด้วยวันเดอริส เรอเน่ และอัศวินเฝ้าประตูอีกสองนาย แม้จะมีคนรับใช้นำเครื่องเสวยเข้าออก แต่พวกเขาไม่ได้ถืออาวุธจึงไม่นับ
ประตูที่พวกอัศวินยืนเฝ้าอยู่ห่างจากเก้าอี้ของวันเดอริสค่อนข้างมาก นอกจากพวกนั้นแล้วอาจมีทหารแอบซ่อนอยู่อีก แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนจะมีอาวุธแค่ดาบที่เหน็บเอวอยู่เท่านั้น
หมายความว่าต่อให้วันเดอริสเคลื่อนไหวกะทันหัน พวกเขาย่อมไม่สามารถหยุดยั้งได้ทันการณ์
....ไม่สิ ไม่ไหวหรอก
ระยะห่างระหว่างเขากับที่นั่งของเรอเน่อยู่ไกลกันยิ่งกว่าระยะห่างจากอัศวินเฝ้าประตูเสียอีก ต่อให้เข้าใกล้เรอเน่สำเร็จ ออสการ์ที่อยู่ข้างๆ ย่อมชิงเคลื่อนไหวได้ก่อน
สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะมีเพียงถ้วยชาว่างเปล่าและถาดเงินบรรจุขนมหวานกองพะเนิน ถึงจะขว้างปาใส่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะทำให้บาดเจ็บอะไรมากมาย
ที่สำคัญ ทำเรื่องพรรค์นั้นไปก็ไม่มีความหมาย ขืนกษัตริย์อากิแตนเป็นแผลแม้แต่ปลายก้อยรับรองได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ วันเดอริสคงไม่พ้นโดนจับกลับไปขังในห้องบนหอคอย หรือคราวนี้อาจโดนจับโยนเข้าห้องขังสำหรับนักโทษ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจโดนออสการ์ที่โกรธจัดบั่นศีรษะทิ้งเสียตรงนั้นเลยก็ได้
จับเรอเน่เป็นตัวประกันแล้วหลบหนีไป วันเดอริสครุ่นคิดวิธีการนั้นอย่างจริงจังก่อนจะยิ้มเฝื่อน
ในตัวข้ายังมีความมุ่งมั่นพรรค์นั้นอยู่อีกหรือ
ต่อให้จับยุวกษัตริย์เป็นตัวประกันแล้วหวนกลับไปยังพระราชวังอองช์ที่ถูกยึดครองโดยอัลเบียน ที่นั่นก็ไม่ใช่ที่สำหรับวันเดอริสอีกแล้ว บิดาของเขาจะแสร้งทำเป็นดีใจว่า ยังมีชีวิตอยู่รึ! แล้วต้อนรับขับสู้ต่อหน้าข้าราชบริพารหรือเปล่าหนอ ไม่สิ ชะรอยคงกล่าวหาว่าเป็นตัวปลอม เป็นแผนร้ายของอากิแตน! ทันทีที่เห็นหน้าเสียมากกว่า....
วันเดอริสจมดิ่งในห้วงคิด แต่แล้วก็เบิกตาโตเมื่อข้ารับใช้รินของเหลวสีอำพันหอมกรุ่นลงในถ้วย
?นี่มัน....?
?เราคิดว่าสิ่งนี้น่าจะถูกปากชาวอัลเบียนมากกว่า?
นั่นคือน้ำชา ราชสำนักอัลเบียนนั้นโปรดปรานชาซึ่งมาจากเซียน่าตั้งแต่สมัยที่ยังได้ชื่อว่าโลกริส
ปกติแล้วบุรุษชาวอากิแตนนิยมดื่มกาแฟ ส่วนสตรีและเด็กโปรดปรานช็อกโกแลตมากกว่า ถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าออสการ์คงบรรจุของเหลวสีดำสนิทเป็นแน่ ส่วนถ้วยตรงหน้าเรอเน่ก็คงเป็นช็อกโกแลตรสหวาน
เครื่องดื่มที่แตกต่างของทั้งสามดูราวกับแสดงถึงความหมายของการสนทนาอันแปลกประหลาดครั้งนี้ วันเดอริสคิด
มกุฎราชกุมารที่ถูกกักขังในเขตแดนของศัตรูดื่มชาที่โชยกลิ่นอัลเบียน ช่างเป็นเรื่องเสียดเย้ยสิ้นดี
?ที่ผ่านมาเจ้าชายพำนักอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้ก็จริง แต่ห้องในหอคอยคงจะทำให้อึดอัดไม่น้อย จากนี้ไปเชิญพระองค์เคลื่อนไหวตามใจชอบเถิด อยากไปที่ใดก็แล้วแต่ใจปรารถนา?
?....หมายความว่าอย่างไรกัน??
ออสการ์เอ่ยเนิบนาบ วันเดอริสทำหน้าเคลือบแคลง
?แต่ก็อย่างที่ฝ่าบาทตรัสเมื่อครู่ ขณะนี้ภายในอากิแตนกำลังยุ่ง บางสถานที่อาจวุ่นวายอยู่บ้าง หากเป็นไปได้ พระองค์ควรเสด็จออกจากอากิแตนโดยเร็วที่สุด ทางอากิแตนจะเตรียมม้าและเงินที่จำเป็นสำหรับเดินทางให้เดี๋ยวนี้?
หมายความว่าจะยอมปล่อยเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นรีบไสหัวไปจากประเทศนี้ซะ
วันเดอริสนิ่งเงียบ ไม่เปล่งถ้อยคำในทันทีเพราะไม่อาจคาดเดาเจตนาที่แท้จริงของออสการ์ ผู้สำเร็จราชการชุดดำจึงถอนหายใจคล้ายจะบอกว่าช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
?ว่ากันตามตรงแล้ว พระองค์ไม่มีค่าในฐานะตัวประกัน?
?....!?
ภาพในสายตาพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ หมัดที่อยู่ใต้โต๊ะอาหารกำแน่น วันเดอริสพยายามข่มกลั้นไม่ให้เผลอตวาดออกไป
เพราะหากอาละวาดตอนนี้ก็เท่ากับยอมรับคำกล่าวของออสการ์
เป็นความจริงที่ว่าต่อให้ทางอากิแตนจับกุมเขาเอาไว้เช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ปกติแล้ววันเดอริสควรกลายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับเซซิลและมาร์การีตที่โดนฝั่งอัลเบียนกักตัวอยู่
ทว่าโคฟินที่สองคงไม่คิดจะตกลงตามนั้น เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้บงการให้สังหารโอรสด้วยตนเอง
นั่นเป็นเพียงความเข้าใจผิดของวันเดอริส เพราะทั้งหมดเป็นกับดักเจ้าเล่ห์ของอาร์มองที่พยายามพรากพ่อลูกออกจากกัน ทว่าสำหรับวันเดอริสในตอนนี้ เรื่องนั้นถือเป็นความจริง
สำหรับฟานที่เห็นเหตุการณ์นั้นและพวกออสการ์ที่ได้ฟังรายงานก็เช่นกัน
ใครๆ ล้วนเข้าใจว่าวันเดอริส มกุฎราชกุมารแห่งอัลเบียนถูกกษัตริย์ผู้เป็นบิดาทอดทิ้ง ทั้งยังตกหลุมพรางของข้าราชบริพารอย่างเซอร์อินทรีดำเข้าอย่างจัง
?ขืนกักตัวไว้ที่นี่แล้วพระองค์ก่อเรื่องวุ่นวายเพื่อหลบหนีก็คงกลายเป็นเรื่องยุ่งเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ปล่อยให้เป็นอิสระตั้งแต่ตอนนี้จะสบายเสียกว่า?
ออสการ์พูดจาราวกับกำลังจะโยนสัมภาระที่น่ารำคาญทิ้งไป
?หมายความว่าถึงปล่อยข้าไปก็ไม่เป็นไรงั้นรึ??
วันเดอริสยิ้มห้าวหาญ สิ่งที่ประคับประคองจิตใจของเขาในยามนี้มีเพียงความเป็นอริต่อออสการ์....และเศษซากศักดิ์ศรีของมกุฎราชกุมารแห่งอัลเบียนที่มิอาจทำตัวสับสนจนน่าสมเพชต่อหน้าผู้อื่นได้
?ระวังจะเสียใจภายหลังว่าถ้ารู้อย่างนี้ กำจัดวันเดอริสเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็ดีหรอก?
?โฮ่ กระหม่อมก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ขืนพระองค์หมดสิ้นกำลังใจเพราะเสียเชิงเพียงครั้งสองครั้งแล้วหนีไปพักผ่อนอย่างสงบอยู่แถวชไวซ์ ทางเราที่เป็นฝ่ายปล่อยไปคงนอนหลับไม่สบายสักเท่าไหร่?
?ข้าเป็นชาวอัลเบียน! ไม่คิดลี้ภัยไปที่อื่น!?
?ถ้าเช่นนั้นก็เชิญเสด็จกลับอาณาจักรเถิด ทุกคนคงยินดีกับการกลับไปของเจ้าชาย เพราะถึงอย่างไร พระองค์ก็เป็นอัศวินแห่งอัลเบียน เป็นวีรบุรุษ เป็นมกุฎราชกุมารที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ในวันหน้า?
?........?
ทั้งที่โวยวายว่าไม่ยอมลี้ภัย แต่พอโดนไล่กลับประเทศ วันเดอริสกลับพูดไม่ออก
การกลับไปย่อมหมายถึงการเผชิญหน้ากับบิดา ประเทศอาจแบ่งเป็นสองฝ่ายห้ำหั่นกัน หากพลาดพลั้งไป นอกจากสามแผ่นดินที่อุตส่าห์รวมเป็นหนึ่งสำเร็จอาจแตกแยกอีกครั้งแล้ว ดีไม่ดีอัลเบียนอาจถึงกาลอวสานก็เป็นได้
?เจ้าชายวันเดอริส?
ผู้ที่เอ่ยเรียกวันเดอริสที่กำลังสับสนและกลัดกลุ้มมิใช่ผู้สำเร็จราชการชุดดำ หากแต่เป็นเรอเน่ที่นิ่งฟังอยู่ข้างๆ
วันเดอริสมองเรอเน่ที่เอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายจะอยู่ในสายตา ทั้งยังแลกเปลี่ยนคำทักทายกันเมื่อครู่ แต่วันเดอริสก็นึกว่าเด็กชายผู้เยาว์วัยคนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดของผู้สำเร็จราชการเท่านั้น
ทว่าเรอเน่กลับพูดกับเขาด้วยเจตจำนงของตนเองอย่างชัดเจน
?มีอะไรหรือ? ฝ่าบาทเรอเน่?
?พวกเราน่าจะเป็นพันธมิตรที่ดีได้นะ?
วันเดอริสทำหน้ากังขา แม้ตอนนี้สถานะจะกลับตาลปัตร แต่เขาก็เคยจับเรอเน่เป็นเชลยอยู่ระยะหนึ่ง แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงกล่าวว่าตนเป็นพันธมิตรเล่า
?ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่ยามนี้อากิแตนกับอัลเบียนอยู่ระหว่างทำศึกกัน เอ่อ....?
วันเดอริสตั้งใจจะพูดว่า มกุฎราชกุมารอย่างข้า แต่กลับหุบปากลงเสียก่อน เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าสามารถกล่าวคำนั้นได้เต็มปาก น่าเศร้าเหลือเกิน
?เราไม่ได้บอกว่าอยากผูกไมตรีระหว่างประเทศ แต่เราอยากเป็นมิตรกับท่านเป็นการส่วนตัวต่างหาก เพราะพวกเรามีศัตรูร่วมกันไงล่ะ?
?หมายถึง....??
?ชายที่พวกท่านเรียกว่าฮาโรลด์ เนวิล หรือเซอร์อินทรีดำ ซึ่งพวกเราเรียกว่าอาร์มองเสมอมา เคานต์ริชมองต์....ไม่สิ ควรเรียกว่าอดีตเคานต์จะดีกว่า เพราะแผ่นดินนี้ไม่มีบรรดาศักดิ์และดินแดนสำหรับเขาอีกแล้ว?
วันเดอริสรู้เรื่องนั้นเช่นกัน ชายคนนั้นเคยเป็นเคานต์ในอากิแตน ก่อนจะหักหลังดยุคมงฟอรต์ผู้เป็นสหาย มิหนำซ้ำยังพยายามสังหารเขา ตั้งใจจะยึดอากิแตนโดยใช้เรอเน่เป็นหุ่นเชิด เรื่องราวนั้นเป็นที่ล่วงรู้ทั่วทวีปตะวันตก
ทว่าวันเดอริสกลับรับบุรุษที่ก่อเรื่องใหญ่เช่นนั้นเป็นบริวาร ถึงจะเป็นสัตว์อันตรายที่ไม่รู้ว่าจะทรยศกันเมื่อไหร่ แต่ความเฉลียวฉลาดนั้นก็มีประโยชน์ อีกทั้งวันเดอริสยังมั่นใจว่าตนย่อมไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องโง่เง่าอย่างโดนสัตว์ร้ายนั่นลอบกัดเป็นแน่
บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความมั่นใจที่มากล้นจนเกินไปนั้นช่างเป็นความเข้าใจผิดที่อ่อนด้อยยิ่งกว่าคนเขลา
?เจ้าชายรู้ไหมว่าเหตุใดชายคนนั้นที่วางแผนยึดครองแผ่นดินจึงยึดติดอยู่กับบัลลังก์และมงกุฎเพียงนั้น??
?มิได้ ข้าจงใจใช้งานเขาทั้งที่รู้ตัวจริง แต่ข้าก็ไม่เคยสอบถามความเป็นมาโดยละเอียด?
ความกระหายอำนาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ชายคนนั้นอาจนึกอยากยืนอยู่เหนือกว่าผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย....และบางทีอาจมีความเป็นปรปักษ์ต่อสหายอย่างแรงกล้าเจืออยู่ด้วย วันเดอริสคิดเพียงเท่านั้นมาตลอด
แต่เมื่อคิดทบทวนดูตอนนี้ เขาก็เพิ่งรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่แฝงในความยึดติดของชายคนนั้น
?เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียของอากิแตนก็ได้ ความจริงแล้ว ชายคนนั้น....?
เมื่อเรอเน่พูดถึงตรงนั้น ออสการ์ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปรามว่า ?ฝ่าบาท? คงหมายความว่าห้ามพูดมากไปกว่านั้น
ทว่า
?เราเข้าใจความรู้สึกของดยุคที่ห้ามพูด เพราะไม่ว่าคิดอย่างไร นี่ก็ถือเป็นความอับอายของอากิแตน แต่เราอยากเล่าให้เจ้าชายวันเดอริสทราบ?
เรอเน่พูดหนักแน่น ออสการ์พิศดูใบหน้านั้นก่อนจะยอมตกลงว่า ?ตรัสเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้?
ภาพนั้นทำให้วันเดอริสแอบตกใจ แม้จะเห็นเรอเน่เอ่ยปากแล้ว เขาก็ยังเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดอยู่นั่นเอง ทว่ากษัตริย์ผู้เยาว์วัยกลับบอกว่าอยากพูดด้วยความตั้งใจของตนเอง
?พระเจ้ากิโยมที่สอง อัยกาของเราเลื่องชื่อในฐานะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อว่ามีนางสนมมากมายนอกจากพระมเหสี และนอกจากโอรสที่ถือกำเนิดกับมเหสีแล้ว ยังมีเจ้าชายและเจ้าหญิงเกิดมาอีกมากมาย?
เรื่องนี้ใครๆ ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วสินะ? สายตาคนเล่าไถ่ถามเช่นนั้น วันเดอริสจึงพยักหน้า
?ถึงตรงนี้ท่านคงพอคาดเดาได้แล้ว อาร์มองคนนั้นก็เป็นลูกของกิโยมที่สองเช่นกัน ได้ยินว่าแม่ของเขาเป็นนางระบำในโรงอุปรากร เคานต์ริชมองต์ที่ไม่มีลูกจึงรับไปเลี้ยงดูในฐานะลูกแท้ๆ?
อา....เพราะอย่างนั้นเองหรือ วันเดอริสเข้าใจ ก่อนจะเหลืบมองดยุคมงฟอรต์ที่อยู่ข้างๆ เรอเน่
หากชายคนนั้นไม่ถูกนำตัวไปฝากกับตระกูลเคานต์ และมารดาได้เข้าวังในฐานะนางสนม ถึงจะเป็นเพียงสามัญชน แต่เขาก็ย่อมได้รับการยอมรับในฐานะบุตรของกิโยมที่สอง....ตำแหน่งของผู้สำเร็จราชการชุดดำในตอนนี้อาจตกเป็นของเขาก็ได้
ไม่รู้ว่าชายคนนั้นล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับชาติกำเนิดของตนเองเมื่อใดกัน แต่ไฟแห่งความทะเยอทะยานในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่งคงลุกโชนขึ้นด้วยเหตุนั้นเอง ทั้งที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขลับๆ ของกษัตริย์เหมือนกัน อายุอานามและความสามารถก็ใช่ว่าจะต่างกันเท่าไรนัก แต่ชายผู้เป็นสหายกลับได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการที่ปกครองประเทศ
แน่นอนว่าเขาจะเลือกหนทางสงบเสงี่ยมเจียมตน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในฐานะผู้นำตระกูลเคานต์และมือขวาของดยุคมงฟอรต์ก็ย่อมได้ ทว่าความสามารถและนิสัยของชายคนนั้นเป็นของอันตรายที่ไม่เข้ากับชีวิตอันเรียบง่ายเอาเสียเลย
แต่เรื่องเล่าของเรอเน่ยังไม่จบแค่นั้น
?....ทั้งเรา ดยุคมงฟอรต์ และตัวเขาเองต่างก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด ทว่าพ่อที่แท้จริงของเขาไม่ใช่กิโยมที่สอง แต่เป็นกิโยมที่สาม เสด็จพ่อของเราต่างหาก?
คนที่ตกใจกับคำกล่าวนั้นมิได้มีเพียงวันเดอริส แต่ยังรวมถึงออสการ์ด้วย
?ฝ่าบาท ทรงหมายความว่าอย่างไร??
?ถ้าจะถามว่าได้ยินมาจากไหนละก็ เจ้าตัวเป็นคนบอกเอง บอกกับเราโดยตรงนี่แหละ ไม่ได้ผ่านปากใครอื่น?
?แต่ว่า เรื่องนั้น....?
?แน่นอนว่าเรารู้ดีเรื่องที่ชายคนนั้นเป็นคนเจ้าแผนการ กล้าพูดเรื่องโป้ปดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ถึงเราจะเป็นกษัตริย์อากิแตนก็เถอะ การเล่าเรื่องเช่นนั้นให้เด็กไร้กำลังที่ตกเป็นเชลยอย่างเราฟังจะมีประโยชน์อันใดสำหรับเขางั้นหรือ??
?อาจเพื่อทำให้ฝ่าบาทสับสนพระทัย....?
?ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องเป็นความจริง ไม่ใช่เพื่อให้รอบข้างยอมรับความชอบธรรมในฐานะลูกกษัตริย์ แต่เป็นเพื่อจิตใจของตัวเขาเอง ต่อให้เป็นชายคนนั้น ก็ไม่มีทางโกหกหัวใจตัวเองได้หรอก เขาคิดจะทำให้ตัวเองพึงพอใจด้วยการบอกความจริงที่เก็บซ่อนไว้ในอกแก่เรา ด้วยการบอกว่า บัลลังก์ที่เด็กอย่างเรานั่งอยู่ เดิมทีแล้วควรเป็นของเขาซึ่งเป็นพี่ชายต่างหาก?
?ฝ่าบาท! เหตุใดถึงตรัสเช่นนั้น?
?แน่นอนว่าเราไม่คิดจะยกบัลลังก์ให้เขาหรอก เราจะยอมรับว่าเขาเป็นพี่ก็ได้ แต่ไม่มีทางมอบบัลลังก์นี้ให้เป็นอันขาด?
เด็กชายพูดหนักแน่น สายตาเลื่อนจากออสการ์มายังวันเดอริส





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กรุงอองช์ถูกทหารอัลเบียนเข้ายึดครอง แม้ยุวกษัตริย์เรอเน่จะหลบหนีออกมาได้โดยสวัสดิภาพ แต่ชีวิตของดัชเชสเซซิลที่ยังคงตกเป็นตัวประกันกำลังอยู่ในอันตราย.... อาร์มองผู้เป็นศัตรูคู่อาฆาตค่อยๆ ดำเนินแผนการชั่วร้ายไปพร้อมกับความทะเยอทะยานอยากชิงบัลลังก์ที่ลุกโชนในอก ระหว่างนั้นศึกตัดสินระหว่างทัพอากิแตนที่นำโดยออสการ์กับทัพอัลเบียนก็ยิ่งใกล้เข้ามา.... ชะตากรรมของเซซิลกับออสการ์ และบั้นปลายของความมักใหญ่ใฝ่สูงของอาร์มองจะเป็นอย่างไร!? เรื่องยาวอันงดงามเพริศแพร้วเดินทางมาถึงตอนอวสานแล้ว!!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”