New Release เหลียนฮวา : สลับรักหมอหญิงสองชะตา

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1068
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : สลับรักหมอหญิงสองชะตา

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
หนึ่งร่างสองวิญญาณ

แสงสว่างเจิดจ้าแสบตามหึมาฉายผ่านเส้นขอบฟ้า ราวกับขวานยักษ์คมกริบที่ผ่าชั้นหมู่เมฆแยกออกจากกัน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องคำราม และมีสายฝนเม็ดใหญ่เท่าเม็ดถั่วกระหน่ำลงมาจากบนท้องฟ้า
เสียง ?ปัง? ดังขึ้น ลมแรงวูบหนึ่งพัดกระชากบานประตูหนักอึ้งที่ปิดไม่สนิทให้เปิดอ้าออก แสงเทียนที่ให้ความสว่างดับวูบลง ทั้งห้องตกสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
หนึ่งฟ้าแลบที่ราวกับจะผ่าท้องฟ้าให้แยกออกจากกันสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง มันผ่าตรงลงมายังหลังคาโดยไร้ความปรานี เสียงดังกึกก้องปกคลุมไปทั่วทั้งเรือนเล็กแห่งนี้ จู่ๆ ร่างบนเตียงที่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายพลันลืมตาขึ้น เบิกดวงตากลมโตจ้องมองฝ่าเข้าไปในความมืดมิดนี้
ไฟดับเหรอ?
ไม่สิ ที่โรงพยาบาลมีเครื่องปั่นไฟฉุกเฉิน ต่อให้ไฟดับก็สามารถปั่นไฟออกมาใช้แทนได้ทันที เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้โรงพยาบาลตกอยู่ในความมืดมิดอย่างนี้ แถมเตียงที่นอนอยู่นี่ก็แข็งเกินไป เหมือนกับนอนอยู่บนแผ่นไม้ไม่มีผิด...
ครืน!
อาศัยแสงสีขาวที่สว่างวาบด้านนอกหน้าต่างซึ่งมาก่อนเสียงฟ้าร้อง เธอมองเห็นขื่อที่พาดอยู่กึ่งอากาศ และกระเบื้องหลังคาที่ต่อกันทีละชิ้นราวกับเกล็ดปลาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
โรงพยาบาลมีขื่อกับกระเบื้องหลังคาได้ไงกัน?
ในตอนที่เธอกำลังงุนงงอยู่นั้น แสงจากฟ้าแลบก็วาบผ่านบริเวณนอกประตู ภายในห้องที่มืดสนิทนี้จึงสว่างราวกับกลางวัน ลมพายุและสายฝนที่เทลงมาอย่างบ้าคลั่งพากันสาดเข้ามาภายในห้อง ทำให้ม่านเตียงที่ปิดอยู่ถูกพัดจนพองขึ้น
เธอหันหน้าอย่างช้าๆ อาศัยแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบมองดูข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดในห้องอีกครั้ง ภายในชั่วพริบตาอันแสนสั้นนี้ ภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เธอตระหนกจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกมาได้
เธอเพิ่งผ่าตัดใหญ่ให้คนไข้เสร็จ ตอนที่ออกจากห้องผ่าตัดนั้นจู่ๆ เบื้องหน้าเธอก็ดับวูบลง แล้วเธอก็หมดสติไป ตามหลักแล้วตอนนี้เธอควรจะนอนอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลมากกว่า เมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่มองเห็นควรจะเป็นห้องสีขาวอันสว่างไสว และมีเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ นานาตั้งอยู่ข้างๆ สิถึงจะถูก
แต่สิ่งที่เธอมองเห็นในตอนนี้ ทำไมถึงเป็นเชิงเทียน คันฉ่อง เก้าอี้ไม้ ฉากกั้นห้อง และหน้าต่างไม้ที่ทำมาจากกระดาษ?
เธอรู้สึกตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มองดูห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่าคร่ำครึ เงามืดเคลื่อนไหวไปมาและเต็มไปด้วยบรรยากาศลึกลับชวนขนลุกแห่งนี้ จู่ๆ ก็มีคำว่า ?ข้ามมิติ? โผล่พรวดขึ้นในสมองของเธอ พร้อมกันนั้นสองตาของเธอก็เบิกโตขึ้นอีกหนึ่งระดับ
ไม่นะ สวรรค์คงไม่กลั่นแกล้งเธอแบบนี้หรอก!
ความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดปกคลุมร่างเธอ เธอมองดูความมืดตรงหน้าด้วยความกระวนกระวาย
เวลานี้เองมีแสงไฟถูกจุดสว่างขึ้นภายในห้อง
เด็กสาวรับใช้ซึ่งมีหน้าที่อยู่ยามถูกปลุกด้วยเสียงฟ้าร้อง ครั้นเห็นว่าแสงไฟในห้องดับมืดลงจึงมิกล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อย รีบลุกขึ้นค้นหาแท่งจุดไฟเพื่อจุดเทียนที่ถูกพัดจนดับลงให้สว่างขึ้นอีกครั้ง
ยามที่นางหยิบเชิงเทียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นและกำลังจะจุดไส้เทียนก็เห็นว่าคนบนเตียงลืมตาขึ้นแล้ว ทำให้พลันรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก
?แม่นาง ท่านรู้สึกตัวแล้วหรือเจ้าคะ ท่านชื่อว่าอะไร ข้าน้อยจะได้รายงานให้นายน้อยทราบถูก แม่นางท่านอาจไม่รู้ว่าท่านหมดสติไปถึงสามวัน...แม่นางเจ้าคะ ท่านตกลงสู่ก้นผาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ? เด็กสาวรับใช้ขยับเข้าใกล้ พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
เหอรั่วเวยมองหน้าเด็กสาวรับใช้ที่ผูกผมเป็นลูกซาลาเปาสองลูก แม้แต่ใบหน้าก็กลมเหมือนลูกซาลาเปาตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้ง ไม่รู้จะเอ่ยตอบคำถามของนางอย่างไร
เด็กสาวรับใช้มิได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของนางแม้แต่น้อย ยังคงเอ่ยต่อไปว่า ?แม่นางเจ้าคะ เมื่อสามวันก่อนนายน้อยของพวกเราได้พาผู้ติดตามผ่านไปยังผาชุ่ยปี้ เห็นท่านห้อยอยู่บนต้นสนตรงข้างผาจึงช่วยท่านลงมา ตอนที่ท่านตกลงมาน่าจะได้รับแรงกระแทกเลยทำให้หมดสติไปถึงสามวัน ท่านหมอบอกไว้ว่าหากท่านยังไม่รู้สึกตัวอีก ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ ยังดีที่ในที่สุดท่านก็รู้สึกตัว ไม่ทำให้นายน้อยของพวกเราต้องเสียแรงเปล่าที่ช่วยท่านไว้?
เด็กสาวรับใช้คงลืมไปว่านางเพิ่งรู้สึกตัวได้ไม่นาน ด้วยความดีใจจึงพูดไม่หยุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการแพร่งพรายข้อมูลบางส่วนให้นางรับรู้ด้วยเช่นกัน
เหอรั่วเวยได้ยินคำพูดเหล่านั้น สมองที่ปวดแปลบของเธอก็มีคำพูดลอยขึ้นมาอีกระลอกว่า...ข้ามมิติ
ไม่ เธอต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ ...เธอหลับตาลงแล้วพูดกับตัวเองว่า ตอนที่เธอเป็นลมล้มลง ศีรษะคงไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง ทำให้เธอเกิดภาพหลอนในตอนนี้ เบื้องหน้าเธอตอนนี้ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน!
ขนตาของเธอขยับเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เบื้องหน้ายังคงเป็นเด็กสาวรับใช้ผู้มีใบหน้าซาลาเปาซึ่งสวมใส่ชุดโบราณและกำลังตื่นเต้นอยู่คนนั้นเช่นเดิม เธออึ้งไปอีกรอบ จนกระทั่งเสียงฟ้าร้องครืนๆ ดึงเธอให้กลับสู่โลกความจริง
เธอหยิกต้นขาตนเองด้วยจิตใต้สำนึก โอ๊ย เจ็บนี่นา...
ภาพเบื้องหน้าทั้งหมดประกอบกับความเจ็บปวดตรงต้นขากำลังแสดงถึงความจริงอย่างชัดเจนว่าเธอข้ามมิติซะแล้ว ต่อให้เธอจะรับไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
เหอรั่วเวยไม่ได้ยินคำไถ่ถามด้วยความห่วงใยจากสาวใช้แม้แต่น้อย เธอพยายามทำจิตใจที่กำลังตื่นตระหนกและหวาดกลัวของตนเองให้สงบลง บังคับให้ยอมรับความจริงที่ว่าตนเองข้ามมิติมาให้ได้ แต่ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย? เธอยังคงรู้สึกกังวล ในใจยิ่งรู้สึกเสียใจหนักหนา หากรู้ว่าจะมีวันที่ข้ามมิติมาแบบนี้เธอไม่ควรรับปากแลกเวร และลงมือผ่าตัดเคสใหญ่นั้นแทนคุณหมอหยางตั้งแต่แรก
เธอเพิ่งผ่าตัดเคสหนึ่งเสร็จ กำลังจะออกจากห้องผ่าตัดก็ได้รับการแจ้งอย่างกะทันหันเข้ามาว่า คุณหมอหยางเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางมาโรงพยาบาล ให้เธอช่วยผ่าตัดแทนคุณหมอหยางด้วย
เธอที่เพิ่งเสร็จจากการผ่าตัดใหญ่ที่ใช้เวลาถึงสิบหกชั่วโมงกว่านั้น แท้จริงหมดแรงไปนานแล้ว แถมยังต้องมาผ่าตัดแทนคุณหมอหยางอีก จึงไม่แปลกหากจะเกิดเรื่องขึ้น...คิดไปคิดมา บางทีเธอคงจะเหนื่อยเกินไปจนเสียชีวิต ไม่รู้ว่าทางโรงพยาบาลจะชดเชยให้กับพ่อแม่ของเธอเป็นเงินจำนวนเท่าไรกัน? ยังดีที่เธอซื้อประกันชีวิตวงเงินมหาศาลให้กับตนเองตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกสู่สังคม เงินประกันชีวิตส่วนนี้เมื่อบวกกับค่าชดเชยที่โรงพยาบาลจ่ายแล้ว พ่อแม่ของเธอไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการเงินอีก และน่าจะเพียงพอสำหรับส่งเสียน้องชายและน้องสาวจนเรียนจบปริญญาโทได้
แต่ว่า...ตกลงเธอข้ามมิติมายังแห่งหนใดกันแน่? แล้วเจ้าของร่างเดิมเป็นใคร? แล้วเธอจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร?

ตลอดทั้งคืนพายุฝนและเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังสลับกันไปมา แสงสว่างวาบผ่านก้อนเมฆไม่หยุด เสียงฟ้าร้องสนั่นไม่ขาด ลมพายุพัดกระหน่ำไปทั้งสวน
ซั่นโม่สวินยังมิได้เข้านอน เขาเปิดหน้าต่างออก ขมวดคิ้วคมสวยงามเข้าหากันเล็กน้อยแล้วมองออกไปด้านนอก ลมฝนและพายุที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้คนรู้สึกมืดทึมและแปลกประหลาด ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น นั่นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
เวลานี้นอกประตูมีเสียงเคาะประตูด้วยความเร่งร้อนดังขึ้น เขาเอ่ยออกไปหนึ่งคำว่า ?เข้ามา? ก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งเข้ามา
?นายน้อยขอรับ แม่นางท่านนั้นรู้สึกตัวแล้วขอรับ?
เขาปิดประตูลง ?รู้สึกตัวแล้ว??
?ขอรับ รู้สึกตัวแล้ว เสียวหมั่นให้คนมาแจ้ง เพียงแต่ว่า...แม่นางท่านนั้นดูเหมือนจะเป็นใบ้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจเกินขีดหรือเป็นมาแต่กำเนิด ไม่ว่าจะถามสิ่งใดไปนางก็ไม่ยอมเอ่ยปาก?
?ข้าจะไปดูหน่อย? ซั่นโม่สวินสั่งให้เด็กรับใช้ไปต้มข้าวต้มที่ห้องครัว ส่วนตัวเองสาวเท้าก้าวยาวดุจดาวตกเดินผ่านระเบียงยาวตรงไปยังห้องของเหอรั่วเวย
ตอนที่แม่นางผู้นั้นถูกเขาช่วยไว้นางสลบไม่รู้สึกตัว เหลือเพียงแค่ลมหายใจเดียวที่ฝืนรั้งไว้เท่านั้น สามวันมานี้ท่านหมอมาแล้วหลายเที่ยว และบอกกับเขาว่า หากพรุ่งนี้เช้าแม่นางผู้นั้นยังไม่รู้สึกตัว เกรงว่าแม้แต่เทพเซียนก็คงยากจะช่วย
บัดนี้ได้ยินว่านางรู้สึกตัวแล้ว ด้วยเหตุและผลเขาจึงควรไปเยี่ยม ขณะเดียวกันก็จะซักถามถึงที่มาของนางด้วย
?คารวะนายน้อยเจ้าค่ะ? สาวใช้หน้าซาลาเปาที่ชื่อเสียวหมั่นเห็นเขาเข้ามาในห้องก็รีบเข้ามาทำความเคารพ
?เจ้าบอกว่านางรู้สึกตัวแล้ว แต่กลับไม่ยอมเอ่ยปากใช่ไหม?
?เจ้าค่ะ...นายน้อยเจ้าคะ หรือว่าควรไปเชิญท่านหมอเฉินให้มาดูอาการของนางดีเจ้าคะ? สีหน้าเสียวหมั่นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เอ่ยถามซั่นโม่สวินอย่างนอบน้อม
?อากาศแบบนี้คงไม่ดีหากจะเชิญท่านหมอเฉินให้ออกตรวจ ข้าเข้าไปดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเชิญท่านหมอเฉินมาดีหรือไม่?
ซั่นโม่สวินแหวกม่านไข่มุกออกแล้วเดินเข้าไปยังห้องด้านใน เสียวหมั่นก็เดินตามเข้าไปด้วย เขาเดินมาหยุดตรงข้างเตียง ก้มลงมองเหอรั่วเวยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว
?แม่นาง ข้าชื่อซั่นโม่สวิน สามวันก่อนเจอเจ้าอยู่ใต้ผาชุ่ยปี้ เห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังไม่รู้สึกตัวเลยพาเจ้ากลับมา เมื่อครู่เด็กรับใช้บอกว่าเจ้ารู้สึกตัวแล้วจึงมาดูอาการของเจ้า ไม่ทราบว่าแม่นางรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? เขาเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนเพื่อมิให้คนตกใจ
เหอรั่วเวยเบาใจลง มองคนตรงหน้าอย่างสำรวจ ที่แท้ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพ คิ้วดุจกระบี่ นัยน์ตาดุจดวงดาว รูปร่างสง่า และบรรยากาศรอบตัวไม่ธรรมดาคนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตของเจ้าของร่างเดิมไว้นั่นเอง
เธอพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างกินแรงเพื่อขอบคุณเขา แม้ผู้ที่เขาช่วยจะเป็นเจ้าของร่างเดิม แต่เธอได้มีชีวิตแทนเจ้าของร่างเดิมแล้ว ตอนนี้ผู้ที่ใช้ร่างกายนี้คือเธอ จึงเท่ากับว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้
?แม่นาง อย่าได้ลุกขึ้นเลย บนตัวของเจ้าเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ ไม่ควรขยับเนื้อตัวให้มาก ตามแขนและขาไม่พลิกก็แพลง โดยเฉพาะตรงข้อเท้าด้านขวาที่เส้นเอ็นได้รับบาดเจ็บหนักเป็นพิเศษ ท่านหมอกำชับไว้ว่าให้เจ้านอนพักผ่อนอยู่บนเตียง? ซั่นโม่สวินรีบเอ่ยปากห้าม
เธอพยักหน้าก่อนจะล้มนอนกลับไปอีกครั้ง
?ไม่ทราบว่าแม่นางแซ่ว่าอะไร เป็นคนตำบลไหน? แม่นางเพิ่งรู้สึกตัว ข้าไม่ควรใจร้อนรีบถามเรื่องพวกนี้ก็จริง แต่เพราะเจ้านอนไม่ได้สติมาถึงสามวัน เชื่อว่าคนในครอบครัวของเจ้าต้องร้อนใจเป็นอย่างมาก ข้าถึงอยากจะเอ่ยถามให้รู้ชัด ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะให้คนในบ้านแจ้งข่าวไปยังครอบครัวของเจ้าแต่เช้า ให้พวกเขารู้ว่าเจ้าปลอดภัยดี?
เหอรั่วเวยมองหน้าเขาอย่างนิ่งงัน ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเขาอย่างไรดี
เห็นนางไม่ยอมตอบคำถามสักที คิ้วของซั่นโม่สวินก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อครู่ที่เขาห้ามนางลุกขึ้น ชัดเจนว่านางฟังเข้าใจ แต่บัดนี้นางกลับไม่ตอบ นางไม่สามารถพูดได้ หรือเพราะมีเหตุจำเป็นอันใดแอบแฝงอยู่กันแน่?
มองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ของซั่นโม่สวิน เหอรั่วเวยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของร่างเดิมคือใคร ทว่าในสมองของเธอกลับมีภาพรางเลือนฉายผ่านตามคำถามของเขา ทำให้เธอรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีครอบครัว ซึ่งนี่ทำให้เธอยิ่งไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าเธอชื่อเหอรั่วเวย แล้วเธอจะตอบเขาว่าอย่างไรดี?
คิดใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเธอก็ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังลำคอของตนเองอย่างมีไหวพริบ ซั่นโม่สวินมองดูการกระทำของนาง เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า ?เจ้าหมายความว่าลำคอของเจ้าได้รับบาดเจ็บ ทำให้เจ้าไม่สามารถพูดได้หรือ?
เธอพยักหน้า
?อย่างนี้นี่เอง เช่นนี้พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้ท่านหมอมาดูอาการของเจ้า จากนั้นค่อยคิดว่าจะแจ้งให้ครอบครัวเจ้าทราบได้อย่างไร เจ้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ข้าสั่งให้ทางห้องครัวต้มข้าวต้มไว้แล้ว หลังจากกินข้าวต้มและยาเสร็จก็พักผ่อนโดยเร็ว พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าแต่เช้า?
เมื่อซั่นโม่สวินกำชับจบก็หันหลังเดินออกไป เหอรั่วเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ แม้จะอาศัยเหตุผลที่ว่าลำคอไม่สามารถเปล่งเสียงจนสามารถผ่านพ้นวันนี้ไปได้ แต่ปัญหายุ่งยากตรงหน้ายังไม่คลี่คลายเลยแม้แต่น้อย เธอจะค้นหาประวัติเจ้าของร่างเดิมได้จากไหนกัน?
เธอยังนึกทางแก้ไม่ออก ประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้นเสียงดัง เสียวหมั่นออกไปเปิดประตู ไม่นานก็ยกหม้อข้าวต้ม ชามเปล่า และถ้วยยาเข้ามา วางถาดในมือลงบนโต๊ะข้างเตียงด้วยรอยยิ้ม
?แม่นาง ท่านคงหิวแย่แล้ว เสียวหมั่นจะป้อนข้าวต้มให้ท่านรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยานะเจ้าคะ? เสียวหมั่นพยุงนางลุกขึ้นนั่งด้วยความระมัดระวัง ใช้หมอนอิงแสนนุ่มยันหลังนางไว้
แต่เธอไม่มีนิสัยให้คนอื่นป้อนอาหารเลยจริงๆ จึงรีบรับช้อนและถ้วยมาจากมือของเสียวหมั่น แสดงออกว่าจะกินเอง
อย่างไรก็เป็นแขก เสียวหมั่นเห็นนางยืนกรานเลยยอมตามใจ ให้นางกินอาหารด้วยตัวเอง
เดิมทียังไม่รู้สึกหิว แต่เมื่อได้ลิ้มรสหอมเข้มข้นของข้าวต้ม เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่าหิวเพียงใด ไม่มีเวลาใส่ใจเสียวหมั่นที่ยืนอยู่ด้านข้างอีก สองสามคำก็กลืนข้าวต้มทั้งถ้วยลงท้อง จนกระทั่งกินไปสามถ้วยถึงเริ่มรู้สึกว่ามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เธอยังถึงกับเรอออกมาอย่างอดไม่ได้ไปอีกหนึ่งที
หลังจากพักผ่อนไปสักครู่เสียวหมั่นก็ยกถ้วยยามาให้ ?แม่นาง ถ้วยยานี้ร้อนกำลังดี รีบดื่มเสียเถอะเจ้าค่ะ?
มองเห็นถ้วยยาที่ทั้งเข้มทั้งข้นถ้วยนั้น เหอรั่วเวยขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พระเจ้า เธอไม่ขอดื่มได้ไหม แม้เธอจะเป็นหมอและเคยเรียนแพทย์แผนจีนมาบ้าง แต่เธอรู้สึกขยาดยาสีดำทะมึนนี้จริงๆ นะ
แต่จะไม่ดื่มก็ไม่ได้ หนึ่งคือเพื่อร่างกายของตนเอง สองคือคนเขาดูแลด้วยความเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ แถมยังต้มยาและส่งมากลางดึกท่ามกลางลมฝนพายุแบบนี้ เธอไม่สามารถปฏิเสธความห่วงใยได้ ต่อให้ดื่มยากสักแค่ไหนก็ต้องดื่มลงไปให้หมด
ในตอนที่เธอกลืนยาหยดสุดท้ายลงคอ ข้างหูของเธอก็มีเสียงต่อว่าเสียงเบาดังขึ้น...
?เจ้าเป็นใคร?
เธออึ้งไปเล็กน้อย มองไปยังเสียวหมั่นที่ถือน้ำเข้ามาเตรียมให้เธอบ้วนปากเพื่อล้างกลิ่นยา
?แม่นางเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ หรือว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหน? เสียวหมั่นยกน้ำอุ่นที่เตรียมไว้แล้วเข้ามา
ดูท่าคงไม่ใช่เสียวหมั่นที่พูดกับเธอ หรือว่าเธอจะหลอนไปเอง?
เธอส่ายหน้า รับน้ำมาบ้วนปาก ก่อนจะได้ยินเสียงตำหนิด้วยความโมโหอีกครั้งว่า...
?เจ้าเป็นใคร!?
คำตะโกนด้วยความโมโหนี้เกือบทำให้เธอสำลักน้ำในปาก เธอรีบบ้วนน้ำทิ้งแล้วไอไม่หยุด
?แม่นาง เป็นอะไรหรือเจ้าคะ? เสียวหมั่นรีบเข้ามาช่วยลูบหลัง
เธอส่ายหน้าให้กับเสียวหมั่นเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เสียวหมั่นจึงเก็บกวาดถ้วยชามแล้วออกจากห้องไป
เหอรั่วเวยสงสัยว่าตนเองคงเหนื่อยเกินไปถึงได้ยินเสียงแปลกประหลาดจึงรีบล้มตัวลงนอน แต่แล้วทันทีที่เธอล้มนอนและหลับตาลง ใบหน้าสะอาดสะอ้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเจียงหนานก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเธอ และจ้องเธอด้วยความโมโห เธอตกใจรีบลืมตาขึ้น ภาพนั้นหายไป ทว่าข้างหูกลับได้ยินเสียงเค้นถามจนใกล้จะเป็นเสียงกรีดร้องดังขึ้นว่า...
?เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมายึดร่างของข้า?!?
อะไรนะ? ยึดร่าง?!
พริบตานั้นเหอรั่วเวยคาดเดาได้ถึงบางอย่าง เธอหลับตาลงด้วยความสงสัยและตระหนกอย่างยิ่ง จริงตามคาด เธอมองเห็นใบหน้าสะอาดสะอ้านนั้นอีกครั้ง เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มั่นใจว่า ?เจ้าเป็นเจ้าของร่างเดิมของร่างกายนี้อย่างนั้นหรือ?
?ไม่เช่นนั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ?? สาวน้อยจ้องเธออย่างไม่พอใจ ?เจ้ารีบคืนร่างกายให้ข้าเร็วเข้า แล้วรีบออกไปจากร่างกายของข้าซะ!?
เหอรั่วเวยอธิบายเสียงเบาให้นางฟัง ?ข้าไม่ได้ยึดร่างของเจ้า แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมข้าจึงมาอยู่ในร่างของเจ้าได้?
?เจ้าไม่รู้อย่างนั้นรึ?? สาวน้อยราวกับรู้สึกว่าเหอรั่วเวยกำลังโกหก นางจึงกรีดร้องด้วยความโมโหว่า ?เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!?
?ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเป็นลมหมดสติไป พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็อยู่ในร่างนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกสงสัยมากเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
?เจ้าพูดจริงรึ เจ้าไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนที่มายึดร่างของข้าจริงๆ รึ??
เหอรั่วเวยส่ายหน้า ?ไม่ใช่ ข้าเป็นศัลยแพทย์คนหนึ่ง ชื่อว่าเหอรั่วเวย เพิ่งเสร็จจากการผ่าตัด ทันทีที่ออกจากห้องผ่าตัดเบื้องหน้าก็ดับวูบลง พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่นี่แล้ว มาอยู่ในร่างกายของเจ้า?
?ศัลยแพทย์ ห้องผ่าตัด??
?ก็คือหมอของพวกเจ้านั่นแหละ ก่อนเกิดเรื่องข้ากำลังช่วยรักษาบาดแผลให้กับคนไข้อยู่ พูดอย่างนี้เจ้าเข้าใจไหม?
สาวน้อยพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ากระหยิ่มว่า ?ข้าเป็นบุตรีของภรรยาเอกตระกูลอีซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยตระกูลใหญ่แห่งซิ่งหลิง อีชิวอวี่ มีหรือจะไม่รู้!?
?เจ้าก็มาจากตระกูลหมอเหมือนกันรึ? เหอรั่วเวยตกใจเล็กน้อย ?เจ้าดูแล้วอย่างมากก็อายุสิบห้าสิบหกสินะ? แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ ทำไมเจ้าถึงตกหน้าผาได้??
อีชิวอวี่ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมา สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเศร้าเสียใจ ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวของนางตั้งแต่เกิดจนตกหน้าผาออกมาให้เหอรั่วเวยฟัง ทำให้อดเบิกตาโตไม่ได้
ปีนี้อีชิวอวี่อายุสิบหก เป็นบุตรีในภรรยาเอกของบุตรชายคนโตแห่งตระกูลอี ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งซิ่งหลิงมานับร้อยปี ครอบครัวของนางมีโรงหมอที่ชื่อว่า ?โรงหมอจี้เต๋อ?
ตอนที่นางเกิดถูกหมอตำแยเผลอทำตกพื้นจนกลายเป็นเด็กสติปัญญาไม่ดี เมื่ออายุได้สามขวบ บิดาและมารดาของนางรีบไปร่วมงานศพของท่านตาท่านยาย ทว่าคืนนั้นกลับเกิดไฟไหม้ขึ้น ทำให้ทุกคนในบ้านเสียชีวิต นับแต่นั้นมาอีจื้อเซินผู้เป็นปู่ของนางก็รับนางมาเลี้ยงไว้ข้างกาย แล้วคอยถ่ายทอดวิชาให้นางด้วยตัวเอง
อีจื้อเซินรักนางมาก ไม่เคยเห็นว่านางเป็นเด็กสติปัญญาไม่สมประกอบแม้แต่น้อย แต่เลี้ยงนางเหมือนกับคนปกติทั่วไป เขากุมมือนางไว้ สอนนางเขียนตัวอักษรรอบแล้วรอบเล่า สอนนางอ่านหนังสือ จนกระทั่งโตมาจึงเริ่มสอนความรู้เกี่ยวกับยาและการรักษาให้กับนาง
หลายปีมานี้อารอง อาสาม และย่าเลี้ยงของอีชิวอวี่คอยกรอกหูปู่ของนางไม่หยุด ว่าให้เลือกเด็กผู้ชายคนหนึ่งจากบ้านรองหรือบ้านสามมาอยู่ภายใต้ชื่อของบ้านใหญ่ แต่อีจื้อเซินไม่เคยเห็นด้วย และเมื่อนางอายุได้สิบห้าก็ประกาศกับภายนอกว่า ในอนาคตจะแต่งหลานเขยเข้าบ้านและยกมรดกทั้งหมดให้กับอีชิวอวี่ การตัดสินใจนี้เองที่ทำให้ความหวังของบ้านรองและบ้านสามเป็นอันแตกสลาย และฝังรากความอาฆาตไว้นับแต่นั้น
หลายวันก่อนอีจื้อเซินเดินทางออกไปรักษาคนไข้ต่างเมือง คาดว่าคงใช้เวลาประมาณเจ็ดวันจึงจะกลับถึงบ้าน ทั้งยังไม่สะดวกที่จะพาอีชิวอวี่ติดตามไปด้วยเลยให้นางคอยอยู่ที่บ้าน ใครจะรู้ว่าบ้านรองและบ้านสามเกิดร่วมมือกัน อ้างว่าจะพานางขึ้นเขาไปไหว้พระขอพร แต่กลับสร้างสถานการณ์ให้เกิดอุบัติเหตุรถม้าตกหุบเหว เคราะห์ดีที่นางรอดมาได้ นางล้มออกมานอกรถแล้วห้อยอยู่บนต้นไม้ เลยถูกซั่นโม่สวินที่นำขบวนพ่อค้าเดินทางผ่านมาใต้ผาช่วยกลับมา
?ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง สิบหกปีมานี้ของเจ้าคงลำบากไม่น้อย? เธอรู้สึกเห็นใจอีชิวอวี่เหลือเกิน ?แต่ว่า...ทั้งที่เจ้าเป็นคนสติปัญญาไม่ดีมาตลอดสิบหกปี ทว่าข้าฟังเจ้าพูดแล้ว เจ้าพูดจาฉะฉานเหมือนคนปกติ เจ้าหายดีได้อย่างไร แถมยังรู้ด้วยว่าคนร้ายคืออาทั้งสองของเจ้า?
?หายได้อย่างไรข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ส่วนที่ว่ารู้ได้อย่างไรว่า...นั่นเพราะเมื่อก่อนแม้ข้าจะไม่รู้ความ แต่ก็สามารถจดจำสิ่งที่ได้ยินและได้เห็น พวกเขารู้สึกว่าข้าเป็นเด็กโง่สมองไม่ดีคนหนึ่ง คงไม่รู้จักฟ้องท่านปู่และไม่รู้จักตอบโต้จึงไม่เคยคิดปิดบังความมุ่งร้ายที่มีต่อข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าถึงได้จดจำสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจอย่างไรล่ะ?
เหอรั่วเวยพยักหน้า เอื้อมมือสัมผัสไปผ้าที่พันรอบศีรษะไว้ ก่อนจะคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ?เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเพราะกระแทกกับพื้นตอนเจ้าคลอด เจ้าถึงได้กลายเป็นคนสติปัญญาไม่ดีสินะ??
?ใช่?
?จากประสบการณ์การเป็นศัลยแพทย์ของข้า ที่เจ้ากลายเป็นคนสติปัญญาไม่ดีน่าจะเกิดจากแรงกระแทกที่ได้รับทำให้เกิดก้อนเลือดสะสมในสมอง และในตอนที่เจ้าตกลงมาจากบนผานั้น บริเวณศีรษะก็ได้รับแรงกระแทกไม่เบา นั่นเป็นเหตุให้ก้อนเลือดในสมองของเจ้าสลายไป ด้วยเหตุนี้สติปัญญาและการแสดงออกต่างๆ ของเจ้าจึงเริ่มฟื้นคืนสู่ปกติ อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเจ้าได้โชคเพราะเคราะห์แล้วล่ะนะ?
ฟังนางพูดเช่นนี้ สองตาของอีชิวอวี่ก็ลุกวาวแล้วเอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า ?จริงหรือ? อย่างนี้ท่านปู่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีกแล้ว?
?ข้าคิดว่าตอนนี้ในสมองของเจ้ายังคงมีก้อนเลือดจำนวนหนึ่งที่ยังสลายไม่หมด แม้ก้อนเลือดจะถูกดูดซึมโดยร่างกายของมนุษย์ได้ แต่ก็ยากจะรับประกันว่าก้อนเลือดเหล่านี้จะไม่ไปกดทับเส้นประสาทเส้นไหนเข้าอีกจนก่อให้เกิดผลร้ายซ้ำสอง หากเจ้าอยากมีชีวิตต่อไปละก็ สามารถใช้การฝังเข็มช่วยได้ เช่นนี้จะทำให้ร่างกายของเจ้ากลับมาแข็งแรงได้ในเร็ววัน?
แม้มีบางคำศัพท์ที่อีชิวอวี่ฟังไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยนางก็เรียนวิชาหมอมากว่าสิบปี ความหมายโดยส่วนใหญ่นั้นสามารถเข้าใจได้ ?ฝังเข็ม ข้าก็เคยเรียน แต่เรียนมาแค่บางส่วนเท่านั้น และจำกัดอยู่แค่มือกับเท้า ส่วนอื่นยังเรียนไม่ถึง โดยเฉพาะส่วนศีรษะ ข้ายังไม่เคยฝึกเลยแม้แต่ครั้งเดียว?
?ขอเพียงแค่เจ้ารู้วิธีการฝังเข็มก็พอ ข้าจะบอกกับเจ้าเองว่าฝังตรงจุดไหน เมื่อกลับถึงบ้านแล้วเจ้าก็ฝังเข็มเองได้ แล้วเจ้าจะพบว่าร่างกายของเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ สมองก็ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน?
?เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าจะคืนร่างกายให้กับข้าใช่ไหม?
?ข้าที่อยู่ในร่างกายนี้ก็เหมือนกับกำลังสวมเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว ไม่ว่าอย่างไรก็ใส่ไม่ถนัด แน่นอนว่าต้องคืนให้กับเจ้าอยู่แล้ว? หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีชิวอวี่ เธอก็คิดแบบนี้ทันที
แม้ไม่แน่ใจว่าหลังออกจากร่างนี้เธอจะสามารถกลับไปยังศตวรรษยี่สิบเอ็ดที่คุ้นเคย กลับไปยังร่างกายที่แท้จริงของตนเองได้หรือไม่ บางทีการออกจากร่างครั้งนี้เธออาจกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน แต่เธอก็อยากลองดู เธออยากกลับบ้าน
หวังว่าร่างกายของตัวเองจะยังถูกช่วยชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลนะ
?ตกลง เช่นนั้นเจ้ารีบสอนตำแหน่งฝังเข็มให้กับข้าที จากนั้นก็รีบคืนร่างกายให้กับข้าด้วย?
?อืม ข้าคืนร่างกายให้เจ้าเร็วเท่าไร ข้าก็สามารถกลับไปยังร่างของข้าได้เร็วเท่านั้น?
เหอรั่วเวยชี้ไปยังจุดต่างๆ บนร่างกาย ก่อนจะสอนอีชิวอวี่ว่าควรฝังเข็มอย่างไร รอจนนางจำได้พอประมาณเหอรั่วเวยก็เริ่มพยายามให้วิญญาณของตนเองออกจากร่างของอีชิวอวี่
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดก็คือ ทันทีที่วิญญาณของเธอออกจากร่างของอีชิวอวี่ ร่างนี้ก็สิ้นลมลงทันที เธอตกใจมาก รีบเร่งเร้าให้อีชิวอวี่กลับเข้าร่าง
?อีชิวอวี่ เจ้ายืนอึ้งอยู่ทำไม? รีบกลับเข้าไปในร่างสิ! เจ้าไม่เห็นหรือว่าร่างกายของเจ้าไม่มีลมหายใจแล้ว??
อีชิวอวี่ที่นิ่งอึ้งอยู่ถูกเสียงตะโกนดึงสติกลับมาจนได้จึงไม่กล้ารีรออีก รีบนอนลงไปในร่างของตนเอง เพียงแต่แม้นางนอนลงอย่างพอดิบพอดีกับร่าง ทั้งยังไม่รู้สึกไม่สบายตรงไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรร่างของนางก็ไม่มีลมหายใจ นางเองไม่สามารถควบคุมร่างกายได้
?เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? คราวนี้แม้แต่อีชิวอวี่ยังรู้สึกตระหนก ?ทำไมร่างกายของข้าไม่สามารถหายใจได้ และข้าไม่สามารถควบคุมร่างกายได้??
?ยามที่ข้าอยู่ในร่างของเจ้านั้นยังหายใจอยู่ดีๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลยนี่นา...? เหอรั่วเวยเกาหน้าผาก พึมพำด้วยความสงสัย ?หรือจะให้ข้าลองเข้าไปอีกครั้ง??
อีชิวอวี่พยักหน้าแล้วลอยออกมา ?เจ้ารีบเข้าไปในร่างของข้าเร็วเข้า สีหน้าของข้าเริ่มดำคล้ำขึ้นมาแล้ว?
เหอรั่วเวยเข้าไปในร่างของอีชิวอวี่อีกครั้ง ทันทีที่เข้าไปในร่าง ร่างกายก็เริ่มหายใจตามปกติ
?เอาละ มีลมหายใจแล้ว เจ้ารีบเข้ามาเร็วเข้า? เหอรั่วเวยเร่งเร้า
อีชิวอวี่ไม่กล้าเสียเวลา รีบมุดเข้าไปในร่างกายตนเอง ทว่าเมื่อวิญญาณของเหอรั่วเวยออกจากร่าง ร่างกายก็หยุดหายใจลงอีกครั้ง
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ทั้งคู่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างพร้อมเพรียงว่า ?ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
?เจ้าอย่าลอยอยู่กลางอากาศแล้วเอาแต่ดูสิ รีบเข้ามาเร็วเข้า หากร่างกายของข้าไม่มีลมหายใจนานๆ เราทั้งคู่คงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนของจริงแน่นอน?
อีชิวอวี่เร่งเหอรั่วเวยด้วยน้ำเสียงร้อนรน เหอรั่วเวยเองก็ไม่กล้ารีรอ รีบกลับเข้าไปในร่างกายตรงหน้าอีกครั้ง
?แม่นางเหอ เจ้ามาจากอนาคต ทั้งยังเป็นหมอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ภายในความคิด อีชิวอวี่มองดูเหอรั่วเวยที่ใช้ร่างกายเดียวกันกับนางด้วยสีหน้าขัดเคืองอย่างเต็มที่
เหอรั่วเวยส่ายหน้า เอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า ?ปัญหานี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติมากกว่า ข้าไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับด้านนี้มาก่อน แต่มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือ ขอเพียงข้าออกจากร่างของเจ้า ร่างของเจ้าก็จะไม่สามารถหายใจได้เอง ไม่นานก็จะเสียชีวิตลงจริงๆ?
?เช่นนั้น...จะทำอย่างไรดี ทั้งที่ข้ากลายเป็นคนฉลาดแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่ทันที่ข้าจะบอกให้ท่านปู่รู้ ให้ท่านได้ดีใจ ข้าก็จะตายเสียแล้ว ข้าไม่อยากตาย? อีชิวอวี่ร้อนรนจนใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มที
เหอรั่วเวยนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดขึ้นว่า ?ข้าคิดว่า...ตอนนี้มีทางออกเดียวเท่านั้น...นั่นก็คือเราทั้งคู่ใช้ร่างกายร่วมกัน เช่นนี้เจ้าจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้?
?อะไรนะ? ใช้ร่างกายร่วมกัน!? ใบหน้าเล็กๆ ของอีชิวอวี่ขมวดเข้าหากันจนกลายเป็นซาลาเปา ?ไม่มีทางออกอื่นอีกแล้วหรือ?





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ศัลยแพทย์สาวเหอรั่วเวยรู้สึกว่าตนเองโชคร้ายถึงขีดสุด ไม่เพียงทำงานหนักจนเสียชีวิตแล้วข้ามมิติมาอยู่ในร่างของบุตรสาวตระกูลหมอที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ร่างกายนี้ยังไม่ได้เป็นของเธอโดยสมบูรณ์ เพราะเจ้าของร่างเดิมยังคงไม่ไปไหน พวกเธอทั้งคู่จึงต้องใช้ร่างกายร่วมกัน! มิหนำซ้ำคนที่เธอชอบพอยังเป็นบุตรชายคนโตของพ่อค้าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหลี ซึ่งเป็นที่รักชอบของท่านหญิงจิตใจอำมหิตชั่วร้ายถึงขนาดกล้าลงมือกำจัดเธอทิ้งหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้หายไปจากชีวิตเขา แถมเจ้าของร่างเดิมก็ยังไปชอบน้องชายเขาอีก เฮ้อ ร่างกายนี้ไม่สามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนได้เสียหน่อย... ทว่าดูเหมือนสวรรค์จะเห็นใจ เลยหาทางออกด้วยการให้เธอจมน้ำแล้วไปเข้าร่างของท่านหญิงชั่วร้ายคนนั้นแทน นี่มันอะไรกัน?!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”