New Release เหลียนฮวา : เพทุบายบันดาลรัก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : เพทุบายบันดาลรัก

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
นางเป็นสตรีผู้ย้อนอดีต หาใช่ลูกมะพลับนิ่ม

ฉู่หลิงซึ่งนอนพักอยู่บนเตียงทว่าเผลอหลับไปค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอลุกขึ้นนั่ง มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความผิดหวัง สายลมพัดผ่านกิ่งใบอันเขียวชอุ่มของต้นอู๋ถง จนก่อให้เกิดเสียงซู่ซ่า เธอได้กลิ่นบ๊ะจ่างลอยตบอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ พร้อมๆ กับไอร้อนที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น
ช่วงตลอดหลายวันมานี้เธอคอยแต่เฝ้าวาดหวังว่าพอตื่นขึ้นมา ภาพที่ปรากฏตรงหน้าจะเป็นม่านเตียงแสนโรแมนติกเหมือนดั่งเทพนิยาย ส่วนเตียงที่นอนก็เป็นเตียงซิมมอนส์อันอ่อนนุ่ม ทว่าสิ่งที่เธอเห็นทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมากลับเป็นม่านเตียงสีเทาที่มีรอยปะชุนเป็นชั้นๆ กับเตียงไม้แข็งกระด้างและเย็นเยียบที่ใต้ร่าง
ผ่านไปห้าวันแล้วเธอยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง นั่นก็คือ... เธอย้อนกลับมาในอดีต!
จนกระทั่งบัดนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจว่าเธอย้อนอดีตกลับมาได้อย่างไร?
จากคำบรรยายในหนังสือหลายๆ เล่ม โดยทั่วไปแล้วมักเป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุหรือว่าหายนะภัยร้ายแรงขึ้น อย่างเช่นเครื่องบินตก รถชน เรือล่ม กระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทำให้มิติเวลาบิดเบี้ยวจึงสามารถย้อนกลับมายังยุคอดีตได้ ถึงแม้จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอเช่นกัน แต่ว่าสถานการณ์กลับแตกต่างออกไปเล็กน้อย
เธอขมวดหัวคิ้วแน่น มองดูถุงเครื่องหอม ซึ่งหลายวันที่ผ่านมานี้เธอกำเอาไว้ในมือแน่นหรือไม่ก็วางเอาไว้ข้างกาย จากนั้นหวนนึกกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น แต่แล้วก็อดสบถด่าในใจไม่ได้
เมื่อตอนนั้นเพื่อจะช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง เธอไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์ของการยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นด้วยความมีน้ำใจจะกลับกลายเป็นว่าต้องเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง ทำให้เธอคิดว่าไม่น่าทำตัวเป็นคนดีเอาเสียเลย ช่างดวงซวยเหลือเกิน แย่ยิ่งกว่าถูกพวกต้มตุ๋นหลอกเอาเงินเสียอีก
เธอสูดดมกลิ่นหอมของบ๊ะจ่างที่ล่องลอยตามลมเข้ามาภายในห้อง จำได้ว่าวันที่ย้อนอดีตมาตรงกับช่วงเทศกาลตวนอู่ ในยุคปัจจุบันพอดี
เธอถือกำเนิดในครอบครัวแพทย์ ปู่และย่าต่างก็เป็นศาสตราจารย์สอนวิชาแพทย์แผนจีน ส่วนพ่อเป็นแพทย์อาสาไร้พรมแดน เธอซึมซับความรู้อยู่ข้างกายปู่กับย่ามาตั้งแต่เด็กๆ กอปรกับเธอมักจะรบเร้าปู่กับย่าให้สอนวิชาเธออยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เธอจะเข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ ปู่กับย่าจึงถ่ายทอดวิชาความรู้ที่นักศึกษาแพทย์ต้องเรียนให้แก่เธอจนหมดแล้ว
ตอนนั้นเธอสอบติดคณะแพทย์แผนจีนและแผนตะวันตกพร้อมๆ กัน ทั้งพ่อแม่และปู่ย่าที่บ้านต่างก็คิดว่าเธอจะเลือกเรียนคณะแพทย์แผนจีนเพื่อศึกษาการแพทย์แผนจีนต่อไป ทว่าเธอกลับเลือกเรียนที่คณะแพทย์แผนตะวันตกอย่างเหนือความคาดหมายของทุกๆ คน
เพราะว่าเธออยากเป็นแพทย์อย่างเต็มเวลา ภายภาคหน้าเธออยากจะติดตามพ่อแม่ไปเป็นแพทย์อาสาไร้พรมแดนด้วยกัน เดินทางไปรักษาคนทั่วทุกหนทุกแห่ง อันที่จริงความปรารถนานี้ใกล้จะเป็นจริงในอีกสองปีข้างหน้านี้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าการเดินทางมาประชุมแลกเปลี่ยนทางวิชาการครั้งนี้กลับทำให้ความฝันของเธอแหลกสลายเป็นผุยผง
เมื่อครึ่งเดือนก่อนเธอติดตามศาสตราจารย์และเพื่อนๆ ที่คณะแพทย์มาร่วมงานแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่จีนแผ่นดินใหญ่ ประจวบเหมาะกับที่วันเทศกาลตวนอู่ไม่มีกิจกรรมอะไร เธอจึงออกมาเดินเล่นกับเจียเซวียนเพื่อนรักบริเวณใกล้ๆ โรงแรมที่พัก มาเดินดูแถวเขตเมืองโบราณซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเก่าแก่ ซึมซับกลิ่นอายโบราณของเมืองเก่าสักเล็กน้อย
ที่นั่นมีคลองเล็กๆ คลองหนึ่ง สองฟากฝั่งเป็นย่านการค้าอันเจริญคึกคักของเมืองโบราณแห่งนี้ ขายสินค้ามากมายหลากหลายและของกินเล่นนานาชนิด เนื่องจากตรงกับเทศกาลตวนอู่พอดี สิ่งที่วางขายตลอดทั้งสายถนนโบราณแห่งนี้คือบ๊ะจ่างไส้ต่างๆ และถุงเครื่องหอมสำหรับขับไล่แมลงปัดเป่าภัยร้าย
วันนั้นในคลองยังมีการแข่งเรือมังกรให้ผู้คนได้รับชม ตอนที่การแข่งขันรอบตัดสินเริ่มต้นขึ้น ผู้ชมที่อยู่สองฝั่งคลองโบกธงกู่ร้องด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพลัดตกลงไปในคลองได้อย่างไรก็ไม่รู้ ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำพลางตะโกนร้อง ?ช่วยด้วย ฉันว่ายน้ำไม่เป็น...?
แต่เวลานี้เรือมังกรเหล่านั้นกำลังจะเข้าถึงเส้นชัย ผู้คนเกือบทั้งหมดล้วนแต่จดจ่ออยู่กับผลการแข่งขัน เสมือนกับว่านอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครสังเกตเห็นผู้หญิงที่พลัดตกน้ำคนนั้น
เธอเห็นผู้หญิงคนนั้นจวนจะจมน้ำจนมิดศีรษะ เธอจึงกระโดดลงน้ำเข้าไปช่วยโดยไม่ทันยั้งคิด แต่เธอนึกไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าผู้หญิงคนนั้นจะเนรคุณคน ใช้มือทั้งสองข้างกดหัวเธอเอาไว้ให้ตัวเองโผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำไม่ยอมหยุด ไม่ไยดีความเป็นความตายของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเธอจะตะโกนร้องให้ปล่อยเธอแค่ไหนก็ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะฟังไม่เข้าหู ทำเอาเธอกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่
ต่อมามีคนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของพวกเธอสองคนที่อยู่ตรงนี้จึงรีบช่วยผู้หญิงคนนั้นขึ้นฝั่ง แต่เธอกลับหายใจไม่ออกเพราะสำลักน้ำ แล้วก็จมน้ำจนเสียชีวิต
ชั่วพริบตาก่อนจะหมดสติไปเธอจำได้รางๆ ว่าตัวเองพูดเล่นๆ ในใจว่าเธอจะได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีตไหมนะ?
แล้วก็จริงดังปรารถนา เธอย้อนเวลากลับมาจริงๆ
ทว่าสิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ ในเมื่อมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ย้อนเวลากลับมา แล้วทำไมถุงเครื่องหอมที่เธอซื้อมาจากแหล่งท่องเที่ยวใบนี้ถึงย้อนเวลามาพร้อมกับเธอด้วย?
ขณะที่เธอกำลังลูบคลำถุงเครื่องหอม จมจ่อมอยู่ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์นี้ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนระลอกหนึ่งก็ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เธอจำเสียงฝีเท้านี้ได้ นี่คือสี่จู๋ สาวใช้ของเหอหลิงซึ่งเป็นเจ้าของร่างเดิม
สี่จู๋เป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก ทุกวันยามไปยกอาหารจากห้องครัวมักจะสืบถามข่าวคราวต่างๆ มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนั้นก็นำกลับมาบอกเธอ หลายวันมานี้เธอจึงพอจะเข้าใจสภาพการณ์ของจวนโหว แห่งนี้พอสมควรแล้ว
เจ้าของร่างเดิมอายุสิบหกปี เป็นบุตรีในภรรยาเอกของหย่วนชางโหว เหอหย่วน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างเดิมยังมีน้องชายวัยสิบขวบอยู่อีกหนึ่งคน นามว่าเหอจั้นอวี่ อวิ๋นโม่ซึ่งเป็นมารดาบังเกิดเกล้าสิ้นชีวิตไปตอนคลอดน้องชายเนื่องจากคลอดบุตรยาก
ในจวนโหวยังมีน้องสาวต่างมารดาสามคนและอี๋เหนียง อีกสามคน เหอปี้ในวัยสิบหกปีและเหอซีในวัยสิบสี่ปีเกิดจากหวังอี๋เหนียง เหออวิ้นวัยสิบห้าปีเกิดจากมาจ้าวอี๋เหนียง
นอกจากนั้นยังมีตู้อี๋เหนียงที่มีนามว่าตู้เหมยเอ๋อร์ซึ่งมีสถานะแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ นางเป็นแม่ม่ายแต่งงานใหม่ นางพาเซ่าหรูชิงซึ่งเป็นบุตรสาวที่เกิดกับสามีคนก่อนและอายุสิบหกปีเช่นเดียวกันเข้ามาอยู่ในจวนโหวด้วย ข้ารับใช้ในจวนเรียกนางว่าคุณหนูญาติผู้พี่
บิดามารดาของเจ้าของร่างเดิมผูกพันรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ที่เหอหย่วนรับอนุภรรยาเข้าจวนสองคนก็เป็นเพราะถูกบีบบังคับ หวังอี๋เหนียงเป็นน้องสาวของสหายร่วมรบของเขา สหายผู้นั้นเคยช่วยชีวิตเหอหย่วนเอาไว้ในสนามรบ ก่อนตายได้ฝากฝังให้เหอหย่วนรับน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาเป็นภรรยา ขอให้ช่วยดูแลนางให้ดี
ส่วนจ้าวอี๋เหนียงนั้นนายท่านผู้เฒ่าเหอเป็นผู้เอ่ยปากสั่งให้เหอหย่วนรับนางเป็นภรรยา ว่ากันว่าเป็นคำฝากฝังก่อนสิ้นชีวิตของสตรีที่นายท่านผู้เฒ่าเหอหมายปองเมื่อครั้งยังหนุ่ม คำสั่งของบิดาไม่อาจขัดขืน เหอหย่วนจึงจำต้องรับจ้าวซื่อ เป็นภรรยาอีกคน
เนื่องจากเหอหย่วนมีคุณงามความชอบจากการช่วยปกป้องฮ่องเต้เมื่อปีนั้น ฝ่าบาทจึงอวยยศให้เขาเป็นหย่วนชางโหว ถูกสั่งไปประจำการที่ชายแดนอันห่างไกลตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยกลับมาเมืองหลวงเลยสักครั้ง ตู้อี๋เหนียงจึงเป็นคนควบคุมจัดการความเป็นอยู่ในจวนทั้งหมด
เธอรู้มาจากสี่จู๋ว่าตู้เหมยเอ๋อร์เป็นหลานสาวของฮูหยินผู้เฒ่าเหอ คิดดูแล้วคงจะเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์เพทุบายและมากแผนการคนหนึ่งเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นด้วยสถานะแม่ม่ายของตู้เหมยเอ๋อร์พ่วงด้วยลูกสาวอีกหนึ่งคนไหนเลยจะแต่งเข้าจวนโหวได้ ซ้ำยังได้กุมอำนาจภายในจวนอีกด้วย
เธอรู้มาจากคำบอกเล่าของแม่นมเกาว่าตู้เหมยเอ๋อร์คนนี้ชมชอบเหอหย่วนมาตั้งแต่เมื่อครั้งกระโน้น ฮูหยินผู้เฒ่าเหอเองก็ตั้งใจจะให้บุตรชายรับนางเป็นภรรยา ทว่าคนที่เหอหย่วนชอบคือมารดาของเจ้าของร่างเดิม กอปรกับนายท่านผู้เฒ่าเหอเห็นว่าตู้เหมยเอ๋อร์เป็นสตรีมากเล่ห์หาใช่สตรีที่ดีไม่ เลยคัดค้านบุตรชายไม่ให้แต่งนางเข้าจวน สุดท้ายนางจึงจำต้องแต่งงานกับสามีผู้มีอายุสั้น จนกระทั่งนายท่านผู้เฒ่าเหอลาโลกไป ฮูหยินผู้เฒ่าเหอถึงได้จัดแจงให้บุตรชายรับนางมาเป็นภรรยา
ตู้เหมยเอ๋อร์คิดว่ามารดาของเจ้าของร่างเดิมแย่งตำแหน่งฮูหยินจวนโหวไปจากนางมาโดยตลอด นอกจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเหอยังพำนักสวดมนต์อยู่ที่อารามไม่ได้กลับจวนโหวมานานหลายปี ท่านโหวเองก็อยู่ไกลถึงชายแดน กล่าวได้ว่าเจ้าของร่างเดิมและน้องชายไม่มีใครให้พึ่งพิงได้เลยในจวนแห่งนี้ กอปรกับตู้เหมยเอ๋อร์ก็เป็นคนควบคุมความเป็นอยู่ต่างๆ ในจวน ชีวิตของสองพี่น้องจึงลำบากยากเข็ญมาก อัตคัดขัดสนอย่างสุดแสน ต้องอาศัยเงินที่ได้จากการที่แม่นมและสี่จู๋ปักผ้าขายประทังชีวิต
เมื่อห้าวันก่อนเหอหลิงถูกผลักตกน้ำ ตอนที่ถูกช่วยขึ้นมาก็ไม่มีลมหายใจไม่มีเสียงหัวใจเต้นแล้ว และกลายเป็นเธอที่ย้อนเวลามาเข้าร่างแทนเจ้าของคนเดิม
สี่จู๋ถือกล่องอาหารเดินเข้ามาในเรือน จากนั้นเลิกม่านออก ครั้นเห็นว่าคุณหนูตื่นขึ้นมาแล้วทว่าสีหน้าแววตากลับสะลึมสะลือ นางก็คิดว่าคุณหนูมีไข้ขึ้นอีกคราจึงรีบร้อนวางกล่องอาหารลง เดินเข้าไปจับหน้าผากของนาง ถึงแม้ความร้อนจะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่นางก็ยังคงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ?คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ ร่างกายดีขึ้นหรือไม่ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ?
ฉู่หลิงมองสี่จู๋แวบหนึ่งก่อนจะดึงมือของนางออกแล้วส่ายศีรษะ ?ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วง ดูเจ้าท่าทางดีอกดีใจ เจอเรื่องดีๆ อะไรที่ห้องครัวหรือ?
สี่จู๋มีหน้าตาน่ารักน่าชัง ใบหน้ากลมป้อม มีดวงตาเรียวรีซึ่งมักจะแฝงรอยยิ้มเอาไว้เสมอ อุปนิสัยเหมือนกับคำว่า ?จู๋ ? ในชื่อของนาง เป็นคนซื่อตรง หากมีเรื่องอะไรก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้
?คุณหนู ข้ามีข่าวดีมาบอกท่านเจ้าค่ะ แม่นมหวังมีธุระให้ต้องกลับไปที่บ้านสองวันจึงขอลาหยุดกับตู้อี๋เหนียง ดังนั้นในช่วงสองวันนี้แม่นมจ้าวเลยมารับหน้าที่ในห้องครัวแทนนางชั่วคราว แม่นมจ้าวแอบให้บ๊ะจ่างพวกเราเพิ่มมาพวงหนึ่ง แล้วยังมีไข่เค็มอีกแปดฟองด้วยเจ้าค่ะ บ๊ะจ่างพวงนี้พอให้พวกเราสี่คนกินไปได้หลายวันเลยนะเจ้าคะ? สี่จู๋เอ่ยด้วยความปีติยินดี ซ้ำยังเลียริมฝีปากล่างอย่างห้ามใจไม่อยู่ ?ข้าได้ยินลวี่โต้วที่ทำหน้าที่จุดไฟบอกว่ามีเนื้อติดมันใส่อยู่ในบ๊ะจ่างทุกลูกด้วยนะเจ้าคะ?
ครั้นได้ยินคำว่าเนื้อติดมัน ฉู่หลิงก็พลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบในชั่วพริบตา เธอกลัวเนื้อติดมันที่สุด ถึงแม้อาหารที่เธอกินในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้จะเป็นโจ๊กที่แทบมองไม่เห็นเม็ดข้าว ในปากเธอจืดชืดจนไม่มีรสชาติใดๆ ไปตั้งนานแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ใคร่จะลิ้มรสเนื้อติดมันอยู่ดี
?จริงสิ คุณหนู แม่นมจ้าวนี่เป็นคนดีโดยแท้ ตอนข้าถือกล่องอาหารจะกลับออกมา นางยังฉวยจังหวะตอนไม่มีผู้ใดเห็นแอบยัดข้าวสารถุงเล็กให้ข้า ข้าวสารนี่มากพอจะให้พวกเรากินไปได้ราวๆ สิบวันเลยนะเจ้าคะ?
สี่จู๋หยิบข้าวสารถุงเล็กๆ ออกมาจากในกล่องอาหารอย่างเบิกบานใจ จากนั้นวางลงในมือของคุณหนูอย่างระมัดระวังราวกับกำลังส่งมอบสมบัติล้ำค่าก็มิปาน
ฉู่หลิงมองดูข้าวสารถุงน้อยในมือ เมื่อวัดจากปริมาณข้าวที่เธอกินเพียงคนเดียวตอนอยู่ในยุคปัจจุบันแล้ว นี่คงจะพอหุงได้แค่สามมื้อเท่านั้น แต่สี่จู๋กลับพูดว่าพวกเธอสี่คนกินได้ถึงสิบวัน ได้ยินแล้วเธอก็อยากร้องไห้เหลือเกิน มิน่าโจ๊กที่เธอกินอยู่ทุกวันถึงได้มองไม่เห็นเม็ดข้าวเสียเลย
?คุณหนู ท่านไม่ดีใจหรือเจ้าคะ? เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังเซื่องซึมของนาง สี่จู๋ก็เอ่ยถามด้วยความรู้สึกเฉียบไว
?เปล่าหรอก สี่จู๋ บ๊ะจ่างนี่ข้าไม่กิน ส่วนของข้าก็แบ่งให้เจ้ากับแม่นมกินเถิด เจ้าช่วยต้มโจ๊กให้ข้าที เอาแบบที่เม็ดข้าวเต็มถ้วย ไม่ใช่มีแต่น้ำ ข้าอยากกินโจ๊ก? เธอยื่นข้าวสารถุงน้อยนี้คืนให้สี่จู๋
?คุณหนู สี่จู๋จะรีบไปต้มโจ๊กให้ท่านเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ แต่ว่าคุณหนู วันนี้เป็นเทศกาลตวนอู่ เหตุใดถึงไม่กินบ๊ะจ่างเล่าเจ้าคะ? สี่จู๋รู้สึกผิดเป็นที่สุด ต้องเป็นเพราะนางพูดถึงเนื้อติดมันด้วยสีหน้าตะกละตะกลามเป็นแน่แท้ คุณหนูถึงได้บอกว่าไม่อยากกินบ๊ะจ่าง คุณหนูช่างดีกับนางและแม่นมเกาเหลือเกิน
ครั้นหน้าเห็นสีหน้าสี่จู๋ก็รู้ทันทีว่าสี่จู๋จะต้องคิดมากไปแน่ๆ เธอจึงเอ่ยปลอบประโลมอย่างร้อนรน ?สี่จู๋ เจ้าไม่ต้องคิดมากไปหรอก บ๊ะจ่างนั้นย่อยยาก ร่างกายข้าเพิ่งจะหายดี ให้กินของมันเลี่ยนขนาดนี้คงจะรับไม่ไหว เจ้าคงไม่อยากให้ข้าป่วยอีกใช่ไหม? เมื่อพูดจบเธอก็เดินลงจากเตียง เตรียมจะหยิบกล่องอาหารนั้นให้สี่จู๋ ให้สี่จู๋ยกไปวางไว้ที่ห้องครัวเล็กด้านหลังในคราวเดียว ถุงเครื่องหอมซึ่งถูกกำอยู่ในมือจึงร่วงหล่นลงบนพื้นไปตามการเคลื่อนไหวของเธอ
เมื่อสี่จู๋เห็นจึงย่อตัวก้มลงหยิบขึ้นมา จากนั้นปัดฝุ่นบนถุงเครื่องหอมออก ครั้นเห็นลวดลายบนถุงเครื่องหอมอย่างเต็มตา นางก็เอ่ยถามด้วยความฉงน ?คุณหนู ท่านไม่ชอบถุงเครื่องหอมใบนี้จึงเก็บมันเอาไว้ในตู้มิใช่หรือ ทำไมถึงเอาออกมาได้เล่าเจ้าคะ?
?สี่จู๋ เจ้าว่าอะไรนะ?
?ก็ถุงเครื่องหอมใบนี้อย่างไรเล่าเจ้าคะ วันนั้นพวกเราเดินเร่ขายงานเย็บปักอยู่บนถนน ขากลับเจอหญิงเฒ่าขอทานหิวโซจนเป็นลมหมดสติอยู่ข้างทาง ท่านยกซาลาเปาที่ซื้อไว้ให้นายน้อยให้นางหนึ่งลูก เพื่อเป็นการขอบคุณท่าน นางจึงมอบถุงเครื่องหอมซึ่งเป็นสิ่งของมีค่าเพียงอย่างเดียวบนร่างกายให้ท่าน บอกว่านี่เป็นถุงเครื่องหอมขอพร คิดสิ่งใดก็จะสมปรารถนา? สี่จู๋ชี้ไปยังถุงเครื่องหอม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ฟังอย่างคร่าวๆ
?ถุงเครื่องหอมขอพร?!? ฉู่หลิงร้องลั่นด้วยความตกใจ
?ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู ตอนนั้นท่านยังพูดติดตลกว่าถ้าหากความปรารถนาเป็นจริงได้ ท่านขอให้ตนเองกลายเป็นคนที่ไม่หวาดกลัวพวกตู้ซื่อสองแม่ลูกอีก กลายเป็นคนใหม่ที่เข้มแข็งกว่าเดิม? สี่จู๋พยักหน้า ย้อนนึกถึงคำพูดขบขันของคุณหนูในตอนนั้น ?ท่านยังบอกอีกว่า หลังจากความปรารถนาเป็นจริงแล้ว เรื่องแรกที่ท่านจะทำก็คือช่วงชิงอำนาจในการปกครองจวนคืนมาจากมือตู้อี๋เหนียง?
?ไม่นะ...? ฉู่หลิงเบิกตากว้าง จ้องมองสี่จู๋อย่างไม่อยากเชื่อ
?คุณหนู ทำไมท่านตกน้ำคราวนี้ถึงได้อาการสาหัสเพียงนี้เล่าเจ้าคะ ไม่เพียงแต่ลืมเรื่องราวเมื่อหนึ่งเดือนก่อนไปจนหมดสิ้น แม้กระทั่งเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงตนเองเคยพูดอะไรไว้ก็ยังหลงลืมไปจนหมด...? ครั้นสี่จู๋เห็นนางมีสีหน้างงงวยก็เจ็บปวดหัวใจจนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นฉู่หลิงก็เข้าใจกระจ่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน เรื่องราวที่เธอขบคิดไม่แตกมาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็กระจ่างแล้ว
มิน่าเธอถึงรู้สึกว่าเธอกับเจ้าของร่างเดิมมีอะไรบางอย่างเกี่ยวโยงกัน ที่แท้ก็คือถุงเครื่องหอมขอพรใบนี้นี่เอง!





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จู่ๆ ฉู่หลิงก็ถูก ?ถุงเครื่องหอมขอพร? พาย้อนมิติกลับมายุคโบราณ เป็นคุณหนูตกยากที่ถูกอนุภรรยาในบ้านกดขี่จนไม่มีอะไรจะกิน ด้วยเหตุนี้เธอจึงปลอมเป็นชายแล้วท้าประลองชนไก่กับเผยเมิ่งหยวน ผู้สืบทอดตำแหน่งจิ้นชินอ๋อง จอมเสเพลอันดับหนึ่งที่มีฮ่องเต้ให้ท้ายแม้กระทั่งองค์ชายยังกลัวหัวหด เธอเล่นตุกติกจนชนะเขาได้ เขาเลยสั่งให้คนติดประกาศจับเธอไปทั่วเมือง มิหนำซ้ำเธอบังเอิญช่วยชีวิตเขาไว้ พอฟื้นขึ้นมาเขากลับบีบคอเธอเสียอย่างนั้น เจ้าบ้าเอ๊ย!
เจ้าของร่างเดิมเป็นคู่หมั้นกับเขา แต่เธอไม่อยากแต่งงานกับเจ้าหน้าเหม็นคนนี้จึงเจรจาว่าหากรักษาพิษในร่างเขาได้จะยกเลิกสัญญาหมั้น เธอเชี่ยวชาญทั้งแพทย์แผนจีนและแผนตะวันตก ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเธอช่วยเหลือผู้คน ถุงเครื่องหอมขอพรจะทำให้เธอติดต่อพ่อแม่ในยุคปัจจุบันได้ เธอจึงได้ข้อมูลมากมาย! ถึงอย่างนั้นก็ไม่คาดคิดว่าเมื่อรักษาเขาหายดีแล้ว เขากลับติดโรคอื่นมาแทนคือ...โรคคิดถึง และมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาโรคของเขาได้...


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”