New Release เหลียนฮวา : ม่านมายาชายาผู้ถูกลืม

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ม่านมายาชายาผู้ถูกลืม

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
ชัยชนะของแม่ทัพแลกมาด้วยชีวิตทหารเรือนหมื่น

จันทราคล้อยเด่นเหนือขอบนภา แสงสีขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นรำไร ณ ที่อันไกลโพ้น เสียงไก่ขันดังแว่วขาน เร่งเร้าดวงตะวันให้ปรากฏกายเร็วไวขึ้น
โจวซวี่ยงไล่ข้ารับใช้ออกไป เขารับหวีมา จากนั้นลงมือถักผมเปียให้หลี่เซวียนด้วยตนเอง เขาขมวดคิ้วเข้มมุ่น ในเบื้องลึกของดวงตากำลังข่มกลั้นความเศร้าหมองเอาไว้ ในอกหดรัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก
หลี่เซวียนหันกลับไปเล็กน้อย จ้องมองไปทางเขา
ท่านรองยังเยาว์วัยยิ่ง ทว่าเรือนกายกลับสูงใหญ่ รูปโฉมโดดเด่นเหนือสามัญ แลดูสะดุดตาท่ามกลางฝูงชนยิ่งนัก ใบหน้าของเขาขาวหมดจดดั่งหยก นัยน์ตาสีดำฉายประกายจางๆ วาววับแพรวพราว ดุจดั่งอัญมณีสีนิลซึ่งไร้รอยราคี งดงามจดแม้แต่อิสตรีก็ต้องทอดถอนใจ
?ท่านรอง ท่านเป็นอะไรไปหรือ? หลี่เซวียนเอ่ยปาก ทั้งสีหน้าแววตาล้วนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
หลี่เซวียนเป็นลูกบ่าวรับใช้ของจวนอ๋อง แม้นจะมีฐานะเป็นบ่าวไพร่ ทว่าทุกคนในจวนอ๋องล้วนปฏิบัติกับนางราวกับคุณหนู เพราะว่านางน่ารักฉลาดเฉลียว ใสซื่อบริสุทธิ์ และเพราะนางได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง พระชายา ยิ่งกว่านั้นท่านชายทั้งหลายต่างก็ชื่นชอบนางกันทั้งสิ้น
?ไม่มีอะไร เมื่อวานหลับสบายดีหรือไม่? โจวซวี่ยงหาเรื่องคุยกลบเกลื่อน
การติดตามบิดาออกมาทำงานนอกเมืองหลวงคราวนี้ เขามิได้พาสาวใช้มาด้วย พามาแต่หลี่เซวียนให้คอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย นางทำอะไรละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะเป็นเพียงดรุณีน้อย แต่กลับมีประโยชน์มากกว่าเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกเสียอีก
โจวซวี่ยงติดนิสัยพึ่งพานางมาตั้งแต่ยังเล็ก สมัยเด็กๆ เขาไม่ชอบเรียนหนังสือหนังหา ชอบแต่ตวัดกระบี่กระบอง มิว่าผู้ใดจะตักเตือนเช่นไรก็ไร้ประโยชน์
ซิ่นอ๋องรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้ยิ่ง จึงกล่าวสั่งสอนว่า ?ขึ้นหลังอาชาสู้รบสร้างชาติ ลงจากหลังอาชาปกครองแว่นแคว้น บัดนี้ทั่วหล้าสุขสงบ ชายแดนไร้ศึกสงคราม เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ไม่มีอนาคตไกล เจ้าต้องร่ำเรียนวิชาการปกครองให้มากๆ?
ชายาซิ่นอ๋องเองก็กล่าวว่า ?ต่อให้เจ้าอยากจะเดินเส้นทางขุนนางฝ่ายบู๊ แต่ก็ต้องรู้หนังสือศึกษาตำราพิชัยสงคราม หากมีแต่พละกำลัง แต่ไม่รู้จักการวางแผนการรบ ก็เป็นได้เพียงทหารเลวเท่านั้น?
ทว่าโจวซวี่ยงดันเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเองทั้งออกจะดื้อรั้นอยู่นิดๆ ยิ่งผู้อื่นต้องการให้เขาเดินไปทางทิศตะวันออก เขาก็จะยิ่งเดินไปทางทิศตะวันตก เขาคิดว่า ต่อไปค่อยหาคนที่รู้หนังสือ เข้าใจตำราพิชัยสงครามมาเป็นกุนซือคอยวางแผนให้ตนเอง เท่านี้ก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ ดังนั้นวาจาของบิดามารดาอาจารย์ล้วนไม่เข้าหูเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาซึ่งในตอนนั้นเพิ่งจะเจ็ดขวบรู้ตัวอักษรไม่ถึงยี่สิบตัว ทว่าศาสตร์การขี่ม้ายิงธนู วิชาการต่อสู้หมัดมวยกลับแตกฉานทุกแขนง ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ่งหยิ่งทระนงตน คิดว่าไม่เรียนหนังสือก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด
จนกระทั่งหลี่เซวียนตัวน้อยที่เพิ่งจะสามขวบ เดินก็ยังไม่แข็ง ทว่ากลับสามารถยืนเอามือไพล่หลังท่องโคลงกลอนต่อหน้าพระพักตร์ชายาซิ่นอ๋องด้วยท่าทางอภิรมย์เริงใจ พาให้ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งเรือนหัวเราะไม่หยุด โจวซวี่ยงรู้ว่ามีดรุณีน้อยผู้หนึ่งซึ่งแม้แต่พู่กันก็ยังถือไม่มั่น แต่กลับรู้ตัวอักษรมากกว่าเขาถึงสิบเท่า เมื่อทุกคนพากันชมเชยว่านางปราดเปรื่องเฉลียวฉลาด เขาก็เกิดความรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ขึ้นมา
แม้ว่าเขาไม่ชอบเรียนหนังสือ ทว่าอุปนิสัยกลับเย่อหยิ่ง ไม่รู้จักยอมแพ้เป็นที่สุด หลังจากกลับไปที่ห้อง เขาก็ไปขอแผ่นทาบฝึกเขียนตัวอักษรจากพี่ใหญ่โจวจิ้งยง จากนั้นก็ใช้มือที่จับดาบจนชิน มีรอยหยาบกร้านขึ้นเต็มไปหมดจับพู่กันเอาไว้ เขียนร่างอย่างจริงจังทีละเส้นทีละขีด ต่อมาพอท่องกลอนได้สองสามบทก็วิ่งไปท่องอวดต่อหน้าบิดามารดา
ยามเขาเห็นประกายเจิดจ้าระยิบระยับในดวงตาของบิดามารดา เขามีความสุขยิ่ง!
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาก็มักจะประชันฝีมือกับหลี่เซวียนเป็นประจำ แข่งท่องกลอน แข่งจำตัวอักษร แข่งเขียนเรียงความ ทั้งที่ดรุณีน้อยผู้นั้นอายุน้อยกว่าตนเองสี่ปี แต่มักจะเรียนรู้เร็วกว่าเขาเล็กน้อย บีบให้เขาต้องทุ่มสุดกำลังแรงกาย คอยไล่ตามอย่างสุดชีวิต
แรกเริ่มเดิมที แท้ที่จริงโจวซวี่ยงเรียนหนังสือด้วยความหยิ่งยโสเพราะไม่รู้จักยอมแพ้ แต่ต่อมานานวันเข้า เขาก็เกิดความสนใจต่อวิชาความรู้ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ดังนั้นซิ่นอ๋องและพระชายาจึงยิ่งรักใคร่โปรดปรานหลี่เซวียนมากขึ้นกว่าเดิม มักจะให้นางโอ้อวดความสามารถต่อหน้าโจวซวี่ยงอยู่เสมอ ให้นางกระตุ้นบุตรชายตนเองให้เรียนหนังสือ ครั้นจวนอ๋องเชิญอาจารย์มาสอนวิชาความรู้ให้ท่านชายทั้งหลายก็ไม่เคยลืมหลี่เซวียน พวกเขาวางโต๊ะและเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไว้ด้านหน้าสุด ทั้งยังหาเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งมาเรียนหนังสือเป็นเพื่อนนาง
เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ดวงน้อยๆ ของนางส่ายหันไปมาด้วยความอภิรมย์ใจเลียนอย่างผู้ใหญ่ ฟังเสียงไพเราะเสนาะหูของนางท่องจือฮูเจ่อเหยี่ย ไม่เพียงแต่โจวซวี่ยง กระทั่งบรรดาพี่ชายน้องชายของเขาต่างก็ชอบหลี่เซวียนกันทั้งสิ้น ชื่นชอบยิ่งนัก
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด โจวซวี่ยงและหลี่เซวียนทั้งสองคนมักจะเจียวไม่ห่างเมิ่ง เมิ่งไม่ห่างเจียว ตัวติดกันตลอดเวลา
บัดนี้หลี่เซวียนอายุสิบสองปีแล้ว ความเก่งกาจปราจเปรื่องชวนให้คนหลงใหลชื่นชม อาจารย์มักจะลูบเคราพลางกล่าวเป็นประจำว่า ?หากหลี่เซวียนได้เข้าร่วมการสอบขุนนางรอบฤดูใบไม้ร่วง การจะคว้าตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อ ก็มิใช่เรื่องยาก?
ทว่าโจวซวี่ยงกลับกลายเป็นผู้เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นพระนัดดาที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงรักใคร่โปรดปรานมากที่สุด พระองค์ทรงกำชับซิ่นอ๋องว่ายามปรึกษากิจการบ้านเมืองกับเหล่าเสนาธิการ ให้พาโจวซวี่ยงติดตามไว้ข้างกาย ให้เขาได้ฟังมากๆ ได้เรียนรู้มากๆ แม้นจะมิได้ตรัสออกมาอย่างชัดแจ้ง ทว่าสองพ่อลูกก็เข้าใจว่าฮ่องเต้ถูกพระทัยเขาเข้าแล้ว
?ท่านรอง ท่านไม่พอใจหรือ? หลี่เซวียนไม่สนคำกลบเกลื่อนของโจวซวี่ยง หันหน้ากลับมาซักไซ้ถามอีกครา
?เปล่า?
ถึงแม้ปากจะบอกว่าเปล่า ทว่าใบหน้าของโจวซวี่ยงกลับบึ้งตึงขึ้นอีกหลายส่วน
นัยน์ตาสงบเยียบเย็นของเขาจ้องหลี่เซวียนกลับ ดวงหน้าของนางหมดจดเกลี้ยงเกลาทั้งยังงามพิสุทธิ์ ดุจดั่งดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ อายุยังน้อยนิดทว่ากลับงามงดเสียจนมิมีสิ่งใดเทียบเทียมได้ ภายภาคหน้าเมื่อร่างกายเติบโตเต็มวัย คงจะทำให้บุรุษต้องตาหมายปองเป็นแน่
โจวซวี่ยงถอนหายใจยาวๆ เฮือกใหญ่ สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย นัยน์ตาที่จับจ้องนางทอประกายเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
นางฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น ย่อมรู้ดีว่าตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด ทว่านางไม่ร้องไห้ไม่งอแง ไม่โหวกเหวกไม่โวยวาย เพียงเพราะ... เพราะนางมีฐานะเป็นบ่าวไพร่ คำว่าจงรักภักดีกดศีรษะนางเอาไว้ ต่อให้ไม่ยินยอมเพียงไร ก็ทำได้เพียงยิ้มรับเอาไว้เท่านั้นกระมัง
ในดวงตาเขาปรากฏแววเห็นใจและสงสาร ความอาวรณ์อันแรงกล้ากดทับอยู่ในหัวใจอย่างหนักหน่วง
วันก่อนเขากับบิดาเดินทางมาสะสางธุระนอกเมืองหลวง ก่อนออกเดินทาง ฮ่องเต้รับสั่งให้เขากับบิดามาเข้าเฝ้าที่พระตำหนัก ทรงกำชับกำชาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมืองติ้งโจวเป็นเขตชายแดนของแคว้นลี่กับต้าโจว หลายปีมานี้แคว้นลี่ถวายบรรณาการทุกปีมิได้ขาด ร้องขอให้สองแคว้นเปิดเสรีทางการค้าต่อกัน ขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักส่วนมากต่างเห็นค้าน ทว่าขุนนางที่เข้ามาใหม่จำนวนไม่น้อยกลับกราบทูลให้ทรงพิจารณาถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปิดเสรีทางการค้า หลังจากฮ่องเต้ทรงวิจัยฉัยทบทวนอยู่หลายคราก็ส่งพวกเขาไปจัดการกิจธุระให้ราชสำนักในครานี้
ทว่าเมื่อวานพอเดินทางออกจากเมืองหลวงกลับมีม้าเร็วนำความมาแจ้งว่าฮ่องเต้ผู้มีพระวรกายกำยำแข็งแรงมาโดยตลอดกลับพระอาการประชวรกำเริบกะทันหัน เมื่อได้รับทราบข่าวคราว สองพ่อลูกก็ตระหนกตกใจเป็นหนักหนา รีบเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงตลอดทั้งคืน
ฮ่องเต้ทรงมีพระโอรสห้าพระองค์ พระโอรสองค์โตไต้อ๋องเกิดจากฮุ่ยเฟย นิสัยป่าเถื่อนดุร้าย ชอบคิดทำการใหญ่ มักจะมีข่าวลือว่าเขาทารุณข้าทาสบริวารแพร่ลือออกมาเป็นประจำ เพราะเหตุฉะนี้ฝ่าบาทจึงทรงเคยต่อว่าตักเตือนเขาเป็นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
พระโอรสองค์ที่สองหรูอ๋องก็ถือกำเนิดจากฮุ่ยเฟยเช่นเดียวกัน ชอบใฝ่หาวิชาความรู้ ไม่สนใจเรื่องราวในราชสำนัก
พระโอรสองค์ที่สามก็คือซิ่นอ๋องบิดาของโจวซวี่ยง ผู้ซึ่งถือกำเนิดแต่ฮองเฮา เมื่อครั้งเยาว์วัยสุขภาพพลานามัยมิค่อยสู้ดี จึงได้แต่ร่ำเรียนหนังสืออยู่ในตำหนัก ทว่าหลังจากได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่จากหมอหลวงสุขภาพก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ เขามีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง มีความปรารถนาที่จะปกครองแว่นแคว้นอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ บัดนี้ทุกคนในราชสำนักต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ที่จะแต่งตั้งซิ่นอ๋องให้เป็นรัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออก
โอรสองค์ที่สี่โง่เขลา ส่วนโอรสองค์ที่ห้าก็ไม่มีอันใดโดดเด่น มารดาของเขามีฐานะต่ำต้อย ไม่เป็นที่สนใจของฮ่องเต้และขุนนางทั้งหลาย
ด้วยเหตุฉะนี้ในใจของเหล่าขุนนางต่างก็รู้ดีว่าเมื่อฮ่องเต้สวรรคต บัลลังก์จะต้องตกเป็นของซิ่นอ๋องอย่างแน่นอน แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเหตุไฉนอยู่ดีๆ ฮ่องเต้ถึงพระอาการประชวรกำเริบได้?
แม้นว่าพวกซิ่นอ๋องสองพ่อลูกจะอยู่ไกลจากเมืองหลวง แต่ก็เดาเบื้องลึกเบื้องหลังของแผนการร้ายนี้ได้ไม่ยาก ไต้อ๋องมีใจคิดคดอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เขาหาสมัครพรรคพวก รวบรวมพลังอำนาจในราชสำนัก หลายปีที่ผ่านมานี้คอยเล่นงานซิ่นอ๋องในที่ลับบ้างในที่แจ้งบ้างหลายครั้งหลายครา ที่บัดนี้เขาเลือกก่อเหตุขึ้นในเวลานี้จะต้องเป็นเพราะมีการวางแผนตระเตรียมมาแล้วเป็นแน่
โจวซวี่ยงเกลียดชังเรื่องพรรค์นี้ยิ่งนัก ในครอบครัวทั่วๆ ไป หากพี่น้องทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งยศถาบรรดาศักดิ์กัน มักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายห้ำหั่นกัน แต่หากเป็นการแย่งชิงบัลลังก์กลับต้องใช้ชีวิตคน ใช้เลือดเนื้อแลกเอามา ตั้งแต่โบราณกาลที่ผ่านมา ใต้เบื้องบัลลังก์มังกรหลังใดบ้างที่มิได้รองด้วยซากศพวิญญาณอาฆาตมากมายนับไม่ถ้วน?
เขาไม่เข้าใจ บัลลังก์น่าลุ่มหลงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ควรค่าให้พ่อลูก พี่น้องพากันแก่งแย่งชิงดี ควรค่าให้ฉากละครอันน่าตลกขบขันขึ้นโรงแสดงครั้งแล้วครั้งเล่าอย่าไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้? เขาโกรธแค้น เขาชิงชัง องคาพยพทั้งห้าบิดเบี้ยวท่ามกลางเพลิงโทสะซึ่งโหมกระหน่ำ เส้นเลือดตรงหน้าผากโปดปูนให้เห็นเด่นชัด กำหมัดแน่นอย่างควบคุมตนเองไม่อยู่
จะแย่งชิงบัลลังก์ นั่นเป็นเรื่องของพวกคนที่มีจิตใจทะเยอทะยานเหล่านั้น แล้วเหตุใดต้องดึงหลี่เซวียนเข้าไปในโคลนตมด้วยเล่า? หัวใจของเขาบีบรัดอย่างรุนแรง ถ้าหากเขามีความอดทนมากขึ้นอีกนิด ถ้าหากเขาเก่งกาจมากขึ้นอีกหน่อย เขาก็จะสามารถพาหลี่เซวียนหลีกหนีหายนะภัยครั้งนี้ไปให้ไกลๆ ได้ แต่ทว่า... เขาทำมิได้...
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีเวลาใดที่เขาเกลียดชังตัวเองเช่นนี้มาก่อน
ครั้นเห็นเขาสะกดกลั้นความเศร้าหมองเช่นนี้ หลี่เซวียนเองก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน นางจ้องมองกระจกพลางสำรวจเสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างของตนเอง นั่นคืออาภรณ์ของโจวซวี่ยง เมื่อวานนางรีบเร่งปรับแก้ให้เล็กลงตลอดทั้งคืน วันนี้จึงได้มาสวมใส่อยู่บนร่างของนาง
เดิมทีนางไม่เข้าใจ แต่หลังจากขบคิดหนึ่งรอบ คนฉลาดเฉลียวอย่างนางมีหรือจะไขข้อฉงนไม่ได้?
ดูเหมือนว่าท่านอ๋องคิดจะให้นางกับบิดาที่ร่วมเดินทางมาด้วยในคราวนี้ปลอมตัวเป็นท่านอ๋องกับท่านรองนั่งรถม้าเข้าเมืองหลวงเพื่อตบตาผู้อื่น จะได้หลอกล่อพวกโจรร้ายที่รอดักพวกเขาอยู่กลางทางให้สับสนเพื่อยื้อเวลาให้ท่านอ๋องกระมัง
ส่วนที่ท่านรองโมโหถึงเพียงนั้นคงเป็นเพราะเขามิอาจต่อต้านท่านอ๋องได้ เพราะว่าดาบเล่มใหญ่ที่ชื่อว่าคุณธรรมกำลังพาดจ่ออยู่เหนือศีรษะเขา บีบให้เขาจำต้องก้มหน้าร่วมมือ ถูกต้องหรือไม่
ท่านรองเป็นบุรุษที่ไม่ยอมคุกเข่าให้ผู้ใด ท่านอ๋องคงจะสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมายกว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาได้กระมัง หลี่เซวียนบรรยายรสชาติในหัวใจไม่ถูก ราวกับซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือผสมปนเปกัน สลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง!
นางกลัวหรือไม่ แน่นอนย่อมต้องกลัวอยู่แล้ว! นางอยากหนีหรือไม่ แน่นอนย่อมต้องอยากหนีอยู่แล้ว!
ทว่าดาบเล่มใหญ่ที่บีบบังคับให้ท่านชายรองต้องก้มหน้าทำตามก็พาดอยู่บนศีรษะนางและท่านพ่อเช่นเดียวกัน คำว่าความภักดี สัจจะ เมตตาธรรม กตัญญูมีน้ำหนักมากพอจะทำให้ราษฎรทั่วทั้งใต้หล้ายินยอมมอบชีวิตของตนเองให้แต่โดยดี
ดังนั้นท่านพ่อจึงบอกกับนางว่า ?บนโลกนี้เดิมทีมีได้ก็ต้องมีเสีย ถ้าหากทุกคนไม่ยอมเสียสละเพื่อแคว้น สร้างคุณงามความดีแก่ราชสำนัก เหล่าปวงประชาจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้เยี่ยงไร?
ดังนั้นซิ่นอ๋องจึงเลือกแคว้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนนางกับท่านพ่อ ท่านรองไม่มีสิทธิ์เลือกใดๆ ทำได้แค่เพียงต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น
แม้นหลี่เซวียนจะไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก แต่ก็รู้ดีว่าหากไต้อ๋องได้ครอบครองบัลลังก์มังกร แผ่นดินคงจะโกลาหลวุ่นวาย ราษฎรระหกระเหินไร้ที่อยู่อาศัย นั่นคือกษัตริย์ทรราช เขายังมิทันได้ปกครองตำหนักตะวันออกก็กราบทูลขอนำทัพทหารนับล้านบุกโจมตีแคว้นข้างเคียง หมายสร้างชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร์
ไต้อ๋องหมายจะใช้คุณงามความชอบจากการศึกสร้างฐานอำนาจในราชสำนัก หากเขาเป็นผู้มีความสามารถเก่งกาจก็แล้วไป แต่นี่ดันเป็นพวกมีแต่เปลือกที่ทำเป็นแค่เอ่ยวาจากลวงๆ เท่านั้น
เหตุการณ์ความไม่สงบที่ชายแดนก่อนหน้านี้ เขาขันอาสานำทัพทหารหนึ่งแสนนายต่อกรกับกองทัพทหารสองหมื่นนายของฝ่ายศัตรู แต่กลับพ่ายแพ้เสียยับเยิน แต่เคราะห์ดีที่แม่ทัพวังยอมสู้ตายถวายชีวิตจึงพอจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้บ้าง ทว่าบุรุษที่ชอบคิดการใหญ่พรรค์นี้ก็ยังเอาแต่พูดว่าจะขยายเขตแดนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พูดว่าตนเองจะแผ่แสนยานุภาพให้ยิ่งกว่าปฐมกษัตริย์ผู้บุกเบิกแคว้น
ไม่รู้จักความสามารถของผู้อื่นก็น่าสมเพชมากพอแล้ว แต่นี่แม้กระทั่งความสามารถในการรู้จักตนเองก็ยังไม่มี ถ้าเกิดไต้อ๋องได้นั่งครองบัลลังก์จริงๆ แล้วละก็ จะต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมของแผ่นดินต้าโจวเป็นแน่แท้
ดังนั้นถึงนางหวาดกลัวแต่ก็ไม่มีสิทธิ์จะหลบหนี ต่อให้นับจากบัดนี้จะต้องจากกันชั่วนิจนิรันดร์ก็ตาม
ขนตางอนยาวน้อยๆ ของหลี่เซวียนไม่ขยับไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงหน้างามเฉิดฉันแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างยิ้มหยีเล็กน้อย ในเมื่อเปลี่ยนแปลงเส้นทางเบื้องหน้ามิได้ ก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเดินไปจนสุดทาง ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด
นางสูดหายใจลึกๆ เดินมายืนตรงหน้าโจวซวี่ยง จากนั้นแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานบริสุทธิ์ เอียงศีรษะ แววตาเจิดจ้าเป็นประกาย เหมือนดั่งตอนที่นางเอ่ยวาจาสั่งสอนผู้อื่นในยามปกติ
?ท่านรอง ท่านพ่อมักจะสอนเซวียนเอ๋อร์ว่าความตายบ้างมีค่าสูงส่งดุจเขาไท่ซาน บ้างไร้ค่าดุจดั่งขนห่าน สามารถทำให้ตนเองกลายเป็นเขาไท่ซานได้ก็ไม่เลว หลายคนไม่มีตัวเลือก ทำได้เพียงเสียอกเสียดายอย่างไม่จบไม่สิ้นเมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดจบ...? เมื่อเห็นเขาอัดอั้นตันใจจนไม่ยอมพูดยอมจา นางก็แลบลิ้นเล็กน้อยหมายจะหยอกล้อให้เขาเบิกบาน ?ข้าเป็นยอดอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่และเก่งฉกาจ จะตายซี้ซั้วได้อย่างไร จะตายทั้งทีก็ต้องตายอย่างยิ่งใหญ่อลังการ จะได้มีคนเขียนอัตชีวประวัติ ตั้งแท่นบูชาให้ข้า?
วาจาของนางมิได้ทำให้เขาสำราญใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
เขาคิดในใจว่า หาข้ออ้างให้เขาสักข้อเถิด ข้ออ้างที่พอจะทำให้เอ่ยหลักคุณธรรมออกมาได้สักสองประโยค หรือไม่ก็เสนอความคิดที่ดีกว่าแผนการสลับตัวเช่นนี้ให้เขา เขาจะได้ปรี่ไปเบื้องหน้าบิดาแล้วคัดค้านแผนการแย่ๆ แผนการนี้ด้วยเสียงอันดังฟังชัด... ทว่าเขาเค้นสมองครุ่นคิดอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังคิดไม่ออก... เป็นเพราะเขาเรียนหนังสือมาน้อยเกินไปใช่หรือไม่ ถ้าหากพี่ใหญ่อยู่ด้วย คงจะช่วยคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้แน่ๆ ใช่หรือไม่
เขาโกรธแค้นตัวเอง ชิงชังตัวเอง เขาเกลียดแค้นที่ตนเองจำต้องมองดูหลี่เซวียนไปตายแต่กลับทำอันใดมิได้เลย
หลี่เซวียนเห็นดังนั้นก็ดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ ยังคงระบายรอยยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยนเต็มใบหน้าดุจเดิม
เขาสะกดกลั้นโทสะเอาไว้ ดีดที่กลางหน้าผากของนางหนึ่งที แสร้งทำเป็นโกรธเกรี้ยวพลางเอ่ย ?ยังต้องเขียนอัตชีวประวัติ ต้องตั้งแท่นบูชาด้วยหรือ ใครบอกว่าเจ้าจะตาย? ข้าไม่อนุญาต! ได้ยินหรือไม่ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าต้องกลับมาอยู่ข้างกายข้าอย่างปลอดภัยครบสมบูรณ์ทุกประการ?
นางนวดหน้าผากของตนเอง เบื้องลึกของดวงตามีประกายลึกล้ำ ?ท่านแม่บอกว่า ความตายก็คือการผ่านสวรรค์และนรกอย่างละรอบ หลังจากนั้นก็กลับมาเกิดใหม่ เปลี่ยนพ่อแม่คนใหม่ ประสบเคราะห์กรรมใหม่อีกครา ไม่มีอันใดน่ากลัวสักนิด?
ได้ยินดังนั้นลมหายใจของเขาก็พลันติดขัด เขาจับจ้องดวงหน้าของนาง สีหน้าแววตาเคร่งเครียด ?หลี่เซวียน ข้าจะพูดซ้ำอีกรอบ เจ้าจงตั้งใจฟังวาจาของข้าให้ชัดเจน!? เขาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของนางเอาไว้ ดวงตาแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงจะปะทุออกมา ?หน่วยพลีชีพที่ท่านพ่อส่งไปอยู่ข้างกายพวกเจ้ามีวรยุทธ์ล้ำเลิศ หากมีพวกเขาอยู่ ชีวิตของเจ้ากับบิดาก็จะปลอดภัยไร้กังวล?
ใช้น้ำเสียงหนักแน่นเช่นนี้เอ่ยวาจากับนางเชียวหรือ... หลี่เซวียนเข้าใจดี เขาไม่เพียงแต่ปลอบให้นางสงบใจ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการเกลี้ยกล่อมตนเอง ทว่าเขากับนางต่างก็เข้าใจเช่นกันว่าถ้าหากหน่วยพลีชีพเหล่านั้นสามารถทำให้พวกเขาปลอดภัยไร้กังวลได้จริง แล้วไยต้องแสดงละครตบตาฝ่ายศัตรูเช่นนี้ด้วยเล่า?
นางหัวเราะเบาๆ ไม่โต้งเถียงกับเขาอีก จากนั้นหยิบถุงเหอเปา จากในอกมามอบให้เขา
?ท่านรอง ได้โปรดมอบของสิ่งนี้ให้แม่นางอวิ๋นแทนข้าด้วย นี่มิใช่ของล้ำค่าอันใด ทว่าเต็มไปด้วยความคิดคำนึง?
หลายปีที่ผ่านมานี้จวนซิ่นอ๋องกับสกุลหวังไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม ลูกหลานของทั้งสองตระกูลมักจะมารวมตัวกันเป็นประจำ หวังซินอวิ๋นคุณหนูสกุลหวังทั้งเป็นมิตรและจิตใจดีงาม เชี่ยวชาญทั้งการดีดพิณ เดินหมาก วาดภาพ เขียนพู่กัน เป็นอัจฉริยะหญิงผู้มีชื่อเสียงลือชาในเมืองหลวง ยังมิทันถึงวัยออกเรือนก็มีคนมาทาบทามเป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว
ความรู้สึกที่หวังซินอวิ๋นมีต่อท่านรอง หลี่เซวียนนั้นเข้าใจดี สัญญาของซิ่นอ๋องกับหวังอี้ นางเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง
ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่าอิจฉาริษยา แต่ก้นบึ้งในหัวใจของหลี่เซวียนมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกอยู่จริงๆ ทว่านางรู้สถานะของตนเองดี รู้จักความสูงส่งต่ำต้อย รู้จักขอบเขตความเหมาะสม เพียงแต่บางครั้งที่ไม่ทันระวัง ก็จะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดทิ่มแทงในหัวใจขึ้น แต่นางทราบดีว่าหวังซินอวิ๋นกับท่านรองเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่เหมาะสมกันอย่างหาที่สุดมิได้ ถ้าหากภายภาคหน้าทั้งคู่สามารถ... คงจะเป็นเรื่องที่ดี
ในถุงเหอเปาคือม้าไม้ตัวน้อยที่ท่านรองแกะสลักให้นางด้วยมือตนเอง ด้านบนยังสลักชื่อของเขาเอาไว้ นี่มิใช่ของกำนัลแต่เป็นของแทนคำไหว้วาน นางอยากจะไหว้วานหวังซินอวิ๋นว่าต่อไปให้ดูแลท่านรองให้ดีๆ
?อืม? เขาขานรับเสียงเบา
หลี่เซวียนพิศจ้องสีหน้าอ่อนละมุนของเขา จากนั้นหลุบดวงตาลง ในที่สุดเบื้องลึกของหัวใจก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะสูญเสียไป นอกจากชีวิตแล้วยังมีสิ่งใดอีก
นางฉีกยิ้มกว้าง เอ่ยพูดต่อไป ?หลังจากกลับเมืองหลวงไป ท่านรองอย่าลืมเล่าเรื่องสนุกๆ ที่พวกเราเจอคราวนี้ในแม่นางอวิ๋นฟังเล่า?
?คราวนี้มีเรื่องสนุกอันใดกัน? เขาช่วยนางจัดหมวกเปลือกแตง ให้เรียบร้อย
?มีสิ ก็เจ้าอ้วนหูอันธพาลชั่วผู้นั้นอย่างไรเล่า ยังมียายหนูหวังที่ขายตัวฝังศพบิดาอีกคน อย่าลืมนะ แม่นางอวิ๋นชอบฟังเรื่องเล่าเป็นที่สุด หากท่านรองเล่าเรื่องพวกนี้ให้แม่นางอวิ๋นฟัง นางต้องชอบท่านอย่างแน่นอน?
วาจาของหลี่เซวียนทำให้โจวซวี่ยงขมวดคิ้วขึ้นมา ในแววตาเจือด้วยความเย้ยหยันอยู่สามส่วน เขามิได้เอ่ยอันใดอีก เพียงแค่บีบแก้มทั้งสองข้างของนางเล็กน้อย เขาอยากจะกำชับนางอีกสักสองสามประโยค ทว่านอกเรือนมีคนมาเร่งให้หลี่เซวียนออกเดินทางเสียก่อน
หัวใจพลันเย็นเยียบระลอกหนึ่ง ความเย็นยะเยือกแล่นจากฝ่าเท้าเข้าสู่หัวใจ นางจงใจเมินเฉย จงใจยักไหล่ และจงใจโบกมืออำลาให้เขาอย่างกล้าหาญ
ในชั่วพริบตานั้นหัวใจของโจวซวี่ยงพลันหนาวสะท้าน ในเสี้ยวเวลาที่นางหันกายกลับไป เขาก็ดึงนางกลับมา รวบนางเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา มือของเขากำลังสั่นเทา หัวใจของเขาโกรธแค้น ?คนผู้นั้น? ยิ่ง โจวซวี่ยงสาบานว่าไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำเพื่อบิดามากเพียงไร ชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับ ?คนผู้นั้น? อีก
นางคลี่ยิ้มในอ้อมกอดของเขา ย้อนนึกเรื่องราวในวันวานขึ้นมา...
คราวนั้นนางถูกท่านรองกอดเอาไว้เช่นนี้ แม่นางอวิ๋นมาเห็นเข้าจึงเอ่ยหยอกล้อ ?พวกท่านนายบ่าวสนิทสนมกันดีจริงๆ?
ท่านรองขัดเขิน ปล่อยมือพลางเอ่ยว่า ?ใครใช้ให้หลี่เซวียนขี้อ้อนเล่า?
นางจำได้ว่าตอนนั้นใบหน้าของเขาเป็นสีชมพูเปล่งปลั่ง ราวกับแม่นางน้อยที่กำลังเขินอายก็มิปาน ทั้งที่ดูไม่สมกับเป็นชายชาตรี แต่นางกลับรู้สึกว่าน่ามองเป็นที่สุด นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาก็จะแอบกอดนางในที่ที่ไม่มีใครเห็นเท่านั้น นางเองก็ยินดีให้เขาขโมยกอดในที่ที่ไม่มีคนเห็นเช่นเดียวกัน
มารดานางบอกว่า ?เกิดเป็นหญิงต้องรู้จักสำรวมตน เจ้าเริ่มอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ควรรู้ว่าชายหญิงมิควรใกล้ชิด?
ทว่านางเอาแต่โน้มน้าวตัวเองอยู่ร่ำไปว่ารอจนถึงอายุสิบห้าก็แล้วกัน หลังจากถึงวัยออกเรือนค่อยคิดเรื่องชายหญิงมิควรใกล้ชิด... เพราะเหตุใดนะหรือ เพราะว่าอ้อมกอดของเขาเป็นสถานที่ที่ทำให้นางสุขสงบใจมากที่สุด
เพียงชั่วประเดี๋ยวโจวซวี่ยงก็ปล่อยตัวนาง เขาปลดหินหยกสีม่วงที่ใส่มานานปีไม่เคยห่างกายออกจากคอ จากนั้นสวมใส่ลงบนคอของนาง
?นี่เป็นหินหยกที่ผ่านการลงอาคมจากนักพรตผู้มีวิชาแก่กล้า เมื่อเจอภยันตรายเจ้าจงกำมันไว้แน่นๆ มันจะช่วยให้เจ้ารอดผ่านภัยพาลทั้งปวงไปได้?
เขาไม่เชื่อเรื่องพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะเชื่อขึ้นมาแล้ว เขากุมมือนางไว้แน่น ถ้อยวจีนับพันนับหมื่นอัดแน่นอยู่ในหัวใจ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยมือนางออกเท่านั้น
หลี่เซวียนมองสบตาเขา คลี่รอยยิ้มฝืดเฝื่อน รอยยิ้มนั้นตกกระทบเข้าสู่สายตาของเขา ทันใดนั้นความเจ็บแปลบระลอกหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจ ความเจ็บปวดที่ชัดเจนและรุนแรงทิ่มแทงเข้าสู่หัวใจเขาอย่างหนักหน่วง ลางร้ายที่ไม่มีชื่อเรียกค่อยๆ แผ่ลามไปตามสันหลัง






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลี่เซวียนนั้นเฉลียวฉลาดรู้ประสามาตั้งแต่เยาว์วัย แต่นางกลับเคราะห์ร้ายถูกเลือกให้สวมรอยเพื่อตายแทนโจวซวี่ยงท่านชายรองแห่งจวนอ๋อง หลังศึกชิงบัลลังก์ยุติลง ท่านอ๋องได้ขึ้นครองราชย์ ซวี่ยงมีฐานะเป็นองค์ชาย ส่วนนางที่รอดชีวิตมาได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง เพียงแต่เบื้องหลังเกียรติยศสูงศักดิ์นี้กลับแลกมาด้วยชีวิตบิดามารดาของนาง
เพื่อเป็นการชดเชยฝ่าบาทจึงทรงให้องค์ชายรองซวี่ยงรับนางเป็นภรรยา ทว่าเขากลับยืนกรานไม่ยอมแต่งนางเข้าจวน ยามนี้นางถึงได้รู้ว่าความผูกพันและมิตรภาพที่ลึกซึ้งมิอาจบงการความรักได้ นางเพิ่งจะมองเห็นความไร้หัวใจของเขาก็เมื่อถูกส่งตัวเข้าตำหนักเย็น ช่างปะไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตให้สุขกายสบายใจ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดผิดพลาดตรงไหน ?ชายาที่ถูกทิ้ง? อย่างนางกลับถูกฝ่าบาทยกให้องค์ชายห้าและรับสั่งให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน ส่วนซวี่ยงที่ต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่รับนางเป็นภรรยากลับแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนทุกวันหมายจะแย่งตัวนางกลับไป?

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”