New Release เหลียนฮวา : ตำรับรักชายากระทะเหล็ก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ตำรับรักชายากระทะเหล็ก

โพสต์ โดย Gals »

บทที่หนึ่ง
คารวะเทพเต่าบรรพบุรุษแห่งการครัวเป็นอาจารย์

?จินถงหรุ่ย! กี่โมงเข้าไปแล้ว ยังไม่ลุกอีก!?
ตอนที่เสียงเป่านกหวีดดังขึ้น จินถงหรุ่ยกำลังฝันหวานอยู่พอดี อยู่ๆ ผ้าห่มอุ่นสบายบนตัวก็ถูกดึงออกไป แม้จะใส่ชุดนอนผ้าฝ้ายกันหนาวทั้งชุด กระทั่งยังสวมหมวกและถุงเท้าขนสัตว์ด้วย แต่เธอก็ยังหนาวสั่นรุนแรง ขณะที่กำลังนวดตาอยากจะลืมตาขึ้น ฝ่ามือหนึ่งก็เคาะลงมาบนศีรษะของเธออย่างไม่ปรานี
?ต้องให้ฉันบอกกี่ครั้ง ยามเด็กไม่รู้จักขยันหมั่นเพียร ตอนแก่จะต้องเสียใจภายหลัง!? จินปู๋ฮ่วนตะคอกข้างหูหญิงสาวเสียงเกรี้ยว ?เธอนึกว่าด้วยฝีมือระดับเป็ดอย่างเธอจะกำราบพวกมืออาชีพพวกนั้นอยู่รึไง? เธอนึกว่าพ่อของเธอจะมีชีวิตอยู่ไปชั่วฟ้าดินสลายรึไง? รอให้ฉันตายตาหลับทั้งสองข้างก่อน หากเธอยังงัดฝีมือที่แท้จริงออกมาไม่ได้ พวกแก่ๆ พวกนั้นจะฟังเธอเหรอ? ถ้าเธอไม่มีความสามารถจะสั่งพวกเขา ก็อย่าคิดอยู่ที่ร้านจินหยวน ร้านจินหยวนคือน้ำพักน้ำแรงทั้งชีวิตของฉัน ไม่ได้เอาไว้ให้เธอทำเสียชื่อ ถ้าเธอไม่มีใจจะเรียนก็ไปเสียแต่เนิ่นๆ ฉันไม่อยากจะเสียเวลาอันมีค่าของฉันหรอก!?
ต่อให้จินถงหรุ่ยอุดหูไว้ก็ยังท่องตามได้ เพราะนี่คือบทพูดที่ปะป๊าของเธอจะท่องรอบหนึ่งตอนปลุกเธอทุกวัน ในปีหนึ่งเธอต้องฟังสามร้อยหกสิบห้ารอบ แล้วจะไม่ให้ท่องได้อย่างคล่องปากได้อย่างไร
พวกเขาสองพ่อลูกใช้ชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกัน พ่อของเธอใช้วิธี ?ใช้ความรุนแรงในครอบครัว? แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่มีต่อเธอมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอด จะอยู่ได้อีกไม่เกินสองปี ปะป๊าก็ยิ่งเข้มงวดในคุณสมบัติของเธอถึงขีดสุด เหมือนตอนนี้...เธอหรี่ตาชำเลืองมองนาฬิกาปลุกที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียง เพิ่งจะตีสี่เองนะ คนส่วนใหญ่ยังนอนฝันหวานอยู่ในโปงผ้าห่มอยู่เลย ส่วนปะป๊าก็เอาแต่พูดเหมือนเธอนอนจนตะวันส่องก้นอย่างนั้นแหละ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเข้าใจดีว่า ทำไมปะป๊าถึงไม่อาจวางใจเธอที่เป็นลูกโทน เธอก็คงต่อต้านและหนีออกจากบ้านไปนานแล้ว เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดที่ชีวิตกำลังบานสะพรั่งคนไหนจะอยากแช่อยู่ใช่ห้องครัวมันๆ ทั้งวันกันเล่า? เธอสนใจและมีพรสวรรค์ในการทำอาหาร แต่เธอไม่ชอบการฝึกแบบหฤโหดอย่างนี้เลย ความรู้สึกที่ต้องแข่งกับเวลา ไม่ว่าอาหารแบบไหนเธอก็ต้องทำให้เป็นภายในสามวันแบบนี้ เหมือนกับว่า เหมือนกับว่าปะป๊าจะจากเธอไปได้ทุกเมื่ออย่างนั้นแหละ...
จินถงหรุ่ยสูดจมูก บังคับให้น้ำตาไหลกลับไป ดึงหมวกลงมา เอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูกแน่นๆ ?ลุกแล้วค่ะ ไม่ต้องตะคอกแล้ว ขืนยังตะคอกต่อไปแก้วหูหนูแตกแน่ หากไม่ได้ยินเสียงทำกับข้าวอีกจะทำอย่างไร ป๊าจะรับผิดชอบเหรอ??
?ยังจะพูดเหลวไหลอีก!? จินปู๋ฮ่วนแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าลูกสาวขอบตาแดง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงสะอื้นของเธอ เขากระชากคอเสื้อเธอขึ้นมาอย่างใจร้าย แล้วเขย่าตัวเธออย่างหยายคายสองสามที ?ตื่นรึยัง? รีบตื่นเดี๋ยวนี้!? ตะคอกเสร็จเขาก็ปล่อยมือ แล้วหันเดินออกไปจากห้องลูกสาว

สามสิบนาทีหลังจากนั้น จินถงหรุ่ยปั่นจักรยานออกจากบ้านไปยังร้านจินหยวนด้วยความเร็วแสง เปลี่ยนมาใส่ชุดเชฟสีขาวหิมะในห้องพักพนักงานโดยไม่ยอมให้เวลาเสียเปล่า รวบหางม้าด้วยท่าทางสดชื่น สองมือเล็กทั้งล้างทั้งหั่นอย่างเร็วจี๋อยู่ในครัว ส่วนปะป๊าของเธอนั้น ก็เฝ้าอยู่ในห้องครัวนานแล้ว
เธอไม่ได้กินแม้แต่อาหารเช้า กระทั่งนมร้อนๆ สักแก้วก็ไม่ได้ดื่ม และตอนนี้เป็นช่วงเดือนสิบสองตามปฏิทินจีนที่อากาศหนาวจัด กระแสความเย็นแค่แปดองศาเท่านั้น ใครเล่าจะร้าวระทมยิ่งกว่าเธอได้อีก?
จินหยวนคือร้านอาหารจีนที่รั้งอันดับสูงมากในวงการ พ่อของเธอจินปู๋ฮ่วนยิ่งเป็นเชฟกิตติมศักดิ์ในงานเลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่ได้รับรางวัลมานับครั้งไม่ถ้วน รับรองแขกชั้นสูงจากต่างประเทศมามากมาย และทุกครั้งก็ทำให้แขกพออกพอใจ ผู้จัดก็หน้าชื่นตาบาน
และพ่อที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ก็ย่อมมีลูกที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ปุ่มรับรสของเธอเฉียบไวสุดๆ ตั้งแต่อายุห้าขวบก็แสดงให้เห็นพรสวรรค์ในการทำอาหาร เคยเข้าร่วมการแข่งขันเล็กใหญ่ในประเทศมานับครั้งไม่ถ้วน ฉายา ?คนเก่งทำครัวตัวน้อย? ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อเธอตั้งแต่เกิด ถ้วยรางวัลที่ได้รับก็ใกล้จะไม่มีที่ให้วางแล้ว ปะป๊าคือความภาคภูมิใจของเธอ และปะป๊าก็ภูมิใจในตัวลูกสาวอย่างเธอคนนี้ด้วย แม้ในห้องครัวพวกเขาจะเป็นพ่อลูกที่อารมณ์ร้อนเหมือนกัน แค่คุยกันไม่ถูกคอก็ตีกันแล้ว แต่พอเดินออกจากห้องครัว พวกเขาพ่อลูกก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกันมาก หากจะบอกว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องอะไรที่พูดไม่ได้บ้าง ก็คงเป็นเรื่องผู้หญิงคนนั้นล่ะมั้ง
ผู้หญิงคนนั้นคือผู้หญิงที่คลอดเธอออกมา ตอนที่เธอยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลก็เป็นชู้กับเชฟรองของร้านจินหยวน ทั้งคู่หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามกันไป นี่คือความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของปะป๊าและเธอมาตลอด เด็กที่ไม่มีแม่จะลำบากเป็นพิเศษในระหว่างที่เติบโต แต่เธอไม่เคยพร่ำบ่น เพราะเธอรู้ว่าปะป๊าที่ควบหน้าที่เป็นแม่ด้วยเหนื่อยใจยิ่งกว่า
จินถงหรุ่ยมองร่างสูงใหญ่กำยำของปะป๊าตัวเอง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าปะป๊าช่างโดดเดี่ยวและตัวเล็กนัก ขณะที่เธอกำลังคิดอยากจะเดินไปพูดปลอบใจเขาสักคำสองคำ อยู่ๆ ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในห้องครัวพื้นที่ร้อยกว่าตารางเมตร อุปกรณ์ทำครัวต่างๆ ร่วงหล่นลงมา
เธอยึดโต๊ะสแตนเลสสะอาดวับไว้แน่น พร้อมตะโกนอย่างตื่นตระหนก ?ปะป๊า!?
จินปู๋ฮ่วนลองรักษาสมดุล ความจริงแล้วเขากลัวมาก แต่เขาแสร้งทำเป็นสงบนิ่งเอ่ยขึ้น ?เตี๋ยนเตี่ยน ลูกไม่ต้องกลัว ปะป๊ากำลังไป...?
โครม!
เขายังพูดไม่จบ ตึกใหญ่ทั้งหลังก็ตอบรับด้วยการพังครืนลงมา ในสายตาของเขาเห็นเพียงลูกสาวสุดที่รักร่วงหล่นลงไป...

+++++

?ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นแบบนี้นะ? ไม่แต่งก็ไม่แต่งสิ พ่อกับแม่ไปบอกท่านลุงใหญ่ของเจ้าดีๆ ก็ได้ ทำไมเจ้าต้องพุ่งชนกำแพงด้วยเล่า? นี่นอนมาห้าวันแล้ว ถ้าหากยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แม่เองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วนะ...?
จินถงหรุ่ยข้ามมิติมาได้ห้าวันแล้ว ความตระหนกในตอนแรกสงบลงเล็กน้อย ประสบการณ์ของเจ้าของร่างเดิมวนเวียนอยู่ในหัวหลายตลบ แต่ร่างกายของเธอไม่มีเรี่ยวแรง ดวงตาเหนียวหนึบลืมไม่ขึ้น ลำคอก็ส่งเสียงไม่ออก ได้แต่นอนแบ็บตลอดเวลาราวกับคนพิการ
ได้ยินเสียงและอาศัยความรู้สึกเธอก็รู้แล้วว่าแม่ของเจ้าของร่างกำลังเช็ดตัวให้อยู่ แม่ของเจ้าของร่างเดิมชื่อเฟิ่งเหลียนเหนียง นางโทษตัวเองอย่างหนักที่ลูกสาวโขกกำแพง ทุกวันจะมาเช็ดตัวให้เธออย่างระมัดระวัง พูดกับเธอด้วยความเสียใจระคนชิงชัง ด้วยหวังว่าเธอจะฟื้นขึ้นมา
เธอเองก็อยากฟื้นขึ้นมาเช่นกัน เพราะเธอหิวเหลือเกินจริงๆ ตอนนี้เธอเพิ่งรู้ว่าที่แท้การข้ามมิติมาคืองานใช้แรงงาน เธอหิวจนกินวัวได้สิบตัวเลยล่ะ
?ท่านแม่?? จินถงหรุ่ยพยายามส่งเสียง เธอนึกว่าจะล้มเหลวเหมือนหลายครั้งก่อนหน้า คิดไม่ถึงว่าจะประสบความสำเร็จ
?เตี๋ยนเตี่ยน! เตี๋ยนเตี่ยน! เจ้าฟื้นแล้วหรือ? เฟิ่งเหลียนเหนียงดีใจเป็นล้นพ้นจับมือลูกสาวแน่น
จินถงหรุ่ยขยับเปลือกตา แล้วตอบรับ ?อื้ม? ด้วยเสียงอ่อนแรง
ที่แท้ชื่อเล่นของเธอที่นี่ก็คือเตี๋ยนเตี่ยนเหมือนกัน หรือว่าเธอข้ามมิติมาเพราะเหตุนี้?
?หัวของเจ้าเจ็บมากหรือไม่? เฟิ่งเหลียนเหนียงเอ่ยอย่างเป็นกังวล ?เจ้าเสียเลือดไปมาก แล้วหัวยังบวมเป็นก้อนใหญ่ด้วย...?
?ท่านแม่ ข้าหิว...?
เฟิ่งเหลียนเหนียงอึ้งงันไปทันที ?ใช่แล้วๆ นอนมาห้าวันย่อมหิวอยู่แล้ว เจ้ารอเดี๋ยว แม่จะไปทำโจ๊กให้?
โจ๊กอะไร จินถงหรุ่ยได้ยินแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว บอกอย่างอดไม่ได้ ?ท่านแม่ ข้าอยากกินเนื้อ...?
?เนื้อ?? เฟิ่งเหลียนเหนียงผงะ ?เจ้าอยากกินเนื้อหรือ...? นางกัดฟัน ?ได้ เจ้ารอเดี๋ยว แม่จะไปทำเนื้อมาให้!?
จินถงหรุ่ยได้ยินแล้วก็รู้สึกแแปลกๆ ทำไมถึงทำราวกับว่าต้องตัดใจเด็ดขาดขนาดนั้นล่ะ หรือเธอกลับชาติมาเกิดใหม่ในครอบครัวที่แม้แต่เนื้อก็ไม่มีปัญญาซื้อ? จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ฐานะทางบ้านของนางแย่จริงๆ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าซื้อเนื้อกินไม่ไหวนี่นา เธอและพ่อของเธอต่างก็ขาดเนื้อไม่ได้เหมือนกัน ถ้าหากว่าครอบครัวนี้ไม่มีปัญญาหาเนื้อกินจริงๆ แล้วจะทำอย่างไร
ในขณะนั้นเธอก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
แต่ว่า ก็เพราะการปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ในใจแบบนี้ เธอจึงลืมตาได้แล้ว
โอ สวรรค์!
แม้เธอจะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมและเตรียมใจไว้แล้ว แต่เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยจะโกโรโกโสแบบนี้ นี่เรียกว่าเป็นห้องเด็กสาวได้ด้วยเหรอ?
เธอนอนอยู่บนเตียงคั่ง บนตัวคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางที่ปะแล้วปะอีก ทอดสายตามมองไปในบ้านมีแต่ผนังโล้นๆ สี่ด้านล้วนเป็นสีซีดๆ ประตูห้องมีผ้าขี้ริ้วครึ่งผืนที่ใช้เป็นม่านชั่วคราว ดูน่าเกลียดยิ่งนัก
ลุงใหญ่ของเจ้าของร่างเป็นตัวตั้งตัวตีจะให้นางแต่งเป็นภรรยาคนที่สองของช่างตีเหล็กอายุมากกว่าสามสิบ เขารับเงินค่าสินสอดจากฝ่ายนั้นมาสองตำลึง เจ้าของร่างให้ตายก็ไม่ยอมแต่งถึงได้วิ่งชนกำแพง และการชนขนาดนี้ก็คือตั้งใจจะชนให้ตายเลย และหากเธอไม่ได้ข้ามมิติมา ตอนนี้ครอบครัวสกุลจินก็คงกำลังจัดงานศพแล้ว
ตอนที่ร่างกายขยับไม่ได้ก็ไม่รู้สึกหิว ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกหิวชัดเจนเป็นพิเศษ ท้องไส้เหมือนบิดเร่าไปหมด แต่รอมานานครึ่งวันก็ยังไม่เห็นแม่ของเธอเข้ามาอีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วมั้งเนี่ย? หรือว่าที่บอกไปทำเนื้อไม่ได้หมายถึงไปต้มเนื้อ แต่เป็นออกไปซื้อเนื้อ? ไม่สิ ถ้าบอกว่าไป ?ทำ? ก็หมายความว่าจะไปหาวิธีชัดๆ ซึ่งหมายความว่าบ้านนี้ไม่มีเงินซื้อเนื้อ
จินถงหรุ่ยเป็นคนใจร้อน รอไม่ไหวอีกต่อไป ไหนๆ เธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้วเลยออกไปดูหน่อย เธอเองก็อยากไปรู้จักโลกใบนี้ที่ข้ามมิติมาหน่อยว่าจะมีหน้าตาเป็นแบบไหน
ในห้องข้างนอก เฟิ่งเหลียนเหนียงกำลังจ้องประตูใหญ่ตาปริบๆ พอเห็นลูกสาวเท้ากำแพงออกมาก็รีบเข้าไปประคอง ?ไอ้หยา! ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าไม่นอนอยู่ในห้อง ออกมาทำอะไร?
จินถงหรุ่ยปล่อยให้แม่ของเธอประคองนั่งลง ?ท่านแม่ ท่านไม่ได้จะไปทำอาหารมาให้ข้ากินหรือ ข้ารอมาตั้งนานแล้วจึงได้ออกมาดู?
เฟิ่งเหลียนเหนียงยิ้มปลอบ ?เจ้ารออีกประเดี๋ยวนะ พ่อของเจ้าไปขอยืมเนื้อจากลุงใหญ่แล้ว ข้าให้เขาวิ่งไป อีกไม่นานก็กลับมาแล้วล่ะ?
จินถงหรุ่ยขบคิด จินต้าซิ่วบิดาของเจ้าของร่างเดิมไม่ได้ทำนาแล้วเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ดังนั้นครอบครัวนับวันก็ยิ่งลำบากยากเข็ญ แล้วทำไมตอนนี้ถึงให้คนป่วยวิ่งล่ะ?
ตอนนี้เธอไม่ได้ตั้งตารอเนื้อแล้ว บอกแค่ว่า ?ท่านแม่ ข้าหิวจนทนไม่ไหวแล้ว ท่านทำโจ๊กให้ข้ารองท้องก่อนเถอนะ?
เฟิ่งเหลียนเหนียงรีบบอก ?โจ๊กทำเสร็จนานแล้ว แค่อุ่นหน่อยก็ใช้ได้แล้วล่ะ เจ้ารอเดี๋ยวนะ ประเดี๋ยวเดียว!?
คราวนี้เร็วจริง เฟิ่งเหลียนเหนียงเข้าไปในห้องครัวได้ครู่หนึ่งก็ยกโจ๊กร้อนๆ ชามหนึ่งออกมา
จินถงหรุ่ยหิวจนหน้าอกซูบติดแผ่นหลังมานานแล้ว เธอกินอย่างรวดเร็วหลายคำ จากนั้นก็เงยหน้ามองเฟิ่งเหลียนเหนียงแวบหนึ่ง
ไม่ธรรมดาเลย แค่โจ๊กยังทำได้รสชาติห่วยแตกแบบนี้ ดูท่าฝีมือการทำครัวของแม่เธอจะไม่ผ่านมาตรฐานนะ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาจู้จี้จุกจิก เธอต้องกินให้อิ่มก่อน มีแรงพูดมีแรงเดินแล้วค่อยว่ากัน
เธอกินโจ๊กรสชาติแย่ชามนั้นจนหมดเกลี้ยง ?ท่านแม่ ข้าเอาอีกชาม?
เฟิ่งเหลียนเหนียงเห็นลูกสาวไม่เพียงฟื้นแล้ว แต่ยังอยากอาหารหนักด้วย จึงบอกตรงๆ อย่างดีอกดีใจ ?ได้ๆ แม่จะไปเติมมาให้อีกชาม!?
จินถงหรุ่ยกินโจ๊กไปสี่ชามเต็มๆ ถึงได้รู้สึกอิ่มท้อง หน้าร้อนอากาศร้อน เธอกินโจ๊กร้อนจนเหงื่อมท่วมตัว แต่ทั้งตัวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
ตอนนี้จินต้าซิ่วผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวกลับมาในที่สุด แต่กลับมาในสภาพคอตกสองมือว่างเปล่าและเซื่องซึม ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้เนื้อมา
จินถงหรุ่ยมองบิดาของตนในชาตินี้ ที่รูปลักษณ์ภายนอกต่างกับปะป๊าของเธอลิบลับ
ปะป๊าของเธอร่างกายสูงใหญ่กำยำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษารูปร่างได้ไม่เลว และเพราะเป็นพ่อครัวมานาน ผิวจึงขาวเกลี้ยง ไม่ว่าใครเห็นแล้วก็จะพูดกันว่าเขาเป็นหนุ่มเท่วัยกระเตาะ หลายปีมานี้ผู้หญิงที่มีใจให้เขามีจำนวนไม่ใช่น้อยๆ แต่เขาก็ไม่หวั่นไหวเลย เพราะถูกทรยศหักหลังมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงไม่กล้าแตะต้องความรักอีก
วกกลับมาดูจินต้าซิ่วที่อยู่ตรงหน้า ร่างสูงๆ ผอมๆ เหมือนลำไผ่ ด้วยทำนามานานปีจึงมีผิวพรรณดำๆ แดงๆ ต่อให้เพิ่งจะอายุสี่สิบ แต่ใบหน้ากลับมีริ้วรอยสลักไว้ทั้งตื้นลึก ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบปะๆ สีเหลืองซีด ดูเหมือนจะแก่กว่าอายุจริงมาก
จินต้าซิ่วขอบตาแดงเรื่อ ลูบศีรษะลูกสาว ฝืนยิ้มบอก ?พ่อไม่ได้เรื่อง ยืมเนื้อมาไม่ได้ ลูกสาวของเราต้องทนอีกนิดนะ พ่อจะคิดหาวิธีอื่น ต้องให้เจ้าได้กินเนื้อแน่นอน?
เป็นผู้ชายตัวโตแท้ๆ แต่ยิ้มกลับขี้เหร่ยิ่งกว่าร้องไห้ซะอีก จินถงหรุ่ยได้ยินแล้วรู้สึกแย่ นึกโทษตัวเองขึ้นมาทันที
จริงๆ เลย ทำไมเธอจะต้องบอกว่าอยากกินเนื้อด้วยนะ?
เธอรีบคลี่ยิ้มให้จินต้าซิ่ว ดึงมือเขาแล้วบอก ?ท่านพ่อ ข้ากินโจ๊กไปสี่ชามแล้ว อิ่มมาก ไม่ต้องคิดหาวิธีแล้วล่ะ ท่านวิ่งไปตั้งนานคงเหนื่อยแล้วแน่ๆ รีบนั่งพักเถอะ?
?เฮ้อ ได้? จินต้าซิ่วตอบแล้วนั่งลง
จินถงหรุ่ยรีบเอาน้ำมาให้เขาดื่มถ้วยหนึ่ง เขาก็ดื่มอึ้กๆ จนหมด แต่ยังคงทำหน้านิ่วคิ้วหมวด ท่าทางมีเรื่องในใจหนักหนา
เฟิ่งเหลียนเหนียงเห็นสามีก้มหน้าท่าทางเศร้าสร้อยก็ถอนหายใจ ?ลุงใหญ่พูดอะไรหรือ พูดอะไรที่ไม่น่าฟังมากๆ ใช่หรือไม่?
เห็นบิดาเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่แล้วกลับชะงัก จินถงหรุ่ยก็ให้กำลังใจบอก ?ไม่เป็นไรหรอกท่านพ่อ ท่านพูดเถอะ แบบนี้ข้ากับท่านแม่ถึงจะมีวิธีรับมือ?
จินต้าซิ่วจึงเอ่ยช้าๆ ?พี่ใหญ่บอกว่าจางกว่างนั่นรู้เรื่องที่เตี๋ยนเตี่ยนพุ่งชนกำแพงฆ่าตัวตายแล้ว เอาแต่บอกว่าอัปมงคล จะให้พี่ใหญ่คืนค่าสินสอด แล้วยังบอกว่าเขาซ่อมบ้านและซื้อเรือนหอแล้วด้วย จากที่พี่ใหญ่จะได้เงินกลายเป็นต้องเสียเงินให้เขาหนึ่งตำลึง พี่ใหญ่ให้ข้าออกเงินส่วนนั้น แล้วบอกอีกว่าคราวหน้าช่วยคุยเรื่องแต่งงานกับเตี๋ยนเตี่ยนให้เรียบร้อย ถ้าหากเตี๋ยนเตี่ยนไม่ยอมแต่งออกไปดีๆ จะให้พวกเราได้เห็นดีกัน เขาจะขับพวกเราทั้งบ้านออกไปจากตระกูลจิน ไม่ให้พวกเราได้ลืมตาอ้าปากในหมู่บ้านเลย?
เฟิ่งเหลียนเหนียงเป็นกังวล ?เงินหนึ่งตำลึง? พวกเรามีเงินหนึ่งตำลึงเสียที่ไหน?
จินถงหรุ่ยทั้งโมโหทั้งขัน พ่อแม่ของเธอคู่นี้ทำไมถึงได้หัวอ่อนขนาดนี้? คำพูดไร้เหตุผลของลุงใหญ่นั่นคือหลักประพฤติหรือไง ทำไมต้องฟังเขาด้วย?
?ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องแต่งงานท่านลุงใหญ่คิดเองเออเองไปคุยกับจางกว่างคนนั้น สินสอดท่านลุงใหญ่ก็เป็นคนเก็บ เงินหนึ่งตำลึงนั่นถ้าหากจะต้องชดใช้ก็เป็นเรื่องของท่านลุงใหญ่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลยสักนิดเดียว จะว่าไปตอนนี้เราก็ไม่มีเงินหนึ่งตำลึงด้วย ท่านลุงใหญ่จะเอาพวกเราไปขายหรืออย่างไร คำพูดของท่านลุงใหญ่นั่นพวกท่านไม่ต้องไปใส่ใจหรอก แม้แต่จะคิดก็ไม่จำเป็นต้องคิด ไม่ควรค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ?
จินต้าซิ่ว เฟิ่งเหลียนเหนียงไม่เคยได้ยินหลักการนี้มาก่อนก็ตาค้างอ้าปากหวอไปทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงปรบมือชื่นชมดังมาจากในห้อง จากนั้นใครบางคนก็เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล...
?พี่ใหญ่พูดถูก พี่ใหญ่พูดถูกเหลือเกิน! เพราะท่านพ่อท่านแม่เป็นคนรังแกง่าย ท่านลุงใหญ่ถึงได้เอาแต่ข่มเหงบ้านเรา พวกเขามีทั้งแป้งมีทั้งข้าวแล้วยังมีเนื้อ พวกเรากินน้ำตาลกินโจ๊ก นี่ยังพอทำเนา ตอนนี้ยังจะเอาพี่ใหญ่ไปขายอีก ถ้าหากท่านพ่อท่านแม่ยังรักพี่ใหญ่ก็ต้องแข็งข้อหน่อย อย่าถูกท่านลุงใหญ่และท่านย่าข่มขู่อีก!?
จิ่นถงหรุ่ยรู้ว่าอีกฝ่ายคือจินถงซู่น้องชายของเจ้าของร่างเดิม หลายปีก่อนหน้าเขาถูกคนตีขาทั้งสองข้าง เดินเหินไม่ปกติ จะเข้าจะออกก็ต้องให้จินต้าซิ่วอุ้มหรือไม่ก็แบก
ดูท่าน้องชายของเธอคนนี้จะแค้นฝังลึกลุงใหญ่ไร้เหตุผลนั่นเหมือนกันนะ!
ตระกูลจินมีพี่น้องทั้งหมดสี่คน บิดาของเจ้าของร่างอยู่ในลำดับที่สี่ ท่านปู่จินสิ้นบุญไปแล้ว ท่านย่าจินแซ่เนี่ยอาศัยอยู่กับลูกคนโตจินต้าซาน เนี่ยซื่อ ลำเอียงรักลูกคนโต จินต้าซานอาศัยว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่จึงทำตัวเหมือนบิดายึดครองเป็นเจ้าของ ตอนที่แยกบ้านก็ครอบครองที่นาครึ่งหนึ่ง ที่นาอีกครึ่งหนึ่งที่ทำเลไม่ค่อยดีก็แบ่งให้น้องชายสามคน...ได้แก่ จินต้าหมิง จินต้าสุ่ย และจินต้าซิ่ว และยังตั้งกฎให้ทั้งสามต้องจ่ายเงินสองร้อยอีแปะเป็นค่าความกตัญญูเลี้ยงดูบุพการี แต่ความจริงแล้วเอาเข้ากระเป๋าตัวเอง
ลูกชายคนรองจินต้าหมิงเป็นคนขี้เกียจมาแต่ไหนแต่ไร ติดเหล้าและชอบเล่นพนัน ที่นาเล็กน้อยที่แบ่งให้ก็เอาไปขายนานแล้ว เขาดื่มเหล้าทุกวันจนกลายเป็นขี้เมา คลุกคลีอยู่ในบ่อนทั้งวันทั้งคืน จินต้าซานกลัวว่าอีกฝ่ายจะนำความเดือดร้อนมาถึงตน จึงไม่ให้เขาจ่ายเงินสองร้อยอีแปะแล้ว แค่ไม่ให้เขามารบกวนตัวเองตอนที่มีเรื่องก็พอ
ลูกชายคนที่สามจินต้าสุ่ยเป็นบัณฑิต มุ่งมั่นอยากสอบจอหงวน ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ซึ่งเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิตแล้วก็ยังฝันจะสอบคัดเลือกข้าราชการ เขาเช่าบ้านสภาพชำรุดทรุดโทรม ปล่อยเช่าที่นาที่อยู่ในนามของตัวเอง ทุกเดือนจะอาศัยเงินค่าเช่าเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงปากท้อง เขาอ่านหนังสือจนธาตุไฟเข้าแทรกนานแล้ว ขังตัวเองอยู่ในบ้านทั้งวัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับคนในครอบครัวเขาก็ล้วนไม่ใส่ใจ จินต้าซานกลัวว่าจะต้องมาเก็บศพเขา ดังนั้นจึงงดเว้นเงินค่ากตัญญูสองร้อยอีแปะด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นมีเพียงจินต้าซิ่วลูกชายคนที่สี่ที่รังแกง่ายที่สุด ไม่เพียงเป็นคนซื่อตรงและยังทำนาเป็น อีกทั้งลูกเต้าก็โตแล้ว เงินสองร้อยอีแปะของทุกเดือนจะขาดไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว และจินต้าซานจะมาเอาถึงบ้าน
หลายเดือนมานี้จินต้าซิ่วล้มป่วย อาการป่วยยังไม่กระจ่างชัด มักจะหอบหายใจถี่กระชั้นตอนอยู่ในนา จากนั้นก็เป็นลมหมดสติไปโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หัวโขกด้วย หมดสติไปสองวัน ทำให้เฟิ่งเหลียนเหนียงใจหายใจคว่ำ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้เขาไปลงนาอีก
ในเมื่อไม่อาจจะทำไร่ไถนาได้ ค่ากตัญญูก็ย่อมไม่มีจ่าย จินต้าซานจึงเปิดการ์ดพี่ใหญ่เป็นเสมือนบิดา ตัดสินใจเรื่องแต่งงานของเจ้าของร่าง ละโมบอยากได้เงินค่าสินสอดนั้น
ทั้งๆ ที่จินต้าซานรู้ว่าหลายเดือนมานี้บ้านน้องชายข้าวสามมื้อก็ยังไม่ครบ ทั้งยังไม่มีเงินไปหาหมอเพื่อรักษาอาการป่วย ไม่เพียงเห็นแล้วนิ่งดูดาย แต่ยังเอาหลานสาวของตัวเองที่อายุสิบกว่าขวบแต่งให้เป็นเมียคนที่สองของช่างเหล็กอายุสามสิบกว่า เฟิ่งเหลียนเหนียงไปถึงบ้านขอให้เนี่ยซื่อช่วยตัดสินให้ เนี่ยซื่อก็ยืนอยู่ข้างลูกชายคนโต แล้วยังตำหนิติติงจินต้าซิ่วอีก หาว่าเขาแกล้งป่วยไม่ยอมเลี้ยงดูนาง ไม่มีพี่ชายอยู่ในสายตา และไม่กตัญญูกตเวที เป็นต้น บอกว่าถ้าหากเจ้าของร่างไม่ยอมแต่งก็เท่ากับไม่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในสายตา จะให้เพื่อนบ้านช่วยตัดสิน จับนางถ่วงน้ำ ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก
?เดรัจฉาน! เศษสวะ!?
จินถงหรุ่ยคิดมาถึงตรงนี้ก็ตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้น กิริยาท่าทางนี้ทำเอาจินต้าซิ่ว เฟิ่งเหลียนเหนียงสะดุ้งตกใจใหญ่โต และไม่รู้เหมือนกันว่านางด่าใคร
จินต้าซิ่วเม้มปาก เอ่ยอย่างระมัดระวัง ?เตี๋ยนเตี่ยน เจ้าไม่สบายตรงไหน ปวดหัวอีกแล้วใช่หรือไม่?
?ข้าไม่เป็นไร? จินถงหรุ่ยบอกอย่างเด็ดขาด ?ท่านพ่อ ท่านแม่ เราต้องทำชีวิตให้ดีขึ้น อย่าให้คนพวกนั้นดูแคลนเป็นอันขาด!?

+++++

วันต่อมา เฟิ่งเหลียนเหนียงบอกว่าจะไปยืมเงินจากบ้านพี่ชายตัวเองสักเล็กน้อย นางคำนึงถึงศักดิ์ศรีของบ้านฝ่ายชายจึงยืนกรานว่าไม่ให้จินต้าซิ่วเป็นคนชดใช้ จินถงหรุ่ยอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก ดูว่ายุคสมัยนี้เป็นแบบใดจึงแสดงท่าทีว่าจะไปด้วย
บิดามารดาของเฟิ่งเหลียนเหนียงลาโลกไปนานแล้ว มีพี่ชายคนเดียวชื่อเฟิ่งเม่าจี๋ เฟิ่งเหลียนเหนียงคือหนึ่งในบรรดาน้องสาวห้าคนที่แต่งออกไปได้ย่ำแย่ที่สุด พี่ชายน้องสาวไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน เฟิ่งเม่าจี๋เปิดร้านค้าใหญ่โตอยู่ทางตะวันออกของตำบล เป็นร้านขายน้ำมันและร้านขายของชำ ร้านขายของชำนั้นนอกจากจะขายของสัพเพเหระต่างๆ จากเหนือใต้แล้ว ยังเป็นร้านน้ำปรุงรสหนึ่งเดียวในตำบลที่ขายน้ำปรุงรสของ ?สวนสิบรส?
สวนสิบรสคือร้านเก่าแก่อายุร้อยปี น้ำปรุงรสรสชาติท้องถิ่น ได้รับความนิยมมาก ลูกค้าที่มาซื้อน้ำปรุงรสมักถือโอกาสซื้อของชำในชีวิตประจำวันไปด้วย ดังนั้นกิจการขายของชำจึงไปได้ดีมาก
จินถงหรุ่ยคิดเต็มที่ว่าร้านรวงของท่านลุงใหญ่กิจการไม่เลว จะต้องยื่นมือช่วยเหลือพวกนางแน่ แต่มารดาเพียงแค่ยิ้มบาง ?ข้าจะไปพูดกับลุงของเจ้าดีๆ เขาจะต้องให้เรายืมเงินบ้างแน่?
พอมาถึงบ้านตระกูลเฟิ่ง บ่าวรับใช้ก็เข้าไปรายงาน พวกนางรออยู่ในห้องโถง จินถงหรุ่ยเห็นสาวใช้ที่ทำหน้าที่รินน้ำชาก็รู้ว่าท่านลุงของนางต้องมีชีวิตที่ไม่เลวทีเดียว
ตอนนี้ภรรยาแซ่หวงของเฟิ่งเม่าจี๋และลูกสาวเฟิ่งอวิ๋นเจินกลับมาแล้ว ทั้งสองมีสาวใช้และหญิงวัยกลางคนสี่คนตามมาปรนนิบัติ วางมาดอย่างคุณนายและคุณหนูผู้มั่งคั่งเอามากๆ
หวงซื่อเห็นพวกนางแม่ลูกก็ประหลาดใจนัก ฉีกยิ้มบอก ?โอ้โห อาห้ากับลูกสาวคนโตมา?
?ท่านป้า? จินถงหรุ่ยทักทายตามอย่างมารดาสอน ก้มหน้าก้มตาพร้อมเอ่ยเรียก
ส่วนญาติผู้น้องที่อายุอ่อนกว่านางหนึ่งปีกลับวางท่าเย็นชาและเมินเฉย แค่เลิกคิ้วมองนางที่เป็นญาติผู้พี่แวบหนึ่ง ท่าทางไม่ได้รับการอบรม
เฟิ่งเหลียนเหนียงรีบลุกขึ้นแสร้งปั้นหน้ายิ้ม ?พี่สะใภ้กลับมาแล้ว ไปไหนกับเจินเอ๋อร์มาล่ะนี่??
หวงซื่อฉีกยิ้มอีกครั้ง ?พวกเราไปไหว้พระที่วัดเซียงหยวนมา ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ประทานงานโชคด้านคู่ครองให้เจิ๋นเอ๋อร์?
เฟิ่งเหลียนเหนียงผงะ ?เจินเอ๋อร์หมั้นหมายแล้วหรือ?
หวงซื่อยิ้มบอก ?หมั้นหมายกับบุตรชายของภรรยาเอกคหบดีจวง อีกหนึ่งปีจะแต่งงาน ว่าที่ลูกเขยของข้าเก่งกาจนัก อายุยังน้อยๆ ก็ดูแลโรงทอของที่บ้านแล้ว และในวันหน้าจะต้องสืบทอดกิจการของที่บ้าน?
เฟิ่งเหลียนเหนียงรู้สึกสับสนขึ้นมาทันที ?ลูกชายของคหบดีจวงหรือ...?
จินถงหรุ่ยเป็นผู้ชมข้างสนามอย่างเงียบๆ รู้สึกว่ารอยยิ้มของหวงซื่อแม้จะดูมีมารยาทมากแต่ก็จอมปลอมมาก ทำให้คนที่มาขอความช่วยเหลือไม่อาจจะอ้าปากเอื้อนเอ่ย แล้วตัวเองยังแสร้งโอ้อวดเรื่องงานแต่งของลูกสาวตัวเอง เหลือทนจริงๆ
เฟิ่งเม่าจี๋หน้าง้ำออกมาพร้อมกัดฟันกรอด เขาไม่มองจินถงหรุ่ยเลยด้วยซ้ำ พอปะหน้ากับเฟิ่งเหลียนเหนียงก็ด่ากราด ?เจ้าเป็นอะไร สอนลูกสาวอย่างไร ถึงได้ทำเรื่องน่าละอายอย่างถอนหมั้นนี่ ทำข้าขายหน้าหมดแล้ว ลูกค้าที่มาซื้อน้ำมันซื้ออาหารก็ถือโอกาสถามกันขึ้นมา ข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เจ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีกหรือ พวกเจ้ารีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย ข้าเห็นพวกเจ้าสองคนแล้วลมขึ้นนัก!?
คิดอยู่แล้วเชียวว่าเรื่องต้องเป็นแบบนี้ ยืมเงินล้มเหลว แล้วยังถูกตะเพิดออกมาอีก แม้แต่น้ำชาสักอึกก็ไม่ได้ดื่ม

+++++

จินถงหรุ่ยสำรวจในบ้านมาหลายวันแล้ว คิดว่าการทำนาไม่ใช่ทางออกแน่นอน และยิ่งผู้ชายสองคนในบ้านตอนนี้ไปทำนาไม่ได้ มีแค่ผู้หญิงสองคนที่ทำงานได้ แม่ของเธอบอบบางแทบปลิวลม ส่วนเธอก็ไม่มีความรู้เรื่องทำนา คิดไปคิดมาคงต้องอาศัยอาชีพเก่าของเธอถึงจะหลุดพ้นความยากลำบากได้
เพราะฉะนั้นเธออยากทำกิจการเล็กๆ หาเงินสักก้อนให้พ่อของเธอไปหาหมอก่อน เพื่อไม่ให้อาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ ลุกลามใหญ่โต คิดถึงพ่อในชาติก่อนที่ไอค่อกแค่กนิดหน่อยเลยไม่ไปหาหมอ จนไม่สบายจริงๆ แล้วไปรักษาก็ไม่ทันการณ์แล้ว ตอนที่หมอบอกว่าพ่อของเธอเป็นมะเร็งปอด เธอรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เรียกสติคืนมาไม่ได้อยู่เป็นนาน
ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อของเธอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เป็นหรือว่าตาย? แผ่นดินไหวคราวนั้นทำร้านอาหารถล่มแล้วใช่ไหม ถ้าหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ต้องเผชิญกับน้ำพักน้ำแรงที่สลายหายไปแบบนี้ คงปวดใจมากแน่ สิ่งที่เธอยิ่งเป็นกังวลก็คือ พ่อที่อารมณ์ร้อนรุนแรง หากไม่มีเธอคอยดูแลอยู่ข้างๆ เวลาคุยกับคนอื่นไม่ถูกคอแล้วมีเรื่องจนต้องไปโรงพักจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นใครจะไปประกันตัวเขา?
?เตี๋ยนเตี๋ยน บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับพวกเรามิใช่หรือ ทำไมถึงเอาแต่เหม่อล่ะ?? จินต้าซิ่วมองลูกสาวด้วยความห่วงใย ระยะนี้ลูกสาวเหม่อลอยบ่อยๆ เขากลัวจริงๆ ว่าเธอจะโขกกำแพงจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว
จินถงซู่ปลุกใจให้ฮึกเหิมดื่มชาหมดถ้วย แล้ววางถ้วยชาแรงๆ ?พี่ใหญ่ ท่านจะพูดอะไรก็รีบพูดเข้าสิ คนอื่นเขาร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว?
จินถงหรุ่ยได้สติ มองครอบครัวใหม่สามคนตรงหน้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังที่สุด ?ท่านพ่อ ท่านแม่ เสี่ยวซู่ ข้าอยากจะทำกิจการขายอาหารเล็กๆ แต่จะทำกิจการต้องใช้เงินทุน ตอนนี้บ้านเราไม่ปัญญาหาเงินได้ ดังนั้นข้าคิดว่า เอาที่นาของเราไปขายให้ข้าใช้ทำทุนได้หรือไม่?
?เจ้าบอกว่า ขะ ขายที่นาหรือ? จินต้าซิ่วได้ยินแล้วผงะอึ้ง ที่นาคือมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ เขาไม่เคยคิดจะเอาไปขายมาก่อนเลย
?ขะ ของกิน?? เฟิ่งเหลียนเหนียงเอ่ยตะกุกตะกัก ?แต่ว่าเตี๋ยนเตี่ยน ฝีมือทำครัวของเจ้า...คือว่า...ก็เหมือนกับแม่ ทำอาหารไม่ค่อยอร่อยหรอกกระมัง??
จินถงซู่พยักหน้าหงึกๆ ?ข้าเห็นด้วยที่จะเอาที่นาไปขายมาทำกิจการ แต่ทำกิจการขายของกินไม่ได้เด็ดขาด พี่กับท่านแม่ทำกับข้าวไม่เป็น...?
จินต้าซิ่วยื่นมือไปปิดปากลูกชาย หัวเราะแข็งๆ ?เจ้านะ อย่าพูดจาเหลวไหล?
จินถงหรุ่ยรู้อยู่เต็มอก มารดาเป็นอย่างไรลูกสาวก็อย่างนั้น เธอคิดมาแต่แรกแล้วว่าเจ้าของร่างเดิมได้แม่สอนเป็นการส่วนตัว ฝีมือการทำครัวจะต้องน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้แน่ แต่เพื่อเกลี้ยกล่อมพวกเขา เธอจึงต้องพูดจาเหลวไหลให้ดูจริงจัง ?ความจริงแล้วที่ข้าหมดสติไปหลายวันคราวนี้ ฝันเห็นเทพการครัวองค์หนึ่ง เขาให้ข้าคารวะเขาเป็นอาจารย์ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ฟื้นอยู่แล้วเลยคารวะเขาเป็นอาจารย์ และวันหนึ่งของสวรรค์ก็เท่ากับหนึ่งปีบนโลกมนุษย์ ข้าเรียนกับเขาห้าวันก็เท่ากับเรียนมาห้าปี ดังนั้นตอนนี้ฝีมือทำครัวของข้าจึงไร้เทียมทาน ถึงได้คิดอยากจะทำกิจการเกี่ยวกับทำอาหารนะ?
จินถงซู่ตื่นเต้นสุดๆ ?พี่ใหญ่ท่านเจอกับเซียวหรานเทพเต่าบรรพบุรุษแห่งการครัวแล้วใช่หรือไม่?
จินถงหรุ่ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เทพเต่าบรรพบุรุษแห่งการครัว? ชื่อนี้ทำไมมันแปลกๆ แบบนี้ล่ะ?
แต่เธอคิดว่าเทพเต่าบรรพบุรุษแห่งการครัวอะไรนั่น น่าจะเป็นตัวละครในตำนานในนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อๆ กันมาล่ะมั้ง จึงกระแอมไอแล้วพยักหน้า ?ถูกต้อง ก็คือเขานั่นแหละ เทพเต่าบรรพบุรุษแห่งการครัว ข้าคารวะเขาเป็นอาจารย์ เขาก็คือาจารย์ของข้า เพราะฉะนั้นตอนนี้ฝีมือทำครัวของเข้ารุดหน้าไปมาก ถ้าหากพวกท่านไม่เชื่อ ข้าจะทำกับข้าวให้พวกท่านกินเดี๋ยวนี้ พวกท่านจะได้พิสูจน์แล้วรู้ว่าจริงหรือเท็จ?
จินถงซู่ตื่นเต้นจนตาทั้งสองข้างเป็นประกาย ?ดี! พี่ใหญ่ ท่านไปทำกับข้าว ข้าจะชิมฝีมือที่เทพเต่าสอนท่าน!?
เพื่อให้คนในครอบครัวเชื่อมั่น จินถงหรุ่ยลุกไปที่ห้องครัวแล้วลงมือทันที เฟิ่งเหลียนเหนียงตามเธอเข้าไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
จินถงหรุ่ยค้นในห้องครัวรกๆ อยู่รอบหนึ่ง หาเจอแค่เส้นก๋วยเตี๋ยว ในตะกร้ามีแค่ผักกาดขาวกำเล็กหนึ่งกำ ผักป่า ต้นหอม และมันฝรั่งสองหัว
นางมองผักแล้วโอดครวญ แม้แต่ศรีภรรยาที่ยอดเยี่ยมก็ทำกับข้าวไม่ได้หากไม่มีข้าว!
ไม่มีผักอย่างอื่นสำหรับทำกับข้าวและไม่มีข้าวด้วย โชคดีที่ยังมีแป้งหนึ่งกระสอบเล็ก อย่างน้อยก็ยังทำอาหารจานหลักได้
ก่อนอื่นต้องจัดการหั่นล้าง เธอทำเสร็จแล้วอย่างแคล่วคล่องว่องไว
พอน้ำเดือดเธอก็ใส่วุ้นเส้นและผักกาดขาวลงหม้อตามลำดับ ปรุงรสเสร็จแล้วจะได้น้ำแกงผักกาดขาววุ้นเส้น จากนั้นเธอก็เริ่มปอกเปลือกมันฝรั่ง ตวัดปังตอสองสามทีมันฝรั่งก็กลายเป็นแผ่นบางๆ ด้วยมีดของเธอ และต่อมาก็กลายเป็นมันฝรั่งเส้น
เฟิ่งเหลียนเหนียงดูอยู่ข้างๆ อดส่งเสียงร้องตระหนกหลายครั้งไม่ได้ ?เตี๋ยนเตี่ยน ช้าหน่อย! ช้าหน่อย! ระวังจะบาดเข้ามือนะ!?
จินถงหรุ่ยยังมีเวลาแบ่งสมาธิมาส่งยิ้มให้มารดา ?ไม่เป็นไรท่านแม่ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าเป็นศิษย์ของเทพเต่า แค่บาดหนังเท่านั้นเอง ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก?
ด้วยการฝึกหฤโหดของปะป๊าเธอ เธอต้องลำบากมาไม่น้อยเพื่อฝึกให้ใช้มีดได้คล่องมือ จำนวนครั้งที่มีดบาดนิ้วมือจนได้แผลก็ยิ่งยากจะนับได้
หลังจากซอยมันฝรั่งเป็นเส้นๆ เสร็จแล้ว เธอก็เทผงแป้งออกมา แค่คลำผงแป้งนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่แป้งละเอียด เป็นของด้อยคุณภาพที่ราคาถูกมาก จากตรงนี้ก็สามารถยืนยันให้เห็นถึงสภาพความลำบากของบ้านตระกูลจินได้อีกครั้ง
เธอเอาแป้งละลายในน้ำเกลือแล้วเติมเครื่องปรุงเล็กน้อย จากนั้นเอามันฝรั่งเส้นลงไปคลุกเคล้า
เฟิ่งเหลียนเหนียงถามอย่างตะลึงงัน ?เตี๋ยนเตี่ยน ไม่ใช่จะเอามันฝรั่งไปผัดหรอกหรือ ทำไมถึงเอาไปผสมกับแป้งล่ะ??
จินถงหรุ่ยเกือบลืมไปว่า ตอนนี้มันฝรั่งไม่ได้เรียกหม่าหลิงสู่ แต่เรียกว่าถู่โต้วแล้ว เธอยิ้มบอก ?แบบนี้จะกินอิ่มขึ้นหน่อยเจ้าค่ะ?
เฟิ่งเหลียนเหนียงเดิมอยากถามว่าหากเอามันฝรั่งกับแป้งละลายน้ำจะทำอาหารอย่างไร แต่พอคิดว่าลูกสาวคือศิษย์ของเทพเต่าก็ย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร นางจึงปิดปากเงียบ
จินถงหรุ่ยตั้งกระทะจนร้อนแล้วเทน้ำมันหมูลงกระทะ รอจนกระทะขึ้นควันร้อน เธอก็เอามืออังเหนือกระทะที่มีน้ำมันเพื่อตรวจอุณหภูมิความร้อน เมื่อมั่นใจว่าร้อนพอแล้วก็เอาแป้งผสมมันฝรั่งเทลงกระทะ กระทะที่มีน้ำมันส่งกลิ่นหอมฉุยอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งเหลียนเหนียงเห็นลูกสาวใช้ตะเกียบแยกมันฝรั่งเส้นอย่างคล่องแคล่ว สีหน้าที่มีสมาธิและตั้งใจนั้นทำให้นางรู้สึกแปลก นางไม่เคยเห็นลูกสาวมีสีหน้าแบบนี้มาก่อน
เมื่อจินถงหรุ่ยมั่นใจว่ามันฝรั่งทุกเส้นได้รับความร้อนเท่าๆ กันแล้วก็รอจนทอดได้ที่ จากนั้นหยิบตะกร้าไม้ไผ่ตักมันฝรั่งเส้นที่ทอดเสร็จแล้วขึ้นมา ต่อมาเริ่มเทน้ำมันลงในกระทะใบเล็ก เทมันฝรั่งเส้นที่ทอดเสร็จแล้วลงไปในกระทะ ใช้ตะหลิวกดจนเป็นแผ่น พอเห็นสีของแผ่นมันฝรั่งกลายเป็นสีเหลืองทอง ก็โรยหอมซอยที่ล้างหั่นเสร็จก่อนหน้านี้ แล้วเอาแผ่นมันฝรั่งใส่จาน จากนั้นเอาหอมซอยที่เหลือลงไปเจียวในน้ำมันที่เหลือในกระทะ เอาผักป่าที่ล้างหั่นเรียบร้อยแล้วลงกระทะ ผัดอย่างรวดเร็วสองสามที ใส่ต้นหอมสีขาวและเกลือลงไปตัดใส่จาน ผักป่าดูเหมือนยังเป็นสีเขียวเข้มกรอบ ไม่เหมือนผักกวางตุ้งที่เฟิ่งเหลียนเหนียงผัดซึ่งเป็นสีเขียวคล้ำ
การเคลื่อนไหวเป็นชุดของเธอคล่องแคล่วไร้ที่เปรียบ คล้ายกับทำมาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง เฟิ่งเหลียนเหนียงมองจนตาค้างอ้าปากหวอ ก่อนหน้านี้พวกนางแม่ลูกมักจะเข้าครัวทำกับข้าวด้วยกันบ่อยๆ นางรู้ว่าลูกสาวไม่มีฝีมือที่แคล่วคล่องว่องไวปานนี้เด็ดขาด
?เจ้าเพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแออยู่เลย แม่ทำเอง? เฟิ่งเหลียนเหนียงแย่งยกอาหารแต่ละอย่างที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปในห้องโถงกลาง
จินถงหรุ่ยบอกว่าเพิ่งกินข้าวเช้าได้ไม่นาน ยังกินไม่ลง เฟิ่งเหลียนเหนียงจึงตักน้ำแกงผักกาดขาววุ้นเส้นสามชาม แล้วแบ่งแผ่นมันฝรั่งเป็นสามส่วน
เห็นพวกเขาสามคนเบิกตาจ้องชามน้ำแกงตรงหน้าและแผ่นมันฝรั่งไม่ยอมขยับ จินถงหรุ่ยก็หัวเราะบอก ?พวกท่านรีบชิมเร็วเข้าสิ หากไม่อร่อยก็พูดออกมาเลย?
จินถงซู่ขยับตะเกียบคนแรก ?ข้ากินล่ะนะ!?
เขาชิมไปหนึ่งคำ แม้จะเป็นแค่ผักกาดขาววุ้นเส้น แต่กลับให้รสชาติอร่อยเต็มปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าปรุงอย่างไร สรุปแล้วต่างจากผักกาดขาววุ้นเส้นที่มารดาต้มโดยสิ้นเชิง
เขาคีบผักป่าผัดที่ชวนน้ำลายสอเต็มตะเกียบอีกครั้งแล้วส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวแล้วดวงตาก็ทอประกาย แล้วคีบอีกหลายคำติดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายชิมแผ่นมันฝรั่ง กินไปได้คำเดียวก็หยุดไม่ได้ เอาแต่ร้องว่าอร่อย ท่าทางเหมือนอยากกินเข้าไปด้วยกระทั่งจาน
จินต้าซิ่ว เฟิ่งเหลียนเหนียงเห็นลูกชายซดน้ำแกงผักกาดขาววุ้นเส้นชามนั้นเสียงดังจนเกลี้ยง แม้แต่น้ำแกงหยดเดียวก็ไม่เหลือจึงรีบกินบ้าง
ทั้งสองคนกินน้ำแกงผักกาดขาววุ้นเส้นชามของตัวเองหมดเกลี้ยงในพริบตา หันกลับมาอีกทีที่เหลืออยู่ในกระทะก็ถูกลูกชายที่ราวกับถูกผีหิวสิงร่างกินจนไม่เหลือหลอ แล้วยังเลียมุมปากเหมือนยังไม่หนำใจ ทั้งสองคนก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
?แม่ให้เจ้ากินน้อยไปหรือไร เจ้าก็เพิ่งจะกินโจ๊กไปสองชามใหญ่ๆ ไม่ใช่หรือ?
จินถงซู่บอกอย่างเต็มปากเต็มคำ ?ฝีมือทำครัวของท่านแม่จะเทียบกับพี่ใหญ่ได้อย่างไร แผ่นมันฝรั่งที่พี่ใหญ่ทำกรอบนอกนุ่มใน ทั้งเค็มทั้งหอม กินแล้วอยากกินอีก ผัดกวางตุ้งก็ผัดด้วยไฟกำลังดี แค่มองก็รู้สึกอยากอาหารแล้ว น้ำแกงผักกาดขาววุ้นเส้นก็ด้วย ดูธรรมดา แต่พอเอาเข้าปากแล้วอร่อยล้ำ ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่ต้องสงสัยแล้ว พี่ใหญ่เป็นลูกศิษย์ของเทพเต่าไม่ผิดแน่!?
จินต้าซิ่วก็กำลังใคร่ครวญเรื่องนี้ ลูกสาวนอนอยู่บนเตียงห้าวันไม่ได้ออกไปไหน อยู่ๆ ฝีมือทำครัวก็รุดหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคารวะเทพการครัวในฝันแล้วจะเป็นอย่างไรไปได้?
ตอนนี้ทั้งสามคนต่างเชื่อแล้ว
จินถงซู่ตบอกบอก ?ข้ากล้าบอกได้เลยว่า ด้วยฝีมือของพี่ใหญ่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเปิดแผงร้านอะไรต้องหาเงินได้แน่!?
จินต้าซิ่วและเฟิงเหลียนเหนียงไม่ได้เป็นคนที่มีปณิธานยิ่งใหญ่อะไร เห็นลูกสาวฝีมือดีแบบนี้ แล้วได้ยินลูกชายพูดแบบนี้อีกก็รู้สึกหวั่นไหว
จินถงซู่เติมน้ำมันราดกองไฟพูดขึ้นอีก ?ท่านพ่อ ที่นาของพวกเราอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีทางมีกระต่ายหรือสัตว์งอกออกมาได้ ถ้าหากยังไม่คิดหาวิธีอีก พวกเราทั้งครอบครัวจะต้องหิวตายแน่แล้ว ตอนนี้พี่ได้เจอเรื่องประหลาดในฝันแบบนี้ เป็นเพราะสวรรค์เห็นพวกเราน่าสงสารและกำลังช่วยพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่รับน้ำใจนี้ จะต้องทำให้สวรรค์พิโรธแล้วถูกลงโทษแน่?
แม้จินถงหรุ่ยจะรู้สึกว่าคำพูดของน้องชายเหลวไหลยิ่งนัก แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่เกินเลยจนต้องตำหนิ คนโบราณนับถือทวยเทพ หยิบเอาเรื่องเทพมาพูดก็ถูกต้องแล้ว
ในที่สุดจินต้าซิ่วก็พยักหน้า ?เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็เอานาไปขายให้เตี๋ยนเตี่ยนทำกิจการขายอาหารแล้วกัน?
จินถงซู่โห่ร้องดีใจ ?ท่านพ่อ ท่านตัดสินใจถูกต้องแล้ว!?
จินต้าซิ่วบอกอีก ?ก่อนหน้านี้ได้ยินผู้ใหญ่บ้านบอกว่ามีคนอยากซื้อที่ผืนเล็กๆ ข้าจะไปถามผู้ใหญ่บ้านว่าใครอยากจะซื้อที่?
จินถงซู่บอกอย่างหัวไว ?ท่านพ่อ จากบ้านเราไปบ้านผู้ใหญ่บ้านก็ไกลพอสมควร ท่านพกโฉนดไปด้วย ถ้าหากขายได้จะได้ไม่ต้องวิ่งกลับมาอีกเที่ยว?
จินถงหรุ่ยเสนอตัวแบกรับภารกิจที่ยากลำบากบอก ?ท่านพ่อ ข้าจะไปกับท่านนะ ท่านไม่รู้หนังสือ จะได้ไม่ถูกใครหลอกเอา?
ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็มาจากสมัยปัจจุบัน และยังตามอยู่หลังพ่อต้อยๆ บ่อยๆ เรื่องกฎหมายอะไรก็พอจะเข้าใจอยู่มากพอควร
จินต้าซิ่วเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ?แต่ว่าเตี๋ยนเตี่ยน เจ้าก็ไม่รู้หนังสือนะ...?
จินถงซู่ชิงตอบ ?แน่นอนว่าแม้แต่เรื่องอ่านหนังสือเทพเต่าก็ถ่ายทอดให้พี่ใหญ่แล้ว แบบนี้ถึงจะเขียนรายการอาหารได้อย่างไรล่ะ?
จินต้าซิ่วและเฟิ่งเหลียนเหนียงตระหนักรู้ฉับพลัน ?ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เทพเต่าดีกับพวกเราเหลือเกิน!?
จินถงหรุ่ยแลบลิ้นอยู่ข้างหลัง บอกตัวเองไม่หยุดว่า นี่คือคำโกหกที่ปรารถนาดี นี่คือคำโกหกที่ปรารถนาดี
จะรอช้าไม่ได้ จินต้าซิ่วรีบไปยืมเกวียนจากบ้านตรงข้าม เฟิ่งเหลียนเหนียงก็ไปเอาโฉนดมาให้ หวังว่าจะขายที่ได้ หลังจากทำกิจการเล็กๆ แล้ว ทั้งครอบครัวก็จะได้มีชีวิตที่กินอิ่มนอนอุ่น เพียงเท่านั้นนางก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จินถงหรุ่ยได้ข้ามมิติมาถึงสมัยต้าฉีซึ่งสถาปนาแคว้นด้วยอาหารอย่างไม่คาดฝัน โชคดีที่ปะป๊าผู้เป็นเชฟชื่อดังในยุคปัจจุบันเคี่ยวเข็ญให้เธอมีฝีมือทำอาหารเลิศล้ำ ทำให้เปิดกิจการขายของกินที่นี่หาเงินได้มากมายจนแม้แต่ญาติชั้นดีของพ่อแม่ในยุคนี้ยังอยากจะมาขอแบ่งกำไร แต่ด้วยหัวคิดสมัยใหม่เธอจึงใช้ปังตอไล่ตะเพิดไปจนหมด
ส่วนเริ่นหรงเจินคนที่เธอกับพ่อเก็บกลับมาจากพงหญ้าข้างทาง ตอนแรกเธอนึกว่าเขาเป็นคนใบ้ที่ขาพิการสองข้าง ต่อมาจึงรู้ว่าเขาถูกโจรภูเขาสกัดจุดไว้ พอจุดคลายก็ย่อมกลับมาเป็นปกติ เพียงแต่เขาพิลึกจริงๆ ทั้งที่อาหารของเธอได้รับการถ่ายทอดมาจากปะป๊า แต่เขาทำท่าเหมือนเคยกินมาก่อนแล้ว มิหนำซ้ำยังเฝ้าเรียกตัวเองว่าท่านอ๋องน้อยทั้งวันทั้งคืน เขาชอบฝันกลางวันเสียจริง แต่ว่า หึ...หัวเราะไม่ออกแล้วสิ เพราะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมาตามเขาแล้ว!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”