New Release : สักวันน่ะหรือจะถึงยามอาทิตย์อัสดงปีศาจ! 7

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : สักวันน่ะหรือจะถึงยามอาทิตย์อัสดงปีศาจ! 7

โพสต์ โดย Gals »

บทที่ 1

เส้นทางรถม้า
ถ้าพูดในแบบเยอรมันแล้ว นั่นก็คือเอาโทบาห์น ถ้าพูดในแบบญี่ปุ่นก็คือทางด่วนคันเอตสึ ถ้าให้มัตสึโทยะ ยูมิ ที่แม่ผมชื่นชอบพูดก็คือทางฟรีเวย์กลาง แต่มองไม่เห็นสนามม้าเลย
สรุปแล้วมันก็คือถนนที่ปรับแต่งให้รถต่างๆ นานาสามารถวิ่งได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว มีจุดที่คล้ายๆ พื้นที่ให้บริการตั้งเอาไว้ตามระยะห่างตายตัวเพื่อให้พอพักผ่อนได้บ้าง หรือในกรณีที่เร่งรีบก็สามารถเปลี่ยนไปขี้ม้าตัวที่แข็งแรงดีได้ด้วย ก็เลยรักษาความเร็วยอดเยี่ยมที่สุดเอาไว้ได้เสมอ
บนเส้นทางจราจรอันแสนสะดวกสบายนั้น รถม้าที่พวกเรานั่งอยู่กำลังวิ่งห้อไปด้วยความเร็วสุดแรงม้า
เพราะพื้นถนนที่ปรับพื้นผิวไว้อย่างทั่วถึงทำให้สั่นสะเทือนน้อย ต่อให้นั่งมาต่อเนื่องสี่วันก็เจ็บก้นแค่ในระดับขั้นต่ำสุดเท่านั้น พอหันคอมองก็เห็นทิวทัศน์ที่ได้แค่ ?มองโลกจากหน้าต่างรถ ? ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามมีสาวงามผมสีแพลทินัมบลอนด์ ถึงจะต้องค้างแรมในรถ แต่ก็นับว่าเป็นการเดินทางที่สบายเอาการ
เพียงแต่ยกเว้นจุดเดียว คือการที่ตนเองตกเป็นเชลยอยู่
ฟลิน กิลบิทเกรงกลัวว่าพันเอกครูโซ หรือก็คือผมจะหนี เลยให้ลูกน้องหุ่นกล้ามคอยล็อกตัวไว้อยู่ทั้งสองข้างของที่นั่งติดเบาะ สภาพตอนโดนคล้องสองแขนนั่งเรียงเป็นแถวแนวอย่างดีเนี่ยถ้ามองไกลๆ แล้วคงเหมือนมนุษย์ต่างดาวที่โดน NASA ควบคุมตัวอยู่ล่ะมั้ง
ขอตั้งชื่อว่าเข็มขัดนิรภัยกล้ามก็แล้วกัน
ถ้าคิดซะว่าถูกหนีบอยู่ระหว่างบอนส์กับคาเบรร่า มันก็น่าคึกคักดีอยู่หรอก แต่พอคิดว่าถ้าข้างหนึ่งคือบ็อบแซพพ์ ละก็ แบบนั้นก็ไม่รู้สึกว่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้เลย
แต่ก็ยังเข้าท่ากว่าเข็มขัดนิรภัยกล้ามสำหรับเด็ก แบบที่พูดออกมาว่าช่วยขึ้นมาบนตักทีสิแหละนะ
เหล่าเข็มขัดนิรภัยไม่หันมาทางนี้เลยสักนิด คงเพราะไม่ได้อาบน้ำมาราวๆ สองวันได้แล้วล่ะมั้ง
?พวกเขากลัวเจ้าไงล่ะ?
ฟลิน กิลบิทถอดหน้ากากออกแล้วแย้มยิ้มอย่างสง่างามคงความเป็นเลดี้เอาไว้
หน้ากากที่มีไว้สำหรับปลอมตัวเป็นนอร์แมน กิลบิทผู้เป็นจ้าวผู้ครองแคว้นทอประกายสีเงินอยู่บนหน้าตัก
?เขาหวาดกลัวผมสีดำและดวงตาสีดำของเจ้าอยู่ไงล่ะ พันเอกครูโซ?
ตัวเธอเองพูดด้วยโทนเสียงเหมือนไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นพลางยื่นนิ้วมายังเส้นผมด้านหน้าของผม
?ทางโรบินสันซังผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาก็มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีดำเช่นกัน แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับมาเป็นสีฟ้าเหมือนเดิม นั่นน่ะต้องเป็นของปลอมแน่นอนเลยสินะ ประกายแตกต่างจากดวงตาของเจ้านี่นา?
?นั่นเพราะมุรา....โรบินจังหัวดีไม่ใช่หรอกเรอะ?
มุราตะ โรบินสัน เคนอยู่รถม้าคันหลัง ไม่รู้ทำไมฟลินถึงไม่อยากให้พวกเราอยู่ด้วยกัน
?ยังไงก็ตาม ข้ามองว่างดงามออกนะ สีเหมือนยามค่ำคืนอันมืดมิดไร้ซึ่งกระทั่งแสงจันทร์....ได้ยินว่ามีผู้อยากได้มาครองถึงขั้นยอมทุ่มทรัพย์สินหมดตัวเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นสีที่งดงามถึงเพียงนี้ ที่เขาว่าเป็นยาอายุวัฒนะก็อาจจะเป็นความจริงก็ได้?
พอจินตนาการดูว่าจะกินเข้าไปยังไง ก็รู้สึกเหมือนโดนเอาไปขายอยู่ในตลาดวัตถุดิบที่มณฑลเสฉวนเลย ที่มีพวกลูกลิง ลูกวัว หรือลูกกวางอะไรงี้
?เชอะ ทำเป็นพูดดีไป ทางนั้นต่างหากที่หน้าตาสวยเชียว ต่อให้คนสวยๆ ชมคนอื่นไปมันก็เหมือนแค่เสียดสีกันเท่านั้นแหละ?
?ตายจริง พูดจาเกี้ยวสตรีได้ช่ำชองเหลือเกิน แต่ทางข้าน่ะกลับกลัวหินก้อนนั้นมากกว่าดวงตาของเจ้าอีกนะ?
เธอเอาปลายนิ้วเรียวเข้ามาใกล้หินสีฟ้าที่ห้อยอยู่ตรงอกผม
เธอทำทีจะสัมผัสสีฟ้าเข้มที่แรงกล้ายิ่งกว่าท้องฟ้า แต่แล้วก็ชะงักไป
?....รู้สึกว่ามีพลังอันน่าหวาดหวั่น แล้วก็ความหมายอันล้ำลึกอยู่ แน่นอน แค่มีรูปลักษณ์เป็นตราตระกูลวินคอท สำหรับคนของคาโลเรียก็ถือว่าเป็นของพิเศษแล้ว?
?ถ้าเรื่องที่อาดัลแบร์ทพูดเป็นความจริง พวกเธอก็ตอบแทนบุญคุณเขาด้วยความแค้นนี่นา แหงอยู่แล้วที่จะรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง แล้วพอเห็นตราตระกูลก็คงรู้สึกแย่ด้วยแหละนะ?
?อย่าเข้าใจผิดสิ ตระกูลกิลบิทเพิ่งถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้นตั้งนาน ไม่เกี่ยวข้องกับพวกคนวางแผนเมื่อตอนนั้นหรอก?
?งั้นทำไมป่านนี้แล้วถึงยังตามหาทายาทวิทคอทอยู่อีกล่ะ??
?ถ้ารู้เรื่องนั้นแล้วจะยอมให้ความร่วมมือกับแผนการเราโดยไม่พยายามหนีหรือเปล่า??
เลดี้ยิ้มอย่างสง่างามราวกับกำลังดื่มน้ำชายามบ่ายหรืออะไรทำนองนั้นอยู่ แพลทินัมบลอนด์ทอประกายจากแสงแดดอ่อนๆ ปลายเส้นผมสยายลงมาสัมผัสที่นั่ง บนท้องฟ้ามีเมฆบางปกคลุมกั้นแสงอาทิตย์ที่ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวเต็มที ทั้งที่ในอาณาจักรปีศาจเป็นช่วงฤดูฝนก่อนเข้าฤดูใบไม้ผลิแท้ๆ แต่ทางอาณาจักรซิมารอนกลับเป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง พอคิดแบบง่ายๆ ตามสไตล์บนโลกแล้ว ก็คงประมาณว่าละติจูดตรงข้ามกันพอดีเลยล่ะมั้ง
มาคิดๆ ดูแล้ว ขึ้นเหนือซะไกลไปซีกโลกเหนือ....ถ้าไม่เล่นคำซะบ้างก็ทนไม่ไหวหรอก
?ว่าแต่ท้องฟ้าชวนให้รู้สึกไม่ดีเลย?
?ตรงไหนน่ะ? ผมเห็นเหมือนแค่มีเมฆบางๆ อยู่เท่านั้นเองนะ?
?ถ้าเป็นคนในท้องที่จะรู้ไงล่ะ ถ้าไม่เกิดแผ่นดินไหวก็คงดีอยู่หรอก?
ในที่สุดก็กลับสู่หัวข้อสนทนาที่ปลอดภัยซะที กับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเราต้องไม่คุยเรื่องการเมือง ศาสนา แล้วก็เบสบอล โดยเฉพาะแฟนๆ ลีกแปซิฟิกซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยเนี่ย นับว่าฉลาดอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยงหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเบสบอล เพื่อสุขอนามัยทางด้านจิตใจของตัวเอง ในแง่นั้น คุยเรื่องอากาศแหละดี ไม่มีจุดที่จะทำให้ใครต้องเจ็บปวดทั้งนั้น
ตรงหน้าโต๊ะอาหารตอนเจอกันครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างแสร้งทำเป็นพูดไม่ได้กันทั้งคู่
แต่พอลองถอดหน้ากากแล้วกลับมาเป็นเธอที่แท้จริงแล้ว ฟลิน กิลบิทก็ทั้งสวย อีกทั้งคำพูดคำจาและท่วงท่าก็สง่าผ่าเผย ออกจะต่างจากความเด็ดเดี่ยวอยู่บ้างนิดหน่อย น้ำเสียงหวานก้องกังวาน ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์อยู่ด้วย ถึงอย่างนั้นการที่ดูเหมือนเธอยืดอกอย่างแน่วแน่เนี่ยก็คงเพราะเคลื่อนไหวด้วยเจตนารมณ์และความเชื่อมั่นของตนเองอยู่ล่ะมั้ง
เพราะปกครองแคว้นโดยอ้างชื่อสามีเลยโดนว่าอะไรมาเยอะแยะก็จริง แต่คนแบบนี้แหละอาจจะคู่ควรกับการอยู่บนจุดสูงสุดของประเทศก็ได้
พอเทียบกับความงดงามของเผ่าปีศาจอย่างอะนิสซินาซัง ท่านเซลี่ แล้วก็กุนเทอร์แล้ว สาวงามชาวมนุษย์เนี่ยไปคนละแนวกันเลย ถ้าเปรียบทางโน้นเป็นผลงานของศิลปินที่มีพรสวรรค์ ทางนี้ก็เหมือนดาราหญิงไม่ก็พริตตี้ลูกทีมแข่งรถ เห็นได้บ่อยๆ ว่านักกีฬาที่สนแต่เรื่องกีฬาอย่างเดียวชอบเผลอมองตามดาราหรือนักข่าวหญิงที่มาทำข่าว กรณีของผมเองก็เป็นแบบนั้นเลย ทั้งๆ ที่โดนเธอทำให้ต้องเจอเรื่องเลวร้ายแท้ๆ แต่กลับไม่อาจแค้นเคืองจากก้นบึ้งของจิตใจได้
ยังไงซะก็โดนกักอยู่ถึงสามวัน แล้วก็โดนบังคับให้ต้องอดอาหารลดความอ้วนด้วย นั่นน่ะสาหัสเอาการ แถมไม่ใช่ว่าโดนกักตัวไว้ในโรงฝึกอดอาหาร แต่ต้องอดทนด้วยเจตนารมณ์อันแรงกล้าต่อหน้าอาหารฟูลคอร์สน่าอร่อยสุดขีดอีกต่างหาก

มาคิดดูแล้ว นับจากวันแรกที่ถูกกักตัวไว้ ปัญหาเรื่องอาหารนับว่าสาหัสเอาการ
พอนับแกะไปได้ถึงราวๆ สองหมื่นเจ็ดพันตัวก็พอจะข่มตาหลับได้บ้าง เพราะอย่างนั้นตอนกลางคืนเลยยังนับว่ายังดีอยู่ แต่พอถึงรุ่งเช้าก็จะมีเบรกฟาสต์อลังการยกมาให้ กระเพาะลำไส้สุขภาพดีของเด็กวัยกำลังโตกำลังกินเรียกร้องหาพลังงานจนส่งเสียงดังสุดขีด แต่จะกินนั่นเข้าไปโดยไม่สงสัยเลยก็ไม่ได้ ก็เลยอยู่ในสภาพต้องทนมองเฉยๆ ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงมื้อเย็น
หมาของบ้านพาฟลอฟซัง คงไม่ต้องอดทนขนาดนี้หรอกมั้ง ถ้าปล่อยให้ท้องว่างแล้วช่วยโลกได้ ก็น่าจะสำเร็จไปได้ราวๆ สามรอบแล้ว
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะผมทำตามคำตักเตือนของกุนเทอร์อย่างจริงจัง
อย่าเอาอาหารที่ได้รับจากคนแปลกหน้าเข้าปากโดยไม่ระมัดระวัง นั่นก็เพราะมีความเป็นไปได้ว่าใครบางคนที่มีเจตนาร้ายต่อผมจะวางพิษเอาไว้นั่นเอง
ก็ไม่ใช่ว่าจะทดสอบความน่าเชื่อถือหรอก แต่เอาเป็นว่าก่อนอื่นผมลองปล่อยขนมปังกับเนื้อไปนอกหน้าต่างโดยตั้งใจจะแสร้งทำเป็นเหมือนกินแล้ว
ในพริบตานั้นก็มีนกตาไวมา และจิกกินโดยไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งนั้น
พอทำแบบนั้นก็ปรากฏว่าเกิดน่าอัศจรรย์ใจขึ้น! เจ้านกน้อยเปล่งเสียงร้องงี้ดฟังดูแปลกประหลาดออกมา แล้วก็ล้มกลิ้งลงตรงขอบหน้าต่างไปแล้วไม่ใช่หรือยังไงกันนั่น! ดวงตาเปิดปรือครึ่งหนึ่ง ตรงจะงอยปากที่เปิดย้อยดูไม่ได้มีลิ้นเล็กๆ โผล่ออกมาให้เห็นอีกต่างหาก
แบบนี้แย่แล้ว นี่ฉันแย่งชิงชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีความผิดไปเพียงเพื่อการทดลองไร้สาระของตัวเองเหรอเนี่ย อา เจ้านกน้อยทำเราร่ำไห้ เจ้าอย่าได้จากโลกนี้ไปเลย ต่อให้ลองอ่านกลอนแบบนั้นออกมาก็สายไปแล้ว ชีวิตที่สูญเสียไปไม่หวนกลับคืน ความผิดที่ก่อไปก็ไม่มีวันเลือนหาย
?อา ขอโทษนะ เจ้าสีเทาขุ่น....ไม่สิ คุณนกงดงามสีสไตล์ริชเกรย์ที่ฉันไม่รู้จักชื่อแกเลยด้วยซ้ำ ช่วยอภัยให้คนไม่รู้จักคิดอย่างฉันทีเถอะ พอเป็นงี้แล้วครอบครัวแกที่เหลืออยู่ฉันจะรับผิดชอบใช้เงินเก็บฉันดูแลเอง....อ้าว??
หลายชั่วโมงให้หลัง ผู้เคราะห์ร้ายที่เคยคิดว่าตายไปแล้วกลับลุกพรวดขึ้น แล้วบินจากไปด้วยปีกที่กระพือได้ทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีก คงเพราะได้รักษาอาการนอนไม่พอมั้ง ดวงตาก็เลยมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ถูกใส่ลงไปจะไม่ใช่พิษ แต่แค่ยานอนหลับเฉยๆ
แต่ถึงอย่างนั้นจะให้รับมาโดยไม่เกรงใจ แล้วใช้ชีวิตตกต่ำอย่างการกินแล้วก็โดนบังคับให้นอน พอลืมตาตื่นก็กินแล้วโดนบังคับให้นอนอีกก็ใช่ที่ อีกอย่างขืนเป็นงั้นก็เป็นไปตามที่ศัตรูหมายมั่นไว้พอดีกัน ทางนั้นเขาอยากทำให้ผมหลับให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้คนชื่อพันเอกครูโซอาละวาด
เดิมทีแล้วที่ผมต้องมาโดนบังคับให้ไดเอตอย่างหนักหน่วงเกินไปหรือที่เรียกว่าการอดอาหารสามวันเนี่ย ก็เพราะผมโดนพามาโผล่ยังเขตกองกำลังศัตรูที่ห่างไกลจากอาณาจักรของตนเองนั่นเอง
ตัวผม ชิบุยะ ยูริ ส่วนฮาราจุกุจะยังไงก็ช่างมันแล้ว อายุสิบหกปี เคยเป็นนักเรียน ม.ปลาย รูปร่างหน้าตาธรรมดาสุดขีด แถมกระทั่งระดับมันสมองยังอยู่ตามค่าเฉลี่ย เกิดและได้รับการเลี้ยงดูมาจากพ่อที่ทำงานในธนาคารน่าสงสัยซึ่งวางแผนจะครองโลกในตลาดเงินตรา กับแม่อดีตมือดาบเฟนซิ่งที่อยากให้ช่วยลืมๆ จิตใจสาวน้อยไปสักที
ทว่าเรื่องที่ผมโดนพูดใส่ในต่างโลกหลังจากลอยเท้งเต้งมาจากโถส้วม คือข้อเท็จจริงที่น่าช็อกเสียเหลือเกิน
ตัวผมคนนี้คือราชาปีศาจนั่นเอง
ในเมื่อเป็นราชาปีศาจที่แม้แต่เด็กร้องไห้ยังต้องเบิกตากว้าง ก็เลย (ดูเหมือนจะ) ใช้เวทมนตร์อันตรายได้ด้วย เพราะเป็นราชาที่ได้รับการเคารพรัก ก็เลยมีลูกน้องรูปงามเสียจนทำเอาลำบากใจเต็มไปหมด ปัญหาที่ต้องคลี่คลายให้ได้ก็มีเป็นภูเขาเลากา และถึงจะไม่ได้มีเชื้อสายเดียวกัน แต่ก็มีลูกสาวน่ารักอยู่ด้วย ชีวิตในปราสาทปฏิญาณโลหิตก็สนุกเอาการ
ทั้งที่น่าจะเคยชินกับความเป็นจริงนั้นได้สักทีอยู่หรอก
ตอนนั้นเอง อยู่ดีๆ ผมกลับต้องมาเผชิญกับโศกนาฏกรรมอันน่าหวาดหวั่นในช่วงหลายวันมานี้
ตัวผมที่ถูกเรียกมายังอาณาจักรปีศาจซึ่งกำลังตกอยู่ในวิกฤตถูกกลุ่มลอบสังหารที่ไม่รู้ว่าเป็นใครโจมตีเข้าใส่ และต้องแยกห่างจากลอร์ดฟอน ไครสท์และเซอร์เวลเลอร์ แน่นอนว่าทั้งสองคนน่าจะยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ แถมทางครูพี่เลี้ยงยังมีอะนิสซินาซังอยู่ด้วย ก็เลยเบาใจได้
คอนราดเองก็เหมือนกัน ถึงจะโดนตัดแขนซ้ายไปก็เถอะ....
เสียงระเบิดนั่นกับคำขอโทษที่ไม่น่าจะได้ยินจริงๆ หวนกลับมา ทำให้ผมกำสองมือแน่น
เขาไม่มีทางตายไปตัวคนเดียวอยู่แล้ว เขาเคยสัญญาไว้แล้วนี่นาว่าเวลาที่ต้องการ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือเสมอ
หลังจากนั้นผมที่มีกำหนดจะกลับโลกดันถูกส่งข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนของมนุษย์ รู้ตัวอีกทีก็ลากกระทั่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่ห้องเดียวกันสมัย ม.2ม.3 อย่างมุราตะเข้ามาเอี่ยวด้วย
?....มุราตะ?
ผมพึมพำเหมือนจะเลียนแบบเสียงนักร้องลูกทุ่งก่อนลุกขึ้นยืนด้วยสองขาที่โงนเงนเพราะท้องว่าง จริงด้วย มุราตะล่ะ
มาส์กเลดี้ หรือก็คือฟลิน กิลบิทผู้เป็นสาวงามที่ปกครองที่นี่ เขตปกครองตนเองคาโลเรียในอาณาจักรซิมารอนเล็กแทนสามี เธอหลงเชื่อเรื่องที่กุขึ้นว่าผมเป็นทายาทของตระกูลวินคอทเข้าเต็มเปา จนแยกผมกับมุราตะ เคนขังไว้คนละที่ ฟลินเป็นสาวงามมากก็จริง แต่ก็มีหนามแหลมคมอันตรายเหมือนกัน
ยังไงก็ตาม เรื่องมุราตะผมมีส่วนต้องรับผิดชอบอยู่ด้วย จนป่านนี้เขายังคิดอยู่เลยว่าตัวเองอยู่บนโลกและตามหาสถานกงสุลของประเทศที่ไม่มีในแผนที่อยู่ จะปล่อยให้เขาเจอเรื่องอันตรายมากไปกว่านี้ไม่ได้ แล้วคนที่จะปกป้องหมอนั่นได้ก็มีแค่ผมคนเดียวเองด้วย
ต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
พอใช้ชีวิตถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวมาได้สามวัน ความแตกตื่นในตอนแรกก็บรรเทาลง จนเริ่มมีแรงเหลือพอจะกวาดตามองรอบข้างได้บ้างผมลองนึกแผนการหลบหนีไว้ตั้งหลายแผนก็จริง แต่ไม่ว่าแผนไหนก็มีโอกาสสำเร็จต่ำทั้งนั้น หน้าต่างใหญ่เปิดปิดได้อิสระก็จริง แต่นอกจากจะไม่มีทั้งระเบียงและเฉลียงแล้ว ห้องยังอยู่ในสถานที่ที่สูงราวๆ ห้าชั้นจากพื้นดินอีก ถ้ารวบรวมความกล้ากระโดดบันจี้จัมป์ลงไป ก็เห็นชัดแบบไม่มีข้อกังขาเลยว่าจะเป็นยังไง
ผมลองทำเชือกง่ายๆ ดูแล้วเหมือนกัน แต่คงเพราะไม่ค่อยเข้าใจไอ้ที่เรียกว่าลายผ้า ก็เลยฉีกผืนผ้าได้ไม่ตรงซะที มีแต่เศษผ้าเหมือนลายพระจันทร์ตรงคอหมีควายเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น มาถึงนี่ผมเพิ่งจะมาสำนึกผิดเป็นครั้งแรกนี่แหละที่ใช้ชีวิตแบบไม่ได้ทำอย่างอื่นมาเลยนอกจากเบสบอล
ถ้ามีมายากลหลบหนีด้วยถุงมือเล่นเบสบอลกับลูกบอล ผมก็ทำได้เพอร์เฟกต์กว่าใครๆ อยู่หรอก
ผลคือเวลาห้าสิบแปดชั่วโมงตามการคำนวณในแบบเวลาโลกล่วงเลยไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทดสอบทั้งการบันจี้จัมป์นรกและการใช้เชือกแบบง่ายๆ เลยด้วยซ้ำ
ผมอาบแดดใกล้เที่ยงทั่วทั้งร่างกายพลางเปิดหน้าต่างใหญ่ออกกว้างเต็มที่ ถ้ามีรถพร้อมบันไดวิ่งมาสักคันก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้ทันทีเลยแท้ๆ
เพลงจากภาษาที่ไม่รู้จักลอยมาตามสายลมเย็นเยียบชนิดที่ทำเอาร่างกายตื่นตัว รอเดี๋ยวก่อน ทำนองนี้มั้นคุ้นๆ อยู่นะ? รู้สึกเหมือนก่อนหน้านี้เคยฟังมามากจนแหยงไปเลย....
?มาร์ชเผด็จศึก??
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ผมต้องมาฟังแต่ ?Aida ?มากซะจนเหมือนจะหมดโควตาฟังเพลงนั้นของทั้งชีวิตไปแล้ว
พอยื่นตัวออกไปแล้วเพ่งตามอง ก็เห็นว่าตรงหน้าต่างที่ห่างไปเจ็ดห้องมีเพื่อนผมกำลังร้องโอเปร่าอย่างสบายใจเฉิบอยู่ ผลจากการตัดใจแปลงโฉมอย่างเต็มที่ ทำให้ส่วนหัวเขาเป็นสีทองจากการย้อม
ทุ่มขนาดใส่กระทั่งคอนแทคเลนส์สีฟ้าไว้ด้วยก็จริง แต่ไม่แน่ชัดนักว่าได้ผลสักแค่ไหน
?มุราตะ!?
ผมแกว่ง (พระจันทร์) ของหมีควายอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหมายจะดึงความสนใจของเจ้าแฟนฟุตบอลให้ได้ เป็นการแสดงแกว่งผ้าขนหนูแบบเตรียมใจตายเลยทีเดียว
?โอ้ ชิบุย้า?
เจ้าหนุ่มคอนแทคฯ สีที่ถอดแว่นออกโบกแขนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ต้องมาโอ้เลย โอ้อะไรกัน
?สบายดีมั้ย??
?ไหงทำเป็นไขสือพูดแบบนั้นล่ะ ฟังนะ เดี๋ยวฉันจะไปหานายเดี๋ยวนี้แหละ?
?อืม แต่ว่า?
เขามองผนังตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่าง หลังจากยืนยันแน่ใจแล้วว่าไม่มีตรงไหนยื่นออกมา เขาก็พูดต่อ
?ถ้าไม่ใช่สไปเดอร์แมน ฉันว่าไม่ไหวหรอกนะ ต่อให้จะยึดเกาะยังไงก็ไม่มีที่ให้มือจับเลย เผลอๆ อาจเป็นสไปพลาดแมนแทนก็ได้ ฮะๆ....?
?ใช่เวลามาหัวเราะเล่นคำฝืดๆ อยู่เรอะ!? เอาเป็นว่า?
ผมพาดสองขาลงบนขอบหน้าต่างสีโลหะสัมฤทธิ์
?ต้องหาทางหนีโดยไม่ให้รู้ตัว! ขืนเป็นงี้ฉันอดตายพอดีกัน!?
?แต่ว่านะ ชิบุยะ?
มุราตะยื่นร่างออกมาเท่าที่ยื่นได้
?ฉันว่าตั้งแต่นายพูดเสียงดังขนาดนั้น มันก็ไม่เป็นความลับแล้วนะ?
?อย่างที่เขาว่านั่นแหละ พันเอก?
อยู่ดีๆ ก็โดนคว้าเข็มขัดเอาไว้
?ทำไมถึงไม่ยอมทำตัวเป็นแขกที่สงบเสงี่ยมหน่อยล่ะ ขืนเจ้าเป็นแผลเข้า ข้าคง....?
ฟลินย่นคิ้วซะจนมากเกินพอดีเธอห่อไหล่อยู่ข้างหลังพ่อบ้านวัยกลางคน พ่อบ้านเวก้าดึงตัวผมพร้อมส่งเสียงไปด้วย ผมเลยโดนพากลับจากหน้าต่างไปอยู่บนพื้น
?ทั้งที่เบาใจแล้วเชียวว่าถ้าทั้งสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวทมนตร์แล้ว แต่อย่าว่าแต่จะปฏิเสธอาหารเลย นี่ยังถึงขั้นจะหนีแบบทิ้งชีวิตเลยด้วยซ้ำ! ท้าทายจนถึงขีดสุดของกายใจ....แนวคิดทหารเนี่ยน่าลำบากใจจริงๆ?
หา? แนวคิดทหาร? อ้อ เพราะผมอ้างตัวเป็นพันเอกสินะ ว่าแต่มาหาว่าคนญี่ปุ่นที่ถือคติรักสงบเป็นทหารเนี่ยมันเสียมารยาทชะมัด
?เวก้า ช่วยเตรียมรถม้าให้ที?
ฟลินใช้นิ้วเรียวของตนเองล็อกกุญแจหน้าต่างแน่นหนา
?ท่าทางแบบนี้สงสัยคงรอจนกว่าหน่วยคุ้มกันมาถึงไม่ไหวหรอก การรีบพาไปยังอาณาจักรใหญ่ให้เร็วที่สุดเท่าที่เร็วได้อาจจะเป็นการดีสำหรับพันเอกครูโซมากกว่าก็ได้ ในเมื่อแม็กซีนล่วงรู้ตัวจริงของหน้ากากแล้ว ก็ไม่รู้หรอกว่าซิมารอนเล็กจะส่งทหารเข้ามาบุกยึดคาโลเรียเมื่อไหร่?
เพียงแค่จ้าวผู้ครองแคว้น ?ชาย? ที่ปกครองประชาชนอยู่จากไปเท่านั้นเอง
?นายหญิง แต่ขืนทำเยี่ยงนั้น...?
?ถ้ารวมทหารซิมารอนที่มาพำนักอยู่ที่นี่ไปด้วย ก็น่าจะรวบรวมจำนวนได้พอสมควรมิใช่รึ ไม่ใช่ว่าไปกันทีละมากๆ จนสะดุดตาแล้วจะดีเสมอไปเสียหน่อย ขอแค่ผ่านพื้นที่ที่กลุ่มที่ราบจะโผล่ไปได้ ที่เหลือก็น่าจะไม่ต้องคอยระวังอะไรแล้ว?
กลุ่มอะไรสักอย่างที่ว่าเนี่ย มะ มีกลุ่มอันธพาลคอยดักซุ่มรออยู่หรือยังไงกัน
ด้วยเหตุนี้พวกเราก็เลยถูกส่งไปยัง ?อาณาจักรใหญ่?กันด้วยรถม้าสี่คันพร้อมโดนล็อกด้วยเข็มขัดนิรภัยกล้าม
และก็โดนเจ้าคนชวนให้แน่นอึดอัดสองคนขนาบข้างอยู่จนถึงตอนนี้นั่นเอง
จะว่าไป ตอนที่เข้ามาในรถผมเหลือบเห็นแค่นิดหน่อยก็จริง แต่ก็ว่าเห็นมุราตะดูจะดีใจซะเหลือเกิน ที่แท้เป็นเพราะทางนั้นเป็นเข็มขัดนิรภัยแอมะซอนเนส นี่เอง
ไหงงั้นล่ะ!?




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตัวผม ชิบุยะ ยูริ (อาชีพ : ราชาปีศาจ) ถูกจับตัวเอาไว้และกำลังตกอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่หลวง! ทั้งยังมีมุราตะ เคน เพื่อนสนิทผู้ไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดอะไรถึงได้ลอยเท้งเต้งมาถึงที่นี่ด้วย กลายเป็นว่าพวกเราต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังซิมารอน ดินแดนของเหล่ามนุษย์ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อเผ่าปีศาจซะงั้น! ส่วนบรรดาข้ารับใช้ที่ผมคอยพึ่งพาอยู่นั้น กุนเทอร์ก็แบ่งภาคกลายเป็นตุ๊กตาโอคิคุกับสโนว์กุนเทอร์ไปแล้ว เกวนดัลก็ถูกแม่มดสติเฟื่องอย่างอะนิสซินาสีแดงปั่นหัว โวลฟรัมก็กำลังเดินทางไกลตามหาผมผู้เป็นคู่หมั้น ส่วนคอนราดก็....น่าจะต้องยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ๆ....เรื่องราวแฟนตาซีสุดเฟี้ยวดำเนินรุดหน้าไปอย่างหนักหน่วง!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”