New Release เหลียนฮวา : พลิกชะตาวิวาห์ลวง

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : พลิกชะตาวิวาห์ลวง

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

โบราณกล่าวไว้ หากมีความพยายาม ไม่ว่าทำอาชีพใดก็ประสบความสำเร็จได้
หากเป็นเมื่อก่อน อาจเป็นเพียงเพียงคำพูดเตือนใจเท่านั้น แต่บัดนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคำพูดประโยคนี้คือความจริง
มีคำเล่าลือเกี่ยวกับ ?หอจอหงวน? มาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน กล่าวกันว่านักบวชผู้สูงส่งกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น พวกเขามีความรู้ความสามารถทั้งด้านดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เกษตรกรรม คหกรรม สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาเชี่ยวชาญในทุกศาสตร์
มีคนกล่าวไว้ว่าบุคคลเหล่านี้ก็แค่พวกชอบคุยโวโอ้อวด แต่กลับมีคนจำนวนมากรู้ว่าการที่บุคคลเหล่านี้กล้าที่จะขนานนามตนเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในอาชีพของตนนั้น ไม่ใช่เพียงคำพูดลอยๆ
จากการที่มีคนท้าทายและมีคำเล่าลือออกมามากมาย ชื่อเสียงของ ?หอจอหงวน? จึงยิ่งโด่งดังมากขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งหอจอหงวนได้ทำป้ายทองคำขึ้น และนำไปแขวนไว้ที่กำแพงวัง บนป้ายทองคำมีรายชื่อ ?จอหงวน? ที่ทุกคนต่างรู้จักดีและยังไม่เป็นที่รู้จัก
แต่เกือบสิบปีมานี้ป้ายทองคำของหอจอหงวนแทบจะไม่เคยเปลี่ยนข้อมูลใหม่เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเฉาหยางกังได้ปรากฏตัวขึ้น ขณะที่ลูกจ้างคนหนึ่งของร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กำแพงวังที่สุดกำลังอ้าปากหาวพลางเปิดประตูร้าน เขามองไปยังป้ายทองคำของหอจอหงวนด้วยความเคยชิน ทันใดนั้นเขาก็เบิ่งตามอง
?หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...วันนี้ทำไมมีเก้าแล้วล่ะ ลูกจ้างคนนี้รู้ดีว่าป้ายของหอจอหงวนนี้ไม่ใช่ใครจะมาเขียนเติมมั่วๆ ได้ คนที่มาเขียนก่อกวนแบบนี้เมื่อครั้งก่อน วันต่อมาถูกจับถอดเสื้อผ้าและแขวนตากลมไว้ที่กำแพงโน่น!
?เถ้าแก่ เถ้าแก่ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ...?
การเพิ่มป้ายชื่อทองคำของหอจอหงวนอีกครั้งเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด แค่ไม่ถึงชั่วยาม ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างอยากสืบให้รู้แน่ชัดว่าชื่อใหม่บนป้ายนั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่
แต่หอจอหงวนมีชื่อเสียงในเรื่องความลึกลับ เว้นเสียแต่บรรดาจอหงวนเหล่านี้จะยอมปรากฏตัวออกมาเอง มิเช่นนั้นจะหาตัวพบได้อย่างไร
ไม่ขอพูดถึงความอยากรู้อยากเห็นและการคาดเดาของคนทั่วไป แต่การกลับมาอยู่ในความสนใจของคนทั่วไปอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปเป็นเวลากว่าสิบปีของหอจอหงวนได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ทุกคนพูดถึงอย่างไม่หยุดหย่อน



บทที่หนึ่ง

วันที่เจ็ดเดือนห้าเป็นวันมงคลที่เหมาะกับการจัดงานมงคลสมรส หากเดินอยู่ตามท้องถนนในเมืองหลวงจะได้ยินเสียงปี่เสียงกลองดังมาจากทั่วทุกสารทิศ ตามมาด้วยเสียงประทัด ราวกับว่าทั้งเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง
แต่ทว่าที่นี่ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเฉลิมฉลองนั้น กลับมีความตึงเครียดราวกับกำลังจะชักดาบเข้าห้ำหั่นกัน
หญิงสาวคนหนึ่งใช้ผ้าผืนบางปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งยืนอยู่นอกห้องเล็กๆ ที่มีธรณีประตูกั้นกลาง ภายในห้องมีสาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสิบสี่หรือสิบห้าปี กำลังจ้องมองนางอย่างระมัดระวัง
ม่อเซียงเหล่ยไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางระมัดระวังตัวที่แสดงออกอย่างชัดเจนของสาวน้อยเท่าไรนัก เพียงปรายตามองนางพร้อมพูดว่า ?หยุนเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่ฝาน?
จั่วซูหยุนเชิดหน้าเล็กน้อย สายตาแสดงความดูแคลน ?มาหาพี่ข้าทำไม ตอนนี้เขาเป็นทั่นฮัวหลาง แล้ว ไม่ใช่นางแมวนางหมาก็จะมาขอพบได้?
การที่จั่วซูหยุนใช้ชื่อนางแมวนางหมามาเปรียบเปรยตัวนาง ถึงแม้ในใจของม่อเซียงเหล่ยจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ หลายปีมานี้นางคอยช่วยเหลือหาเสื้อผ้าอาหารให้กับพี่น้องคู่นี้ไม่ได้ขาด แต่กลับได้รับคำสี่คำนี้เป็นสิ่งตอบแทน เมื่อลองคิดดู...รู้สึกไม่คุ้มค่าสักนิด
แต่ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจก็ยังคงต้องพูดธุระให้เสร็จสิ้น อย่างน้อยคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ นางต้องรู้ให้ได้ว่าจะเป็นไปตามที่เคยตกลงกันไว้หรือไม่
?ข้ามาหาพี่ฝานก็ต้องมีธุระสิ? ม่อเซียงเหล่ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ทว่าดูเหมือนสีหน้าที่เรียบเฉยของนางจะยั่วจั่วซูหยุนให้โกรธยิ่งกว่าเดิม นางสบถออกมา ?ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร เจ้าคงอยากให้พี่ข้ายอมทิ้งอนาคตที่สดใสและเรื่องการแต่งงาน เพื่อเห็นแก่เงินทองเล็กน้อยที่เจ้าเคยให้พวกเราในระยะไม่กี่ปีมานี้ แล้วมาแต่งงานกับสาวแก่อย่างเจ้า!
ความคิดอ่านของเจ้าข้ารู้มานานแล้ว ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนนะ ตอนที่เจ้าตามแม่ข้ากลับมา แม่ข้าไม่เพียงให้เจ้ากินใช้ แต่ยังให้เจ้าได้เรียนงานฝีมือ ถึงแม้หลายปีมานี้เจ้าจะเคยช่วยเหลือพวกเราก็จริง แต่ก็ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่แม่ข้าเคยมีต่อเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองมีบุญคุณ แล้วจะมาเรียกร้องให้ข้ากับท่านพี่ทำตามใจเจ้าได้!?
จั่วซูหยุนคิดว่าตัวเองพูดได้อย่างเด็ดเดี่ยวและองอาจผ่าเผย ใบหน้าบึ้งตึง พยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนม่อเซียงเหล่ย โดยหารู้ไม่ว่านางเลียนแบบได้เพียงสีหน้าทว่ากลับเลียนแบบอารมณ์ไม่ได้ สีหน้าที่แสดงออกมาจึงตรงกันข้าม ดูแล้วกลับน่าขัน
เมื่อได้ยินคำว่าทำตามใจเจ้าจากปากของจั่วซูหยุน ม่อเซียงเหล่ยก็รู้สึกขบขัน เพราะคนที่พูดประโยคนี้ได้น่าจะเป็นนางถึงจะถูก จั่วซูหยุนเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ครั้นม่อเซียงเหล่ยเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จั่วซูหยุนกลับคิดว่าคำพูดของตนเองทำให้นางหวาดหวั่นจึงรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
ม่อเซียงเหล่ยยืนอยู่หน้าประตู เริ่มรู้สึกว่ามีสายตาของเพื่อนบ้านจับจ้อง บางคนก็สงสาร บางคนก็ยิ้มเยาะ ทำให้รู้สึกอึดอัด นางขยับตัวเพื่ออำพรางจากสายตาจำนวนมากที่สอดส่องมา จากนั้นก็มองเห็นชายเสื้อในห้องผ่านตาไปอย่างรวดเร็วจึงอดยิ้มไม่ได้
ที่แท้ไม่ใช่พี่ฝานไม่อยู่ เพียงแต่กลัวจะต้องเผชิญหน้ากับนาง ดังนั้นจึงให้สาวน้อยมาสกัดไว้ที่ประตู
หลายปีมานี้คิดว่าเขาร่ำเรียนมามาก น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่า...จะยังคงเป็นผู้ชายขี้ขลาดที่พอเจอปัญหาก็คอยแต่หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงเช่นเดิม
ตอนแรกนางยังคิดว่าการที่จั่วซูหยุนมายืนขวางประตูไว้นั้นเป็นความคิดของตัวเอง แต่เมื่อถึงตอนนี้นางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผู้ชายที่ควรจะออกมาพูดกับนางให้รู้เรื่องเป็นผู้บงการ เป็นการยืมปากสาวน้อยให้พูดในสิ่งที่ตัวเขาเองไม่กล้าพูด
นางเป็นช่างปักเสื้อ แต่ละเดือนหาเงินมาด้วยความยากลำบากเพื่อส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือ แล้วยังต้องเลี้ยงดูจั่วซูหยุนจนเติบใหญ่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเขาได้ดิบได้ดี นางยังไม่ทันได้เอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายที่ทั้งสองคนเคยสัญญากันไว้ด้วยซ้ำ กลับได้ยินคำว่า ?จะไม่มีวันทำตามใจเจ้า? เสียก่อน
หลายปีมานี้...นางช่างไร้เดียงสาซะจริง!
นางคิดว่าเมื่อตนเองได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียของอาจารย์แล้ว คนที่เคยให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าอาจารย์ก็จะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาด้วยความซื่อสัตย์เช่นเดียวกัน
ช่างเถอะ! ในเมื่อเขาดูแคลนนาง หลายปีมานี้...ก็คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนพระคุณอาจารย์แล้วกัน! เพียงแต่เดิมทีนางคิดจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นสุดท้ายให้พวกเขาสองพี่น้อง ก็คงไม่จำเป็นต้องให้แล้ว
เมื่อคิดได้และได้เห็นธาตุแท้ของอีกฝ่ายแล้ว ม่อเซียงเหล่ยก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายอีก นางเป็นคนทำใจได้ และไม่ใช่คนที่จะยอมกระโดดลงไปในขุมนรกด้วยตนเอง
?เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ แต่การถอนหมั้นนั้นไม่ใช่แค่พูดจากันก็จะสิ้นสุด หยกรูปนกยวนยาง คู่ที่อาจารย์ให้พวกเราแลกกันครึ่งหนึ่ง ควรคืนให้ข้าถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นหากข้านำหนังสือตกลงหมั้นหมายออกมาให้ทุกคนดู คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเจ้าเพียงคนเดียวคงแก้ตัวไม่ได้แน่? นางหยิบกระดาษที่เริ่มเหลืองออกมาจากอกเสื้อพร้อมพูดเสียงเรียบ
สิ่งอื่นนางไม่เอาก็ได้ เงินทองที่ประเคนให้พวกเขามาหลายปีก็คิดเสียว่าเลี้ยงสุนัขแล้วกัน แต่หยกรูปนกยวนยางคู่นั้นนางจะต้องเอาคืนมาให้ได้
จั่วซูหยุนเห็นหนังสือตกลงหมั้นหมายในมือม่อเซียงเหล่ยก็โกรธแค้นจนอยากจะจุดไฟเผากระดาษใบนั้นให้มอดไหม้
หยกรูปนกยวนยางคู่นั้นนางหมายตาไว้นานแล้ว กล่าวได้ว่าของที่มีค่าที่สุดของครอบครัวสกุลจั่วก็คือหยกรูปนกยวนยางคู่สองชิ้นนี้ นางวางแผนไว้นานแล้วว่าหลังจากไล่สาวแก่ไม่มียางอายคนนี้ออกไปแล้วก็จะขอหยกรูปนกยวนยางคู่จากพี่ชาย ถึงไม่ได้ใช้เอง แต่เอาไว้วันหน้าหากตัวเองแต่งงานจะใช้มันเป็นสินส่วนตัวก็ดูสมเกียรติดี
แต่คิดไม่ถึงว่าม่อเซียงเหล่ยจะกล้าขู่นาง!
ม่อเซียงเหล่ยไม่รู้จักคิดเสียบ้างว่าเมื่อก่อนนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่แล้วก็มีเพียงห่อผ้าเก่าๆ ตามแม่มาอยู่ที่บ้าน ของดีอย่างหยกรูปนกยวนยางคู่นั้นจะเป็นของนางได้อย่างไร
มันจะต้องเป็นของที่แม่มอบไว้ให้ จะถือว่าเป็นของนางได้อย่างไร
เมื่อคิดเช่นนี้ ชั่วขณะหนึ่งจั่วซูหยุนรู้สึกว่าความคิดที่ตัวเองจะไม่คืนของให้อีกฝ่ายนั้นมีเหตุผลมากกว่า ขณะกำลังจะเอ่ยปากให้นางคืนหนังสือตกลงหมั้นหมายแต่โดยดี ส่วนของนั้นอย่าหวังว่าจะได้คืน ม่อเซียงเหล่ยกลับดูเหมือนจะรู้แล้วว่านางอยากพูดอะไรจึงสกัดความคิดฟุ้งซ่านของนางก่อน
?ยื่นหมูยื่นแมว หากคิดจะแย่งชิง ข้าจะส่งหนังสือตกลงหมั้นหมายไปให้ศาลให้ใต้เท้าเป็นผู้ตัดสิน เพียงแต่เมื่อถึงตอนนั้น ไม่รู้ว่าจะเป็นอุปสรรคในการแต่งงานใหม่ของท่านพี่เจ้าหรือไม่? น้ำเสียงของนางราบเรียบอ่อนโยน แต่พูดได้หนักแน่นทรงพลัง ทำให้จั่วซูหยุนไม่มีโอกาสที่จะโต้แย้งแม้แต่น้อย
จั่วซูหยุนเป็นคนอย่างไรนางรู้ดี ฐานะทางบ้านไม่ดีแต่กลับทำตัวเย่อหยิ่งกว่าใคร มีความฉลาดเพียงเล็กน้อยและจิตใจคับแคบ การที่นางอยากได้หยกรูปนกยวนยางคู่นับเป็นเรื่องปกติมาก
หากเป็นของอย่างอื่น เมื่อให้ไปแล้วนางไม่คิดจะทวงคืน หากไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสองพี่น้องนี้อีกก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่หยกรูปนกยวนยางคู่มีคุณค่าที่แตกต่างกัน ดังนั้นถึงแม้จั่วซูหยุนดื้อรั้นจะเอา นางก็จะไม่มีวันยอมแน่นอน
เมื่อจั่วซูหยุนถูกจับได้ว่าคิดอย่างไรก็ทำหน้าบึ้งตึง สายตาเคียดแค้น ?ก็แค่หยกเก่าๆ ชิ้นเดียว ทำเหมือนเป็นของล้ำค่าไปได้ อยากได้ก็เอาไป รออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน?
เห็นหลังของนางหายเข้าไปในห้อง ม่อเซียงเหล่ยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ไม่นานกลับมีเสียงหญิงชายโต้เถียงกันดังออกมาจากในห้อง และยังได้ยินชื่อของนางแว่วออกมา พิสูจน์ได้แล้วว่าผู้ชายที่นางต้องการพบซ่อนตัวอยู่ในห้อง
แม้จะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อสิ่งที่ตนเองคาดเดาได้รับการพิสูจน์ นางก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง...
ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ จั่วซูหยุนที่ได้หยกมาด้วยการบังคับฝืนใจก็เดินออกมา นางเชิดหน้าเล็กน้อย ปาหยกสีเขียวที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเล็กน้อยใส่หน้าอกของม่อเซียงเหล่ยอย่างไร้มารยาท ก่อนจะหยิบหนังสือตกลงหมั้นหมายแผ่นบางๆ มาจากมือนาง อ่านอย่างละเอียดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ เมื่อมั่นใจว่าเป็นของจริงจึงยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจแล้วกฉีกกระดาษแผ่นนั้นจนละเอียดต่อหน้านาง
?เจ้าไปได้แล้ว! ต่อไปนี้พวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน อย่าได้แอบอ้างสกุลจั่วของพวกเราไปหลอกลวงใครอีก? จั่วซูหยุนพูดกับนางด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ม่อเซียงเหล่ยมองกระดาษเหล่านั้นที่แหลกละเอียดจนแหลกละเอียดไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ริมฝีปากที่อยู่ภายใต้ผ้าผืนบางแย้มยิ้มเล็กน้อย สายตาคลายความกังวลอย่างบอกไม่ถูก
หลายปีมานี้อาจจะเป็นเพราะอาจารย์ได้ฝากฝังไว้ หรืออาจจะเป็นเพราะภาพชายหนุ่มชุดเขียวท่าทางขี้อายคนนั้นทำให้จิตใจหวั่นไหวอยู่บ้าง นางถึงเคยมีความคิดว่าปฏิบัติตามการตกลงหมั้นหมายก็ดีเหมือนกัน
แต่คงเป็นเพราะจิตใจของนางยังหวั่นไหวไม่มากพอ เมื่อรู้ว่าขุนนางฝ่ายการสอบคัดเลือกต้องการเขาเป็นลูกเขยจนเขาหลีกเลี่ยงไม่ยอมพบหน้านาง แม้แต่หน้าก็ไม่กล้ามาให้เห็น นางกลับไม่รู้สึกเสียใจ อย่างมากก็แค่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น
โชคยังดีที่ไม่มารู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้หลังจากแต่งงานกันแล้ว จึงทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
การเลี้ยงดูคนสองคน โดยเฉพาะคนหนึ่งยังต้องเรียนหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ารับราชการนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
เมื่อคิดว่าหลายปีมานี้เงินเก็บของตัวเองแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย ม่อเซียงเหล่ยก็รู้สึกสะเทือนใจ เสียใจยิ่งกว่าการสูญเสียหนังสือตกลงหมั้นหมายไปเมื่อสักครู่เสียอีก
จั่วซูหยุนเห็นนางเหม่อลอยจึงพูดเสียดสีว่า ?ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ มานึกเสียดายก็สายไปเสียแล้ว เจ้า...?
ม่อเซียงเหล่ยรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอิสระแล้วจริงๆ ตั้งแต่ที่นางพูดประโยคแรกจึงรีบหันหลังเดินออกจากตรอกไป รีบร้อนกว่าตอนมาเสียด้วยซ้ำ
นางไม่ได้กลัวจั่วซูหยุนพูดมาก แต่กลัวสองพี่น้องนั้นจะเปลี่ยนใจต่างหาก
ถึงแม้ในสายตาคนอื่นนางจะดูเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบาก แต่มีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ว่านางแค่ไม่อยากถูกมัดไว้ในบ่อดูดเงินอีกแล้ว
นางเดินปะปนไปกับผู้คนบนท้องถนน ไม่นานร่างบางนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และแน่นอนว่านางไม่เห็นชายหนุ่มชุดเขียวเดินออกมาจากห้องหลังจากที่นางจากไปไม่นาน เขามองออกไปนอกประตูบ้านด้วยสีหน้ารู้สึกขาดทุนและไม่สบอารมณ์

***

วันนี้เป็นวันมงคล หลังจากเดินออกมาจากตรอกที่สองพี่น้องสกุลจั่วอาศัยอยู่ ม่อเซียงเหล่ยก็ได้พบกับขบวนขันหมากสองขบวน นางไม่ชอบเดินเบียดกับผู้คนเพื่อไปมุงดูจึงแวะร้านน้ำชาข้างทาง วางแผนสั่งน้ำชาหนึ่งกาและเสี่ยวหลงเปาหนึ่งเข่ง กินข้าวเย็นนอกบ้านให้เรียบร้อยแล้วค่อยเดินทางต่อ
อาจเป็นเพราะมีคนคิดเหมือนนางอยู่ไม่น้อย ทำให้ร้านน้ำชาที่เดิมทีก็มีโต๊ะอยู่ไม่มากจึงเหลือโต๊ะเล็กๆ ว่างเพียงโต๊ะเดียว นางกับผู้ชายคนหนึ่งแย่งที่นั่งนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน และเกือบจะสั่งอาหารเหมือนกันในเวลาเดียวกัน
?เสี่ยวหลงเปาหนึ่งเข่งกับน้ำชาหนึ่งกา?
หญิงชายทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกันและเหมือนกันทุกคำ ไม่ใช่แค่คนทั้งคู่ที่ตะลึง เพราะแม้แต่เจ้าของร้านน้ำชาก็ตะลึงเช่นกัน
เจ้าของร้านมองเสี่ยวหลงเปาเข่งสุดท้ายบนโต๊ะตัวเอง แล้วมองหญิงชายทั้งสองที่แน่ใจว่าไม่ได้มาด้วยกันอย่างแน่นอน สีหน้าเหมือนลำบากใจเล็กน้อย ?ต้องขอโทษจริงๆ! วันนี้ขายดี เหลือเสี่ยวหลงเปาแค่เข่งเดียว ท่านทั้งสองดูสิ...ท่านทั้งสองใครมาก่อนมาหลังกันแน่...?
ม่อเซียงเหล่ยขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังคิดจะเสียสละให้ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามเพื่อตัดปัญหา ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
?ให้แม่นางท่านนี้เถิด ข้าขอแค่น้ำชากาเดียวก็พอแล้ว? น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงที่ค่อนข้างห้าวนั้นกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
เจ้าของร้านเห็นคนทั้งสองไม่มีการโต้เถียงกันจึงรู้สึกโล่งอก รีบพยักหน้า ?ได้ขอรับ! ได้ขอรับ!?
ม่อเซียงเหล่ยมองผู้ชายที่นั่งตรงข้ามด้วยความฉงน ดูจากเนื้อผ้าของชุดที่เขาสวมใส่ ต้องไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไปแน่ๆ คนแบบนี้แค่นั่งกินอาหารตามร้านริมทางก็แปลกมากพอแล้ว เหตุใดยังใจดียอมยกเสี่ยวหลงเปาเข่งสุดท้ายให้นางอีก
เซี่ยโหวยี่สังเกตเห็นแววตาที่แสดงความฉงนของนางจึงมองกลับไปด้วยแววตาเรียบเฉย ?เมื่อครู่บังเอิญเดินผ่านจวนของทั่นฮัวหลาง? เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยอาการเก็บอารมณ์ความรู้สึก
เขาต้องการหลีกเลี่ยงขบวนขันหมากจึงหลบเข้าไปในตรอก คาดไม่ถึงว่าจะได้พบเห็นการโต้เถียงกัน
โดยปกติแล้วเขาคงไม่รู้สึกเห็นใจผู้อื่นด้วยเรื่องแบบนี้ แต่วันนี้เขารู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าน่าสงสารกว่าเขา เมื่อพบปะกันโดยบังเอิญจึงอยากปฏิบัติต่อนางด้วยความอ่อนโยนเล็กน้อย
อย่างน้อยเขายังมีพี่สาวที่มีอำนาจและอิทธิพลเป็นที่พึ่ง แต่ผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่มีใครที่จะขอความช่วยเหลือได้เลย
ม่อเซียงเหล่ยรู้ว่าผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้คงจะเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่ แต่พวกเขาก็แค่พบกันโดยบังเอิญ ไม่แน่ว่าการพบกันครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องอธิบายให้เขาฟัง ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงนั่งรอเจ้าของร้านนำเสี่ยวหลงเปามาให้ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเสี่ยวหลงเปากินอย่างช้าๆ
เซี่ยโหวยี่เองก็ไม่ได้คิดว่าการเสียสละของตัวเองจะได้รับอะไรตอบแทน ครั้นเห็นหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้สีหน้าสงบเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนไม่มีความโศกเศร้าแม้แต่น้อย เขาก็ยิ้มบางๆ ในใจรู้สึกชื่นชมไม่น้อย
ครู่หนึ่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความเป็นมิตร แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้คุยกันอีก แต่กลับรู้สึกดีกว่าการพูดคุยกัน
เพียงแต่เมื่อเขาทั้งสองไม่พูดจากัน คนที่นั่งข้างๆ ก็อดที่จะนินทาไม่ได้ นอกจากนี้ยังมองมาทางเซี่ยโหวยี่ด้วยความสงสัย
?ได้ข่าวว่าน้องสะใภ้ที่ฮองเฮาทรงเลือกไว้จะแต่งงานวันนี้แล้วหรือ?
?ใช่แล้ว! ถึงแม้จะไม่มีสินส่วนตัวมากมาย แต่ก็พอสมน้ำสมเนื้อ มีการแห่ขบวนขันหมากไปตามถนนหลายสายอย่างครึกครื้นตั้งแต่เช้า เหมือนกลัวว่าชาวบ้านจะไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองเคยถอนหมั้นมาก่อนอย่างนั้นแหละ?
?แต่ก็เข้าใจได้นะ หญิงสาวคนหนึ่งเฝ้ารอมาตั้งหลายปีแต่กลับได้คนขาเป๋ยังไม่พอ ซ้ำยังไม่มีตำแหน่งอะไรเลย รับแค่เบี้ยหวัดตำแหน่งอันเล่อโหว พ่อแม่ที่รักลูกสาวของตัวเองไม่มีใครยกลูกสาวให้คนแบบนั้นหรอก?
ใครๆ ก็รู้ว่าถึงแม้อันเล่อโหวจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของฮองเฮา แต่กลับสอบเข้ารับราชการไม่ได้ ตอนนี้ก็ประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าฮ่องเต้ทรงพระราชทานตำแหน่งให้ แต่แค่ตำแหน่งอันเล่อโหว ใครเขาจะให้ความสำคัญ?
เรื่องที่อันเล่อโหวออกรบพร้อมกับกองทัพเพื่อความดีความชอบเล็กน้อยนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงไม่มีความชอบ แต่ยังต้องกลายเป็นคนขาเป๋ไปข้างหนึ่ง แบบนี้จะให้สาวน้อยที่วาดฝันว่าจะแต่งงานกับเจ้าบ่าวในฝันทำใจยอมรับได้อย่างไร มิน่าล่ะนางถึงยืนยันที่จะถอนหมั้น แม้จะต้องเผชิญกับความพิโรธของฮองเฮาก็ตาม
เซี่ยโหวยี่จิบชาอย่างเนิบๆ ราวกับไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังนินทาตนเองอยู่ จิตใจไม่ได้หวั่นไหวไปกับสายตาที่มีทั้งเห็นใจและเยาะเย้ยของคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย
กลับเป็นม่อเซียงเหล่ยเสียอีกที่รู้สึกสนใจขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าในวันมงคลเช่นนี้จะได้ยินเรื่องราวที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตนเองประสบมา
นางกินซาลาเปากินอย่างช้าๆ จนหมด จิบชาล้างความมันในปาก ขณะที่วางถ้วยนั้นนางจงใจกระแทกถ้วยลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ทำให้เสียงที่กำลังนินทาเหล่านั้นหายไป
ม่อเซียงเหล่ยมองผู้คนเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็มองหน้าเซี่ยโหวยี่ที่ทำท่าทางไม่สนใจ
แม้ไม่แน่ใจว่าชายคนนี้จะใช่อันเล่อโหวหรือไม่ และถ้าตนเองออกหน้าพูดไปก็ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจจะรู้สึกว่านางกำลังหาเรื่องพวกเขาหรือไม่ แต่ช่วยไม่ได้ ใครอยากทำให้นางอัดอั้นตันใจล่ะ ถ้าไม่ถือโอกาสระบายอารมณ์เสียบ้างก็ไม่ใช่นางแล้ว
?โลกเปลี่ยนไปความคิดคนก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ลูกสาวแต่งงานยังต้องคิดเล็กคิดน้อยว่าฝ่ายชายจะนำชื่อเสียงมาให้ฝ่ายหญิงได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ เมื่อคิดจะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นเสียอย่างนั้น ไม่มีสัจจะแล้วยังอ้างเหตุผลมากมาย วิจารณ์คนที่ถูกถอนหมั้นเสียจนไม่เหลือคุณค่าในตัวเองเลย?
นางพูดพลางวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะ มองหน้าคนที่เพิ่งจับกลุ่มนินทากันทีละคนอย่างช้าๆ จนคนเหล่านั้นต้องก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
?ไม่รู้ว่าฝ่ายหญิงที่เป็นคนถอนหมั้นหน้าหนาเพียงใด เหยียบหน้าอันเล่อโหวเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง และไม่รู้ในการแต่งงานวันนี้จะรู้สึกผิดบ้างหรือไม่?
ประโยคสุดท้ายเหมือนนางงึมงำถามตัวเอง แต่คนรอบข้างเหล่านั้นก็ได้ยินชัดเจนทุกคำ
เฮ้อ! ตอนแรกที่โดนถอนหมั้นก็มีความสุขดี แต่ต่อมาพอคิดถึงเงินทองที่เสียไปก็รู้สึกยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
นางกินซาลาเปาไปก็ด่าตัวเองไปว่าโง่มาก ที่แลกหยกรูปนกยวนยางคู่คืนมาอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทวงดอกเบี้ยคืนด้วย
แค่หนึ่งหรือสองตำลึงก็ยังดี! เมื่อสักครู่นางมองลอดช่องหน้าต่าง เห็นสินส่วนตัวของฝ่ายเจ้าสาวเรียงอยู่เกือบเต็มลานบ้าน ถึงแม้ลานบ้านของครอบครัวสกุลจั่วจะไม่ใหญ่โต แต่ของเต็มพื้นนั้นอย่างไรก็ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน
ทว่าตอนนี้จะให้นางกลับไปอีกครั้งก็มีแต่จะกลุ้มใจมากกว่าเดิม ยิ่งได้ฟังคำนินทาของคนพวกนี้ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกโกรธมากขึ้น นางจึงไม่อยากทนอีกต่อไป
เมื่อเซี่ยโหวยี่ได้ยินคำพูดของนางก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย แต่รู้สึกว่านางทำเช่นนี้ดูกระโตกกระตากไปหน่อย แน่นอนว่าเขาไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่นางเป็นสตรี ถึงจะไม่สนใจชื่อเสียงแต่ก็ควรจะคิดว่าหากคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูครอบครัวของหูซื่อหลาง นางต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
แต่ถึงจะรู้สึกกังวล เขาก็ไม่ได้ห้ามนาง
บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกได้ว่านางไม่ได้กำลังพูดแทนเขาเท่านั้น แต่นางอาจจะพูดเพราะต้องการระบายความแค้นของตัวเองก็ได้!
ช่างเถิด ในเมื่อปัญหาเกิดขึ้นเพราะเขา เขาก็ต้องออกหน้าจัดการแทนนางให้เรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงภัยที่จะมาถึงตัวนางในวันหน้า ซึ่งเกิดมาจากความหวังดีเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาในวันนี้
เขาวางถ้วยลง ใบหน้าอันหล่อเหลาก้มต่ำ กวาดตามองผู้คนที่จุกจนพูดไม่ออก ?ข้าไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไม่เอาไหนเช่นนี้ ข้าไม่โทษครอบครัวหูซื่อหลางที่ถอนหมั้นเพราะเกรงว่าบุตรสาวของตนจะไม่มีอนาคตที่ดี ท่าทางข้าคงจะต้องเข้าวังสักครั้ง เพื่อทูลถามฮองเฮาว่าลูกเขยของหูซื่อหลางนั้นมีตำแหน่งใหญ่โตเพียงใด ทำไมแม้แต่โหวเหยีย เช่นข้าจึงถูกถอนหมั้น?
เมื่อเขาพูดจบ บรรดาผู้ที่นินทาลับหลังต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ม่อเซียงเหล่ยส่งเสียเลี้ยงดูคู่หมั้นจนเขาสอบเข้ารับราชการได้ แต่สุดท้ายเขากลับบอกว่าแต่งงานกับนางไม่ได้เพราะนางต้อยต่ำเกินไป นางเหนื่อยจะต่อคำกับคนเนรคุณจึงยอมจากไปแต่โดยดี ทว่าชะตาฟ้าลิขิตหรืออย่างไรนางถึงได้พบกับอันเล่อโหวที่ถูกคู่หมั้นยกเลิกงานแต่งงานเช่นเดียวกัน
เขาออกหน้าปกป้องเมื่อนางอาจตกอยู่ในอันตรายเพราะความวู่วาม และช่วยปลอบโยนเมื่อนางถูกเหยียดหยามอย่างน่าเวทนาในงานแต่งงานของอดีตคู่หมั้น มิหนำซ้ำยังกล่าวด้วยว่าทั้งเขาและนางคนหนึ่งขาเป๋อีกคนเสียโฉมเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี...เดี๋ยวก่อน! นี่ใช่วิธีขอแต่งงานหรือ เขาเป็นคนดีเช่นนี้แล้วยังมีพี่สาวเป็นถึงฮองเฮา นางจะคู่ควรกับเขาได้อย่างไร แต่สวรรค์! นางเผลอดื่มเหล้าจนเมา นางไม่เพียงตอบตกลงจะแต่งงานกับเขาแต่ยังแอบจูบเขาด้วย...


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”