New Release รุกฆาต : กองถ่ายเซ่นวิญญาณ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release รุกฆาต : กองถ่ายเซ่นวิญญาณ

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
นักแสดงผู้คลุ้มคลั่ง

กระดาษที่เขียนว่า ?สตูดิโอถ่ายทำปีศาจดาราฆาตกร 1? แปะอยู่บนประตูเหล็กหนาหนัก
สปอตไลท์สว่างขึ้น ชายคนหนึ่งกำลังปรับรีเฟลกซ์ อย่างตั้งใจ แสงไฟทุกลำจะต้องส่องถูกที่ โดยเฉพาะสปอตไลท์ที่ส่องตัวละครเอกจะต้องเพียงพอ
เขาเดินไปจัดระเบียบตัวเองอยู่หน้ากระจกข้างๆ กระจกสะท้อนภาพใบหน้าทรงภูมิงดงาม เขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบกริบ ผมสั้นใส่น้ำมันและหวีจนเรียบแปล้ดูสะอาดเนี้ยบ จากนั้นเขาก็พับแขนเสื้อขึ้นเป็นสองทบอย่างเรียบร้อย เท่านี้ก็จะเพิ่มความรู้สึกสบายๆ ได้
?อือ...? ด้านหลังมีเสียงร้องอู้อี้ดังมา แล้วก็ตามด้วยเสียงเก้าอี้กระทบกับพื้นดังกึงๆ
?โอเคๆ ขอฉันเตรียมตัวอีกหน่อย? เขายิ้มให้กระจก ว่ากันตามจริงเขารู้สึกมาตลอดว่าใบหน้านี้ควรจะต้องดังระเบิดเป็นพิเศษสิถึงจะถูก
แน่นอน ในโลกของวงการบันเทิงนั้นนอกจากหน้าตาแล้วความสามารถสำคัญยิ่งกว่า หากอาศัยเพียงรูปลักษณ์ภายนอกก็จะอยู่ได้ไม่นาน แต่เมื่อแสดงความสามารถที่แท้จริงออกไปแล้วเพิ่มเติมด้วยโชคอีกสักหน่อยก็จะทำให้ตัวเองได้ไปยืนในตำแหน่งที่เรียกว่าไร้เทียมทาน
สิ่งที่เขาขาดก็คือ ?โชค? นี่แหละ
ข้างกระจกมีบทละครวางอยู่ เขาหยิบขึ้นมาท่องอีกครั้ง ที่จริงบทท่อนนี้มีไม่มาก ผู้กำกับถึงกับบอกว่าพูดไปแบบอิสระได้เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่อารมณ์ต้องถึง บรรยากาศต้องออกมา ต้องทำให้คนดูรู้สึกถึงมันได้จริงๆ เขาต้องเป็นดาราใหญ่คนหนึ่งที่กำลังเข้าสู่ความบ้าคลั่ง
?ฮือ...ฮือๆๆ!? เสียงด้านหลังยิ่งเร่งเร้าขึ้นทุกที ขาเก้าอี้กระทบพื้นถี่ขึ้น
?เอ๊ะ หนวกหูน่า ให้เวลาฉันเข้าบทหน่อยเถอะ!? เขาหันไปบ่น แสงสปอตไลท์มากมายล้อมเก้าอี้ตัวหนึ่งไว้ บนเก้าอี้มีหญิงสาวคนหนึ่ง
สองมือของเธอถูกมัดไพล่หลัง ข้อเท้าทั้งสองข้างก็ถูกมัดเอาไว้ ทั้งตัวถูกมัดติดกับเก้าอี้ขยับไม่ได้โดยสิ้นเชิง ปากก็ถูกเทปปิดเอาไว้แล้วยังเป็นเทปสีเงินอีกด้วย นั่นคือสิ่งที่บทละครบรรยายเอาไว้ชัดเจนเป็นพิเศษเหมือนกับฉากในตอนนั้น
เขาวางบทละครลง หลับตา แล้วก็หายใจเข้าออกลึกๆ
ไม่มีปัญหาหรอก เขาศึกษาคดีนี้มานานแล้ว ขาดก็แต่เพียงการ ?สัมผัสประสบการณ์? ซึ่งสำคัญที่สุด เขาบอกตัวเองว่า...จากนี้ไปนายก็คือดาราใหญ่ ไม่ต้องคิดให้มากมาย แค่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นดาราใหญ่คนนั้นก็พอแล้ว!
เขาลืมตาขึ้น มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มย่ามใจก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่ดิ้นไม่หยุด เธอมีสีหน้าหวาดกลัวขณะที่ดิ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว!
?ทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้น? เขาเดินตรงไปหาหญิงสาว ?เธอก็รู้ดีว่าเราต้องเข้ากันได้เป็นอย่างดี?
?ฮือ...? หญิงสาวร้องไห้ น้ำตาเอ่อคลอขณะมองเขา ?ฮือๆๆๆ!?
เหมือนกับว่าเธอกำลังพูดอยู่ ทว่าถ้อยคำที่เรียงร้อยเป็นประโยคกลับถูกอุดไว้ด้วยเทปสีเงิน ผู้ชายย่อตัวลง เขามองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ปลายนิ้วเริ่มลูบไล้แขนเนียนลื่นมือของหญิงสาวราวกับกำลังหยอกเย้า ลูบขายาวใต้กระโปรง จากนั้นก็เชยคางเธอขึ้นแล้วบีบกรามเธอเอาไว้
?เธอตัวสั่นเหรอ สั่นทำไมกัน พวกเราทำเพื่อความสมบูรณ์แบบทั้งนั้นนะ!? ในดวงตาที่ยิ้มจนยิบหยีของเขานั้นแม้แต่ความรู้สึกสักเศษเสี้ยวหนึ่งก็ไม่มี
?อื้อ!? เธอสะบัดศีรษะออกอย่างแรง พยายามอย่างสุดชีวิตที่จะทำให้เก้าอี้ล้ม
?ฮู้...ทำไมก้าวร้าวได้ขนาดนี้เนี่ย? ชายคนนั้นว่าพลางหยิบมีดสีเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต ?เธอต้องเชื่อฟังสิ?
หญิงสาวเห็นมีดก็สูดหายใจเฮือก ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับใดผู้ชายก็ใช้ปลายมีดลากบนแขนของเธอจากบนลงล่าง...มีดเล่มนั้นคมกริบ เพียงลากเบาๆ ก็ทำให้ผิวส่วนที่สัมผัสโดนมันแยกออกเป็นรอย
?อื้อ...? หญิงสาวกรีดร้องเสียงอู้อี้ ร่างบิดเร่ารุนแรง รอยแผลยาวเริ่มมีเลือดซึมออกมาหยดแล้วหยดเล่า มันหยดลงบนผิวขาวราวหิมะของเธอ
?เจ็บมากไหม? เขาจับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหญิงสาวพลิกไปมารอบหนึ่ง ?งั้นแบบนี้ล่ะ?
มีดดิ่งลงล่างแล้วแทงเข้าต้นขาของเธออย่างแรง!
?อื้อ!? หญิงสาวเบิกตากว้าง เจ็บปวดจนไม่อาจหายใจ
จากนั้นร่างของเธอก็สั่นอย่างรุนแรง ผู้ชายพบว่าเธอไม่ได้ถูกกำราบให้อยู่หมัดได้ง่ายขนาดนั้น แม้ตัวถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ความเจ็บปวดก็ยังบีบให้เธอพยายามลุกขึ้นได้
เขายกยิ้ม จากนั้นก็ฉีกเทปที่ปิดปากเธอเอาไว้ออกอย่างไม่ลังเล
?อ๊า...? หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา ?...คุณทำอะไรเนี่ย! คุณมันโรคจิต!?
เขาหัวเราะ เขายังไม่ลืมบล็อกกิ้งของตัวเองและไม่มีทางลืมเลนส์กล้องที่ตนกำลังประจันหน้าอยู่ เขาลุกขึ้นอ้อมมาอยู่ด้านหลังของหญิงสาวแล้วจิกกระชากผมเธออย่างแรงให้เธอได้ประจันหน้ากับเลนส์กล้อง
?ยิ้มหน่อยสิ เธอได้เข้ากล้องแล้วนะ? เขาว่าพลางตัดเชือกที่อยู่ระหว่างหญิงสาวกับเก้าอี้
เมื่อรู้สึกได้ว่าเชือกเริ่มคลายออก หญิงสาวก็รีบร้อนอยากจะให้ร่างหลุดพ้นจากพันธนาการจึงสะบัดตัวออกไปข้างหน้าทันที แต่เธอลืมไปว่าสองเท้ายังคงติดอยู่กับเก้าอี้ ร่างทั้งร่างจึงล้มลงบนพื้นอย่างแรง แผลที่ต้นขากับแขนฉีกออกรุนแรงทำให้เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
?ช่วย...ช่วยด้วย!? เธอนอนตะแคงอยู่บนพื้นพลางกรีดร้อง ?ช่วยด้วย...?
?เลิกงานกันหมดแล้ว ใครจะมาล่ะ? ผู้ชายยืนมองเธอแล้วก็หัวเราะ ?ดูสภาพเธอสิ แย่ชะมัด!? เขาย่อตัวลงมาตัดเชือกที่มัดขาของเธอไว้กับเก้าอี้อีก
แต่เชือกที่อยู่บนตัวของเธอยังอยู่ สองมือของเธอยังถูกมัดไพล่หลัง สองเท้ายังถูกมัดไว้ด้วยกัน เพียงแค่ออกห่างจากเก้าอี้แต่เธอยังไม่อาจยืนขึ้นได้ ก็ยังหนีไปไม่ได้อยู่ดี!
?ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะ...ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร...? เธอร้องไห้จนเสียงแหบ ?แต่ฉันกับคุณไม่เคยมีเรื่องกัน ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย!?
ผู้ชายไม่พูด เขายิ้มพลางมองเธออย่างเหยียดหยามแล้วก้มลงคว้าผมเธอขึ้นมา เขาลากเธอไปถึงหน้ากล้องอย่างรุนแรง แผลของเธอถูไปตามพื้นทำให้เธอกรีดร้องมากยิ่งขึ้น
?ขอร้องฉันสิ? เขาดึงผมของเธอ ให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัวของเธอมองเห็นได้ชัดต่อหน้ากล้อง ?ขอร้องให้ฉันปล่อยเธอ?
หญิงสาวหายใจกระชั้น น้ำตาทำลายเครื่องสำอางที่เธอแต่งหน้าเอาไว้อย่างสวยงาม ?ฉันขอร้อง...ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ!?
?จริงใจหน่อย ฉันไม่ได้ยินความจริงใจของเธอเลยนะ? เขาพูดพลางนาบมีดเปื้อนเลือดลงไปบนแก้มของเธอ
?อย่า! อย่า...ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ!? เธอร้องไห้เสียงแหบด้วยความเจ็บปวดเหมือนร่างจะแตกสลาย ?ไม่ว่าฉันจะเคยทำอะไรไว้กับคุณ ฉันต้องขอโทษด้วย ขอโทษ!?
?อ้อ เธอไม่เคยทำอะไรไว้กับฉันหรอก ไม่ต้องสำนึกผิดขนาดนั้น? เขาค้อมตัวลงจนติดหน้าผากของเธอและเข้าใกล้กล้องด้วย ?เธอตัวสั่นมากเลยนะ กลัวเหรอ?
หญิงสาวหลับตาแน่น ใครก็ได้มาช่วยเธอที! ขอร้องล่ะ ใครสักคนมาช่วยหน่อย!
?ปล่อยฉันไป! ฉันต้องไปแล้ว ถ้าฉันยังไม่ไปอีกเดี๋ยวต้องมีคนมาตามหาฉันแน่ ต้องมีคน...อ๊า!? เธอพูดถึงครึ่งหนึ่งจู่ๆ ก็ถูกดึงตัวขึ้นมา
ผู้ชายย่อเอว ลากมีดผ่านเชือกที่อยู่ระหว่างสองขาของเธอเพื่อปล่อยเธอ
?เอ๋?? เธอมองผู้ชายที่อยู่ข้างกายอย่างอึ้งๆ ตอนนี้ขาข้างขวาของเธอถูกย้อมด้วยเลือดจนแดงไปหมดแล้ว
?ไปเถอะ!? ผู้ชายถอยไปก้าวหนึ่ง เขาเสยผมอย่างเท่
หญิงสาวขยับไปทางกล้องก้าวหนึ่งด้วยความตะลึงงัน แล้วก็ขยับก้าวที่สอง ขาของเธอเจ็บมาก ถ้าต้องวิ่งจริงๆ คงวิ่งไม่เร็วนัก ยิ่งไปกว่านั้นสองมือของเธอก็ยังถูกมัดอยู่ เธอไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้กำลังเล่นอะไร แต่วิ่งได้ก็ต้องวิ่งสิ!
หญิงสาวรีบหันกายจะวิ่งกะเผลกออกไป ภาพที่กล้องจับอยู่เหลือเพียงผู้ชายที่ตัวเปื้อนเลือด
เขาควงมีดเล่นแล้วก็หัวเราะเสียงต่ำ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เลนส์กล้อง .ึ้นในดวงตา
?เกมเริ่มต้นแล้ว?
วินาทีต่อมาเขาก็หันกายก้าวออกจากระยะกล้อง
?อ๊า...คุณจะทำอะไร! ปล่อยฉัน! อ๊า!? กล้องจับภาพเพียงเก้าอี้ตัวนั้น แต่ก็ยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องมาจากที่ไกลๆ ?ช่วยด้วย! ช่วยด้วย...อ๊า!?
จากนั้นก็เป็นเสียงอะไรบางอย่างกระแทก ไม่นานเงาร่างของหญิงสาวก็ถูกโยนเข้ามา ตัวเธอกระแทกพื้นอย่างแรงและยังกระแทกโดนเก้าอี้ด้วย
เธอเจ็บปวดจนตัวงอ ตอนที่กระแทกพื้นแผลที่แขนขวาของเธอก็เจ็บยิ่งขึ้นอีก แต่ความตั้งใจที่จะเอาชีวิตรอดทำให้เธอพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้น ผู้ชายที่เดินเข้ามาอย่างเหนื่อยหน่ายถีบไปที่หน้าอกของเธอ จากนั้นก็เตะเก้าอี้ที่เกะกะขวางทางออกไป
?อ๊า!? หญิงสาวที่ถูกเตะล้มกลับลงไปนอนบนพื้นอีกครั้ง ผู้ชายลากเธอถอยหลังไปสองสามนิ้ว เหนือพื้นที่ตรงนั้นมีกล้องอีกตัวติดตั้งเอาไว้ ต้องถ่ายให้ติดสิถึงจะใช้ได้
จากนั้นเขาก็ใช้สองเท้าเหยียบและนั่งลงบนร่างของหญิงสาว
หญิงสาวผมกระเซอะกระเซิง น้ำตาผสมมาสคาร่าสีดำไหลเลอะใบหน้า เธอร้องไห้อย่างเสียขวัญ แต่มันก็เป็นเพียงเสียงสะท้อนไปมาในสตูดิโอนี้เท่านั้น
?คุณจะทำอะไรกันแน่!? เธอกรีดเสียงเหมือนคนเสียสติ
?เธอควรจะขอร้องฉันสิ!? จู่ๆ เขาก็ตะคอก มือซ้ายบีบคอเธอเอาไว้ ?เวลานี้เธอต้องร้องขอความเมตตา เธอต้องขอร้องอ้อนวอนฉันอย่างน่าเวทนาที่สุด!?
?อย่า...? เธอเบิกตาโพลงมองเขา นี่เขากำลังจะทำให้ละครกลายเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ?โรคจิต! คุณคิดว่าคุณทำอะไรอยู่ คุณมันบ้าไปแล้ว!?
?หุบปาก!? มือขวาของผู้ชายกำมีดแน่น ?รีบอ้อนวอนฉันสิ!?
?ปล่อยฉัน! ไอ้โรคจิต โรคจิต โรคจิต...?
ผู้ชายกำมีดแทงลงไปบนร่างของหญิงสาวอย่างแรง!
เธออ้าปากกว้างหายใจไม่ทัน ผู้ชายทำเหมือนกำลังฆ่าหนู เขาแทงร่างของเธออย่างบ้าคลั่งจนเป็นแผลนับไม่ถ้วน ร่างของเธอบิดเร่ารุนแรง เธอดิ้นรนพยายามเอาสองมือออกจากพันธนาการเพื่อผลักเขาออกอย่างสุดชีวิต แต่การดิ้นรนก็น้อยลงเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งของการแทงที่เพิ่มขึ้น
ในที่สุดเขาก็หยุดการกระทำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง มันเปลืองแรงเขาไม่น้อย ผู้ชายมองมีดเปื้อนเลือดแดงฉานแล้วก็มองหญิงสาว เขาไม่ลืมหรอกว่าจะแทงถูกจุดสำคัญไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเขายังไม่ได้แสดงฉากที่สำคัญที่สุด
ผู้ชายตัดเชือกที่อยู่บนข้อมือหญิงสาว จากนั้นก็ปล่อยมีดในมือทิ้งไป
แก๊ง...มีดตกลงด้านซ้ายข้างกายหญิงสาว เธอรู้สึกราวกับได้ยินเสียงละครบทสุดท้ายของชีวิตดังขึ้นข้างหู น้ำตาทำให้ทัศนวิสัยพร่าเลือน เธอรู้ฉากต่อจากมีดหล่นลงพื้นเป็นอย่างดี เกรงว่าเธอจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้เสียแล้ว
มือใหญ่ร้อนจัดคว้าคอของเธอเอาไว้ ผู้ชายบีบคอเธออย่างแรง
?อา...? หญิงสาวยกสองมือที่อ่อนแรงของเธอขึ้นคว้าตรงคอของตน เธอจะคว้ามือของผู้ชาย ต่อให้ทั้งร่างถูกแทงจนพรุน ความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอดก็ยังบังคับควบคุมการกระทำของเธออยู่
เจ็บชะมัด...เธอหายใจไม่ออกแล้ว! ช่วยด้วย...ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย! นี่มันแค่การแสดงเท่านั้นไม่ใช่หรือไง!
สองมือสองเท้าใช้ได้อย่างอิสระแต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้ชายสะทกสะท้านได้แม้แต่น้อย เขายังคงบีบคอเธอเอาไว้แน่น กระทั่งมือของเธออ่อนแรงตกลงบนพื้น สองตาที่เบิกโพลงนั้นไม่อาจกะพริบได้อีก
?ฮู....ฮู...? ในที่สุดผู้ชายก็ปล่อยมือ เขามองสองมือที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดอย่างสั่นๆ และเชื่องช้าก่อนจะมองหญิงสาวอย่างหมดแรง
สวรรค์ เหนื่อยชะมัด...ที่แท้ฆ่าใครสักคนมันเหนื่อยขนาดนี้นี่เอง
แต่ว่าเขารู้แล้ว! ความรู้สึกเวลาที่ฆ่าคน ความรู้สึกยามแทงมีดลงไปในร่าง การดิ้นรนของคนเวลาที่ถูกฆ่า หรือแม้แต่การไหลผ่านของชีวิต ทั้งหมดนั้นเขาได้สัมผัสมันแล้ว
?ฮ่าๆ...ฮ่าๆๆๆ!? เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางมองไฟสีแดงตรงหน้าที่เป็นสิ่งบอกว่ากำลังถ่ายทำอยู่ จากนั้นก็มองกล้องอย่างยินดีแล้วเอ่ย ?ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว! ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว!?
วินาทีต่อมาเขาก็เงยหน้าขึ้นมองกล้องตัวที่อยู่ด้านบน ?ฉันรู้แล้วว่าความรู้สึกเวลาฆ่าคนมันเป็นยังไง! ฉันรู้แล้วว่าจะต้องแสดงยังไง...คัท!?




บทที่ 1
สถานที่ถ่ายทำที่ละเมิดกฎ

คนทั้งกลุ่มเดินตามพี่เฉียงซึ่งเป็นผู้นำทางเข้าไปในกองถ่ายอันลึกลับ อินเจวี๋ยถิงมองไปรอบๆ อย่างสุขุม เขามองว่าการทำหนังทำละครสักเรื่องต้องใช้คนทำงานมากเท่าไร บริเวณโดยรอบมีป้ายติดเอาไว้ทุกที่เพื่อบอกว่าสตูดิโอนี้มีใครใช้อยู่หรือว่ารถตู้คันไหนเป็นของดาราคนไหน
อินเจวี๋ยถิงก้มตัวลงเพื่อลงทะเบียน งานนี้เป็นงานภาคบังคับ หน้าที่ของเขาคือเป็นผู้ช่วย หรือพูดอีกอย่างก็คือทำทุกอย่าง ในกองถ่ายมักจะต้องการพวกผู้ช่วยที่คอยช่วยทำเรื่องจิปาถะเสมอ
เมื่อเดินเข้ามาในสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ?หุ่นเชิดต้องมนตร์? อินเจวี๋ยถิงก็ตั้งสติทันที เขาต้องเพียรพยายามอย่างยากลำบากไม่น้อยกว่าจะเข้ามาที่นี่ได้ เพียงเพื่อจะพบคนคนหนึ่ง
ระยะหลังมานี้มีคนเปิดคอมมิวนิตี้ครอบครัวผู้เสียหายขึ้นในเฟซบุ๊กและใช้ประโยชน์จากความเศร้าโศกโกรธแค้นของคนในครอบครัวผู้เสียหาย โดยการมอบยันต์เรียกวิญญาณให้คนเหล่านั้น แต่หลอกคนเหล่านั้นว่าเป็นยันต์สำหรับปลอบประโลมวิญญาณ ขณะที่คนในครอบครัวผู้เสียหายใช้ยันต์นั้นโดยคิดว่าตนกำลังปลอบประโลมคนตาย ในความเป็นจริงก็จะกลายเป็นการเรียกวิญญาณคนตายให้กลับมา วิญญาณเหล่านั้นจะตอบสนองต่อความคิดและความโกรธแค้นของคนในครอบครัวเพื่อไปจัดการกับคนที่คนในครอบครัวของเขาคิดว่า ?เป็นคนที่สมควรจะต้องชดใช้นอกเหนือกฎหมาย?
นักข่าว ผู้พิพากษา หรือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ขอเพียงเป็นคนที่คนในครอบครัวเคียดแค้น ผู้ตายก็จะโจมตีทั้งหมด...เพียงแต่คนในครอบครัวเหล่านั้นไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นคนเรียกวิญญาณผู้ตายมาเอง
ครั้งแรกเขาไปพบเข้าโดยบังเอิญ อินเจวี๋ยถิงกับเพื่อนร่วมบ้านอย่างเหลียงรั่วซีไปเข้าร่วมทริปเที่ยวชมโบราณสถานอะไรสักอย่างแล้วก็เกิดเรื่องวุ่นวายแตกตื่นกันยกใหญ่ ทุกคนตกอยู่ในอันตราย ครั้งที่สองคืองานวันสถาปนาโรงเรียนของเพื่อนนักเรียนของเหลียงรั่วซี ผลคือมีนักเรียนหลายคนตาย ไม่ว่าคิดอย่างไรเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลจึงเริ่มลงมือสืบ ผู้ดูแลคอมมิวนิตี้อย่างรุคก็ทำอะไรชัดเจนโดยส่งสารท้ารบมาตรงๆ เขาเชิญอินเจวี๋ยถิงให้เข้าร่วมงานพบปะแฟนการ์ตูน การไปครั้งนี้เขาต้องเจอกับความสยดสยองและรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด พวกเขาข้ามผ่านวิกฤตมาได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องสูญเสียชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์หลายชีวิตที่นั่นเช่นกัน
คราวที่แล้วครอบครัวผู้เสียหายที่เป็นผู้เรียกวิญญาณมาเสียชีวิตไปอย่างไม่คาดฝัน ก่อนตายเธอบอกตัวตนของรุคให้พวกเขารู้...ซึ่งคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่รวยระดับประเทศ ต่งเซิงหาว!
แม้จะเป็นคนดัง แต่หลังจากลูกสาวของเขาเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนคนคนนี้ก็แทบจะหายตัวไปจากสายตาของทุกคน เขาไม่โผล่หน้าออกมาแม้แต่น้อย แม้แต่จะลองนัดหมายล่วงหน้าเพื่อไปหาถึงบริษัทก็ไม่มีประโยชน์ โชคดีที่ภาพยนตร์ที่เขาลงทุนสร้างกำลังจะเปิดกล้อง อินเจวี๋ยถิงคิดหาวิธีไหว้วานคนให้วางบทตัวประกอบเอาไว้ให้เขาเพราะคิดว่าบางทีนายทุนสร้างหนังอาจจะมาเยี่ยมเยือนกองถ่ายก็ได้ ไม่แน่หรอก
เพียงแต่บทตัวประกอบผู้ชายมันไม่มีแล้ว เหลือก็แต่งานผู้ช่วยจิปาถะนี่แหละ
?ขอผ่านหน่อย!? เสียงดังสดใสตะโกนอยู่ด้านหลัง
คนหลายสิบที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ไม่ได้หันไปมอง พวกเขาขยับหลีกทางให้โดยอัตโนมัติเหมือนเป็นเรื่องปกติเพื่อให้คนที่กำลังขนย้ายเครื่องมือขนาดใหญ่ขับรถไฟฟ้าขนาดเล็กผ่านไป
?ถ้าเห็นเขาขนย้ายเครื่องมือก็ต้องระวังด้วยล่ะ แล้วก็พวกเครนกล้องด้วย ยังไงถ้าไม่มีธุระก็ไม่ต้องเข้าไปใกล้สถานที่ถ่ายทำหรอก? พี่เฉียงที่สวมหมวกอยู่นำผู้ชายทั้งกลุ่มเดินหน้าต่อไป ?บนพื้นน่ะบนพื้น! ระวังพวกสายไฟด้วย อย่าไปสะดุดเข้าล่ะ?
อินเจวี๋ยถิงรีบยกเท้าสูง สายไฟบนพื้นพันกันยุ่งเหยิงไปหมด
อย่าว่าแต่บนพื้นเลย เมื่อเขาเดินเข้าไปในสตูดิโอกว้างใหญ่ พวกกล้อง ไฟ เครื่องมือต่างๆ มีมากมายจนตาลายไปหมด คนทำงานก็มาก เดินกันขวักไขว่วุ่นวาย ไม่มีหยุดพักสักชั่วขณะเดียว
?นายคนนั้นน่ะ? จู่ๆ พี่เฉียงก็ชี้มาทางเขา ?ชื่ออะไร?
?ผมชื่อ...อาถิงครับ? เพื่อหลีกเลี่ยงชื่อที่ทั้งอ่านยากเขียนยากของตัวเอง อินเจวี๋ยถิงจึงทำให้มันง่ายขึ้น
?เอาละ อาถิง! ฉันว่างานหนักหยาบกระด้างแบบนี้นายคงไม่ค่อยไหว? พี่เฉียงพูดตรงสุดๆ ?ไม่ได้บอกว่านายอ่อนแอนะ แต่บางอย่างมันก็ต้องใช้แรงมากจริงๆ?
?ผมก็แรงไม่น้อยนะครับ? อินเจวี๋ยถิงเอ่ยอย่างเกรงใจ ทั้งยังยกแขนขึ้นมาเบ่งกล้ามไบเซปส์ให้ดูด้วย
?ดูท่านายจะฉลาดไม่เบา ทำพวกบังคับเครื่องต่างๆ ก็พอ? พี่เฉียงเดินไปด้านหลังแล้วตบอกที่มีกล้ามสวยงามแบบผู้ชายแมนๆ อย่างแท้จริง ?เรื่องยกของหนักคงต้องให้เป็นหน้าที่นายแล้ว พวกยกข้าวกล่องอะไรอย่างนี้ก็อย่าลืมไปช่วยเยอะๆ ล่ะ?
?ไม่มีปัญหาครับ!? ผู้ชายคนนั้นตบอกตัวเองอย่างภาคภูมิ เดิมเขาก็ใช้แรงกายทำงานแลกเงินอยู่แล้ว
พี่เฉียงหันมามองอินเจวี๋ยถิง คนที่ปกติก็หน้าตาดีอยู่แล้วอย่างเขาคราวนี้สวมแว่นตาจึงยิ่งดูภูมิฐานขึ้นไปอีก เมื่อรวมกับเสื้อไหมพรมตัวหลวมสำหรับฤดูหนาวก็ยิ่งดูค่อนข้างอ่อนแอเหมือนจะปลิวตามลม
?พ่อหนุ่ม เรื่องจิปาถะน่ะยกให้นายแล้วกันนะ! เรื่องหนักๆ ฉันทำเอง? ผู้ชายคนนั้นเอ่ยอย่างอารี ?ว่างๆ ก็ออกกำลังกายฝึกฝนร่างกายหน่อยล่ะ!?
อินเจวี๋ยถิงหัวเราะแห้งๆ แล้วก็พยักหน้า ในใจนั้นอดถอนหายใจไม่ได้...เขาก็ฝึกฝนร่างกายอยู่นะ คนพวกนี้ควรจะไปดูตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนดีกว่า นั่นสิถึงจะเรียกว่าอ่อนแอ
หลายปีมานี้ไม่ว่าอะไรเขาก็ฝึกฝนทั้งหมด ทั้งฝึกพลังวิญญาณ ฝึกถือศีลทำสมาธิ ร่างกายเขาก็ฝึกฝนไปพร้อมกันนั่นแหละโอเคไหม! เขาก็แค่ไม่ได้ฝึกฝนร่างกายจนโอเวอร์ขนาดนั้นเท่านั้นเอง ร่างกายแข็งแรงจิตใจแข็งแกร่งก็พอแล้ว
?พี่เฉียง!? ในสตูดิโอกว้างขวางเพดานสูงแห่งนี้ มีคนคนหนึ่งยืนจับราวเหล็กอยู่บนชั้นสองแล้วตะโกนลงมา ?ลูกมือตรงนั้นจำนวนแน่นอนรึยัง?
?แน่นอนแล้ว วันนี้มาใหม่สามคน เปลี่ยนกะได้เลย? พี่เฉียงเงยหน้าขึ้นตะโกน ?ลูกมือน่าจะพอแล้วล่ะ!?
?งั้นก็ดี วันนี้ตอนบ่ายต้องเปิดกล้องแล้ว?
?ดี!?
อินเจวี๋ยถิงมองระเบียงชั้นสองและชั้นสาม ที่นี่สร้างแบบโปร่งสินะ พื้นที่ตรงกลางนี้เป็นพื้นที่ว่างเพดานสูง ชั้นสองสามสี่ล้อมพื้นที่ตรงกลางนี้เอาไว้ โดยราวระเบียงแต่ละชั้นเป็นรูป ? ที่กว้างเพียงหนึ่งเมตร ถ้าไม่ระวังจะลอดผ่านจนร่วงลงไปได้ คงจะทำเอาไว้เพื่อให้สะดวกเวลาขนย้ายสิ่งของล่ะมั้ง แต่นี่มันอันตรายมากจริงๆ จะไปลื่นอยู่ตรงราวระเบียงไม่ได้เด็ดขาด
ภาพยนตร์เรื่องหุ่นเชิดต้องมนตร์ที่จะเปิดกล้องวันนี้คึกคักไม่ธรรมดาทีเดียว สตาฟทุกคนมาถึงหมดแล้ว คนตีสเลทกับคนคุมไฟก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวแต่เช้า แม้ว่าฉากที่ถ่ายทำวันแรกจะไม่มาก แต่ก็ต้องเตรียมทุกอย่างอย่างเหมาะสม อินเจวี๋ยถิงยืนอยู่ในสตูดิโอ ในนี้ถูกเซตฉากเป็นโรงพยาบาล กลางสตูดิโอนั้นไม่เพียงมีประตู มีเคาน์เตอร์สอบถามอาการของพยาบาล แต่ยังมีลิฟต์อีกด้วย เรียกได้ว่าสมจริงเป็นอย่างมาก
?มา! พวกพยาบาล!? มีคนยืนตะโกนอยู่อีกด้านหนึ่ง อินเจวี๋ยถิงหันไปมอง
สาวๆ สวมชุดพยาบาลเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้นยินดีและใจจดใจจ่อ หญิงสาวเหล่านั้นมีประมาณสิบกว่าคน เป็นตัวประกอบทั้งหมด พวกเธอจะเป็นแบ็กกราวด์ให้กับฉากทั้งหมด อย่างไรเสียภาพยนตร์เรื่องนี้ฉากส่วนใหญ่ก็คือโรงพยาบาล จึงมักจะต้องมีแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยเข้าฉากอยู่ด้วย
หญิงสาวร่างผอมบางคนหนึ่งดูโดดเด่นกว่าคนอื่น อินเจวี๋ยถิงมองปราดเดียวก็เห็น แต่ไม่ใช่เพราะว่าเธอทั้งสวยทั้งโดดเด่นสะดุดตา ไม่ใช่เพราะเรื่องความสูงของเธอซึ่งเป็นเรื่องรองลงมา แต่เป็นเพราะในบรรดาตัวประกอบทั้งหลายมีแค่เธอคนเดียวที่กำลังกินอะไรอยู่
พอแทะสนิกเกอร์สอยู่แบบนี้ เหลียงรั่วซีก็ดูแปลกที่เหมือนคุณยายหลิวชมสวน ไม่มีผิด
?นี่เธอ...เหลียงรั่วซี! เธอยังจะกินอีกเหรอ? ผู้ช่วยอดไม่ไหวต้องตะโกนออกมา ?นี่เธอเข้าใจหน้าที่ของตัวเองไหมเนี่ย?
?เข้าใจสิคะ? เหลียงรั่วซีทำหน้าใสซื่อ
จุ๊ๆ อินเจวี๋ยถิงชื่นชมอยู่ในใจ ตัวประกอบมากมายขนาดนี้แต่แป๊บเดียวผู้ช่วยก็จำชื่อเธอได้แม่นแล้ว ดูท่าตั้งแต่ลงทะเบียนจนถึงตอนนี้เธอคงจะกินมาตลอดสินะ
กระเพาะหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง แม้แต่มาทำงานก็ยังเอาขนมมาเต็มกระเป๋าเป้แบบที่จะทำให้คนเขาจำได้แม่นแน่ๆ
แต่เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ เหลียงรั่วซีอยู่ในสภาวะหิวตลอดเวลา ไม่ว่ากินอย่างไรก็ไม่อิ่ม ปัจจัยสำคัญก็อยู่ที่ว่าอาหารของโลกมนุษย์ไม่อาจทำให้เธออิ่มได้ มีเพียงจิตชั่วร้ายในโลกแห่งความตายเท่านั้นจึงจะเป็นอาหารหลักของเธอและหยุดความหิวของเธอได้อย่างแท้จริง
เหลียงรั่วซีที่เกิดในตระกูลผู้ใช้อาคมนั้นมีคุณย่าทวดที่มีพลังวิญญาณกล้าแข็ง ตอนเธออายุสิบห้าเธอควรจะต้องเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะป่วยหนักแต่ก็ได้รับการช่วยเหลือ ยืดชีวิตของเธอฝืนชะตาฟ้าลิขิต ด้วยเหตุนี้ทำให้ร่างกายของเธอเปลี่ยนแปลง อาหารในโลกมนุษย์ไม่อาจสนองความต้องการของเธอได้อีก กินได้แต่ไม่ทำให้อิ่มอย่างแท้จริง แต่จิตชั่วร้ายหรือจิตปีศาจต่างหากที่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเธอ อย่างเช่นไม่ว่าเธอจะกินหม้อไฟมากแค่ไหนก็ไม่เท่ากับการกินจิตชั่วร้ายหนึ่งมื้อ
เธอไม่รู้ว่าเธอต้องกินจิตชั่วร้ายเป็นอาหาร โดยพื้นฐานแล้วเพราะร่างกายเป็นอย่างนี้เธอจึงจำต้องเรียนเองอยู่ที่บ้าน เด็กนักเรียนมัธยมปลายอายุแค่สิบเจ็ดปีเช่นนี้ เกรงว่าใจจะรับความจริงไม่ได้เรื่องที่ตนต้องกินจิตชั่วร้ายเป็นอาหาร ดังนั้นคนที่รู้เรื่องดีจึงจำต้องปิดบังเอาไว้ สำหรับเรื่องว่าทำไมเขาถึงรู้นั้น...ก็เพราะเขาเป็นผู้ที่สามารถให้อาหารเธอได้พอดี
อืม ระหว่างเขากับเหลียงรั่วซีก็ถือเป็นคนร่วมบ้านกัน แล้วก็มีความสัมพันธ์แบบอยู่ในห่วงโซ่อาหารเดียวกันด้วย ร่างกายของเขาจะผลิตจิตชั่วร้ายออกมาไม่หยุดหย่อนทุกวัน แม้จะเป็นเรื่องที่เขาไม่เต็มใจแต่มันก็ทำให้ยืดชีวิตตนเองออกไปได้ ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นแหล่งอาหารแบบบุฟเฟต์ไม่จำกัดจำนวนให้เหลียงรั่วซีได้อิ่มท้อง
เธอจะกินจิตชั่วร้ายจนหมดจดและมันก็เท่ากับช่วยเขากำจัดความรู้สึกไม่สบายตัวด้วย ความสัมพันธ์ที่ร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบนี้ยากจะหาได้ เพียงแต่คนนอกไม่รู้ สิ่งที่เห็นก็มีเพียงหญิงสาวร่างผอมบางคนหนึ่งที่มีกระเพาะหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง ไม่ว่าเวลาไหนก็เอาแต่กินๆๆ
?อย่าทำให้เสื้อผ้าเลอะล่ะ!? น้ำเสียงของผู้ช่วยไม่พอใจนัก
?ไม่หรอกค่ะ!? เหลียงรั่วซียู่ปาก
ไม่เลอะก็แปลกแล้ว อินเจวี๋ยถิงค้านในใจเงียบๆ เขาบอกให้เธอพกทิชชูเปียกไว้กับตัวแล้ว คนเราต้องรู้ตัวเองดีที่สุดสิ
?ไปหาที่นั่งข้างๆ เถอะ ตอนนี้พวกเรายังไม่ยุ่งเท่าไร? พี่เฉียงเดินมาบอกแล้วก็ชี้ไปตรงมุม ?จะออกไปพักข้างนอกก็ได้นะ แค่ไม่ขวางทางคนอื่นก็พอ?
คนสองสามคนหาที่นั่ง อินเจวี๋ยถิงจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไปได้อย่างไร วันนี้มีพิธีเปิดกล้อง ต่งเซิงหาวอาจจะมาร่วมงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ก็ได้ เขาจะต้องทำความคุ้นเคยกับที่นี่เสียก่อน






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปีศาจดาราฆาตกร เป็นภาพยนตร์ซึ่งสร้างขึ้นจากเรื่องจริง โดยมีเหล่านักแสดงที่ยังไม่เด่นดังหลายคนร่วมแสดง และมีนักแสดงหญิงคนหนึ่งถูกฆาตกรรมจริงๆ ตามบทที่เขียนไว้ หลังจากนั้นห้าปีนักแสดงที่เหลือต่างโด่งดังกันหมด แม้กระทั่งผู้กำกับก็มีชื่อเสียง พวกเขาจึงถูกเรียกกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่องใหม่ ทว่าผู้กำกับกลับไม่ใส่ใจการทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงในวันเปิดกล้อง สถานที่ถ่ายทำจึงมีเรื่องประหลาดเกี่ยวกับวิญญาณเกิดขึ้นเรื่อยๆ น้ำเปล่าในแก้วกลายเป็นสีแดงเลือด ห้องน้ำที่ไม่มีคนอยู่มีเสียงกดชักโครก ลิฟต์ประกอบฉากหล่นลงมาโดยไม่มีสาเหตุ ทุกครั้งก่อนเกิดเรื่องจะมีคนเห็นหญิงสาวร่างโชกเลือดปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ถ่ายทำ ทำให้ทุกคนต่างหวาดผวาและคิดว่าคงไปล่วงเกินใครเข้าแล้ว พวกเขาจึงรีบทำพิธีบวงสรวงกันใหม่ แต่ไม่คิดว่าสถานการณ์กลับยิ่งแย่ลงไปอีก บรรดานักแสดงทยอยตายอย่างน่าสยดสยองกันไปทีละคนๆ ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ ผีสาวตนนั้นตะคอกไม่หยุดว่า...?พวกแกฆ่าฉัน...พวกแกนั่นแหละที่ร่วมมือกันฆ่าฉัน!?

ผีร้ายออกมาอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดเพราะคลุ้มคลั่ง หรือแท้ที่จริงมันถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าทุกคนจะต้องตาย?



รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”