New Release BLY แปล : กรุ่นกลิ่นอายในสายฝน

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : กรุ่นกลิ่นอายในสายฝน

โพสต์ โดย Gals »

ผมนึกถึงเสียงฝน
กลิ่นของสายฝน และกลิ่นหอมนั้น
ไม่อาจลืมวันนั้นที่ฝนพร่างพรำ

บางอย่างส่งกลิ่นหอม
ผมหยุดฝีเท้า หันมองโดยอัตโนมัติ ร่างผอมบางนอนอยู่หน้าประตูทางเข้าแคบๆ แขนขาเพรียวแผ่หลาอยู่ตรงนั้นอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับเป็นส่วนเกิน ใบหูสีแดงก่ำโผล่พ้นเรือนผมเป็นลอนเล็กน้อยที่เปียกชุ่ม เจ้าตัวไร้วี่แววว่าจะลืมตาตื่น
ชายผู้สูงวัยกว่าผมสามปีนอนหลับอย่างไร้หนทางป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง
เสียงฝนดังมาจากอีกฝั่งของประตู อากาศยามค่ำคืนเยียบเย็นแฝงด้วยความชื้น แขนเปลือยเปล่าเปียกฝนจนเย็น ทว่าปลายนิ้วกลับรุ่มร้อน พอลองใช้ปลายนิ้วแตะใบหูก็พบว่าร้อนเช่นกัน ผมอาจเป็นหวัดเข้าเสียแล้ว หรืออาจเป็นเพราะแบกเขาคนนี้ขึ้นหลัง ความร้อนในร่างกายของเขาจึงถ่ายเทมาถึงผม หรือว่าเป็นเพราะถ้อยคำที่ได้ยินยังคงหลงเหลืออยู่ที่ใบหูกันแน่หนอ
(...แค่คำพูดเหลวไหลของคนเมาเท่านั้นเอง)
แต่ส่วนลึกในใจกลับร่ำร้อง ราวกับว่าบางอย่างกำลังร่ำร้องอยู่ในอกมาตลอดนับจากได้ยินถ้อยคำนั้น เพียงแต่ผมเพิ่งรู้สึกตัวเอาป่านนี้เท่านั้นเอง หัวใจกำลังลั่นโครมครามรุนแรง
พอเสยผมที่เปียกชุ่มจนติดแก้มขึ้นเพื่อกลบเกลื่อน หยดน้ำก็ร่วงลงจากเส้นผมด้านหน้าก่อนจะไหลไปตามแก้ม ผมมองตาม เห็นหยดน้ำร่วงลงบนข้อเท้าบางของคนที่นอนอยู่ ข้อเท้าที่โผล่ออกมาจากกางเกงขาสั้นดูขาวผ่องเมื่ออยู่บนทางเดินมืดสลัวจนดึงดูดสายตา
ผมกำมือแน่นคล้ายกับจะปรามหัวใจที่เต้นโครมคราม
(...นี่เรา)
ทำอะไรอยู่เนี่ย แค่มาส่งคนเมาคนนี้เพราะรุ่นพี่คนอื่นขอร้องมาเท่านั้นเอง น่าจะรีบกลับไปซะ ถือการกระทำของคนเมาเป็นจริงเป็นจังไปก็ไร้ความหมาย เรื่องนี้หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ราวๆ สามเดือนก็รู้ซึ้งแล้ว
ผมถูใบหู หมุนตัว ก่อนจะชะงักงัน
...กลิ่นอะไร
กลิ่นหอมปะปนอยู่ท่ามกลางกลิ่นฝนเข้มข้น แม้เป็นกลิ่นอ่อนจาง แต่ความที่เป็นคนจมูกไว ผมจึงยิ่งนึกสนใจเป็นพิเศษ กลิ่นหอมนั้นล่องลอยราวกับจะรั้งตัวผมเอาไว้
ผมค่อยๆ ปล่อยมือจากลูกบิด หันหลังให้ประตูก่อนจะหลับตาลง เสียงฝนที่ดังแว่วมารุนแรงยิ่งขึ้น ทว่าตรงนี้เงียบสงัด ผมสูดกลิ่น กลิ่นหอมนั้นใช่ว่าจะน่ารังเกียจ กลับกันแล้วผมออกจะชอบด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่กลิ่นเหล้า เป็นกลิ่นหอมที่ผมไม่รู้จัก แต่กลับไม่รู้สึกไม่คุ้นเคย กลิ่นนั้นคล้ายจะเป็นกลิ่นดอกไม้ แต่ก็ต่างออกไปนิดหน่อย
เมื่อตั้งสมาธิดมกลิ่น ภาพของฤดูใบไม้ผลิจึงค่อยๆ ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
ทั้งกลิ่นฉุนของต้นหญ้ากับสายลมที่พัดผ่านท้องทุ่งจนชวนสำลัก และฝูงปลาที่แหวกว่ายในบ่อน้ำซึ่งสะท้อนภาพฟ้าครามจนผิวน้ำกระจายเป็นวงกว้าง
ผมลืมตาไล่ภาพที่แล่นผ่านมาในสมองออกไป ท่ามกลางเสียงฝนพรำ ผมเลื่อนสายตาไปยังคนที่หลับอยู่บนพื้นโดยอัตโนมัติ
(อย่างเช่น)
ราวกับเขาคนนี้
ผมสับสนที่รู้สึกแบบนั้นกับคนที่ไม่รู้จักกันดีนัก ถึงอย่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีกลิ่นหอมอาจมาจากตัวเขาคนนี้ก็ได้ ทว่ามันไม่มีทางเป็นอย่างนั้น เพราะตอนที่แบกอีกฝ่ายขึ้นหลัง ผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นเลยแม้แต่น้อย
สายตาของผมมองเห็นเงาวูบไหวอยู่เหนือร่างผอมบาง คงมีแสงไฟอยู่ตรงไหนสักแห่ง ผมโน้มตัวเข้าหาพื้นที่เต็มไปด้วยความชื้นราวกับโดนดึงดูดด้วยเงากระเพื่อม กลิ่นหอมโชยกรุ่นขึ้นเล็กน้อย ได้ยินเสียงเฉอะแฉะไม่น่าพิศมัยดังมาจากรองเท้า
(เขาคนนี้ก็คง)
เปียกปอนเหมือนกันสินะ ผมลูบข้อเท้าผอมบางที่เปียกชุ่ม ผิวนุ่มลื่นจนแทบดึงดูดเข้าไปนั้นร้อนผ่าว เขาเมาจนหลับไปแถมยังตากฝนอีก เผลอๆ อาจไข้ขึ้นก็ได้ ผมยื่นมือออกไปยิ่งขึ้นโดยมีข้ออ้างว่าเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ
น่องที่มือสัมผัสโดนนั้นทั้งแข็งและเพรียวราวกับต้นไม้อ่อน อาจเป็นเพราะความร้อนจากอุณหภูมิร่างกาย หยดน้ำที่ไหลผ่านปลายนิ้วจึงอุ่นขึ้น ท่ามกลางความมืดมิด ผมรับรู้เพียงอุณหภูมิจากร่างกายของเขาเท่านั้น พอลองจับชายกางเกงก็พบว่าเปียกชื้นอย่างที่คิด เข่าและต้นขาที่อยู่ใต้ร่มผ้าก็เปียกชื้นเช่นกัน
(ร้อน)
ร้อนเหลือเกิน
เสื้อยืดโปโลพื้นขาวลายจุดสีฟ้าอ่อนเปียกชุ่มจนแนบผิว เงาอ่อนจางทอดตัวอยู่บนนั้น ปลายนิ้วที่สัมผัสสะโพกออกแรงกดเล็กน้อย บริเวณนั้นทั้งแข็งและเปียกปอน กล้ามเนื้อไร้ไขมันส่วนเกิน เรือนร่างผอมไร้ส่วนโค้งมนนั้นเปราะบางจนแทบอยากจะหักทำลายไปซะ
คิดอะไรบ้าๆ ผ่านมาครู่ใหญ่กว่าผมจะตกใจกับความคิดของตัวเอง นิ้วที่ลูบไล้อีกฝ่ายขยับต่อ เอวบางนั้นลอยเหนือพื้นเล็กน้อย เสียงฝนรุนแรงยิ่งขึ้น ผมสอดมือเข้าไปยังช่องว่างระหว่างเอวกับพื้น แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มโชกเช่นกัน
ผมบีบเสื้ออีกฝ่าย หยดน้ำไหลรินมาตามปลายนิ้ว จากฝ่ามือมายังข้อมือ ของเหลวอุ่นๆ ไหลเรื่อยมาถึงเข่า ปลายนิ้วรู้สึกถึงความบอบบางของเอวและส่วนโค้งนูนของกระดูกบนแผ่นหลัง เงาวูบไหวเล็กน้อย
(...อ๊ะ)
กลิ่นหอมทวีความเข้มข้น
ราวกับจะตอกย้ำถึงตำแหน่งที่อยู่
ผมเขม้นมองก่อนจะพบกระป๋องเปิดฝาวางอยู่บนทางเดินใกล้กับเรือนผมเป็นลอน ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าศอกของตัวเองกระแทกเข้ากับชั้นวางของตอนที่วางอีกฝ่ายลงบนพื้น กระป๋องนั่นคงหล่นลงมาจากชั้น ใกล้ๆ กับกระป๋องมีของแข็งทรงกลมขนาดราวสองเซนติเมตรหล่นอยู่หลายชิ้น น่าจะเป็นของในกระป๋องนั่นเอง
(หรือว่า)
นั่นคือต้นกำเนิดของกลิ่นงั้นหรือ
ผมเผลอยื่นมือออกไป ทว่าความลังเลที่จะสัมผัสกับวัตถุที่ไม่รู้จักทำให้มือชะงักอยู่กลางอากาศ ของแข็งนั่นใช่ว่าจะเป็นลูกกลมๆ หน้าตาสวยงาม สีของมันเป็นสีเขียวหม่น เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมขยับตัวไปข้างหน้าเพราะอยากดูให้ชัดเจน
?...อืม?
จู่ๆ เสียงหวานก็ดังขึ้นใกล้ๆ ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น จากนั้นผมจึงสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังคร่อมอีกฝ่ายอยู่ เหงื่อเย็นๆ ไหลไปตามแผ่นหลัง พอคิดว่าขืนขยับตัวนิดเดียวอาจทำให้อีกฝ่ายตื่น ผมก็ไม่อาจเคลื่อนไหว ได้แต่จ้องมองรอยขมวดคิ้ว เปลือกตา และริมฝีปากที่ปิดอยู่ในระยะประชิดเท่านั้น
(...หน้าสวยชะมัด)
ทั้งที่คิดเพื่อหนีความจริง แต่หัวใจกลับยิ่งเต้นรุนแรงจนแทบพังทลาย ขณะที่ผมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้วพลางภาวนาให้อีกฝ่ายไม่ได้ยิน เสียงลมหายใจของเขาก็ค่อยๆ กลับสู่จังหวะสม่ำเสมอ ผมรู้สึกราวกับช่วงเวลานั้นนานแสนนานแม้ความจริงแล้วจะเป็นเพียงชั่วแวบเดียว ผมสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองเผลอถอนหายใจออกมา
แค่มีบางอย่างหล่นลงมาจากชั้นแล้วส่งกลิ่นหอมเท่านั้นเอง ถึงจะรู้สึกผิดที่ทำของหล่น แต่ผมก็เป็นคนพาเขามาถึงตรงนี้ คงไม่จำเป็นต้องเก็บก็ได้มั้ง ผมนึกข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
เพราะฉะนั้นรีบกลับดีกว่า
ใกล้เกินไปแล้ว
(กลับเถอะ)
ทั้งที่คิดอย่างนั้น สายตากลับไม่อาจละจากภาพตรงหน้า
ใบหน้าสวยได้รูป ดวงตาโต จมูกได้สัดส่วน ริมฝีปากใหญ่เล็กน้อย ทั้งหมดล้วนจัดวางอย่างลงตัว แก้มและหางตาที่กลายเป็นสีแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยเพิ่มความเย้ายวนยิ่งขึ้น คำพูดที่เคยได้ยินในงานสังสรรค์ว่าเขามีสาวๆ คบหาไม่เคยขาดคงไม่ใช่เรื่องโกหก
ระหว่างที่ผมแบกเขาที่เมาหลับไปขึ้นหลัง เขาพูดออกมาอย่างง่ายดายว่า ?ใจดีจัง? คำพูดนั้นทำให้ผมตกใจมาก เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลนั้นแทรกซึมเข้ามายังส่วนลึกในใจอย่างเป็นธรรมชาติจนผมเริ่มเข้าใจเหตุผลที่เขาเนื้อหอมขึ้นมา
(นี่เรา)
ไม่มีทางเด็ดขาด สมัยมัธยมปลายผมง่วนอยู่กับกิจกรรมชมรมจนไม่มีแฟนสักคน เดิมทีแล้วผมไม่ใช่พวกที่จะพูดจาทำนองนั้นกับพวกผู้หญิงได้ง่ายๆ อยู่แล้ว สาเหตุที่ผมมักหลุดปากพูดจาเสียดสีอาจเป็นเพราะอยากไล่คนที่เข้าหาออกไปก็ได้
?ปกติคุณเป็นฝ่ายไปส่งสาวๆ ไม่ใช่เหรอครับ?
ทำไมล่ะ เสียงง่วงงุนนั้นหยอกเย้าโพรงหู ไม่อยากให้เข้าใกล้มากกว่านี้เลย
?ผมเคยได้ยินว่าคุณมีคนรักอยู่ตลอด คงเก่งเรื่องความรักใช่ไหมล่ะ?
ผมนึกถึงคำพูดที่พวกผู้ชายคนอื่นๆ ซุบซิบกัน พอบอกออกไปเช่นนั้น เจ้าตัวก็ผุดยิ้มบางอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีวี่แววโกรธขึ้ง
...ผมน่ะ มีความรักไม่ได้หรอก
เสียงที่ดังอยู่ริมใบหูนั้นแสนอ้างว้าง เสียดแทงลึกลงในอก
(อา)
ในอกส่งเสียงโครมครามไม่หยุด พอลองถูกใบหูตัวเองก็ยิ่งพบว่าร้อนจนน่าตกใจ
(...ทำไม)
เราถึงพูดเรื่องแบบนั้นออกไปนะ
(ทำไม...)
เขาคนนี้ถึงพูดแบบนั้นออกมา ราวกับกำลังร้องไห้ ทั้งที่น้ำเสียงรวดร้าว แต่ลมหายใจกลับร้อนผ่าว
ผมยื่นมือออกไป
แก้มที่มือสัมผัสโดนนั้นเย็นกว่าที่คิด ผมลูบไล้ เสยเส้นผมเปียกปอนออกไป เส้นผมเป็นลอนพันเข้ากับปลายนิ้ว เสียงฝนที่ดังมาจากอีกด้านของบานประตูที่ปิดอยู่ดังก้องระเบียงทางเดินแคบๆ ที่นี่มีเพียงเราสองคน ขนตาของเขาขยับไหวอยู่ในระยะประชิด หยดน้ำไหลรินจากเส้นผมเรื่อยมายังหางตาก่อนจะร่วงหล่นลงไป
ผมวางมือขวาที่บรรจงเช็ดหยดน้ำลงบนพื้น พอปล่อยน้ำหนักไปยังแขนขวา ร่างกายก็กดลงกับพื้นเล็กน้อยจนพื้นส่งเสียงดังเอี๊ยด ลมหายใจของเขาเป่ารดริมฝีปากของผม เราอยู่ใกล้กันจนแทบสัมผัสโดน
ร้อน
เสียงกลืนน้ำลายดังก้องผิดปกติ ร่างกายผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างง่ายดายราวกับเป็นฝ่ายเมาเสียเอง ทั้งที่ผมไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักหยดแท้ๆ
ในงานดื่มสังสรรค์ของคณะมีนักศึกษารุ่นพี่ที่ผมไม่รู้จักอยู่มากมายเพราะชักชวนต่อๆ กันมา อาจเพราะผมดูไม่เหมือนเด็กปีหนึ่งจึงโดนชักชวนให้ดื่มเหล้า แต่ผมก็ปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่าเกิดต้นปีจึงอายุน้อยกว่าเพื่อน รุ่นพี่ผู้ร่าเริงถึงได้หายไปตามล่ารุ่นน้องคนอื่นต่อ ตอนนั้นเองที่ผมสบตากับเขาคนนั้น
...เกิดฤดูหนาวเหรอ?
นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา เสียงใสจนดึงดูดหัวใจ ผมพยักหน้าตอบเบาๆ อีกฝ่ายจึงคลี่ยิ้มงาม ทว่าดวงตากลับหม่นหมองเล็กน้อย
?หิมะตกรึเปล่า??
แปลกคน ผมคิดพลางจ้องมองด้วยความใคร่รู้ถึงความหมายของคำถามนั้น เขาบรรจงยกแก้วกระดาษขึ้นจรดริมฝีปาก ท่าทางแฝงความเย้ายวนเล็กน้อย ริมฝีปากนั้นแตะกับขอบแก้วบาง เงาอ่อนจางที่ทอดตัวบนลำคอผอมบางขยับขึ้นลง
?ได้ยินมาว่าเป็นช่วงที่ฝนกลายเป็นหิมะครับ?
สายตาของเราสบกัน ดวงตาโตหรี่ลงเล็กน้อย
?ผมชื่อยูกิแท้ๆ แต่ดันเกิดในฤดูร้อน เกิดในฤดูหนาวเนี่ยดีจัง?
เขาพึมพำอย่างอิจฉาพลางเขียนชื่อตัวเองในอากาศ นิ้วเคลื่อนไหวราวกับกำลังลูบไล้โลกใบนี้อย่างอ่อนโยน ผมไม่อาจละสายตาจากใบหน้าที่กำลังยิ้มเล็กน้อยนั่นได้เลย
รอยยิ้มงดงาม ทว่าเปราะบาง
บัดนี้เขาคนนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร
(...อ๊ะ)
แย่แล้ว
?!?
คนที่น่าจะกำลังหลับอยู่กลับลืมตาขึ้นมาดื้อๆ
เราสบตากันในระยะที่ใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดกันและกัน เขาดูเยือกเย็นจนไม่น่าเชื่อว่าเมาหลับไปจนถึงเมื่อครู่
เสียงหัวใจดังลั่นจนน่ารำคาญ เหงื่อเย็นเยียบไหลไปตามแผ่นหลัง ผมอ้าปากหมายจะเอ่ยคำขอโทษ แต่กลับไม่มีเสียงออกมา ทั้งที่แทบไม่ได้ยินเสียงฝนอีกต่อไป แต่ผมกลับได้ยินเสียงแผ่วเบาของเขาอย่างแจ่มชัด
?...ใคร??
ลูกกระเดือกบนลำคอผอมขาวขยับขึ้นลงจนเงาอ่อนจางวูบไหว เขาผละสายตาออกไป ดวงตาสีดำคู่โตเหม่อลอยเหมือนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันดีนัก
(ยังเมาอยู่สินะ)
ท่าทางของเขาทำให้ผมโล่งใจเล็กน้อย เพื่อนของเขาเคยหัวเราะพลางบอกว่าหากเขาเมาหลับไปแล้ว ความทรงจำจะหลุดลอยไปจนเกลี้ยง ต่อให้โยนทิ้งไว้ที่ระเบียงก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง
?.....?
?เอ๊ะ??
ผมเผลอขยับหูเข้าไปใกล้เพราะไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เราอยู่ใกล้กันจนผมมองเห็นลิ้นสีแดงภายในปากที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย
?คอแห้ง?
เสียงที่อ้อแอ้ด้วยความมึนเมานั้นจักจี้หู
?ดื่มน้ำไหมครับ??
ผมพยายามถามอย่างเยือกเย็นราวกับจะบอกว่าผมกำลังดูแลเขาอยู่ พยายามกลบเกลื่อนกับตนเองว่ากำลังดูแลเขาอยู่จริงๆ
?อยากกิน พีช?
?พีช??
ดวงตาคู่โตกะพริบแทนการตอบรับ จากนั้นริมฝีปากสีแดงจึงขยับพึมพำออกมาว่า ชอบ หัวใจผมดีดตัวแรงเมื่อได้ยินคำนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเป็นเสียงของใครกันแน่ จะว่าไปแล้วการอยู่ในท่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ผมสั่งให้ร่างกายรีบถอยออกมา แต่ร่างกายกลับไม่ยอมขยับ
ขยับไม่ได้
?แดงเชียว?
ความเย็นจากปลายนิ้วที่สัมผัสทำให้ผมรู้ตัวว่าแก้มตัวเองร้อนผ่าว ความรู้สึกวูบวาบทวีความรุนแรงอยู่ในท้อง ไหล่เปียกชุ่มชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาเพราะอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น ร้อนระอุจนแทบเจ็บ ผมพยายามสะกดความร้อนนั้น แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มหวานให้ในระยะประชิด
ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่กลับเผลอคิดว่าน่ารักชะมัด
(สถานการณ์นี้มัน... อะไรกันเนี่ย?)
ผมเป็นรุ่นน้อง โดนไหว้วานให้มาส่งคนเมา ส่วนคุณ ทำไมถึง...ถ้อยคำวนเวียนอยู่ในหัว แต่ไม่มีคำใดหลุดปากออกมา ผมไม่อาจขยับเขยื้อน นิ้วของเขาที่กำลังลูบไล้แก้มของผมนั้นเรียวยาว เล็บสั้น สมเป็นมือของผู้ชาย
(...จริงสิ)
อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แล้วผมทำอะไรอยู่เล่า มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นคนเมา หลักฐานก็คือการที่ลำคอบางเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์เหล้า สีข้างที่โผล่พ้นเสื้อยืดที่โดนถลกขึ้นเพราะเปียกชุ่มนั้นก็เป็นสีระเรื่อเช่นกัน
เย้ายวนใจเหลือเกิน
ผมเบือนสายตาจากผิวที่ปรากฏแก่สายตาโดยระวังไม่ให้ดูผิดปกติก่อนจะเปิดปากขึ้นอีกครั้ง ผมจะกลับแล้วครับ ขอโทษด้วย ทั้งที่ตั้งใจจะบอกเช่นนั้น แต่ถ้อยคำอื่นกลับหลุดปากออกมาตามใจชอบ
?...ทำไมคุณถึงบอกว่ามีความรักไม่ได้ล่ะครับ?
สายตาของเราประสานกัน เสียงฝนห่างไกลออกไป นิ้วหยุดเคลื่อนไหว สายตาของเขาเลื่อนลอยไปไกล ขนตาที่หลุบลงเล็กน้อยสั่นระริก เสียงหนักแน่นต่างจากเมื่อครู่ดังสะเทือนบรรยากาศ
?เพราะผม ไม่มีความรู้สึกแบบนั้น กับใครทั้งนั้น?
เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินนั้นดังสะเทือนแก้วหูของผมอย่างนุ่มนวลเป็นที่สุด
อากาศซึ่งเต็มไปด้วยความชื้นห้อมล้อมเราสอง เปลือกตาสีระเรื่อเปิดออก ดวงตาเราสบกัน ผมไม่อาจสังเกตความรู้สึกจากดวงตานั้น ราวกับกำลังชะโงกมองขอบเหวมืดมิด
ความรักน่ะ เขาเอ่ยขึ้น
?สุดท้ายแล้ว มันก็แค่ข้ออ้างในการโหยหาความรุ่มร้อนเท่านั้นเอง?
เขายิ้ม
อย่างเศร้าหมอง
(...ทำไม)
ถึงทำหน้าอยากร้องไห้ขนาดนั้น หรือว่ากำลังร้องไห้อยู่จริงๆ กันแน่ หากผมสัมผัสแก้มของเขา ปลายนิ้วจะแตะต้องหยดน้ำอุ่นๆ หรือเปล่านะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นหรือ เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างโดนแฟนสาวสลัดรักหรือเปล่า ถึงจะมีคนรักมามากมาย แต่เวลาแบบนั้นก็คงเจ็บปวดไม่น้อยอยู่ดี
(หรือว่า)
จะหมายความตามนั้นจริงๆ กันแน่
เสียงพูดคุยสนุกสนานคล้ายจะเป็นเสียงพวกนักเรียนดังอยู่อีกฟากของประตูที่ปิดอยู่ก่อนจะเคลื่อนห่างออกไป บริเวณประตูเงียบสงัด ความรักเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นงั้นหรือ คิดอย่างนั้นย่อมต้องเจ็บปวดอยู่แล้ว
?เหงาเหรอครับ??
ใบหน้าสวยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าลำบากใจ แล้วค่อยพยักหน้าด้วยท่าทางคล้ายจะร้องไห้ในที่สุด
ปลายนิ้วปวดแปลบจนแทบชา ราวกับโดนดูดกลืนด้วยคลื่นแห่งอารมณ์ ส่วนลึกในอกก็เช่นกัน เสียงฝนโอบล้อมเราสองคน ความอบอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายแล่นผ่านอากาศชุ่มชื้นมาถึงตัวผม ขนตายาวเปียกชื้น กลิ่นหอมอันอ่อนโยนซึ่งชวนให้นึกถึงเงาอ่อนละมุนต้นฤดูใบไม้ผลิฟุ้งอบอวล
ผมขยับเข้าใกล้เขาจนแทบโดนดูดกลืน
ริมฝีปากสัมผัสกันอย่างแสนเป็นธรรมชาติ
ครั้งแรก ตามด้วยครั้งที่สอง เกิดเสียงจุมพิตอ่อนหวาน ผมเคลื่อนห่างออกมา เรามองหน้ากันและกัน น่ารักเหลือเกิน ความรู้สึกที่มีต่อคนที่แหงนมองมาพลุ่งพล่าน เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนและเรียบง่ายในขณะเดียว
รู้สึกอย่างแจ่มชัด
จู่ๆ เสียงฝนก็ดังก้องจนแก้วหูแทบฉีก แต่นั่นอาจเป็นเสียงของกระแสเลือดก็เป็นได้ กระแสเลือดพาความรุ่มร้อนแล่นพล่านไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว และเสียงหัวใจที่ดังยิ่งกว่าก็ทำให้ร่างสั่นระริก เร้าให้ส่วนลึกในร่างกายสั่นไหว
หากความรักเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเสาะหาความรุ่มร้อน แรงปรารถนาในความรุ่มร้อนจะถือเป็นความรักหรือเปล่า
?หวา??
เสียงอีกฝ่ายดังก้องในปาก จูบที่ลงมือไปตามแรงปรารถนาล้มเหลว ฟันกระทบเข้ากับฟัน ความเจ็บปวดและความอายทำเอาทั่วร่างร้อนผ่าว หัวสมองขาวโพลนเพราะใบหน้าสวยหัวเราะอยู่ใกล้ๆ
ความรุ่มร้อนผุดพลุ่งยิ่งขึ้น แรงปรารถนาขับให้ผมสอดลิ้นเข้าไปยังช่องว่างระหว่างฟันที่เปิดอยู่ ความร้อนและกลิ่นหอมผสมปนเป อืม เสียงอ่อนหวานส่งมาถึงผมโดยตรง ลิ้นขยับไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้จะดีแล้วจริงหรือ ลิ้นของผมค้นหาสิ่งที่ปรารถนาและเกาะกุมเอาไว้
โพรงปากของเขาร้อนผ่าว ลิ้นที่เกาะเกี่ยวอุ่นชื้น เขาขัดขืนเพียงแวบหนึ่ง ลิ้นของเราเกี่ยวกระหวัดราวกับต่างฝ่ายต่างโหยหากันและกัน เสียงของเหลวดังอยู่ภายในปาก หยดน้ำลายที่ปะปนกันหยดย้อยลงมาตามคางของเราสองคน ผมคลายลิ้นออก เปลี่ยนมาโลมเลียเพดานปาก เราจุมพิตกันดูดดื่มลึกซึ้งราวกับจะเสียดแทงลึกลงไปในลำคอ
(เหวอ)
นี่มันอะไรกัน
หัวสมองวิงเวียน รสสุราแผ่ซ่านในปาก ทั้งรสเบียร์ เหล้าบ๊วย ไวน์ นั่นคือบรรดาเหล้าที่เขาดื่มเข้าไป จะเมาก็ไม่แปลก ผมเกิดความคิดแฟนตาซีว่าบางทีกลิ่นหอมที่โอบล้อมเราอาจเป็นยากระตุ้นกำหนัดก็ได้ คิดแล้วสมองก็ยิ่งปั่นป่วนจนลืมความเป็นจริง
(...สงสัย)
คงเมาอยู่
ทั้งเขา
และผม
หยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
?...อืม ...อา?
เสียงหวานซึ่งเล็ดลอดจากปากที่ผละออกห่างเล็กน้อยนั้นโหมกระพือความเร่าร้อนยิ่งขึ้น ผมใช้ลิ้นเกาะเกี่ยว ดื่มด่ำจนถึงโคน ดูดกลืนกระทั่งเสียงน้ำลงไป พอลองลืมตาขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังจุมพิตลึกซึ้ง ภายในร่างก็ร้อนขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว
เพราะใบหน้าที่เห็นในระยะประชิดช่างเย้ายวนเหลือเกิน
มือของผมยื่นออกไปโดยอัตโนมัติ ปลดกระดุมกางเกงยีนอย่างทรมานแล้วหยิบเอาความเร่าร้อนของตัวเองออกมา รู้สึกได้ว่าความเร่าร้อนทวีความรุนแรงอยู่ในมือ ผมลงมือขยับนิ้ว
การปล่อยตัวปล่อยใจไปความรุ่มร้อนที่ใกล้เคียงกับสัญชาตญาณนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อข้ามเส้นแบ่งในระดับหนึ่งมาแล้วก็ง่ายดายขึ้นมาก ทันใดนั้นผมก็ชะงักมือที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างลืมตัวขณะจุมพิต
เสียงรูดซิปดังมา ผมลดสายตาลงมองต้นเสียง ความรุ่มร้อนของตนเองปรากฏแก่สายตา ทว่าไม่ใช่แค่นั้น
(หวา)
นิ้วเรียวยาวเกาะกุมความรุ่มร้อนที่ราวกับผลไม้สุกปลั่งสีแดงของตนอยู่เช่นกัน บรรยากาศบริเวณทางเข้าบ้านอันคับแคบที่เต็มไปด้วยความชื้นทวีอุณหภูมิสูงขึ้น หยดเหงื่อและความร้อนผุดพราย ผมจ้องมองนิ้วของตัวเองขยับอย่างงกเงิ่น




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่ฝนพร่างพรำนั้น ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ
?ร้านน้ำชาซุยกะ? คือคาเฟ่ชาจีนที่อิริยะ ยูกิภาคภูมิใจ แม้มีลูกค้าน้อยนิด แต่ร้านที่เต็มไปด้วยของชอบก็ชวนให้รู้สึกสบายใจ แต่แล้วในวันฝนตกวันหนึ่ง ขณะกำลังชงชาจีนของโปรด ลูกค้าคนหนึ่งก็มาเยือนร้านที่ไร้ผู้คน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาในชุดสูทมีนามว่าฮาเซเบะ ดูเหมือนว่าฮาเซเบะจะรู้จักอิริยะมาก่อน...นับตั้งแต่นั้นฮาเซเบะก็ปรากฏตัวขึ้นทุกครั้งที่ฝนตก ระหว่างที่สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น อิริยะก็เริ่มรู้ตัวว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาไม่ใช่แค่ความเป็นเพื่อน...นี่คือเรื่องราวความรักเก้ๆ กังๆ ของคนสองคนที่ขลาดกลัวความรัก


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”