New Release : GOSICK5 สาวน้อยยอดนักสืบ ตอนกะโหลกศีรษะของบับ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : GOSICK5 สาวน้อยยอดนักสืบ ตอนกะโหลกศีรษะของบับ

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ พระแม่มารีย์ที่ทำให้ร่วงหล่น

---- วันที่ 10 ธันวาคม 1974 <กะโหลกศีรษะของบีเอลซิบับ>

ทะเลยามค่ำคืนนิ่งสงบ ราวกับว่าบนโลกนี้ไม่มีสงครามอันน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย คลื่นทะเลผสมฟองอากาศเล็กๆ ซัดเข้ามาและพัดออกไป
ตรงเส้นขอบฟ้ายามค่ำคืนที่ย้อมไปด้วยสีม่วงแก่อันมืดมิดและทะเลสีดำ วัตถุแปลกประหลาดซึ่งสร้างขึ้นโดยมนุษย์กำลังลอยอยู่ เรือรบนั่นเอง คลื่นซัดเข้ามาแล้วพัดออกไป ซัดเข้ามาแล้วก็พัดออกไป ในทะเลมีรั้วสีแดง....ประตูน้ำขนาดยักษ์กั้นเอาไว้ ประตูน้ำที่มีกลไกสั่งให้ปิดประตูเวลาน้ำขึ้นนั้นตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทะเลอันมืดมิดและหาดทรายที่ส่องแสงสีขาวนวลยามค่ำคืน
ชายหาดอาบแสงจันทร์จนดูเหมือนกับว่าทรายแต่ละเม็ดสะท้อนแสงกลับไปจนส่องแสงขาวนวลชวนวังเวง คลื่นซัดเข้ามาแล้วพัดออกไป ซัดเข้ามาแล้วพัดออกไป อีกฟากของหาดทรายมีก้อนดำๆ ดุจความมืดมิด ราวกับว่ามีเรือรบอีกลำจอดอยู่
มันคือสิ่งที่ทุกคนในประเทศนี้ต่างรู้กันดี เป็นป้อมปราการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาซึ่งเรียกกันว่า <กะโหลกศีรษะของบีเอลซิบับ > อาคารที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวของแมลงวันยักษ์ชวนสยดสยองตั้งตระหง่านอยู่บนชายหาดมืดๆ โดยมีฉากหลังเป็นทางช้างเผือกระยิบระยับส่องประกายบนท้องฟ้ายามราตรี
และนอกจากเหล่าหมู่ดาวดวงน้อยๆ ที่ส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามราตรีแล้ว เสียงคล้ายกับเสียงแมลงกระพือปีกแต่ทว่าเป็นเสียงประหลาดๆ ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ก็เริ่มดังก้อง
เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ตรงมายัง <กะโหลกศีรษะของบีเอลซิบับ>
ในที่สุดพวกมันก็บินกระจายจนเต็มท้องฟ้า มันคือฝูงเครื่องบินรบสีดำที่ออกแบบมาอย่างไร้ความประณีต
---- ปี ค.ศ.1914
ปีแห่งการเริ่มสงครามสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันเป็นชนวนให้โลกต้องสั่นไหว ซึ่งภายหลังถูกขนานนามว่าสงครามโลก
เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมๆ กับแสงไฟกะพริบสีแดงวิ่งไปมาบนท้องฟ้ายามราตรี กลุ่มแสงไฟถูกปล่อยไปทางป้อมปราการ มีเงาคนเล็กๆ กระโดดออกมาจากป้อม เมื่อหยุดยืนตรงนั้นแล้วรับแสงไฟกะพริบก็ล้มลงไปบนชายหาดที่ส่องแสงระยิบระยับ ผู้หญิงอายุน้อยสวมชุดนางพยาบาลสีขาวนั่นเอง บรรดาผู้หญิงที่สวมชุดนางพยาบาลเหมือนกันต่างกระโดดออกมาจากป้อมเพื่อไปหาผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ถูกแสงไฟกะพริบสีแดงยิงใส่จนนอนล้มทับกันแล้วนิ่งไม่ไหวติง
?นี่มันอะไรกัน!?
หนึ่งในบรรดาผู้หญิงที่ล้มลงไปเบิกตาสีฟ้าโพลง พลางพูดสาปแช่งไปทางท้องฟ้ายามค่ำคืน
?ตอนนี้คนที่อยู่ที่นี่มีแค่คนเจ็บกับนางพยาบาลเท่านั้น ที่นี่ไม่ใช่ฐานทัพ เจ้าพวกทหารเยอรมัน ฉันขอสาปแช่ง!?
เธอใช้มือที่สั่นเทากำสร้อยคอลูกประคำที่ห้อยลงมาบริเวณอกพร้อมกับพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง สร้อยคอลูกประคำย้อมไปด้วยเลือดสหายของเธอ ฝูงเครื่องบินรบบินวนอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีที่อยู่ห่างออกไปแล้วบินกลับมาทางนี้อีกครั้ง
บรรดาพยาบาลสาวที่นอนล้มทับกันเลือดไหลนองต่างพูดด้วยเสียงเด็กๆ น่ารักน่าเอ็นดูสมกับวัยนักเรียนหญิงที่เคยหัวเราะคิกคักในห้องเรียนก่อนที่มหาสงครามจะเปิดฉากขึ้น
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?พวกทหารเยอรมัน ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
เหล่าเด็กสาวผู้มีศรัทธาอันแรงกล้าหยิบลูกประคำขึ้นมาแล้วสวดภาวนา ทุกคนประสานมือกันแล้วพูดซ้ำไปมาในขณะที่เลือดอาบทั่วร่างของพวกตน
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง?
?ฉันขอสาปแช่ง....?
เสียงพูดค่อยๆ แผ่วและลดจำนวนลงทีละน้อย บางคนหลับตานิ่งไม่ไหวติง บางคนร้องไห้พลางบีบมือเด็กคนนั้น พวกเด็กสาวที่ใกล้ถึงฆาตพูดพึมพำกันทั้งน้ำตา
?ฉัน ขอ สาป แช่ง....?
ฝูงเครื่องบินรบตรงเข้ามาใกล้อีกครั้ง
ในเวลานั้นเอง
จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมารางๆ บนท้องฟ้าที่ย้อมไปด้วยสีม่วง
เด็กสาวคนหนึ่งกลืนน้ำลายเอื๊อก เธอกำสร้อยลูกประคำที่ย้อมไปด้วยเลือดแล้วชูขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีด้วยมือที่สั่นเทา
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นนั้นเริ่มมีเค้าโครงชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับได้รับพลังสนับสนุนจากเสียงสวดภาวนาของเด็กสาว สิ่งนั้นปรากฏขึ้นมาจากทะเล สูงตระหง่านในท้องฟ้ายามค่ำคืนจนเกือบถึงพระจันทร์
ภาพพระแม่มารีย์ขนาดยักษ์
เสียงภาวนาของเด็กสาวซึ่งระคนไปด้วยความยินดีและความขอบคุณเริ่มสั่นเครือ
ภาพพระแม่มารีย์ขนาดยักษ์สูงเกินกว่าร้อยเมตรปรากฏขึ้นมาอย่างเด่นชัดท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี เสื้อคลุมยาวสีขาวห่อหุ้มร่างกาย เส้นผมทอดยาวลงสู่ทะเล ดวงตาขนาดใหญ่เบิกกว้างจนมองเห็นม่านตาได้อย่างชัดเจน ภาพพระแม่มารีย์นั้นหน้าตาบิดเบี้ยวโศกเศร้า และมีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตา
ในอ้อมแขนสีขาวมีแต่เพียงทารกกำลังนอนหลับปุ๋ย
เครื่องบินรบสูญเสียการควบคุมกระทั่งไปชนเครื่องบินรบลำอื่นจนเกิดเปลวไฟสีส้มตรงหน้าของพระแม่มารีย์ที่กำลังร้องไห้แล้วร่วงหล่นลงสู่ผิวทะเล ส่วนเครื่องบินรบลำอื่นก็หมุนควงร่วงลงมาจนส่วนหัวกระแทกเข้ากับหาดทราย เครื่องบินรบหลายลำเสียการควบคุมแล้วร่วงหล่นลงมากระทบน้ำจนกระเซ็นขึ้นมาจากผิวทะเล หาดทรายซึ่งเต็มไปด้วยเปลวไฟสีส้มลุกไหม้ขึ้นไปในอากาศจนเป็นเสาเพลิงนั้นดูราวกับพลุไฟกำลังพวยพุ่ง กลิ่นน้ำมันลุกไหม้ชวนให้รู้สึกถึงความอัปมงคล บรรดาเด็กสาวที่โชกไปด้วยเลือดพากันหัวเราะคิกคักออกมา
แล้วเสียงหัวเราะนั้นก็ขาดช่วงไป
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่มีเครื่องบินรบอยู่อีกเลยแม้แต่ลำเดียว ส่วนใหญ่ร่วงหล่นลงมา ส่วนลำที่เหลือเร่งเครื่องเสียงดังบินห่างออกไปด้วยความเร็วสูง เหลือแต่เสียงไฟลุกโชนดังเปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เหล่าเด็กสาวต่างสงบนิ่ง บนท้องฟ้ายามราตรียังคงปรากฏภาพพระแม่มารีย์ขนาดยักษ์กำลังร้องไห้อยู่เช่นเดิม โดยก้มหน้ามองเหล่ามนุษย์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เด็กสาวทุกคนสิ้นใจทั้งที่ยังคงเบิกตากว้างเหมือนกับกำลังจ้องมองภาพนั้น พร้อมกับมีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในไม่ช้าเด็กสาวคนอื่นๆ ก็กระโจนออกมาจาก <กะโหลกศีรษะของบีเอลซิบับ> แล้วเข้ามาประคองเพื่อนพ้องที่นอนอยู่ เสียงกรีดร้องระคนเสียงร้องไห้ พวกเธอเข้ามากอดเพื่อนแล้วตะโกนราวกับโหยหวนไปทางท้องฟ้ายามราตรี
บนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นไม่มีอะไรอีกแล้ว
ทั้งฝูงเครื่องบินรบ ทั้งภาพมายาของพระแม่มารีย์
เป็นเพียงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวส่องประกายระยิบระยับเท่านั้น มีเพียงเหล่าดวงดาวที่ยังคงอยู่ที่นั่นต่อไปแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ส่องแสงระยิบระยับเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เปลวไฟสีส้มบนชายหาดสั่นไหวส่งเสียงดังเปรี๊ยะ เปรี๊ยะ อีกครั้ง



บทที่ 1 โรงเรียนที่ไร้วิคตอริก้า

1

วันสุดท้ายของการปิดภาคฤดูร้อนอันแสนยาวนานซึ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนชวนให้คิดไปว่าไม่มีวันสิ้นสุด
แสงแดดเจิดจ้าที่ยังคงอาลัยอาวรณ์ฤดูร้อนสาดแสงส่องประกายไปทั่วพื้นที่กว้างใหญ่ของโรงเรียนเซนต์มาร์เกอริต
เมื่อมองมาจากท้องฟ้า อาคารเรียนขนาดใหญ่รูปตัวยูจะล้อมรอบด้วยสนามหญ้าและแปลงดอกไม้ตกแต่งแบบสวนฝรั่งเศส น้ำใสที่ไหลเอื่อยๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องจากน้ำพุสีขาวประดับด้วยประติมากรรมอันประณีตนั้นถูกแสงแดดสาดส่องจนดูราวกับเสาน้ำแข็งที่ละลายด้วยความร้อน
พวกกระรอกวิ่งวนไปทั่วสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี บรรดานักเรียนในเครื่องแบบพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนสนิทบริเวณศาลาซึ่งตั้งอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วสวนเพื่อหย่อนใจ ทุกคนแย่งกันพูดเรื่องสถานที่พักตากอากาศช่วงฤดูร้อนหาใช่เรื่องการเรียนในภาคเรียนหลังที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้แต่อย่างใด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินด้อมๆ มองๆ ไปตามทางเดินเล็กๆ ห่างจากวงสนทนาที่กำลังออกรส
เด็กหนุ่มร่างเล็กตัวผอมบาง ผมสีดำเข้ม และมีดวงตาสีเดียวกันที่ฉายความเหงาให้เห็นเล็กน้อย เขาเดินยืดตัวตรงด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก พลางมองไปรอบๆ ทั้งทางซ้ายและทางขวา ดูเหมือนเขากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
?วิคตอริก้า อยู่ไหน??
เขามุดศีรษะเข้าไปด้านในของแปลงดอกไม้บ้าง ก้มลงไปมองใต้ม้านั่งบ้าง เงยหน้าขึ้นไปมองบนยอดต้นไม้แล้วหยีตาด้วยความแสบตาบ้าง.... เด็กหนุ่มผมสีดำ....คุโจ คาซึยะด้อมๆ มองๆ ราวกับกำลังตามหาลูกแมวตัวน้อยๆ อยู่ครู่หนึ่ง และแล้ว
?วิคตอริก้า....??
เขาเอียงคอแล้วพึมพำด้วยท่าทางลำบากใจ
?ให้ตายสิ ไปไหนของเขากันนะ? ที่ผ่านมาจนถึงเมื่อวาน ถ้าไม่อยู่ที่ศาลาตรงนั้นก็อยู่ตรงใต้ต้นไม้นอกหน้าต่างหอชาย แล้วนั่งแหมะเอาแต่กินขนมกับอ่านหนังสือตรงที่ที่ฉันรู้จักแท้ๆ เฮ้อ....?
คาซึยะมองไปรอบๆ บริเวณ ก่อนจะหยีตาจ้องมองไปทางสวนที่ก้องไปด้วยเสียงพูดเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญของเหล่าบุตรหลานขุนนางครู่หนึ่ง โรงเรียนในเช้าวันนี้ช่างเอะอะเสียงดังราวกับเป็นคนละแห่งกับโรงเรียนเซนต์มาร์เกอริตในช่วงฤดูร้อนซึ่งเต็มไปด้วยความเงียบสงบจนถึงเมื่อวานนี้
แล้วคาซึยะก็พยักหน้าเหมือนกับนึกขึ้นมาได้
?ยัยวิคตอริก้าอยู่ที่หอสมุดรึเปล่านะ เอาล่ะ ลองไปดูหน่อยแล้วกัน....?
เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะออกเดินฉับๆ ไปตามทางเดินเล็กๆ

---- ขณะนั้นเป็นปี ค.ศ.1924
บริเวณชายแดนติดกับประเทศฝรั่งเศสเป็นไร่องุ่นเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา ส่วนชายแดนติดกับประเทศอิตาลีคือสถานที่พักตากอากาศแสนงดงามติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และชายแดนติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีทะเลสาบและต้นไม้ทึบจนเป็นทางวงกตเขียวชอุ่มในป่าลึก ประเทศเล็กๆ ที่มีอาณาเขตเรียวยาวคล้ายกับทางเดินพิศวงแห่งนี้สามารถผ่านพ้นสงครามโลกครั้งก่อนทั้งๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยประเทศมหาอำนาจ จนได้รับการขนามนามว่าเป็นยักษ์น้อยของยุโรปตะวันตก
หากเปรียบชายหาดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสถานที่พักตากอากาศของเหล่าขุนนางเป็นประตูทางเข้าอันหรูหราเพื่อเข้าสู่เซาวิลล์แล้วละก็ ด้านในของเทือกเขาแอลป์ก็เปรียบได้กับห้องลับใต้หลังคาซึ่งหลับใหลอยู่ในปราสาทอันกว้างขวาง และที่ตีนเทือกเขาแห่งนั้นก็มีโรงเรียนเซนต์มาร์เกอริต สถาบันการศึกษาเลื่องชื่อสำหรับให้การศึกษาแก่บุตรหลานขุนนาง
ทว่าโรงเรียนแห่งนั้นตัดสินใจรับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศพันธมิตรบางส่วนหลังจากสิ้นสุดมหาสงครามครั้งก่อน บรรดานักเรียนระดับหัวกะทิต่างเข้ามาโดยเดิมพันด้วยเกียรติยศของประเทศชาติ ซึ่งคุโจ คาซึยะหนึ่งในเด็กเหล่านั้นก็เริ่มเข้าสู่วิถีชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในต่างแดนที่ไม่คุ้นเคย ต้องทุ่มเทให้กับการเรียน และสร้างเพื่อนใหม่แม้จะมีจำนวนเพียงน้อยนิดก็ตาม
หนึ่งในเพื่อนที่คาซึยะได้พบเจอคือ อาวริล แบรดลีย์ นักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศอังกฤษที่เป็นคนร่าเริงสดใส ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ....
เด็กผู้หญิงที่ดูราวกับภูตสีทองผู้น่าพิศวง ทว่าปากคอเราะรายจนน่ากลัว วิคตอริก้า เดอ บลัว เด็กสาวตัวน้อยๆ ผู้มีมันสมองอันยอดเยี่ยมที่ล้อมรอบไปด้วยจีบระบายและหนังสือ....
ไม่รู้ว่าชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนของคาซึยะเริ่มวนเวียนโดยมีวิคตอริก้า สาวน้อยพิศวงเป็นศูนย์กลางตั้งแต่เมื่อไรกันนะ




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วิคตอริก้าถูกนำตัวไปกักขังใน <กะโหลกศีรษะของบีเอลซิบับ> โบสถ์ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในต่างประเทศอย่างกะทันหันโดยความคิดของมาร์ควิสบลัว คาซึยะจึงเดินทางไปยังโบสถ์แห่งนั้นโดยรถไฟที่แล่นตัดข้ามทวีปตามลำพังเพื่อช่วยเหลือเธอที่กำลังอ่อนแอลง โบสถ์เริ่มเผยให้เห็นเบื้องหลังที่ซ่อนเร้นโดยมีจุดเริ่มจากคดีฆาตกรรมอันน่าสงสัยซึ่งเกิดขึ้นใน <ราตรีแห่งแฟนตาสม่าโกเรีย> งานเทศกาลแห่งพลังเวทมนตร์ในวันนั้น....มีการดำเนินแผนการร้ายอยู่ภายใต้ผิวน้ำอันนิ่งสงบ! สุดท้ายแล้วชะตากรรมของทั้งสองคนจะเป็นอย่างไร....? ผลงานเรื่องราวอันเข้มข้นลึกลับเล่ม 5!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”