New Release เหลียนฮวา : ดวงหทัยจอมบัลลังก์

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ดวงหทัยจอมบัลลังก์

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

?ใครก็ได้ จับนางไปฝังเสีย?
น้ำเสียงทุ้มเข้มของบุรุษหนุ่มอ่อนละมุนยิ่งกว่าที่เคย ทว่าถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับทำให้นางหนาวยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย
นางเงยหน้าขึ้นอย่างอึ้งงัน รู้สึกฉงนสนเท่ห์อยู่เล็กน้อยว่าตนเองได้ยินสิ่งใดกันแน่ แต่แล้วก็มองดูดินที่ทับถมจนถึงเอวของตนเองด้วยสีหน้าแววตาเลื่อนลอย ไม่ใคร่เข้าใจนักว่าเหตุไฉนตนเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ครั้นเงยหน้าขึ้นอีกครา...เศษดินใส่ก็ถูกเทใส่หน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
ฝุ่นดินที่ปลิวฟุ้งแทบจะทำให้นางมิอาจหายใจ นางดิ้นขัดขืนหมายจะหนีออกจากก้นหลุม ทว่ากลับไม่เป็นผล ความหวาดกลัวแผ่ลามเข้ามาในหัวใจ ทำให้สติสัมปชัญญะของนางแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย
นางหรี่ตามองไป ไม่อยากเชื่อว่าบุรุษที่นางรักสุดหัวใจคิดจะฝังนางทั้งเป็น!
องครักษ์หลวงซึ่งได้รับคำสั่งล้อมอยู่ข้างหลุมเป็นวงกลม ตักดินลงไปในหลุมอย่างรวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียว ดินก็ท่วมจนถึงหน้าอกนาง ทว่านางยังคงลืมตาอย่างไม่ยอมถอดใจ อยากจะพิสูจน์ให้แน่ใจว่าคนที่ออกคำสั่งผู้นั่นใช้คนที่นางรักหรือไม่
เงาร่างคนพร่ามัว เศษฝุ่นดินทรายปลิววะว่อน ท่ามกลางภาพเลือนราง นางเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ริมหลุม นัยน์ตาสีดำคู่นั้นเฉยชาไร้ความรู้สึก มองดูนางราวกับมองมดปลวกก็ไม่ปาน
แววตาเช่นนี้ชวนให้คนสั่นสะท้านยิ่งนัก เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เขาเข้าใจผิดว่านางเป็นสายลับ .ียมเสียจนทำให้ใจนางหวาดผวา
จริงสิ นางนึกออกแล้ว เขาต้องการจะสังหารนางจริงๆ ยามอยู่ที่ตำหนักหวารั่วเขาคิดจะวางยาพิษนางให้ตาย... การที่เขาพานางกลับมายังหอตงหน่วนก็คงเพียงเพราะอยากจะให้นางตายช้าอีกนิดเท่านั้น
หยาดน้ำตาทำให้ดวงตาของนางพร่ามัว แต่นางกลับดื้อดึงที่จะจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ราวกับต้องการจะมองหาใจจริงจากบนใบหน้าของเขา ทว่าหัวใจของเขาราวกับถูกตีขึ้นมาจากเหล็กแข็งแกร่ง มองดูความเป็นความตายของนางด้วยสายตาเยียบเย็น
ดินค่อยๆ กลบฝังนางอย่างช้าๆ ตั้งแต่หน้าอกมาจนถึงลำคอ นางมิได้ดิ้นรนและมิอาจดิ้นรนได้เช่นกัน ทำได้เพียงจ้องมองเขากลับพร้อมกับหยาดน้ำตา อยากถามเขาสักคำว่าเพราะเหตุใดกัน ทว่าความเจ็บปวดกลับอุดลำคอของนางเอาไว้ ทำให้นางไม่อาจเปล่งวาจาได้
จนกระทั่งดินกลบมาถึงจมูกของนาง ในที่สุดนางก็เห็นเขายกมือสั่งให้องครักษ์หลวงหยุด
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังมิอาจหักใจได้ใช่หรือไม่
นางวางใจลงเล็กน้อย แต่กลับเห็นเขาใช้เท้ากวาดดินที่อยู่ข้างหลุมลงมา จากนั้นใช้น้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างที่เคยเอ่ยว่า ?จำไว้ว่าต้องปิดแผ่นศิลาเขียวให้สนิท อย่าให้เหลือช่องว่างแม้แต่นิดเดียว?
นางเบิกตากว้างอย่างมิอาจเชื่อ ดินทรายถูกเทลงใส่ใบหน้า แค่เพียงชั่วอึดใจ ดินก็กลบจนมิดศีรษะของนาง ยิ่งไปว่านั้นนางยังรู้สึกได้ว่าเมื่อแผ่นศิลาเขียวถูกปิดลง แสงสว่างทั้งหมดก็ถูกตัดขาดออกไปด้วย น้ำตาของนางไหลรินอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วซึมเข้าไปในดินในทันใด
นางหายใจไม่ออก หน้าอกปวดร้าวจนแทบจะระเบิดออกมา ทว่าต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ยังเทียบไม่ได้กั.ี่เขาปฏิบัติต่อนาง
เพราะเหตุใด...สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่เชื่อนาง?
เพราะเหตุใด...



บทที่หนึ่ง

ยื่นมือออกไปแต่ก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
ซินเซ่าหมิ่นเบิกตากว้าง นัยน์ตาดำวาวกลอกไปทางซ้ายแล้วค่อยกลอกไปทางขวาอย่างช้าๆ ขณะที่กำลังกังขาว่าสายตาของตนอาจจะสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว ในที่สุดดวงตาของนางก็ปรับตัวเข้ากับความมืดมิดได้ มองเห็นดวงดาราระยิบระยับบนท้องนภาอันมืดมิด
นางถอนลมหายใจเล็กน้อย แต่แล้วก็คล้ายกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้จึงรีบพลิกกายลุกขึ้น ก่อนจะมองดูรอบๆ
รอบด้านมืดสนิท มืดเสียจนทำให้นางยากจะแยกแยะได้ว่าตอนนี้นางอยู่แห่งหนใด ทว่าสิ่งที่จมูกได้กลิ่นคือกลิ่นใบหญ้าหลังฝนตกซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะบนภูเขา ทำให้นางย่นหัวคิ้วอย่างมิอาจห้าม
นางถูกแรงระเบิดพามาถึงที่ใดกัน หรือว่าเป็นสวนสาธารณะละแวกใกล้ๆ อาคารหลังใหญ่? แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีทางมืดมิดจนถึงขนาดนี้ได้กระมัง...อย่างกับว่าไฟดับทั่วทั้งเมืองไม่มีผิด ชวนให้คนหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูก
นางเป็นคนที่เคยชินกับการมีแสงไฟในยามราตรีมืดมิด ยามที่เบื้องหน้ามีเพียงความมืด ต่อให้นางใจกล้าแค่ไหนก็มิอาจรู้สึกสงบใจได้ ยิ่งกว่านั้นนางยังกลัวเมืองทั้งเมืองจะประสบหายนะภัยจนพังทลายไม่เหลือซาก
ยังมิทันได้ไตร่ตรองให้ละเอียดถี่ถ้วน นางก็ขยับร่างกายไปตามสัญชาตญาณ ครั้นแน่ใจว่าบนร่างไร้บาดแผลรุนแรงจึงคิดจะออกไปเดินดูบริเวณโดยรอบเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในตอนนี้ให้แน่ใจ แต่พอลุกขึ้นยืนก็เหมือนกับเหยียบอะไรบางอย่างเข้า ทำให้ร่างทั้งร่างของนางเซถลาไปข้างหน้า เคราะห์ดีที่มือไม้ของนางปราดเปรียวว่องไวจึงมิได้ล้มคะมำหน้าทิ่มพื้นดิน
ในขณะที่กำลังฉงนว่าตนเองสะดุดสิ่งใดเข้า นางถึงได้สังเกตเห็นสิ่งที่สวมใส่อยู่บนร่างตนเอง...เครื่องแบบของนางไม่ได้ยาวขนาดนี้กระมัง...นางจับเนื้อผ้าซึ่งอยู่ตรงปลายเท้าขึ้นมาอย่างงงงวย ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือพอนางขยับตัว นางถึงได้พบว่าบนร่างกายเหมือนจะไม่มีบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ทั้งที่นางอยู่ในสถานที่เกิดเหตุระเบิดแท้ๆ แรงปะทะรุนแรงขนาดนั้นจะไม่มีบาดแผลเลยได้อย่างไร...
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กลิ่นหอมหวนอ่อนๆ ของอาหารก็ลอยล่องมาตามลม หางตานางเหลือบเห็นแสงโคมไฟริบหรี่กำลังกะพริบไหวอยู่ในป่าซึ่งอยู่ทางขวามือ ทำให้นางละทิ้งปัญหาตรงหน้าแล้วสาวเท้าเข้าไปหาแสงไฟที่กำลังฉายส่องอยู่แทน
นางวิ่งไปพลางคิดไปพลางว่าตนเองตัวเบาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ร่างกายนางจะคล่องแคล่วปราดเปรียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่านางไม่เคยรู้สึกว่าตนเองวิ่งได้รวดเร็วราวกับโบยบินมานานแล้ว
?คุณคะ! คุณที่อยู่ข้างหน้าคะ!? ชายหนุ่มที่ถือตะเกียงตรงหน้าเดินเร็วยิ่ง นางจึงตะเบ็งเสียงเรียกเสียเลย
ครั้นเปล่งเสียงตะโกนออกไป นางก็ผงะอึ้งไปในทันที นี่มันเสียงบ้าอันใดกัน...ลำคอของนางถูกระเบิดแผดเผาจนแหลกเละไปแล้วอย่างนั้นหรือ ถึงได้แหบแห้งจนเป็นเช่นนี้
ชายหนุ่มชะงักอึ้งไปนิดๆ จากนั้นหันกลับมาเล็กน้อย ครั้นเห็นขันทีผู้น้อยที่วิ่งปราดมาอยู่ตรงหน้าก็หรี่ดวงตาเรียวรีอันหล่อเหลาคู่นั้นน้อยๆ
?ขอโทษที ขอถามว่า...? นางยังมิทันได้หอบหายใจด้วยซ้ำ พอเปิดปากก็เอ่ยถามทันที วาจาแล่นมาถึงคอหอยจวนจะพ่นออกจากปลายลิ้นอยู่รอมร่อ แต่ว่านางกลับถูกภาพตรงหน้าทำเอาแตกตื่นตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
เบื้องหน้าคือบุรุษหล่อเหลาน่ามองผู้หนึ่ง สิ่งที่ทำให้คนมิอาจเบนสายตาหนีได้คือนัยน์ตาดุจดวงดาราคู่นั้น ทว่านี่หาใช่ประเด็นสำคัญไม่ จุดสำคัญคือ... ?ขอถามหน่อยว่าที่นี่คือที่ไหน? คำถามนี้แลดูโง่เง่าเล็กน้อย แต่เป็นเพราะเครื่องแต่งกายของบุรุษตรงหน้าผู้นี้ที่ทำให้นางทึ่มทื่ออย่างห้ามไม่อยู่!
?นอกตำหนักอวี้เฉวียน? สุ้มเสียงของชายหนุ่มต่ำทุ้มราวกับสุราเลิศรส
ซินเซ่าหมิ่นเหงื่อกาฬแตกพลั่กกับคำตอบที่ทั้งไม่อยู่ในความคาดฝันแต่ก็อยู่ในความคาดหมายนี้ จึงฝืนยิ้มพร้อมกับถามต่อ ?ตำหนักอวี้เฉวียนอยู่ที่ไหน?
เสียงของนางสั่นเทาเล็กน้อย รวมถึงหัวใจของนางและขาของนางด้วยเช่นกัน เพราะว่าในตอนนี้ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของนาง... ถึงแม้ที่ผ่านมานางจะเชื่อว่าเรื่องพรรค์นั้นไม่สมเหตุสมผลยิ่ง โดยทั่วไปมักเป็นโครงเรื่องที่นิยายเอามาใช้หลอกคนอ่าน แต่ว่า... บ้าจริง! บุรุษตรงหน้าผู้นี้สวมชุดอย่างกับขันทีในละครโทรทัศน์ สวมหมวกหางเตียว ซ้ำในมือยังถือโคมไฟโบราณลวดลายประณีตทรงแปดเหลี่ยมที่เห็นได้แต่ในพิพิธภัณฑ์อีกด้วย มืออีกข้างถือกล่องสีดำอันวิจิตรบรรจงใบหนึ่งเอาไว้ รวมถึงเฉลียงทางเดินตรงหน้าซึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา กำแพงสูงสีเทาขาวทางขวามือ... นางจำไม่เห็นได้ว่าสวนสาธารณะแถวนี้มีสิ่งปลูกสร้างเช่นนี้ด้วย และคงจะไม่มีใครแต่งคอสเพลย์กลางดึกกลางดื่นหรอกใช่ไหม?!
ดังนั้นตอนนี้จึงมีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง
อย่างแรก นางเจอผีกลางดึกเข้าให้แล้ว
อีกอย่าง...
?นอกจากในเขตพระราชฐานแล้ว ที่ไหนยังจะมีตำหนักอวี้เฉวียนอีกเล่า? ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเยียบเย็นดุจคมมีด
?เขตพระราชฐาน?? นางท่าทางราวับนกแก้วหัดพูดภาษาคน เขาพูดหนึ่งคำนางก็พูดตามหนึ่งคำ ยิ่งพูดหัวใจก็ยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มหรี่ดวงตาน่ามองนั้นลงน้อยๆ ?เจ้าเป็นขันทีรับใช้ที่ใด?
?ขันที?!? เสียงของนางร้องแหลมสูงขึ้นโดยพลัน ทว่าเสียงกลับยิ่งแหบแห้งแทน ใครเป็นขันทีกัน? หรือว่า... สายตาของนางมองลงไปเบื้องล่างอย่างเชื่องช้า ครั้นแล้วก็เห็นว่าเนื้อผ้าที่นางจับเอาไว้ในมือเมื่อครู่นี้เป็นเสื้อคลุมตัวยาวสีคราม...
?รายงานสังกัดและหัวหน้าขันทีของเจ้ามา? ชายหนุ่มมองดูชุดสีครามบนร่างนาง ตรงแขนไม่มีตราตรงเสื้อไม่มีปลอกแขน เห็นปุ๊บก็ทราบทันทีว่าเป็นขันทีชั้นผู้น้อยที่ไม่มียศไม่มีตำแหน่งใดๆ
?ข้า...? ซินเซ่าหมิ่นได้ยินดังนั้นหัวใจก็แทบจะเย็นวาบ
แย่แล้ว นางควรทำอย่างไรดี นางยังไม่เข้าใจสถานการณ์เลยด้วยซ้ำ แม้ว่าจะแน่ใจแล้วว่าตนเองย้อนเวลามาแต่ว่าตอนนี้เป็นยุคสมัยใดราชวงศ์ใดนางก็ยังไม่รู้ นางคงไม่ถูกสังหารตั้งแต่เพิ่งจะมาถึงหรอกนะ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เสียงฝีเท้าก็ดังแว่วมาจากด้านหลังพร้อมกับสุ้มเสียงแหลมเล็ก... ?โซ่วยาง ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องหนีมาเที่ยวเตร่ที่ตำหนักอวี้เฉวียน ที่ห้องเครื่องงานยุ่งจนหัวหมุน แต่เจ้ากลับ...?
วาจาหยุดชะงักไปโดยพลัน ผู้มาใหม่กดเสียงต่ำลงพลางเอ่ยกับชายหนุ่ม ?เฉิงกงกง?
ขันทีผู้มาทีหลังไม่กลัวเขามิได้ เพราะว่าเฉิงกงกงเป็นขันทีประจำพระวรกายของฮ่องเต้นั่นเอง
บุรุษหนุ่มมองผู้มาใหม่ปราดหนึ่ง จากนั้นโบกมือแล้วเดินจากไป
ซินเซ่าหมิ่นจ้องบุรุษผู้นั้นคล้อยหายไปตาไม่กะพริบ แต่ละก้าวที่เขาก้าวเดินล้วนส่องสว่างแก่บริเวณโดยรอบไปด้วย ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าที่นี่ห่างจากโลกของนางแสนไกลนัก... แย่แล้ว นางย้อนเวลามาจริงๆ ด้วย!
?เจ้ายังจะยืนทำอันใดอยู่ที่นี่อีก?! งานพิธีครบรอบร้อยปีสถาปนาราชวงศ์สิ้นสุดลงแล้วก็จริง แต่ราชทูตจากแคว้นต่างๆ ที่ตำหนักต้อนรับราชอาคันตุกะยังไม่กลับ แต่ละคนต่างรอกินของว่างยามดึกอย่างกับผีตะกละ หากเจ้ายังแอบอู้อีก พอกลับไปข้าจะฟ้องหลัวกงกง ให้เจ้าย้ายไปอยู่ที่โรงซักผ้าเสียให้เข็ด!? เอ่ยจบ ขันทีห้องเครื่องผู้นี้ก็คว้ามือนางเอาไว้ ก่อนจะลากนางไปยังทางที่เขาเดินมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
ซินเซ่าหมิ่นจ้องมองขันทีซึ่งสวมใส่เสื้อคลุมตัวยาวสีครามดุจเดียวกันด้วยใบหน้าน่าเวทนา ความเศร้าสลดปรากฏออกมาบนใบหน้า
พอได้แล้ว นางกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นะ... ปล่อยนางกลับไปได้หรือไม่เล่า!

รอจนทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว บุรุษที่ถูกเรียกว่าเฉิงกงกงก็เดินวกกลับมาจากตรงหัวมุม กระทั่งมองไม่เห็นเงาร่างของทั้งคู่เขาถึงค่อยก้าวเขาไปในตำหนักอวี้เฉวียน ตำหนักอวี้เฉวียนเป็นตำหนักที่ไม่มีผู้ใดใช้งานมาเป็นเวลานานแล้ว แม้นจะมีข้าราชบริพารคอยปัดกวาดทำความสะอาด แต่ส่วนมากที่นี่จะไม่ค่อยมีคนผ่านไปมานัก
แน่นอนว่ายิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าภูเขาจำลองข้างทะเลสาบจะมีทางเชื่อมไปยังสถานแห่งอื่น
ชายหนุ่มย่อตัวก้าวเข้าไปในภูเขาจำลอง จากนั้นเปิดประตูลับแล้วเดินเข้าไปยังทางที่ปรากฏขึ้นทันที ทางเดินลับด้านในทอดตรงไม่ค่อยมีทางคดเคี้ยวเท่าไรนัก เพียงชั่วประเดี๋ยวก็เดินมาถึงปลายทาง ครั้นผลักประตูออกไป ด้านนอกกลับกลายเป็นพงหญ้าที่ข้างประตูตงต้าเหมิน
บริเวณนี้มืดสลัวไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา แม้แต่ทหารองครักษ์ก็ไม่เคยย่างกรายมาที่นี่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเส้นทางลับที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนรับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อแอบพาพระสนมคนโปรดออกจากวังเมื่อครั้งกระโน้น ชายหนุ่มทิ้งโคมไฟไว้ในทางเดินลับ จากนั้นปิดประตูลับให้สนิท หลังจากแน่ใจแล้วว่าบริเวณรอบๆ ไร้ซึ่งผู้คนจึงรีบมุ่งหน้าไปยังจวนอัครเสนาบดีซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมืองด้วยฝีเท้ารวดเร็วในทันใด
ไม่จำเป็นต้องให้สัญญาณ ยิ่งมิต้องเคาะประตูบอกกล่าว เขาหลบหลีกองครักษ์ในจวนแล้วพลิกกายกระโดดข้ามกำแพงสูงสีดำสนิท ต่อมาก็เดินไปยังเรือนหลังน้อยซึ่งอยู่หลังเรือนหลักราวกับม้าชราชำนาญทาง
ภายในเรือนไร้ผู้คน บนโต๊ะได้เตรียมชาเย็นๆ เอาไว้หนึ่งกา เขามิได้แตะต้อง แต่รอคอยผู้มาเยือนอย่างเงียบๆ
แค่ประเดี๋ยวเดียวเสียงฝีเท้าก็ดังลอยมาจากด้านนอก ขนตายาวของเขาขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึก ?จี๋เหยียน?
เซียวจี๋เหยียนอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ปัจจุบันผลักประตูเข้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ?ฝ่าบาททรงปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ?
?องค์ชายกู่ตุนเล่า? ชายหนุ่มช้อนสายตาขึ้นอย่างแช่มช้า ไม่ยอมตอบทว่าเอ่ยถามกลับแทน ท่าทีน่าเกรงขามชวนให้ครั่นคร้าม

***

ยามห้า ฮ่องเต้แห่งแคว้นซีฉินเสด็จมา ณ ตำหนักอวี้ยาง
ครั้นยามขันทีข้างตำหนักประกาศร้องว่าฮ่องเต้เสด็จ นัยน์ตาสีดำของผู้สำเร็จราชการเซี่ยโหวเจวี๋ยซึ่งยืนอยู่ในแถวแรกก็หรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับรู้สึกประหลาดใจต่อการปรากฏตัวของฮ่องเต้แห่งแคว้นซีฉินไม่น้อย เพียงแต่สีหน้าตื่นตกใจกลับปรากฏเพียงชั่วพริบตาแล้วก็เลือนหายไป
ฮ่องเต้แห่งซีฉินเซี่ยโหวฮวนสวมใส่ชุดคลุมยาวสีเหลืองลายมังกรขด ขับเน้นให้รูปร่างยิ่งดูสูงใหญ่ ศีรษะสวมมาลาห้อยมุกทว่ามิอาจบดบังหน้ากากสีทองสลักลายบนใบหน้าได้
เนื่องจากตำหนักบรรทมถูกเพลิงลุกไหม้อย่างไม่ทราบสาเหตุ ใบหน้าหล่อเหลาของฮ่องเต้แห่งซีฉินจึงถูกทำลายเสียโฉมเมื่อวัยรวบเกศา ครั้นขึ้นครองบัลลังก์ในปีเดียวกัน ยามพบปะขุนนางก็จำต้องสวมหน้ากากเอาไว้ทุกครา ได้ยินคำเล่าลือว่าบริเวณที่ถูกไฟลวกอยู่แถวๆ ตาขวา ดังนั้นหน้ากากจึงปกปิดตั้งแต่บริเวณหน้าผากมาจนถึงจมูกเท่านั้น หากพิศมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าบริเวณมุมปากก็มีรอยแผลเป็นจากการถูกไฟไหม้ด้วยเช่นเดียวกัน จินตนาการได้ว่าเมื่อครั้งกระนั้นอาการบาดเจ็บสาหัสรุนแรงจริงๆ
แต่ถึงแม้จะรอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้ นับตั้งแต่บัดนั้นมาร่างกายกลับหลงเหลือโรคเรื้อรังทิ้งไว้ ทุกคราเมื่อลมสารทฤดูพัดโชยก็มักจะป่วยหนักอยู่ร่ำไป หลังล่วงเข้าเหมันตฤดูราวกับต้องยื้อแย่งคนกับพญายมก็ไม่ปาน ร่างกายอ่อนแอขี้โรคเช่นนี้จะบริหารราชกิจได้เยี่ยงไร
ด้วยเหตุฉะนี้ผู้สำเสร็จราชการเซี่ยโหวเจวี๋ยซึ่งได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้องค์ก่อนจึงออกว่าราชการแทนอยู่เสมอ นานวันเข้าเซี่ยโหวเจวี๋ยก็แทบจะเป็นผู้จัดการสะสางราชกิจต่างๆ ทั้งหมด จนกระทั่งช่วงสองสามปีมานี้สุขภาพของเซี่ยโหวฮวนค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อยจึงออกว่าราชการด้วยตนเองบ้างเป็นครั้งคราว ตอนนี้ตรงกับราชพิธีเฉลิมฉลองการสถาปนาราชวงศ์ครบหนึ่งร้อยปีพอดี ราชทูตจากแคว้นต่างๆ จึงมาร่วมอำนวยพร อัครเสนาบดีเซียวจี๋เหยียนพร้อมด้วยขุนนางกลุ่มหนึ่งถวายหนังสือกราบทูลอย่างขันแข็ง ทำให้เซี่ยโหวฮวนออกว่าราชการช่วงเช้าติดต่อกันหลายวัน
?ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี? บรรดาขุนนางที่อยู่เบื้องล่างเปล่งเสียงดังก้อง
มุมปากเซี่ยโหวฮวนกระตุกนิดๆ จากนั้นค้อมกายลงเล็กน้อย ท่าทางเสแสร้งยิ่ง
?ขุนนางทุกท่านลุกขึ้นได้? เซี่ยโหวฮวนมองไปรอบๆ ขุนนางทั้งหลาย เสียงนุ่มทุ้มต่ำ แม้นจะอิดโรยเล็กน้อย แต่การต้องว่าราชการด้วยตนเองต่อจากนี้ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องยากลำบากนัก
สำหรับอาการป่วยของเซี่ยโหวฮวนที่ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางบุ๋นบู๊แต่ละคนกลับมีความคิดแตกต่างกันไป ต่างก็ไม่มีใครแสดงความรู้สึกออกมา
เซี่ยโหวเจวี๋ยหลุบตาไม่เอ่ยวาจา ท่าทางคล้ายกับตรึกตรองเรื่องใดอยู่ กระทั่งถึงยามเลิกประชุมขุนนางถึงได้เดินตรงเข้าไป ?ฝ่าบาท?
?เสด็จอามิต้องมากพิธี? เซี่ยโหวฮวนโบกมือเล็กน้อย แสดงท่าทีเคารพนบนอบต่อเซี่ยโหวเจวี๋ย
?วันนี้สีพระพักตร์ฝ่าบาทดูไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ? สายตาของเซี่ยโหวเจวี๋ยหยุดลงบนมือของเซี่ยโหวฮวนซึ่งจับอยู่บนข้อมือของขันทีประจำกาย
?เสด็จอาคิดมากไปแล้ว แค่เมื่อวานเราดื่มกับองค์ชายกู่ตุนไปหลายจอกจึงนอนดึกไปหน่อย เกือบจะพลาดการประชุมขุนนางช่วงเช้าแล้วเชียว? เซี่ยโหวฮวนแย้มยิ้มบางๆ
?พระวรกายของฝ่าบาทสำคัญกว่าสิ่งใด ถ้าหากประชวร กระหม่อมสามารถว่าราชการแทนได้นะพ่ะย่ะค่ะ?
?จะให้รบกวนเสด็จอาทุกเรื่องได้อย่างไรเล่า เสด็จอาถือครองตราทหาร กำกับดูแลชายแดน ถ้าหากยกงานราชกิจให้เสด็จอาอีก เราจะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ? เซี่ยโหวฮวนไม่รอให้เขาเอ่ยปาก รีบชิงพูดต่อไปว่า ?ถึงอย่างไรเราก็เป็นถึงกษัตริย์ของแคว้น ควรจะเรียนรู้การบ้านการเมืองไว้บ้าง อีกอย่างราชทูตจากแคว้นต่างๆ ต่างพากันมาเยี่ยมเยือน ไหนเลยจะปล่อยให้พวกเขาคิดว่าฮ่องเต้แห่งซีฉินเป็นตัวอมโรคได้เล่า?
บนผืนแผ่นดินอันยิ่งใหญ่นี้ ทิศเหนือเป็นแคว้นต้าเหลียง กำลังทหารเกริกก้องเกรียงไกร ทิศตะวันออกคือแคว้นกู่ตุน ทรัพยากรแร่ธาตุมากมายมหาศาล ทิศใต้เป็นแคว้นอู๋จี๋ เชี่ยวชาญชำนาญศึก ส่วนซีฉินนั้นตั้งอยู่ตรงกลาง พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เส้นทางการค้าเจริญก้าวหน้า แต่ละแคว้นต่างคานอำนาจกัน ดูเผินๆ เหมือนเป็นยุคสมัยอันรุ่งเรืองสงบสุข แต่ยิ่งกาลเวลาแปรเปลี่ยน ผู้ที่มีจิตใจทะเยอทะยานก็ยิ่งเผยตัวออกมามากมาย
วาจาของเซี่ยโหวฮวนกล่าวได้อย่างชัดเจนฉะฉาน เซี่ยโหวเจวี๋ยได้ยินแล้วรู้สึกว่าฉากหน้าเขาเห็นงานราชกิจเป็นสิ่งสำคัญ แต่เบื้องหลังกลับสื่อความนัยว่าตนเองไม่ควรรวบอำนาจไว้ผู้เดียวอีกต่อไป ควรจะมอบอำนาจการปกครองและตราทหารคืนแก่ฮ่องเต้ผู้มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษาผู้นี้ แต่ทว่าถ้อยคำของเซี่ยโหวฮวนเอ่ยด้วยท่าทีพินอบพิเทาจึงดูคล้ายกับว่าเซี่ยโหวเจวี๋ยคิดมากไปเอง
?เสด็จอา ในเมื่อไม่มีธุระแล้ว เราว่าจะไปตำหนักรับรองอาคันตุกะเสียหน่อย? เซี่ยโหวฮวนเอ่ยยิ้มๆ พลางกำชับขันทีประจำกายจู้ผิงอันให้ตระเตรียมเกี้ยวเพื่อไปยังตำหนักรับรองอาคันตุกะ
จู้ผิงอันมีใบหน้าราวกับตุ๊กตา ใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตรชวนให้ผู้คนชื่นชอบยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้ แต่กลับไม่เคยวางท่าใหญ่โตต่อหน้าข้าราชบริพารคนใดเลย จึงได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คนอย่างลึกล้ำ เห็นเพียงเขาส่งสายตาปราดเดียว ขันทีตามเสด็จซึ่งอยู่นอกตำหนักก็เข้าใจความหมายแล้วรีบไปทำตามคำสั่งทันที
?ราชทูตจากแคว้นต่างๆ จะเดินทางกลับก่อนเที่ยง ฝ่าบาทเสด็จไปยามนี้มิรบกวนเหล่าราชทูตหรอกหรือ? เซี่ยโหวเจวี๋ยเอ่ยจบ นัยน์ตาเจิดจ้าวาววับคู่นั้นก็จ้องเขาเขม็งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
?เสด็จอา เรากับองค์ชายกู่ตุนพูดคุยกันสนุกสนานยิ่ง จึงคิดอยากจะสนทนากับเขาอีกสักหน่อยก่อนที่เขาจะกลับ? ครั้นเอ่ยจบก็หันไปพูดกับจู้ผิงอันทันใด ?เตรียมเกี้ยว?
?น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ? จู้ผิงอันโน้มกายแล้วรีบตะโกนไปยังนอกตำหนักปีกข้างทันที ?เตรียมเกี้ยวไปตำหนักรับรองอาคันตุกะ?
เซี่ยโหวเจวี๋ยหรี่ตาเล็กน้อย มองดูแผ่นหลังของเซี่ยโหวฮวนที่ลับหายไปอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็พลันเอ่ยขึ้น ?หวงคุน?
?บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ? หวงคุนเป็นขันทีผู้ดูแลใหญ่ประจำฝ่ายกิจการภายใน มีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยโหวเจวี๋ยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
?ขันทีทดสอบพิษหน้าพระพักตร์เมื่อวานเล่า?
?...ตามที่ท่านอ๋องทรงบัญชา เป็นตายปล่อยไปตามยถากรรมพ่ะย่ะค่ะ? แม้นท่านอ๋องทรงอนุญาตให้ขันทีผู้น้อยผู้นั้นออกไปจากวังหลวงหลังจากเสร็จงานได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาหารในงานเลี้ยงเมื่อวานนั้นมียาพิษอยู่ ขันทีผู้นั้นเกรงว่าจะตายอยู่ที่ห้องปีกข้างแล้วกระมัง
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ ฝ่าบาทกลับดูเหมือนจะไม่เป็นอันใดเลย
?ไปตรวจสอบมาซิ? เซี่ยโหวเจวี๋ยเอ่ยเสียงต่ำลึก
?บ่าวรับทราบพ่ะย่ะค่ะ? หวงคุนน้อมรับคำสั่ง ครั้นแล้วเดินออกไปด้วยฝีเท้าเร็วรี่
ภายในตำหนักอวี้ยางอันใหญ่โต เหล่าขุนนางพากันเดินเรียงแถวจากไป ในตำหนักว่างเปล่าไร้ผู้คน เซี่ยโหวเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ สายตาหยุดอยู่บนบัลลังก์มังกรหลังนั้น




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เขามีฐานะเป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับถูกผู้สำเร็จราชการกักบริเวณ ไร้ซึ่งอำนาจมานับสิบปี ซ้ำร้ายอาหารการกินก็ยังถูกวางยาพิษทุกวี่วัน หากอยากจะเดินไปเดินมาในวัง หาอาหารปกติๆ ทานยังต้องปลอมตัวเป็นขันที นี่มันชีวิตบ้าบออันใดกัน?! ทว่าในวันคืนที่เต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้านนี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่ปลอบประโลมความเหนื่อยล้าของเขาได้ ตอนที่ได้พบกันเป็นคราแรก เขาจับได้ว่านางแอบกินอาหารเพราะหิวจัดอยู่นอกห้องเครื่อง ท่าทางตอนนางตาแดงก่ำพลางขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องไปบอกใครทำให้เขาอดไม่ไหวต้องดูแลนางมากขึ้นอีกนิด มิหนำซ้ำนางยังกินอาหารที่มียาพิษแทนเขา
ดังนั้นต่อให้รู้ว่าการที่นางปลอมตัวเป็นขันทีลอบเข้ามาในวังเป็นเรื่องน่าสงสัย แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อใจ แค่เพียงอยากให้นางอยู่ข้างกายเขาเท่านั้น เดิมทีเขาคิดว่าความสุขมาอยู่ในมือแล้วแท้ๆ ทว่ากลับต้องรับรู้ว่านางกับสายลับของผู้สำเร็จราชการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันยิ่ง...

(เซี่ยโหวฮวนและซินเซ่าหมิ่น จากชายาจ้าวดวงใจ)


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”