New Release เหลียนฮวา : ยอดพธูพรางใจ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release เหลียนฮวา : ยอดพธูพรางใจ

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

?ซูต๋าจี่ ถึงตาเจ้าแล้ว?
ถึงตาข้า...หมายความว่าอย่างไร
สตรีชุดขาวซึ่งถูกคนผลักจนล้มไปด้านหน้ามีดวงตาอันน่าลุ่มหลง ริมฝีปากแดง ผิวพรรณขาวล้ำยิ่งกว่าหิมะ เอวคอดกิ่วราวกับต้นหลิว รูปร่างสะโอดสะองทำให้คนรักใคร่ทะนุถนอมยิ่ง เหมือนดอกซิ่ง ที่งดงามนุ่มนวลที่สุดดอกหนึ่งบนกิ่งไม้ซึ่งกำลังถูกสายลมพัดทำลายจนแกว่งไกวใกล้จะร่วงหล่น
ดวงตาคู่นั้นของนางงดงามนัก งามประดุจทะเลสาบยามฤดูสารทซึ่งมีแสงดาราแห่งคิมหันต์เคลื่อนคล้อยไปอย่างแช่มช้า ระยิบระยับพร่างพราว เปล่งประกายเจิดจรัส
งดงามทว่าไม่ดาษดื่น หยาดเยิ้มทว่าไม่ยั่วยวน ปลายหางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยสื่ออารมณ์หลากหลายคล้ายแย้มยิ้มแต่ก็ไม่เหมือน ริมฝีปากสีแดงสดที่หยักโค้งนั้นยกขึ้น ทันใดนั้นฟ้าดินพลันมืดหม่นประดุจไอวิญญาณแห่งเทือกเขาลำเนาไพรล้วนพุ่งเข้าสู่นัยน์ตางามกระจ่างของนาง
ดวงเนตรซึ่งเหมือนรองรับสายธารมาแต่ครั้งบรรพกาลคู่นั้นสุกใสปราศจากมลทิน เป็นความกระจ่างใสอันเกิดจากการไหลชำระสิ่งสกปรกจนตกตะกอนมานับพันนับหมื่นปีเท่านั้น สะอาดหมดจด เปล่งประกายราวกับหยกงาม ทำให้คนลุ่มหลงถลำลึก
?พี่สาว เรียกท่านนะ!?
ด้านหลังสตรีชุดขาวคือดรุณีน้อยนางหนึ่ง
?เอ๋! เรียกข้าด้วยเหตุใด ข้ากำลังคิดว่าจะเด็ดดอกพลับพลึงสีแดงเพลิงนี้มาทำมงกุฎดอกไม้ให้ตั่วตั่วอยู่? ซูต๋าจี่ชี้ไปยังจิ้งจอกสีขาวหิมะซึ่งกำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่รอบขานาง ในดวงตามีแต่ความปีติยินดี ปราศจากความทุกข์กังวลราวกับไม่รู้วันคืน
จิ้งจอกสีขาวหิมะเห่าราวกับลูกสุนัขตัวน้อย งับชายกระโปรงสีขาวของนางคล้ายจะดึงนางไปด้านหลัง ไม่ยินยอมให้นางเข้าใกล้แท่นวัฏสงสารซึ่งดูคล้ายวังน้ำวน หางสีขาวหิมะปุกปุยแกว่งไกวไปมาไม่หยุดเช่นกัน
?โอกาสที่เจ้าจะไปเกิดใหม่มาถึงแล้ว? ผู้พูดคือชายชราเคราขาวซึ่งมือหนึ่งถือไม้เท้าหยกเขียวแขวนน้ำเต้าสุราอยู่เบื้องสูง แผ่ปราณแห่งเซียนผู้หนึ่ง
?โอกาส??
พูดจาล้ำลึก เหตุใดถึงไม่ใช่เมื่อวาน ไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่ต้องเป็นตอนนี้
?ลิขิตสวรรค์มิอาจแพร่งพราย ชาตินี้เจ้าเข้าสู่โลกมนุษย์อีกครั้งก็เพื่อช่วยเหลือเหล่าสรรพชีวิตท่ามกลางเคราะห์ภัย มิอาจเพิกเฉยได้?
?ไม่ไปมิได้หรือเจ้าคะ ข้าไม่อยากไปจากตั่วตั่ว? ซูต๋าจี่กอดจิ้งจอกน้อยซึ่งมีสีขาวราวกับหิมะเอาไว้ นิ้วเรียวยาวลูบไล้เรือนขนของมัน
?ไม่ได้ นี่เป็นภารกิจสวรรค์ของเจ้า รีบไปเถิด เหล่ามนุษย์ทั้งหลายกำลังรอคอยเจ้าอยู่ จงโปรยเสน่ห์ให้เต็มที่...?
โปรยเสน่ห์เช่นนั้นหรือ
ทันใดนั้นทหารวิญญาณสีหน้าเคร่งขรึมก็กรูกันเข้ามา ฝืนบังคับให้นางดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง โดยไม่แยแสการต่อต้านขัดขืนของซูต๋าจี่
ก่อนถูกผลักลงไปในสระวัฏสงสาร นางยังคิดว่า ?ข้าถนัดยั่วยวนเสียที่ไหนกันเล่า ข้าเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเองนะ!?
จากนั้นท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจ นางลืมเรื่องในอดีตอย่างรวดเร็ว ครั้นตกลงสู่โลกมนุษย์นางลืมว่าตนเป็นใคร ทั้งยังจดจำไม่ได้ว่าตนมาจากที่ใด
?นางจะไหวหรือไม่? เสียงอันอบอุ่นไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชายเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
?พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มิอาจบอกได้ มิอาจบอกได้?


บทที่หนึ่ง

?ท่านแม่ จะต้องมอบน้องสาวให้ผู้อื่นจริงหรือเจ้าคะ ข้าจะกินน้อยลงอีกสักนิดแล้วให้น้องสาวกินข้าวต้มเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้ ข้า...ทิ้งน้องไม่ลง...?
ท่อนแขนของเย่เยวี่ยหรงในวัยเก้าขวบผอมแห้งราวกับท่อนฟืน นัยน์ตาทั้งสองแดงก่ำ เอ่อท้นด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึกไม่อาจหักใจ กอดน้องสาววัยสามขวบที่ยังผอมเสียยิ่งกว่านางด้วยความสิ้นหวัง
?ต้านิว เป็นเด็กดีนะ ปล่อยเอ้อร์นิวไปเถอะ พวกเราไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อแล้วจะมีข้าวต้มกินได้อย่างไร เจ้าเป็นพี่สาวคนโตก็ต้องเชื่อฟัง อย่า อย่าให้แม่เป็นห่วงเลยนะ...? สตรีโพกศีรษะซึ่งมีใบหน้าซูบเหลืองเช่นกันกล่าวพลางปกปิดใบหน้าและร่ำไห้เบาๆ เบ้าตาแดงก่ำ
?ท่านแม่ ข้าจะขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ ขุดนาหารังหนู เก็บไข่ไก่ ข้า ข้าเคยเห็นท่านพ่อสร้างกับดักจับกระต่ายมาก่อน พวกเราจะต้องดีขึ้นแน่ ไม่มีทางอดตายเจ้าค่ะ...? อย่างน้อยตอนนี้นางก็ปีนต้นไม้แล้วไม่ตกลงมาอีก ซ้ำยังเด็ดผลไม้เป็นอีกด้วย
สตรีผู้นั้นใบหน้าโศกาอาดูร ลูบไล้ดวงหน้าเล็กๆ ของบุตรสาวคนโตซึ่งทนหิวมานานจนซูบผอมเบาๆ ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ?แต่หน้าหนาวใกล้มาถึงแล้ว พอเข้าหน้าหนาวหิมะขนาดใหญ่ก็จะปิดกั้นเส้นทาง ไม่ต้องพูดถึงผักป่า กระทั่งหญ้าต้นเดียวก็มองไม่เห็น เจ้าอยากให้พวกเราทั้งบ้านหิวตายกันหมดหรือไร?
?ท่านแม่...? เย่ชิวหรงรู้ว่าครอบครัวยากจนเสียจนไม่มีอะไรจะกินเช่นกัน ทว่านางไม่อยากให้ครอบครัวแตกฉานซ่านเซ็น
?เยวี่ยหรง เจ้าลองดูน้องชายของเจ้าสิ เขาหนาวเสียจนหน้าตาม่วงไปหมดแล้ว หากไม่ได้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ เพื่ออุ่นกระเพาะอีก เจ้าคิดว่าเขาจะยังทนได้นานเท่าไรกันเชียว? เลือดเนื้อเชื้อไขเชื่อมถึงใจ นางจะยินยอมเฉือนก้อนเนื้อที่ออกมาจากร่างได้อย่างไร ถึงกระนั้นยามอับจนหนทางต่อให้ไม่ยอมก็ต้องยอม
ครั้นมองดูบุตรสาวคนเล็กซึ่งหนาวเสียจนร่างสั่นเทาอยู่ตลอด มารดาเย่จำต้องแข็งใจเบือนหน้าหนี แสร้งเป็นมองไม่เห็นรองเท้าคู่น้อยที่นางปะแล้วปะเล่าแต่ก็ยังคงขาดอยู่หลายรูคู่นั้น นางบอกตนเองอีกคราว่าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว นางเพียงอยากให้ลูกๆ มีโอกาสรอดต่อไปเท่านั้น ไม่ต้องทรมานจากความหิวและความหนาว
ตระกูลเย่เป็นตระกูลล่าสัตว์ ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ขณะที่บิดาเย่ยังมีชีวิตอยู่นั้นการดำรงชีพยังถือว่าไม่เลวนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงการมีเนื้อมีปลากินทุกมื้อ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่ม ทั้งยังเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อเครื่องประดับเครื่องเขียนอะไรให้บรรดาบุตรธิดาได้อีกหลายตำลึง
ทว่าเรื่องไม่คาดฝันบังเกิดได้ทุกเมื่อ คนเราย่อมมีขึ้นและมีลง มีสุขและมีทุกข์ เมื่อครอบครัวเย่กะเกณฑ์ว่าจะซื้อที่นาหลายหมู่ เพื่อเพาะปลูกพืชทนความหนาว บิดาเย่จึงขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อหาเงินให้เพียงพอแต่กลับย่างก้าวพลาดพลัดตกหุบเหวไป ยามที่หามกลับมานั้นเหลือเพียงลมหายใจรวยริน ยังมิทันได้สั่งเสียก็สิ้นลม ทิ้งเด็กและผู้ใหญ่ในครอบครัวแล้วจากโลกนี้ไป
บุปผามิอาจงดงามได้พันวัน ตระกูลเย่ครั้นสูญเสียเสาหลักก็เหมือนดั่งสายธารที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง สถานะครอบครัวนับวันยิ่งย่ำแย่ เริ่มขายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเดิมเก็บไว้เพื่อเป็นสินสมรสให้บุตรี
มารดาเย่เป็นสตรีที่แม้แต่มือก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะจับไก่จึงมิอาจทำงานหยาบได้ ยามสามียังมีชีวิตอยู่สิ่งที่ทำมากที่สุดก็คืองานจุกจิกภายในครัวเรือน ซักล้าง หุงหาอาหาร ปัดกวาดเช็ดถู หากจะเพิ่มอีกสิ่งก็คงเป็นการเลี้ยงไก่ เลี้ยงกระต่ายน้อยที่จับกลับมาจากบนเขาจำนวนไม่กี่ตัว
เมื่อเห็นว่าทั้งครอบครัวต้องกินแต่กลับไม่มีอะไรเข้ามาเติม บริโภคใกล้หมดไปเรื่อยๆ มารดาเย่จึงร้อนอกร้อนใจจนผมขาว ทั้งวันคิดหาหนทางว่าจะผ่านความยากลำบากตรงหน้าไปเช่นไร
ด้วยความบังเอิญขณะมารดาเย่กำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้น ครอบครัวตระกูลลู่ที่หมู่บ้านตีนเขาของภูเขาลูกนั้นกำลังหาสะใภ้เลี้ยง อยู่พอดี
ถึงตระกูลลู่จะมิได้ร่ำรวย แต่อย่างน้อยตระกูลลู่ก็มีที่นาหลายหมู่ไว้เพาะปลูก หากขยันขันแข็งลงที่นาเสียหน่อยก็ไม่ต้องอดตายแล้ว หากประสบกับปีที่อุดมสมบูรณ์ก็ยังมีเหลือเก็บอีกด้วย
มารดาเย่คิดแล้วคิดอีก เห็นว่าอายุของบุตรสาวคนรองเย่จ้าวหรงเหมาะสมพอดิบพอดี เพิ่งครบสามขวบไม่เล็กและไม่โต กำลังจดจำเรื่องราวและผู้คน มิหนำซ้ำยังไม่ติดคนจนเกินไปนัก ครั้นถึงบ้านผู้อื่นและอยู่จนคุ้นเคยแล้วก็ไม่กลัวแปลกหน้าอีก เพื่อเลี่ยงมิให้พออายุมากขึ้นและรู้ความจะร้องไห้กระจองอแงไม่อยากจากบ้านไป ซ้ำยังเอะอะโวยวายจนทำให้ทั้งสองครอบครัวต้องลำบากใจอีกด้วย
แม้จะรู้สึกทรมานใจอย่างมากกอปรกับทิ้งบุตรสาวซึ่งอุ้มท้องมาสิบเดือนไม่ลง แต่ครั้นมารดาเย่มองดูหนึ่งบุตรสาวสองบุตรชายซึ่งรายล้อมข้างกายก็จำต้องใจแข็ง สละหนึ่งเพื่อช่วยสามมันคุ้มค่าแล้ว
เย่เยวี่ยหรงได้แต่น้ำตาไหลริน เข้าใจดีว่าครอบครัวยากจนจริงๆ น้องสาวซึ่งอายุน้อยที่สุดช่วยงานอันใดไม่ได้ ได้แต่สิ้นเปลืองข้าวสารที่มีไม่มากเท่านั้น
แต่นั่นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของนางเชียวนะ! จะบอกให้นางทิ้งก็ทิ้งได้อย่างไรกันเล่า
หันหน้าไปดูน้องสาวคนเล็กซึ่งกำลังดูดนิ้วโป้งเดินตามหลังนางด้วยความใสซื่อ ร้องเรียกนางว่าพี่สาวอย่างอ่อนหวาน ใจของนางก็เจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากอีกครั้ง
?นอกจากนี้พอถึงบ้านผู้อื่นแล้วอย่างน้อยน้องสาวก็ยังมีข้าวกินใช่หรือไม่ ไม่เหมือนบ้านเราที่อดมื้อกินมื้อ ได้แต่กินก้อนแป้งข้าวห่อไส้ผักป่าให้อิ่มท้อง? คำพูดของมารดาเย่นี้ไม่รู้ว่าโน้มน้าวผู้ใด ยิ่งพูดก็ยิ่งรวดร้าวจนคนอดเช็ดหางตาเบาๆ ไม่ได้
?ท่านแม่ ท่านแน่ใจจริงหรือเจ้าคะว่าหากน้องสาวไปถึงตระกูลลู่แล้วจะได้กินอิ่มและพวกเขาจะไม่มีวันรังแกนาง? น้องสาวเด็กขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น
?ได้...? ได้สิน่า! มารดาเย่กล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย
ตามที่นางรู้มาลู่ซื่อหลางก็น่าสงสารเช่นกัน ปีนี้อายุแปดขวบ บิดาเป็นบุตรคนที่สามของตระกูลซึ่งจากโลกนี้ไปตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น มารดาของเขาอุ้มท้องทนผ่านไปได้หลายเดือน ต่อมาเมื่อคลอดเขาไม่นานก็ตายตามกันไปอีก เด็กน้อยจึงได้ท่านย่าเกาซื่อ อุปการะ
แต่ในครอบครัวยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องมากคนก็มากความได้ ลุงใหญ่และลุงรองของลู่ซื่อหลางยังนับว่าเป็นชาวชนบทที่ซื่อสัตย์ รักใคร่เอ็นดูบุตรกำพร้าของน้องชายมาก มักจะยัดลูกกวาด มันเทศเผา อะไรต่อมิอะไรลับหลังภรรยาอยู่เสมอ
ส่วนภรรยาของพวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่ดี แค่จิตใจออกจะคับแคบไปบ้าง โลกทัศน์ในการมองผู้คนและเรื่องราวต่างๆแคบนักจึงเลี่ยงการบ่นอุบเรื่องครอบครัวมีคนกินอยู่เปล่าๆ เพิ่มขึ้นมามิได้
เกาซื่อชราภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แข้งขาไม่คล่องแคล่ว มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่กับตัว นางคิดเสมอว่าหากวันหนึ่งนางลาโลกไป สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองซึ่งมีจิตใจคับแคบแม้จะเห็นแก่ซื่อหลางว่าเป็นหลาน ถึงไม่ทำให้เขาหิวตายแต่ก็คงไม่มีทางเอาใจใส่ซื่อหลางมากมายนัก
เมื่อนึกถึงจุดนี้เกาซื่อจึงเกิดความคิดสู่ขอสะใภ้เลี้ยงให้หลานชาย คิดว่าต่อให้ใช้ชีวิตยากลำบากอีกเพียงใดอย่างน้อยข้างกายหลานชายยังมีคนรู้ใจดูแล นางไม่อาจจากไปโดยไม่วางใจแน่
เย่เยวี่ยหรงมองไม่เห็นความลังเลบนใบหน้ามารดา นางเอาแต่เช็ดน้ำตา ออกแรงกอดร่างเล็กๆ ของน้องสาวซึ่งผอมจนเหลือแต่กระดูก ?เอ้อร์นิว บ้านเราเลี้ยงเจ้าไม่ไหว พอถึงบ้านผู้อื่นแล้วต้องเชื่อฟัง เจ้า...มีข้าวกินก็กินอย่าให้เหลือ?
?เจ้าค่ะ? เย่จ้าวหรงที่สวมเสื้อผ้าปะชุนขนาดใหญ่เกินตัวไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังไม่รู้จักว่าอะไรคือการจากลา นางนึกอย่างไร้เดียงสาว่าไปเยี่ยมญาติ
?ยังมีอีก ต้องกินให้อิ่มหน่อย กินให้พุงกาง เช่นนี้ถึงจะโตเร็ว มีเรี่ยวแรงทำงาน...? นางพูดไปๆ ก็น้ำตาร่วงอีก
?ได้เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ พี่อย่าร้องไห้เลยนะ! เอ้อร์นิวจะกินข้าว เอ้อร์นิวจะโตเร็วๆ จะหาเงินมาให้ท่านแม่ใช้มากๆ? เอ้อร์นิวรูปร่างผอมเล็ก ดวงหน้าน้อยๆ ตากแดดจนคล้ำเล็กน้อย อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้ายังดูไม่ออกว่างดงามหรือว่าอัปลักษณ์ จะมีก็เพียงดวงตาสุกสกาวกระจ่างใสซึ่งเห็นเด่นชัดเป็นพิเศษเท่านั้น ดุจดั่งฟ้าแจ้งหลังฝน ปราศจากมลทินใดๆ
?ได้ พี่ใหญ่ไม่ร้อง เจ้าต้องเป็นเด็กดีนะ หากพี่ใหญ่ว่างจะไปเยี่ยมเจ้า? ต้องให้อีกฝ่ายดีต่อเอ้อร์นิวเท่านั้นนางถึงรู้สึกวางใจ
ขณะนี้เย่เยวี่ยหรงหารู้ไม่ว่าจากนี้ไปนางจะยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ต้องช่วยเรื่องการเงินของครอบครัวและยังต้องดูแลน้องชายอายุน้อยอีก อายุไม่ถึงสิบสามก็ถูกบังคับให้แต่งเป็นอนุของนายท่านหลิวที่อยู่ในตำบลซึ่งอายุเป็นท่านปู่ของนางได้ นับแต่นั้นก็ถูกกักอยู่ในส่วนลึกของเรือนด้านใน น้อยครั้งที่จะได้ออกมา
?เอาละๆ ไม่ร้องแล้ว นี่เป็นเรื่องดี ทำไมถึงร้องไห้โยเยกันเล่า! ต้องหัวเราะเฮฮามีความสุขสิ อ้าปากกว้างๆ หน้าตามีความสุข ดูสิวันนี้เป็นวันดีขนาดไหนเชียว? ครั้นย่างเข้าประตูและเห็นภาพเช่นนี้ก็รู้แจ้งแก่ใจ แม่สื่อจางซึ่งเป็นคนกลางชูผ้าเช็ดหน้าสีแดงขนาดใหญ่ร้องเสียงสูง หัวเราะดีใจยิ่งกว่าบุตรสาวของตนออกเรือนเสียอีก นั่นเพราะมีเงินให้ใช้
?ใช่แล้วล่ะ! อย่าร้องกันเลย เสียมารยาทเกินไปแล้ว? ต่อหน้าคนนอกมารดาเย่ฝืนยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นจึงดึงมือบุตรสาวและมองดูกลุ่มคนที่มาพาบุตรสาวของตนไปด้วยดวงตาแดงก่ำ ?ไม่รู้ว่าท่านไหนคือบ้านเขย ให้ข้าได้รู้จักเสียหน่อยจะได้คุ้นหน้าคุ้นตากัน?
?ข้าเป็นย่าของเขา แซ่เกา? ท่ามกลางกลุ่มคนมีหญิงชราเรือนผมขาวครึ่งศีรษะนางหนึ่งเดินออกมา สีหน้ามีเมตตากรุณา สายตาที่มองเย่จ้าวหรงเห็นชัดว่าพึงพอใจยิ่ง
นางไม่ขอหลานสะใภ้ที่ฉลาดหลักแหลม ขอเพียงเชื่อฟังมีความอ่อนโยน สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลหลานชายก็พอแล้ว ภรรยาดีสามีแย่นั้นมีน้อย ต้องไม่ก่อปัญหาก่อนถึงจะประคับประคองครอบครัวไปได้
?นายหญิงผู้เฒ่าสวัสดีเจ้าค่ะ ลูกสาวของข้าคนนี้ทึ่มไปเสียหน่อย จากนี้ต้องรบกวนท่านดูแลแล้วเจ้าค่ะ? มารดาเย่ดันบุตรสาวมาด้านหน้า ไม่มีใครมองความอาวรณ์ในใจของนางออก
เกาซื่อดึงเย่จ้าวหรงมาข้างตัวด้วยท่าทางพิกลคล้ายกลัวตระกูลเย่จะชิงลูกสาวกลับไป แสร้งมองดูสภาพของนางว่าดีหรือไม่ ?ไม่ต้องๆ พวกเราก็ถือว่าเป็นคนกันเอง เรียกท่านย่าบ้านเขยก็พอแล้ว อย่าเรียกนายหญิงผู้เฒ่าเลย เรียกจนข้ารู้สึกไม่ดี?
ก็แค่ยายแก่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในนาเท่านั้น ไหนเลยจะยกเทียบกับฮูหยินของคนร่ำคนรวยเขาได้ เกาซื่อรู้ตัวดี
?ท่านย่าบ้านเขยเกรงใจไปแล้ว ที่บ้านไม่มีอะไรดีๆ รับรอง ดื่มชาเย็นสักชามเพื่อดับร้อนเสียหน่อย? มารดาเย่หาน้ำหาสุราที่เหมาะสมไม่ได้จึงได้แต่ใช้น้ำชารับแขก
อันที่จริงความยากจนของตระกูลเย่ก็วางให้เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองและพยายามทำให้พึงพอใจทั้งๆ ที่ไม่สามารถ ผู้ที่ใช้ชีวิตต่อไปได้ใครจะเอาลูกในไส้ให้ผู้อื่นกัน
เกาซื่อที่รับชาเย็นมาดื่มลงไปอึกใหญ่ หัวเราะตาหยีพลางดึงเด็กชายตัวน้อยขี้อายด้านหลังออกมา ?นี่คือซื่อหลางของบ้านข้า คนออกจะขี้อายเสียหน่อย แต่เป็นคนจริงจังไม่กะล่อนปลิ้นปล้อน เจ้าก็มาดูๆ เสียหน่อย อย่าจำเขยขวัญผิดคน?
?รูปร่างแข็งแรงล่ำสันมาก โดยเฉพาะคิ้วทั้งสองนี้ช่างงามนัก ทั้งดกทั้งดำ ต้องเป็นคนขยันทำมาหากินและรักเมียแน่ วันหลังแม่ยายอย่างข้าก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว? สำหรับเด็กอายุแปดขวบรูปร่างแบบนี้ก็ถือว่าสูงแล้ว มารดาเย่ยิ่งพินิจก็ยิ่งถูกใจ
ลู่ซื่อหลางรูปร่างสูง มีผิวดำคล้ำอย่างเด็กชาวไร่ชาวนา อาจเพราะมาขอสะใภ้จึงแต่งตัวนับว่าเข้าทีอยู่บ้าง สวมรองเท้ากลางเก่ากลางใหม่คู่หนึ่ง ดูออกว่าทะนุถนอมมาก น้อยครั้งที่จะสวมใส่ ไม่ค่อยมีรอยขาด เสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดหมดจดทั้งชุด แม้สีจะซีดเล็กน้อยแต่ก็สะอาดใช้ได้ มีความจริงใจดี
ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มเขินอายท่าทางกระสับกระส่ายเล็กน้อย ยิ้มแหยเกาหลังศีรษะตนเองไม่หยุด แอบมองประเมินสะใภ้ตัวน้อยของเขาอยู่เป็นระยะ
เมื่อเอ่ยว่าเลี้ยงหลานชายได้ดีเกาซื่อก็รู้สึกกระหยิ่มใจยิ่งนัก ?จะไม่ใช่ได้อย่างไร เลี้ยงดูด้วยข้าวสามมื้อ ถึงไม่ได้มีเนื้อมีปลาทุกมื้อ แต่ทุกสิบวันครึ่งเดือนก็ยังแล่เนื้อหมูสองสามชั่ง มาเป็นอาหารมื้อพิเศษบ้าง ลูกสาวบ้านเจ้าพอมาถึงตระกูลลู่ของเราขอรับรองว่าไม่มีหิว?
?เช่นนั้นก็ดีทีเดียว รีบๆ พาไปเถิด! จะได้ประหยัดข้าวของบ้านข้าหน่อย ใกล้จะเลี้ยงนางไม่ไหวแล้ว? สิ่งที่มารดาเย่กล่าวนั้นคือความจริง ต่อให้ใจเจ็บปวดรวดร้าว ไม่อยากให้ผู้อื่นพาบุตรสาวไปตั้งแต่แรก แต่คนจนจะมาพูดถึงเรื่องปณิธานมุ่งมั่นอะไรกันอีก ขอแค่มีชีวิตรอดต่อไปก็พอแล้ว
?อย่าอาวรณ์ไปเลย เช่นนั้นข้าจะพาไปแล้วนะ จากนี้ไปพวกเราสองตระกูลก็ไปมาหาสู่กันให้มากสักหน่อย ถึงอย่างไรก็ตัดสายสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่ขาด? เกาซื่อใช้มือหนึ่งจูงเด็ก เหมือนที่จับแน่นอยู่นั้นคือคนในบ้านตน ?เจ้าใหญ่ เจ้ารองยังยืนบื้อหาอะไรอีก รีบไปเอาข้าวมาวาง หรือพวกเจ้ายังอยากแบกกลับไปกินเองที่บ้านให้ได้?
ชาวไร่ชาวนามือเท้าเงอะงะสองคนฝืนหัวเราะดังฮ่าๆ แล้วรีบวางข้าวสองถุงบนบ่าลงที่พื้น
ราคาที่ตระกูลเย่ ?ขาย? บุตรสาวคือข้าวขาวร้อยชั่งกับเงินสามตำลึง โชคดีที่ปีนี้เก็บเกี่ยวดี ไม่ประสบเหตุลมฟ้าฝนอันใด เกาซื่อเก็บรวบรวมตรงนั้นตรงนี้จึงพอฝืนรวบรวมสินสอดที่สมน้ำสมเนื้อได้จำนวนหนึ่ง เพื่อปลอบใจความอาลัยอาวรณ์ของตระกูลเย่ได้บ้าง ถือว่ายังพอฝืนให้ทนผ่านไปได้สักปีหนึ่ง
?ท่านแม่...?
หลังโอภาปราศรัยกัน เย่จ้าวหรงซึ่งถูกจูงเดินจากบ้านไปสามก้าวก็หันหน้ากลับมามอง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่และบรรดาพี่ชายพี่สาวถึงยืนอยู่ตรงประตู มองดูนางแล้วร้องไห้ นางอยากบอกพวกเขามากว่าอย่าร้องไห้ทว่ามือน้อยกลับถูกกุมจนแน่น นางสะบัดไม่หลุดจึงทำได้เพียงเดินตามท่านย่าที่ยิ้มแย้มอย่างมีเมตตาไปทีละก้าว
ตระกูลเย่และตระกูลลู่ดูแล้วก็อยู่กันไม่ไกลนัก กั้นด้วยภูเขาหนึ่งลูกเท่านั้น ด้วยฝีเท้าของผู้ใหญ่ครึ่งวันก็ไปถึงแล้ว ทว่าสำหรับคนที่ไม่คุ้นเส้นทางโดยเฉพาะเด็กเล็ก นั่นช่างเป็นระยะทางที่ชาตินี้เดินอย่างไรก็ไม่ถึงจุดหมาย
ไม่ทันระวัง เย่จ้าวหรงที่เดินไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็สะดุดเข้ากับหินก้อนหนึ่งที่นูนขึ้นมา นางรู้สึกเจ็บเท้าขึ้นมาทันทีจึงนั่งยองๆ ลงไป หยาดน้ำตาสองสายผุดออกมาจากดวงตากระจ่างใสทั้งคู่โดยพลัน...
?เป็นอะไรไป เดินไม่ไหวใช่หรือไม่? ลู่ซื่อหลางที่แอบเหล่มองเย่จ้าวหรงอยู่เป็นระยะวิ่งมาข้างกายนางอย่างตื่นตระหนก
?พี่ชาย เจ็บ...? เหตุใดท่านแม่ถึงไม่มา นางอยู่ตัวคนเดียวรู้สึกกลัวมาก
?เจ็บตรงไหนบอกพี่ชายซิ? ลู่ซื่อหลางลูบมือนางทั้งยังแตะๆ หน้าผากของนางอีกด้วย กลัวว่านางจะไม่สบาย
?เจ็บเท้า? นางชี้ไปที่นิ้วเท้าซึ่งทะลุรูรองเท้าออกมาและมีเลือดออก เล็บเท้ายังฉีกเล็กน้อยอีกด้วย
?เอาละ เด็กดี เจ้าไม่ร้องนะ พี่ชายจะแบกเจ้า พอกลับบ้านแล้วพี่ชายจะช่วยใส่ยาให้เจ้า? เขานั่งยองๆ ลงไป เตรียมแบกดรุณีน้อยขึ้นมา
?อื้ม! เอ้อร์นิวเป็นเด็กดีมาก? เย่จ้าวหรงสูดจมูกอดทนไม่ร้องไห้ สภาพตาแดงเช่นนั้นทำให้รู้สึกน่าเวทนาเสียจริง
เกาซื่อที่อยู่ด้านข้างและคนตระกูลลู่อย่างลุงใหญ่กับลุงรองครั้นเห็นภาพนี้ต่างรู้สึกว่าเอ้อร์นิวของตระกูลเย่คนนี้จะว่าผอมก็ผอมไปเสียหน่อย แต่ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาทำให้คนรักใคร่ยิ่งนัก เห็นแล้วก็อดยิ้มมิได้
?โอ้! ถนอมสะใภ้เป็นแล้วนะเจ้าหนู? มือใหญ่ข้างหนึ่งขยี้ศีรษะลู่ซื่อหลาง ขยี้จนผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง
?ท่านลุงใหญ่...? ลู่ซื่อหลางหน้าแดงก่ำ
?จะมาเขินอะไรกันเล่า ผ่านไปอีกไม่กี่ปีเจ้าก็จะได้อยู่กับสะใภ้อย่างมีความสุข ถึงเวลาก็จะรู้จักรสชาติแล้วล่ะ? ตอนนี้เขายังเล็กคงต้องทนไปก่อน
?เจ้ารองพูดบ้าๆ อะไรกับเด็ก เหลวไหลจริงๆ? เกาซื่อเม้มปากกล่าวตำหนิ ถึงกระนั้นในดวงตากลับมองเห็นความยินดีและความสบายใจที่ได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้ง
ลุงรองลู่ที่เกาหัวแกรกๆ หัวเราะร่วน ?ท่านแม่ ข้าสอนซื่อหลาง รอวันหลังพอเขาโตแล้วท่านจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจ?
?ดูปากเจ้านี่สิ ยิ่งพูดก็ยิ่งแย่ ซื่อหลางเพิ่งจะกี่ขวบกัน ถ้าสอนเขาจนเสียคนดูซิว่าเจ้าจะแก้ตัวกับเจ้าสามเช่นไร?หลานชายตัวน้อยคนนี้ต้องค้ำจุนครอบครัวตามลำพัง ไม่ง่ายดายเลย นางต้องฝืนมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีๆ อีกหลายปี...เกาซื่อมองดูลู่ซื่อหลางพลางรู้สึกรวดร้าวใจ ร่างกายของนางใช้การไม่ได้ไปเรื่อยๆ จะจากไปเมื่อไรก็ไม่แน่ นางเป็นห่วงว่าตัวเองจะอยู่ไม่ถึงหลานชายโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าสะใภ้จิตใจคับแคบสองคนนั้นจะปฏิบัติต่อเด็กคนนี้เช่นไร
เมื่อคิดเช่นนี้จิตใจซึ่งกว่าจะผ่อนคลายลงได้ของเกาซื่อจึงหนักอึ้งขึ้นมาอีก สายตาที่มองดูหลานชายทวีความกังวล
ครั้นเอ่ยถึงน้องชายที่จากไปลุงรองลู่จึงเก็บรอยยิ้มแล้วสูบยาสูบ ?ไม่สอนจนเสียคนหรอก ต่อให้ซื่อหลางของพวกเราอยากก็ต้องรอถึงสิบปีนะขอรับ ว่าแต่แม่หนูตระกูลเย่คนนี้อายุสามขวบจริงหรือ ข้าว่ายังไม่ถึงสองขวบเลยกระมัง! ดูตัวที่ผอมเสียจนใหญ่ไม่เท่าขาของข้านั่นสิ จะเลี้ยงจนโตได้หรือไม่ยังพูดยากเลย?
ปีนี้มีบ้านไหนที่เด็กไม่ตายสักคนหรือสองคนกันบ้าง แม้พูดว่าตระกูลลู่ไม่ถึงกับทำให้เด็กหิวตาย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้นบ้าง
?เจ้ารอง!? พูดจาเหลวไหลอะไรต่อหน้าเด็กกัน ถ้าใส่ใจมากขึ้นสักหน่อยจะมีเหตุให้เลี้ยงไม่โตได้ที่ไหน
?ท่านลุงรอง ข้าจะทำงานให้มากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูนาง หากข้ามีข้าวกินมื้อหนึ่งนางก็จะไม่หิว? ลู่ซื่อหลางสะกดกลั้นลมหายใจ คล้ายกำลังงอนผู้ใดอยู่ก่อนจะตอบด้วยความอัดอั้น
เมื่อเห็นเขาพูดจาใหญ่โตลุงรองลู่จึงหัวเราะร่าออกมาอีกครั้ง ?เจ้าจะทำได้สักเท่าไรเชียว อย่าได้ขุดหลุมจนฝังตัวเองล่ะ ฝังจมลงดินไปครึ่งตัวก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว?




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นางถูกตระกูลลู่รับเข้ามาเป็นสะใภ้ตั้งแต่เยาว์วัย ครั้นเติบใหญ่ป้าสะใภ้กลับจะให้นางแต่งเป็นอนุของเศรษฐีเฒ่า นางไม่ยอมแต่งถึงได้เดินทางหลายคืนมาเมืองหลวงเพื่อตามหาคู่หมั้น ทว่าชีวิตกลับพลิกผันเข้าสู่หอนางโลม ส่วนหอนางโลมก็เป็นสถานที่ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อที่ไปมาหาสู่ เช่นนั้นการอยู่ต่อเพื่อตามหาคนย่อมสะดวกนะสิ ฮิฮิ นางฉลาดจริงๆ!
ดูสิ เจ้าของหอคณิกาตรงหน้ามิใช่หรือที่บอกว่าถ้านางเป็นสายให้ก็จะช่วยนางตามหาพี่ซื่อหลาง ดังนั้นนางจึงแปลงกายกลายเป็น ?ของขวัญ? มอบแก่ผู้บัญชาการตงฉ่าง ทุกวันต้องบันทึกว่าเขากินข้าวกี่ชาม ไปสุขากี่ครั้ง ทุ่มเทความพยายามแทบแย่ แม้แต่ผู้บัญชาการยังชื่นชมนางยิ่ง ชอบพูดเสียงโหดกับนางว่า ?ดีมาก? แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่กล้ารายงาน นั่นก็คือ...เอ่อ กลางดึกเขาชอบเอา ?ดาบประจำตัว? มาทิ่มนาง เฮ้อ คนผู้นี้แม้แต่ตอนนอนทำไมถึงยังไม่วางใจอีก หรือผู้ที่เป็นขันทีต่างก็ระแวงเทพระแวงผีกัน...


รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”