New Release BLY : GULA เสพเสี้ยวความรัก

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY : GULA เสพเสี้ยวความรัก

โพสต์ โดย Gals »

Prologue

วินาทีที่เห็นอีกฝ่าย เขามั่นใจแล้วว่านี่คือ 'เหยื่อ' อันโอชะ
ความอยากอาหารผิดมนุษย์ รสนิยมกลืนกินในสิ่งที่ผิดแปลก
บาปสองคือตะกละ หลงใหลในการสวามปามและลิ้มรสมากกว่าสิ่งใด
เลิกสนใจพระเจ้า เลิกสนใจสิ่งรอบตัว
มองเห็นแต่ตัวเอง สนองความต้องการเพียงแต่ตนเอง จนสุดท้ายกลับต้องสูญสิ้นความเป็นตัวตนไป
กิน กิน กิน ให้มากกว่านี้
บีเอลซิบับ ราชาแห่งแมลงวัน เทวดาตกสวรรค์ที่ไม่คิดศรัทธาในตัวพระเจ้า ความไร้สาระและงมงายไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น
นี่ไม่ใช่เรื่องราวแฟนตาซี
ไม่สิ
คุณแค่มองไม่เห็นเท่านั้น


Chapter 1
กลับถิ่นเกิด

ชายหนุ่มรินของเหลวสีแดงใส่แก้วไวน์ ทว่าสีของมันดูไม่ค่อยน่าสิเน่หาเท่าใดนัก ดวงตาจ้องมองมันด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะยกขึ้นดื่ม ทันทีที่ของเหลวสัมผัสกับลิ้น เขาชักสีหน้าแล้วเหวี่ยงแก้วทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี
"บัดซบที่สุด นี่นายโตมาด้วยของชั้นต่ำพรรค์นี้เชียวหรือ ไอ้มาเฟียโสโครก" ชายหนุ่มว่าพลางหันไปมองร่างที่บิดเบี้ยวไร้ชีวิตของจำเลยพลางถ่มน้ำลายรดหน้า
เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะดำดิ่งอบายมุขมากมาย และกอดรัดมันเอาไว้จนตัวตายเช่นนี้
เขาเช็ดมุมปากที่เปื้อนแล้วกดปุ่มโทรศัพท์เรียกคนข้างนอก
"คนนี้ใช้ไม่ได้" เขาว่า "ช่วยเข้ามาเอาไปทำลายทิ้งเดี๋ยวนี้เลย เรดาร์พวกนายพังกันแล้วหรือไง ถึงเป็นพวกมาเฟียฉันก็เลือกกิน พวกนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเลือดโคลน ไม่น่าดื่ม"
พูดจบเขาวางสายด้วยความขุ่นเคืองใจ เมื่อหันไปมองร่างนั้นยิ่งไม่สบอารมณ์ เขาเบือนหน้าหนีแล้วเดินจากไปโดยไม่คิดหันหลังกลับ
ของที่พอกินได้ยิ่งหายาก เขาถึงเสาะแสวงหาของชั้นดีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ยังไม่สามารถหาเจ้าของที่มีรสเลิศเช่นนั้นได้สักครั้ง เลือดแบบนั้นจะหาได้จากไหน เขาเองยังคิดไม่ออก
"ยากจริงๆ เลย"
เขาได้แต่ถอนหายใจ และทิ้งทุกอย่างไว้ด้านหลังดังเช่นทุกที

หลังจากออกจากห้องทดลอง ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังทิศทางที่คุ้นเคย เสื้อกาวน์ที่สวมใส่พลิ้วไหวไปมาตามแรงเดิน เสียงฝีเท้าดังอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งถึงหน้าห้องหนึ่งแล้วเคาะประตูสองครั้งตามมารยาท
สถานที่เรียกได้ว่าเป็นฐานลับอีกแห่งของกลุ่มองค์กร อยู่ในกลุ่มประเทศบอลติกที่มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองมานาน เรื่องนั้นเขาไม่เคยสนใจ ไม่ว่าสถานการณ์ของประเทศจะเป็นเช่นไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาและงานที่ทำ
เมื่อประตูเปิดออก เผยให้เห็นชายสามคน หนึ่งในนั้นมีคนที่คิดว่าพอสนิทมักคุ้นอยู่
"อ้าวพี่ธัน ลมอะไรหอบมาครับเนี่ย"
ชายในเสื้อกาวน์ที่ถูกเรียกว่าธันย่นคิ้วลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานด้านใน เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มวัยสิบหกดวงตาสองสีกำลังนั่งนิ่ง ในมือถือแก้วกาแฟขนาดใหญ่ และบรรยากาศรอบตัวยังคงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ชายหนุ่มหันไปคุยกับคนที่ทักเมื่อตอนเข้ามา เขาคือคนสนิทของเด็กหนุ่มดวงตาสองสีชื่อเรน หรือมิสเตอร์เรนที่ใครๆ รู้จักในฐานะตัวแทนกลุ่มเจรจาขององค์กร
"คำถามนั้นฉันควรเป็นคนถามมากกว่าไม่ใช่หรือไง" เขาบอกพลางหลับตาลง
ประเทศแม่ที่ไม่คิดกลับไปเหยียบ แต่วันนี้เขาถูกบอกให้ไปประจำการอยู่ที่นั่นชั่วคราวเพราะคำสั่งของเด็กหนุ่มดวงตาสองสี ชุนอวี้ผิง ผู้นำสูงสุดในองค์กรคนปัจจุบันและผู้รับมรดกเพียงหนึ่งเดียวจากรุ่นก่อนทั้งที่ไม่ใช่สายเลือด
ธันรู้ว่าผิงคือเด็กที่ผู้นำคนก่อนเก็บมาเลี้ยง สอนสั่ง เฝ้าดู ให้กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้มีศักยภาพเหนือเด็กธรรมดาทั่วไป ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริง ใบหน้าฉาบไว้ด้วยความเรียบเฉยประดุจน้ำนิ่ง แม้กระทั่งดวงตาที่ต่างสียังไม่เคยเผยให้เห็นความวูบไหวสักครั้ง สำหรับเขาแล้ว เด็กหนุ่มคือคนที่ไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวด้วยเท่าใด แต่ถึงอย่างนั้นก็ขัดคำสั่งของอีกฝ่ายไม่ได้
"ผมมีธุระกับพวกแถบชายแดนประเทศไทย อยากให้พวกพี่ไปด้วยกันเผื่อมีอะไรฉุกเฉิน และอยู่ที่นั่นสักระยะระหว่างที่ผมไปอิตาลี" เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
"พี่ธันจะอยู่กับคนของพี่ไผ่จนกว่าผมจะกลับมา"
"อยู่คนเดียวน่ะรึ"
ผิงกลอกตาหันไปมองเรนที่ยืนคู่กันกับเขา เหมือนกำลังชั่งใจแล้วบอกว่า
"ครับ เพราะผมจะพาเรนไปด้วย"
"เฮ้ ฉันยังไม่ตกลงเลย" เรนท้วง
"เรื่องที่อยากบอกพี่มีแค่นี้แหละครับ อยากให้พี่เตรียมตัว เราจะเดินทางกันวันมะรืน" ผิงทำหูทวนลมกับคำพูดของเรนโดยสิ้นเชิง เรนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ลงได้ตัดสินใจแล้วคงเปลี่ยนใจลำบาก
ทว่าสิ่งที่ธันนึกถึงกลับไม่ใช่เรื่องที่อยู่ภายในห้อง หากเขาไป แน่นอนว่ามันอาจจะ...
"พี่วิคเตอร์จะช่วยดูแลแล็บของพี่ธันให้ครับ ผมรับปากว่าจะรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยไม่เกินสามเดือน"
คำมั่นสัญญาจากปากเด็กหนุ่มวัยสิบหกนั้นมีอานุภาพน่าเหลือเชื่อ ธันพยักหน้าตกลงอย่างลังเลแต่ก็วางใจ หากอีกฝ่ายรับปากแล้วคงไม่มีอะไรต้องห่วง
ร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา หากต้องการผลลัพธ์ที่ยืนยาวเขาต้องเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อการทดลอง เฝ้าคอยบอกตัวเองเสมอว่าตนไม่ได้ทำอาชีพเดิมอีกแล้ว ถูกถอดถอนใบประกอบโรคศิลป์ ถูกขับไล่ออกจากบ้าน เขาไม่มีที่ยืนสำหรับวิชาชีพนี้ สิ่งที่ทำได้คือการเดินหน้าในสิ่งที่ยึดมั่นมาตลอดเจ็ดปี แม้ตนจะกลายเป็นปีศาจก็ไม่เป็นไร
ธันหลับตาลงสักพักแล้วจึงเอ่ยถาม
"มีอะไรอีกหรือเปล่า"
ผิงจ้องมองเขาด้วยสายตาแบบเดิมแล้วเอ่ยว่า
"เก็บขยะในห้องให้แล้วครับ"
ธันพยักหน้าอีกครั้งก่อนหมุนตัวกลับออกจากห้องไปยังทิศที่ตนจากมา ไม่มีอารมณ์ใดเป็นพิเศษ ความหมกมุ่นต่อสิ่งรอบข้างแทบเป็นศูนย์ ลมหายใจที่พ่นออกทุกวันนี้มีเพียงเพื่อสิ่งเดียว หากมันจบลง ชีวิตเขาคงจบตามไปด้วย
"ประเทศไทยงั้นเรอะ..." ธันพึมพำ ก่อนจะส่ายศีรษะสลัดความคิดไม่น่าพิสมัยออกจากหัว
ความทรงจำแย่ๆ พรรค์นั้นไม่มีผลต่ออารมณ์ต่อไปแล้ว เขามั่นใจว่าสะกดมันไว้ใต้ก้นบึ้งในใจชนิดที่ว่าคงไม่มีใครงัดมันออกมาได้อีก

ครั้งแรกที่เหยียบพื้นประเทศไทยหลังจากที่ห่างหายไปเจ็ดปี กลิ่นบรรยากาศเดิมกลับมา เสียงภาษาพูดคุยที่รู้จัก การจราจรที่ติดขัดของเมืองหลวง พวกเขาถูกสั่งให้พักบ้านหลังหนึ่งในชานเมืองโดยที่ผู้นำกลุ่มนั่งเครื่องบินมุ่งลงใต้
"ทำไมฉันต้องมาติดแหง็กกับนายแบบนี้ด้วยวะ" เขาอดที่จะถามอีกคนไม่ได้
ตอนแรกที่ตกลงคือการได้อยู่บ้านหลังนี้พร้อมกับบอดี้การ์ดฝีมือดีสองสามคน แต่วันนี้กลับเป็นชายหนุ่มหน้าตายิ้มระรื่นไม่ทุกข์ร้อนเพียงคนเดียวไปซะนี่
เรนหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว
"มีผมไว้อุ่นใจกว่าพวกนั้นอีกนะครับ ถึงกลุ่มเราจะจ้างแต่คนฝีมือดี แต่ไม่มีใครสู้ผมได้หรอกนะ"
"ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน"
"ผมพูดเรื่องจริงต่างหาก"
ธันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลง แค่ความรู้สึกที่ผืนแผ่นดินนี้ไม่เปิดต้อนรับเขาก็แย่พออยู่แล้ว ยังจะมาเจอความน่าเบื่อของคนที่พูดคุยกันคนละภาษาแบบนี้อีก ยิ่งรู้สึกวุ่นวาย
ใจอยากกลับไปหาสิ่งที่จากมาใจจะขาด ได้แต่กดโทรศัพท์เพื่อส่งเมลไปหาเป็นครั้งคราวเท่านั้น เมื่อไรจะสามเดือนสักที ในระหว่างที่คิดถึงชีวิตข้างหน้าอย่างหนักใจเรนก็สะกิดเขาเบาๆ
"งั้นคืนนี้ไปหาที่ระบายดีไหมครับ"
"ที่ระบาย?"
"หมกอยู่แต่บ้านพักแบบนี้อึดอัดแย่ พี่ธันคงไม่คิดว่าผมจะสงบเสงี่ยมอยู่ที่นี่รอผิงกลับมาหรอกใช่ไหม แถมยิ่งหมอนั่นคิดจะลากผมไปอิตาลีด้วย ต้องทำตัวไม่ว่างเข้าไว้ครับ"
สิ่งที่อีกฝ่ายบอกมานั้นธันเข้าใจได้ในทันที หากพูดถึงเรื่องผ่อนคลาย คนที่นอนกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่ซ้ำหน้าอย่างเรนแล้วคงมีเรื่องเดียว แต่ตัวเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวสถานที่แบบนั้น หากจะให้นึกถึงความผ่อนคลายคงเป็นเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้
ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ถ้าตัวยังนั่งแหมะอยู่ที่นี่ ซ้ำยังเหมือนถูกปล่อยเกาะโดยสิ้นเชิง เพราะเขาคือคนที่ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงห้ามแสดงตัวตนบนโลกของคนปกติ
"เอาสิ แต่ฉันคงไม่มีส่วนร่วมกับนายหรอกนะ"
"แบบนั้นก็ไม่สนุกสิครับ"
"อย่าเอาฉันไปรวมกับนายหน่อยเลย จะบอกอะไรให้ ยิ่งนายมักมากในกามมากเท่าไร ร่างกายยิ่งเสื่อมเร็วเท่านั้น"
เรนหน้ายู่ลงเล็กน้อย แต่ยังไม่วายผุดยิ้ม
"ขู่ไปก็ไม่กลัวหรอกครับ เอาเป็นว่าคืนนี้เราไปนั่งเล่นกัน ถ้าไม่เวิร์กผมจะพาพี่กลับเอง โอเคไหม"
สัญญาแบบเด็กเล่นนั้นธันไม่เคยคิดจริงจัง ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วลอบถอนหายใจ พูดไปสองไพล่เบี้ย คงไม่คิดทำตามอยู่แล้ว หากเจอผู้หญิงหรือหนุ่มที่ถูกใจ สุดท้ายก็ต้องหิ้วไปอยู่ดี
เรนเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ธันจึงคิดว่านั่นคงเป็นฟีโรโมนเฉพาะตัวที่ไม่ว่ากับใครก็ต่างลุ่มหลงชนิดถอนตัวไม่ขึ้น เรนจึงได้รับบทเป็นด่านหน้าในการเจรจาธุรกิจเป็นหลัก ไม่มีทางที่ไม่สัมฤทธิผล จะบอกว่าเบื้องหลังขององค์กรที่ก้าวหน้าได้ดีขนาดนี้เป็นเพราะเรนคงไม่ผิดเสียทีเดียว
คนที่ชุนอวี้ผิงไว้ใจมากกว่าผู้ใด แล้วเขาต้องมาอยู่กับคนคนนี้ เอาเถอะ ถือว่าเป็นการพักผ่อน ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นเจตนาที่แท้จริงของชุนอวี้ผิงก็ได้

เรนพาธันมาดื่มในผับแห่งหนึ่ง ณ ย่านดังของเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ แต่เดิมธันไม่ใช่คนชอบสังสรรค์เท่าใดนัก ยิ่งอายุขึ้นเลขสามแล้วยิ่งทนฟังเสียงหนวกหูของเพลงตะลึงตึงตังไม่ไหว หน้าเบ้ทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพาเขามายังสถานที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นดื่มเต้นกันอย่างสนุกสนาน เรนหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษก่อนจะพาเขาแทรกตัวไปด้านใน
ธันสลัดชุดกาวน์ออกเป็นเสื้อผ้าทันสมัย ชุดนี้เรนเป็นคนเลือกให้โดยให้เหตุผลว่าธันเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการแต่งตัวพอๆ กับเรื่องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
เรนเลือกที่นั่นบนชั้นลอยติดราวจับ เพียงแค่ชะโงกก้มมองจะเห็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ดิ้นกันมันตามบทเพลง มีดีเจคอยมิกซ์เพลงลีลาเท่ๆ อยู่ด้านหน้า แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วมันดูรำคาญตาอย่างไรชอบกล
"ในนี้สูบบุหรี่ได้ไหม" ธันถามพลางหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เรนหันหน้าไปถามบริกรที่มารับออเดอร์ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มพยักหน้าธันจึงหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งให้เป็นรางวัล
"ใจป้ำไม่เบานี่พี่ธัน"
"แค่พกแล้วรก" เขาว่าอย่างเรียบๆ ก่อนจะดึงบุหรี่มวนหนึ่งจากซองแล้วคาบไว้
ชายหนุ่มยกมือทำสัญลักษณ์ให้เรนเป็นเชิงขอไฟแช็ก อีกฝ่ายเลิกคิ้วแบบกวนๆ แล้วใช้มือป่ายแปะตามหา ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากฟลอร์นั้นทำให้ธันได้เพียงแต่เดาความคิดของอีกฝ่าย
"หาไม่เจอล่ะครับ" เรนบอก
ธันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอือมระอา
"เดี๋ยวจะลองขอยืมที่อื่นมาให้นะครับ" พูดจบเรนก็เหยียดตัวลุกขึ้นยืน ธันเห็นเขาเหลือบไปมองหญิงสาวที่นั่งห่างออกไปอีกสองโต๊ะ ถึงอย่างนั้นเรนก็ยังไม่เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา
ธันเห็นเรนทำจมูดฟุดฟิดคล้ายสุนัขตามหากลิ่นแล้วหันไปมองด้านหลังของตน ประจวบเหมาะกับมีร่างของแขกในร้านคนใหม่เดินเข้ามาพร้อมกับบริกรคนเดิม
ธันกับเรนเหมือนต้องมนตร์สะกด เป็นชายหนุ่มสองคน คนหน้าไม่เท่าไร แต่คนหลัง...
ท่าทางเป็นนักศึกษาอายุไม่เกินยี่สิบปี ใบหน้าเข้าขั้นดูดี ผิวสีเข้ม ร่างกายสมส่วนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ท่อนแขนนิดหน่อย ดูเป็นคนรักสุขภาพอย่างหาได้ยาก ริมฝีปากเรียวบางพร้อมกับดวงตาที่คมกริบ รับกับรูปทรงใบหน้าอย่างเหมาะเจาะ ให้ความรู้สึกหยิ่งทะนงและเป็นพวกเชื่อมั่นในตัวเองสูง
เรนหันไปมองผู้ชายผิวเข้มแทบเหลียวหลัง บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ธันเห็นว่าคนของตนมีสภาพสนใจในคนอื่นเพียงแค่แวบแรกได้ขนาดนี้ เรนสูดลมหายใจเพื่อดมกลิ่นมากขึ้นแล้วเผยยิ้มออกมา
"ผมว่าผมเจอคนที่จะให้ยืมไฟแช็กแล้วครับ"
ท่าทางกระตือรือร้นแบบนั้น น้ำเสียงแบบนั้น ความมั่นใจแบบนั้น บ่งบอกให้ธันรู้ว่าเรนเจอคนที่หมายตาเข้าให้แล้ว แต่ธันไม่ตอบ เรนจึงถือว่านั่นคือคำอนุญาตจึงลุกจากโต๊ะไปเดินตามชายหนุ่มสองคนผู้มาใหม่นั้นติดๆ
เรนมั่นใจในฝีมือของตนมาก เรียกได้ว่าเขาไม่เคยพลาดตกปลาตัวโตเลยสักครั้ง ธันหันมองตามเรนอย่างสนใจ โดยปกติเรนจะหอบหิ้วใครมาเขาไม่เคยสน แต่ทว่ากับคนเมื่อกี้กลับมีอะไรบางอย่างสะกิดใจ อะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นคือ...เหยื่อชั้นยอดที่น่าลิ้มลอง
เด็กมหา?ลัยสองคนนั้นเลือกที่นั่งห่างออกไปเพียงสองโต๊ะ เรนแทรกตัวนั่งลงพลางชวนคุย หากให้เทียบกับสัตว์แล้วเรนคงเป็นปลาไหลผสมกิ้งก่า ทั้งลื่นไหลและปรับตัวได้ง่าย วาทศิลป์ของเขาทำให้อีกฝ่ายเปิดใจยอมรับได้อย่างไม่ยาก
ทว่าสายตาของชายหนุ่มผิวเข้มกลับตกภวังค์แทบจะในทันทีที่เรนปรากฏตัว ธันยักไหล่แล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจับโคลงของเหลวไปมาพลางเหลือบมองเรนจากโต๊ะเป็นระยะ หนุ่มผิวเข้มจ้องมองเรนราวกับตกอยู่ในภวังค์ ทำให้เขานึกปลงในใจ ไม่ว่าใครล้วนตกอยู่ในห้วงแห่งตัณหา เด็กหนุ่มคนนั้นก็เช่นกัน
ธันดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าในปริมาณที่เยอะกว่าคนทั่วไป เรนสั่งมาไว้สำหรับสองคนนั่งดื่ม แต่เจ้าตัวกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับเด็กมหา?ลัยซะนี่ กลายเป็นว่าเขาต้องอยู่คนเดียว คอยสังเกตอากัปกิริยาของทั้งคู่แทน
ผับประกาศปิดช่วงเวลาตีหนึ่ง ตอนนี้ขอให้เริ่มเตรียมตัวกลับ เพลงเปลี่ยนมาเน้นฟังสบาย ธันเห็นชายหนุ่มผิวเข้มกำลังเมาได้ที่ ริมฝีปากเหยียดยิ้มหวานราวกับเด็กๆ หัวเราะคิกคักกับมุกตลกของเรนอย่างไม่รู้เบื่อ รู้สึกน่าชิมอย่างบอกไม่ถูก
เขาจะหลอกล่ออย่างไรดี ในเมื่อฝ่ายนั้นเป็นเป้าหมายของคนที่มาด้วย จะไปแย่งมันก็ไม่ใช่วิสัย จะเก็บมาจากของเหลือนั่นก็กระไรอยู่
ไม่นานเรนก็ผละจากโต๊ะนั้นเดินมาหาเขา สีหน้าไม่ต่างจากตอนขาไปสักนิด ธันรู้ว่าเรนเป็นพวกคอแข็งระดับปีศาจเช่นเดียวกับตนจึงไม่แปลกใจที่ยังมีสติครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์
"ขอโทษที่ทำให้รอครับ พี่ธันจะไปกับพวกผมไหม หรือจะกลับเลย"
"กลับ? เขาบอกพลางเสริมอีกว่า "ฉันกลับเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง"
"พี่ธันติดใจคนผิวสีเข้มคนนั้นสินะครับ" เรนเอ่ยมาอย่างรู้ทัน เขาทรุดตัวลงนั่งพลางคลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ธันไม่ตอบ กลับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างวิเคราะห์ จะมาลูกไม้ไหน?
"ผมเองก็ติดใจเขาเช่นเดียวกันครับ" เรนเฉลย "กลิ่นของเขามันเหมือนกลิ่นที่ผมโหยหา เลยอยากจะลองดูว่าถ้าได้กินแล้วจะใช่สิ่งที่ผมตามหาหรือเปล่า เลยจะมาขอโทษพี่ธันก่อนนะครับว่าผมอาจจะต้องขอชิมก่อน ถ้าพี่ธันสนใจ ผมอาจจะยกให้พี่หลังจากนั้น"
ธันเลิกคิ้วสูง
"ชิมของฉันกับนายไม่เหมือนกัน"
"ใช่อยู่ครับ" เรนพยักหน้าเห็นด้วย "แต่มันก็ชิมเหมือนกัน ของพี่ธันรุนแรงกว่าผมมาก ดังนั้นอาจจะยากหากพี่จะขอชิมเขาโดยตรง"
"ฉันไม่เคยขอชิมใครโดยตรง นายก็รู้"
เรนหัวเราะ
"เพราะแบบนี้ถึงเป็นพี่ธันอย่างไรล่ะ ถ้าให้เทียบจากนักชิมทั่วโลก ผมว่าคนพวกนั้นกลายเป็นเศษขยะไปเลยเมื่อเทียบกับการกินของพี่ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ผมไม่เคยเห็นใครกินได้ขนาดพี่ธันมาก่อน แล้วสิ่งที่พี่กินนั้นมันน่าสนใจมากๆ เลยนะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรอดจากการถูกกินเลยก็ตาม"
ธันโบกมือใส่คนตรงหน้าเป็นเชิงบอกว่าให้หยุดพูด
"ไร้สาระน่า ที่ผ่านมามันก็แค่กากอาหาร ไม่สิ ไม่นับเป็นอาหารด้วยซ้ำ ลูกค้าพวกนายวันๆ ทำอะไรบ้างนอกเหนือจากอบายมุข กลับไปรักษาสุขภาพซะเถอะ จะได้ไม่ลำบากเวลาฉันกิน อาหารขยะตามย่านการค้าดังๆ ยังจะดูมีประโยชน์กว่าคนพวกนั้นด้วยซ้ำ"
คำพูดร้อนแรงทำให้เรนถึงกับดวงตาเปล่งประกาย เขายิ้มแย้มชอบใจด้วยความรู้สึกว่าธันเริ่มสนุกขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
ความอยากอาหารของคนมีหลายระดับ ดังนั้นจึงมีเหล่านักล่าอาหารที่มักเสี่ยงตายเพื่อได้ชิมอาหารชั้นเลิศ ความกระหายเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์เกิดการกระทำบ้าบิ่น บางครั้งถึงกับฆ่ากันตายเลยก็มี เรนขีดไว้ให้ธันเป็นระดับสูงสุด แม้จะไม่แสดงความอยากออกมา แต่หากจับเหยื่อที่ถูกใจได้แล้วจะละเลียดกินจนสาแก่ใจ อาหารเต็มท้องอย่างเดียวไม่ทำให้อิ่ม อาหารนั้นจำต้องเลิศรสด้วย
"ยิ่งได้มายากเท่าไรยิ่งเก็บไว้กินได้นานเท่านั้น ใช่ไหมล่ะครับ" เรนถาม
ธันไม่ตอบ เขายกแก้วขึ้นดื่มพลางทอดสายตามองชายหนุ่มผิวเข้มคนนั้น ประจวบเหมาะกับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาพอดี
อาจคิดไปเอง คนนี้คงไม่ใช่คนมีความน่าอร่อยเท่าไร คนที่หลงใหลในตัวเรนอย่างง่ายดายเพียงแค่แรกพบนั้นไม่เหมาะจะมาเป็นอาหารจานโปรดของเขา
ธันดื่มของเหลวสีอำพันจนหมดแก้วแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
"สงสัยฉันคงแก่เกินไปแล้ว" เขาพึมพำ
"จะบ่นแบบนั้นเอาไว้อายุห้าสิบก่อนครับ"
"ฉันแก่เกินไปแล้วจริงๆ" ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นสภาพจิตใจ ตอนนี้เขารู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นมันช่างยาวนาน เป็นเส้นใยความทรงจำบางๆ เท่านั้น
เรนไม่เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เขานั่งมองชายหนุ่มวัยสามสิบกว่าอย่างสนใจ
"งั้นขอตัวก่อนนะครับพี่ธัน ให้ผมเรียกคนมารับไหม"
"กลับเองดีกว่า"
เรนหัวเราะก่อนจะพยักหน้าตกลง
"ได้ครับ ขอโทษที่ล่วงหน้าไปก่อนนะครับ หากมีอะไรโทรเรียกผมได้เสมอ"
ธันโบกมือไล่อีกฝ่ายก่อนจะยกมือเรียกบริกรให้เก็บเงิน เรนลุกออกจากโต๊ะธันกลับไปยังโต๊ะเด็กนักศึกษาเช่นเดิม หนุ่มผิวเข้มแทบกระโดดกอดคอเรนทันทีที่ไปถึง พยายามแนบชิดอิงแอบอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงสายตาใคร
เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ธันกับหนุ่มผิวเข้มคนนั้นสบตากันก่อนอีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนีไป ธันถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ สงสัยคืนนี้คงอีกยาว แต่สำหรับธันนั้นมันสิ้นสุดลงแล้ว เขาเดินออกจากร้านแล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กรุงเทพฯ ยามค่ำคืนไม่เคยเผยแสงดาวให้เห็นเช่นเดิม
ธันสลัดความคิดเกี่ยวกับชายหนุ่มผิวเข้มคนนั้นออกจากหัวอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกกลับมาว่างเปล่า เขาโบกรถแท็กซี่มุ่งตรงกลับที่พักชานเมืองพร้อมกับคิดถึงเนื้อหาอีเมลที่จะเขียนถึงคนสำคัญซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกภายใต้การดูแลขององค์กร
ธันไม่เคยคิดว่าอีกหลายวันต่อมาชายหนุ่มผิวเข้มคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตนอีกครั้ง ด้วยสถานะที่แตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง





++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เขา กลายเป็น ?เหยื่อ? อยู่ในกำมือของบุคคลนอกสายตาที่ไม่เคยสนใจสักครั้ง ทว่าคนผู้นั้นกลับกลายเป็นเจ้าชีวิตคอยบงการ ลักพามายังสถานที่ที่เป็นดั่งรังอันน่าหวาดหวั่น ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน พร้อมกับสิ่งมีชีวิตปริศนาและความลับอันดำมืดที่ไม่อาจหลุดพ้น ไม่มีทางให้หนี ไม่มีที่หลบซ่อน เขามีชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดโดยไม่รู้ว่าจะโดนกลืนกินเมื่อไร ความตะกละนั้นจะสิ้นสุดลงที่ใด ไม่มีทางรู้เลย

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”