New Release BLY แปล : good bye my dog

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release BLY แปล : good bye my dog

โพสต์ โดย Gals »

บทที่ 1 ฮัลโหล มายมาสเตอร์

เสียงร้องครางด้วยความกลัวของเหล่าสุนัขดังสะท้อนในพื้นที่อันคับแคบ
หลังจากนี้ตัวเองจะเป็นอย่างไร พวกที่ถูกพาตัวไปแล้วเขาไปที่ไหนกัน
เมื่อตัวหนึ่งเริ่มร้อง ลางร้ายก็เริ่มถ่ายทอดออกไปกระตุ้นความกลัวของตัวอื่นๆ ให้รุนแรงขึ้น ทำให้เสียงร้องรบกวนประสาทค่อยๆ ดังซ้อนเป็นระลอกต่อเนื่องกันไป
วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วนับตั้งแต่ฉันถูกพามาที่นี่ ทุกครั้งเมื่อหนึ่งวันผ่านพ้นไป ฉันจะถูกย้ายไปอยู่ห้องถัดไปทีละห้องๆ
ในช่วงห้าวันนี้เจ้าของเสียงที่มองไม่เห็นตัวเพราะถูกกั้นแบ่งด้วยผนังทยอยหายไปจากทางขวาทีละตัว และมีเจ้าของเสียงใหม่เข้ามาทางห้องด้านซ้ายแทนราวกับสลับเปลี่ยนกัน พวกที่หายตัวไปครั้งหนึ่งแล้วไม่เคยกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่มีเสียงดังมาจากห้องทางขวาอีกแล้ว ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ซึ่งก็หมายความว่าที่นี่เป็นห้องทางขวาสุดแล้วน่ะสิ
ฉันเอาคางเกยพื้นเย็นเฉียบตรงช่องว่างระหว่างขาหน้า ได้แค่รอให้เวลาผ่านไป เพราะความเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำที่ห่มคลุมทั่วร่างกายหรืออย่างไรฉันจึงไม่รู้สึกถึงความกลัวเอาเสียเลย
ตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ฉันผ่านฤดูกาลทั้งสี่มาแล้วสองครั้ง ความร้อนของฤดูร้อนในปีนี้รุนแรงเป็นพิเศษ ฉันผอมแห้งลงไปมาก เรี่ยวแรงไม่กลับคืนสู่ร่างกาย และตอนนี้ฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนสีและร่วงหล่นของใบไม้จากต้นไม้น้อยใหญ่ก็กำลังจะผ่านไป ด้วยกำลังกายนี้บางทีฉันคงไม่สามารถผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้
ดังนั้นสำหรับฉันคิดว่าแม้ชีวิตจะจบสิ้นลงในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่สนใจแล้ว
ขณะกำลังหมอบอยู่นิ่ง วันนี้ก็มีเสียงอื่นจากที่ไกลๆ ดังแทรกระหว่างเสียงร้องครางของเหล่าสุนัข...เสียงฝีเท้าของมนุษย์ที่ดังกระทบพื้นสะท้อนก้อง
เสียงนั้นมักหยุดกลางคันและค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิด จากนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้ากรงของฉันในเวลาไม่นานนัก ฉันชินเสียแล้วเลยไม่เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย
พอมาถึงตรงนี้แล้วขาทั้งคู่ก็คงผ่านไป พวกมนุษย์จ้องฉันด้วยสายตาวิเคราะห์ประเมินคุณค่า ทันทีที่เข้าใจว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการก็หมดความสนใจและจากไป ไม่มีมนุษย์คนไหนจะมาเหลียวแลฉันที่ใบหูข้างหนึ่งคดงอ ผอมโซน่าเวทนาเพราะซัดเซพเนจรมาเรื่อย ทั้งยังมีขนสีดำและตามเนื้อตัวของร่างกายที่ใหญ่โตก็มีแต่รอยถลอกปอกเปิก
เจ้าของฝีเท้าที่ผ่านเลยไปไม่เคยกลับมาอีกเป็นครั้งที่สองเหมือนกับเหล่าสุนัขที่หายตัวไป
เนื่องจากไม่มีอะไรทำ ฉันจึงเหม่อลอยนึกถึงเรื่องลูกสุนัขสองตัวกับเจ้าของซึ่งเลี้ยงพวกมันที่เมื่อก่อนตัวเองเคยเห็นหลายครั้ง
สถานที่ที่ฉันอยู่ในตอนนั้นเป็นสนามเด็กเล่นเก่าๆ รกร้าง ดูเหมือนสนามนั้นจะอยู่ระหว่างเส้นทางที่พวกเขาเดินเล่นกัน ฉันจึงมีโอกาสได้เห็น
สุนัขสองตัวนั้นเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่มีขนสีขาวปลอดประดับตัวและหางม้วนสวย ผุดสีหน้าไร้เดียงสา เจ้านายของพวกลูกสุนัขรอคอยอย่างอดทนทุกครั้งที่พวกเขาซึ่งยังเยาว์วัยวิ่งไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเตร็ดเตร่ไปตามพื้นดินอันว่างเปล่า
นัยน์ตาทั้งสี่ที่แหงนขึ้นมองเจ้านายด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจนั้นช่างเปล่งประกายสดใสอะไรอย่างนี้
และนัยน์ตาทั้งคู่ของเจ้านายที่มองพวกเขาก็ช่างละมุนละไมและอ่อนโยนอะไรอย่างนี้
ฉันหมอบอยู่ใต้ม้านั่งไม้หักพังเพื่อไม่ทำให้พวกเขาตกใจ ซ่อนเค้าไอตัวเองให้หายไปเท่าที่จะเป็นไปได้พลางมองดูหนึ่งคนกับสองตัวนั้น
ท่าทางที่เข้ากันได้ดีและสนิทสนมกลมเกลียวดีของพวกเขาช่างเจิดจ้า ฉันรู้สึกอิจฉาสุนัขพี่น้องที่ได้รับความรักลึกซึ้งจากเจ้าของอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าฉันถูกมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักเหมือนมองลูกน้อยของตัวเองแบบนั้นแม้เพียงสักครั้ง ฉันคิดว่าถึงวินาทีถัดไปจะตายก็ไม่เสียดายเลย
แต่สุนัขร่อนเร่แสนอัปลักษณ์อย่างฉันรู้ตัวดีว่าไม่มีทางได้รับความรักเหมือนอย่างพวกเขาที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูและสวยงาม
ระหว่างคิดเรื่องนั้นไปเรื่อยเปื่อยก็รู้สึกถึงเค้าไอว่ามีมนุษย์อีกคนหยุดฝีเท้าลงที่หน้ากรงของฉัน คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชายที่ดูออกยากว่ายังหนุ่มอยู่หรือไม่
ตัวสูงปานกลางรูปร่างผอม ใบหน้าไม่มีเอกลักษณ์อะไรโดดเด่นเป็นพิเศษจนสามารถลืมได้ในวินาทีถัดไป ไม่ว่าตรงไหนๆ ก็เหมือนพื้นหรือผนังสีเทาที่ลอกล่อน เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เรียบง่ายธรรมดาราวกับสีร่างกายที่สัตว์ใช้อำพรางตัวเองจากศัตรู
ฉันหมดความสนใจในตัวผู้ชายคนนี้เพียงแค่แวบเดียวที่เห็น จากนั้นก็หลับตาลงแล้วรอให้เสียงฝีเท้าจากไป
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปผิดกับที่คาดการณ์ไว้
เมื่อตัวฉันที่รู้สึกสงสัยลืมตาขึ้นก็เห็นชายผู้แต่งตัวเรียบๆ ยังคงอยู่ และเพราะเขานั่งยองๆ ตรงหน้ากรง สายตาจึงอยู่ต่ำ
?ไง สบายดีหรือเปล่า??
เสียงของชายหนุ่มแผ่วเบาและแหบแห้งคล้ายกับเสียงตอนใบไม้ร่วงหลุดจากกิ่งไม้ลงมาสัมผัสพื้นดิน
ดูเหมือนเขาจะชวนฉันคุย ไม่มีใครส่งเสียงทักทายฉันเลยตั้งแต่มาที่นี่ มีคนแปลกๆ อย่างนี้อยู่ด้วยแฮะ
ตอนที่ฉันเหลือบมองหน้าของชายหนุ่มอีกครั้งและสบตากัน ฉันรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไปในดวงตาของเขาจึงใจเต้นตึกตัก ทั้งที่เจอกันครั้งแรกแท้ๆ แต่นัยน์ตาที่จ้องมาจากตาชั้นเดียวก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับคิดถึง
?นายทำตาเหมือนหมดอาลัยตายอยากต่อทุกสิ่งแล้วเลยน้า?
พูดอย่างนั้นเสร็จชายหนุ่มก็มองฉันอยู่อีกพักหนึ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและผละออกจากหน้ากรงด้วยการเคลื่อนไหวที่เงียบเชียบเหมือนตอนที่เขามา
กะไว้แล้วล่ะนะ
พอคิดแบบนั้นแล้วฉันก็ตกใจตัวเองที่รู้สึกผิดหวังอยู่หน่อยๆ ในเสี้ยวมุมหนึ่งของหัวใจ
บ้าจริงเลยนะ คิดว่าผู้ชายคนนั้นสนใจฉันงั้นเหรอ? คิดว่าเขาถูกใจฉันแล้วจะพาออกไปจากที่นี่ ไปสู่สถานที่ดีๆ กว่านี้หรือไร?
ฉันหัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเองโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมา ทั้งที่การใช้ชีวิตอยู่มาจนบัดนี้ทำให้รู้ซึ้งดีแล้วว่าถ้าไม่คาดหวังอะไรก็ไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาถือเชือกที่คล้องคอฉันและเร่งให้เดินหน้าไปตามทางเดินในอาคาร
เมื่อสิ้นสุดทางเดินนี้ บางทีทุกอย่างคงจบสิ้น
ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ สำหรับบางตัวชีวิตที่ยังไม่เต็มสามปีดีคงจะสั้นเกินไป แต่สำหรับฉันมันเป็นชีวิตที่นานเกินไป ฉันเหนื่อยแล้วทั้งกับการวนเวียนไร้จุดหมายเพื่อหาอะไรมาเติมท้องให้อิ่ม และการหาที่กำบังความหนาวเหน็บ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากนอนหลับสบายๆ ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
พอประตูที่อยู่สุดทางเดินอันมืดสลัวเปิดออก แสงก็สาดส่องเข้ามาจากช่องประตูเต็มไปหมด ตาของฉันพร่ามัวเพราะความสว่างสาดเข้ามาอย่างกะทันหันจนมองไม่เห็นอะไรไปชั่วขณะ
เมื่อตากลับมามองเห็นอีกครั้งก็พบชายผู้แต่งตัวเรียบๆ ที่อยู่หน้ากรงเมื่อสักครู่ยืนอยู่ภายใต้แสงแดดของดวงอาทิตย์
?ฝากตัวด้วยนะ?
ชายหนุ่มพูดอย่างนั้นกับฉัน และหลังจากพูดคุยกับเจ้าหน้าที่หลายคำเขาก็รับเชือกคล้องคอฉันมาแล้วออกเดิน
ยิ่งเดินหน้าไปบนถนนที่เกลื่อนด้วยใบไม้แห้งเท่าไรก็ยิ่งห่างจากตึกซึ่งฉันเคยอยู่ออกไปเรื่อยๆ ฉันหันหลังกลับไปมองหลายครั้ง หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม
ชายหนุ่มมองลงมาที่ฉันราวกับรู้สึกถึงสายตาจากข้างล่าง เขายิ้มอย่างมีไมตรี ฉันจึงรีบหลบสายตาเขาทันที เพราะหลังจากมนุษย์มองฉันตรงๆ แล้วมักเกิดเรื่องไม่ดีเสียเป็นส่วนใหญ่
เสียงใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำดังอยู่ใต้เท้าฉันกับชายหนุ่ม ฉันเตรียมตั้งท่ารับมืออยู่พักหนึ่งแต่ก็ไม่มีหมัดหรือลูกเตะถูกปล่อยลงมา ฉันเลยแอบลอบมองท่าทีของชายหนุ่มด้วยสายตาเท่านั้นเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น
จะถูกพาไปที่ไหนกันนะ คนคนนี้อาจจะไม่ใช่คนเลวก็ได้ แต่เรื่องเลวร้ายก็อาจเกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งถูกพาไปได้เหมือนกัน
สถานการณ์อันไม่คาดคิดปลุกเร้าให้มีความหวังรางๆ ว่าอาจจะมีความเป็นไปได้อื่นนอกเหนือจากการจบชีวิตลงทั้งสภาพนี้ในวันนี้ใช่ไหม อย่างเช่น ฉันยังเหลือหนทางมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องเจ็บปวดและหวาดกลัว ไม่มีความหิวโหยและความหนาวเหน็บอย่างนั้นใช่หรือเปล่า
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าความหวังนั้นช่างน่ากลัว มันทำลายสมดุลของหัวใจที่รักษาไว้ได้อย่างง่ายดาย และหลอกกล่อให้ฉันหลงกลติดอยู่กับความไม่สบายใจ
ในเมื่อจนถึงเมื่อสักครู่นี้ฉันคิดว่ามันจะจบสิ้นลงไปก็ได้ไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตก็คงเหมือนกัน ป่านนี้แล้วจำเป็นต้องมาบ่นอีกทำไม?
ขณะถูกชายหนุ่มพาไป ฉันเดินไปบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้ที่ร่วงหล่นพลางตักเตือนตัวเองอย่างนั้นหลายครั้ง จนในที่สุดก็ปลอบโยนจิตใจที่สับสนวุ่นวายให้สงบลงได้

สถานที่ที่ถูกพาไปเป็นบ้านเก่าที่มีสวนกว้างใหญ่
?เตียงของนายนะ?
เขาชี้ไปที่พรมมีขอบ พอฉันขึ้นไปบนเตียงที่ได้รับอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับระแวดระวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ชายหนุ่มก็เข้ามาใกล้ทันที ฉันจึงถูกความหวาดกลัวจู่โจมอย่างรุนแรงจนแข็งเกร็งไปหมดทั้งตัว
เมื่ออดีตนานมาแล้วสมัยเป็นลูกสุนัข ฉันเคยถูกคนเลี้ยงมาก่อน
เจ้าของที่เลี้ยงในตอนนั้นทำโทษฉันบ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่ฉันไม่สามารถเข้าใจได้ ทุกครั้งที่สบตากับฉัน เขาจะพูดว่า ?ทำตาแบบนั้นทำไม? ?เลี้ยงเสียข้าวสุก? แล้วก็เตะฉันบ้างทุบตีฉันบ้าง ที่ตาข้างหนึ่งเบี้ยวๆ ก็เพราะเหตุนั้นล่ะ
ฉันถูกล่ามเชือกไว้กับเสาในสวนทั้งวันที่อากาศร้อนและวันที่อากาศหนาว ไม่เคยมีการพาออกไปเดินเล่น ไม่รู้จักเรื่องอื่นเลยจนฉันคิดว่าการมีชีวิตอยู่คงเป็นแบบนี้
ถ้าถามว่าการทำโทษอะไรที่เจ็บปวดที่สุด นั่นก็คือการหดเชือกที่ผูกอยู่ให้สั้นจวนเจียนจะสุด ถ้าขยับเพียงนิดเดียวลำคอจะถูกรัดจนแม้แต่เหยียดตัวลงนอนก็ยังทำไม่ได้
ค่ำคืนที่หนาวจนน้ำเป็นน้ำแข็ง ฉันยืนอยู่ข้างเสาที่ถูกล่ามพลางคิดหลายต่อหลายครั้ง
ทั้งที่เจ้านายเกลียดฉันขนาดนี้แล้วทำไมถึงตัดสินใจเลี้ยงฉันล่ะ ตอนแรกก็ไม่ใช่แบบนั้นแต่เพราะฉันเป็นสุนัขไม่เอาไหนก็เลยเกลียดขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า หรือว่าเลี้ยงสุนัขเพราะอยากได้เอาไว้เตะต่อยทุบตีตั้งแต่แรก
ไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้จริง แต่ที่เข้าใจอย่างชัดเจนก็คือถ้ายังอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปมีแต่ต้องตายเท่านั้นไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นเมื่อฐานของเสาที่ตัวเองถูกผูกติดเอาไว้เป็นปกติโยกคลอน ฉันก็รวบรวมพละกำลังทั้งร่างดึงเสาขึ้นมาจากพื้นดินโดยไม่ลังเลเพื่อหนีออกมา และในที่สุดฉันก็ดึงจนเสาหลุดออก เชือกก็ขาดออกจากกันด้วย
ฉันหลุดพ้นเป็นอิสระได้เพราะแบบนี้ และพร้อมกันนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ฉันกลายเป็นสุนัขเร่ร่อนที่ไม่มีแม้แต่ชื่อในเวลาเดียวกัน
แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้แค่มีใครเข้ามาใกล้แบบปุบปับ ความทรงจำที่แสนเจ็บปวดตรงแผ่นหลังและช่วงท้องจะพรั่งพรูกลับคืนมา
ผู้ชายที่ดูท่าทางใจดีคนนี้ก็เป็นเหมือนกันหรือเปล่า อยากได้อะไรสักอย่างเป็นที่ระบายอารมณ์ก็เลยพาฉันมาที่นี่ใช่ไหม
พอฉันตัวสั่นในสภาพที่ร่างกายยังแข็งทื่อและเกร็งเครียด ชายหนุ่มก็ถอดเชือกที่คล้องคอฉันออกช้าๆ ราวกับพยายามไม่ทำให้ฉันตกใจ แล้ววางจานใส่มันเทศนึ่งกับแอปเปิลและภาชนะใส่น้ำให้
?ตอนนี้มีแต่ของแบบนี้ ขอโทษด้วยนะ แล้วจะไปซื้อของที่นายกินได้มาให้ทีหลัง?
หลังจากนั้นเขาก็ย้ายที่ไปยังโซฟาใกล้กับเตียงสำหรับสุนัขที่ให้ฉันและเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์
ฉันรออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้น
ฉันเลยค่อยๆ ลองนั่งที่เตียงดูแต่ชายหนุ่มก็เอาแต่พลิกหน้าหนังสือพิมพ์อย่างเดียว อยู่ใกล้กันแค่เอื้อมแต่ไม่ได้สบสายตา ห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศอบอุ่น สงบสบาย และน่าพึงพอใจเท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควรฉันตัดสินว่าอย่างนี้ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช้กำลังรุนแรงกับฉันแน่นอน
เมื่อมั่นใจอย่างนั้นแล้วร่างกายก็ผ่อนคลายลงทันทีพร้อมกับรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาอย่างรุนแรงทันควัน แม้สถานที่ที่อยู่จนถึงเมื่อสักครู่ให้น้ำกับอาหารแล้วก็ตาม แต่ไม่รู้เพราะจิตใจห่อเหี่ยวหรือไรจึงทำให้ไม่ค่อยมีความอยากอาหาร
พอลองชิมของในจานที่อยู่ตรงหน้าก็หยุดไม่ได้ ฉันเลยจัดการอาหารที่อยู่บนจานจนหมดเกลี้ยงในพริบตาอย่างห้ามใจไม่ได้ มันอร่อยมาก ไม่เคยกินอะไรอร่อยอย่างนี้มาก่อนเลย
ต่อไปเป็นน้ำ ด้วยความรีบร้อนน้ำจึงกระฉอกออกมารอบๆ ภาชนะ แต่ฉันก็ไม่อาจมัวมาสนใจเรื่องแบบนั้น ทั้งที่เป็นแค่น้ำธรรมดาแท้ๆ แต่รู้สึกว่ามันหวานมาก อร่อย อร่อยจัง
หลังจากท้องอิ่มฉันก็ง่วงขึ้นมาทันที เตียงนอนช่างอบอุ่นและนุ่มนิ่มจนแทบไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกเหมือนร่างละลายไปบนเตียงนอนและถูกดึงเข้าสู่ความมืดมิดอันอบอุ่นอย่างรวดเร็ว
?ราตรีสวัสดิ์?
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงดังแผ่วๆ แต่วินาทีถัดมาฉันก็ไม่รับรู้อะไรอีก

พอลืมตาตื่น ความเหนื่อยล้าของร่างกายก็หายไปเหมือนโกหก ร่างกายที่อ่อนแอแทบสิ้นสภาพไม่น่าฟื้นคืนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ขาซึ่งเดินได้เพียงแค่ลากๆ เท่านั้นตอนก่อนนอน ตอนนี้กลับรู้สึกว่าสามารถวิ่งได้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อแหงนหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มยังนั่งอยู่บนโซฟาในท่าเดียวกับตอนที่ฉันนอนหลับ ดูเหมือนเขาแค่กำลังพักผ่อนอยู่
?หลับสนิทดีเลยนะ คงเหนื่อยมากล่ะสิน้า?
แม้เขาเข้ามาใกล้ ฉันก็ไม่สั่นแล้ว
?ฉันอยากพานายไปอาบน้ำอยู่หรอก แต่รอให้นายคุ้นกับที่นี่อีกหน่อยก่อนนะ?
พูดจบชายหนุ่มก็นำผ้าเช็ดตัวกับถังใส่น้ำร้อนมา และเริ่มเช็ดตัวฉัน
ฉันเครียดแค่ตอนแรกเท่านั้น แล้วก็คลายอาการเกร็งของร่างกายได้ทันที การเคลื่อนไหวของมือที่เช็ดคราบสกปรกออกให้ฉันทั้งอ่อนโยนและทำให้สบายตัว เสียงที่ทักทายมาเป็นบางครั้งก็ละมุนละไม
น้ำร้อนในถังเป็นสีขุ่นดำทุกครั้งที่บิดผ้าเช็ดตัว และแต่ละครั้งมันจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนใหม่
ในที่สุดพอน้ำร้อนไม่ขุ่นดำ ชายหนุ่มก็เช็ดฉันด้วยผ้าเช็ดตัวที่แห้ง จากนั้นเป่าฉันให้แห้งด้วยเครื่องที่มีลมอุ่นๆ ออกมา พอฉันสงสัยเจ้าสิ่งแปลกประหลาดนั้นแล้วหันไปทางช่องที่มีลมร้อนพุ่งออกมาและเห่า ชายหนุ่มก็หัวเราะด้วยท่าทางสนุกสนาน เป็นเสียงหัวเราะอบอุ่น แหบแห้ง ฟังแล้วผ่อนคลายสบายใจเหมือนกับเสียงพูด
ไม่มีตรงไหนคันแล้ว ขนไม่แข็งกรังแล้วด้วย รู้สึกดีอะไรอย่างนี้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสะอาดหมดจดขนาดนี้มาก่อน
?ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวสินะ ฉันชื่อโอโนะเดระ ริฮิโตะ อายุสามสิบห้าปี ไม่มีครอบครัว?
ชายที่ชื่อว่าริฮิโตะเสริมอีกว่า ?ตั้งแต่วันนี้ไปนายคือครอบครัวของฉัน? ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันตกตะลึง
ครอบครัว?
ไม่เพียงแค่นั้น ริฮิโตะยังโอบรอบคอฉัน เลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้หูที่คดงอของฉันแล้วพูดว่า
?ฉันลองคิดชื่อนายไว้หลายชื่อเลย แต่เอาเป็นอิจิเป็นอย่างไร??
ทั้งคำพูดของริฮิโตะ ทั้งฝ่ามือและสายตาที่คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเปี่ยมด้วยความรักทำให้หัวใจฉันปั่นป่วนอย่างรุนแรง เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฉันเลย




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สุนัขที่ทำได้แค่รอการถูกกำจัดที่สถานสุขภาพตัวหนึ่งถูกโอโนะเดระ ริฮิโตะ มาสเตอร์ของร้านกาแฟรับไปเลี้ยงดูและตั้งชื่อให้ว่าอิจิ แล้วในวันหนึ่ง อิจิซึ่งได้รับความรักความเอ็นดูและรู้จักความสุขในการมีชีวิตอยู่เป็นครั้งแรกก็ช่วยปกป้องริฮิโตะที่เกือบถูกรถยนต์น่าสงสัยชนเอาไว้และจบชีวิตลง ริฮิโตะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเศร้าที่สูญเสียอิจิไป แต่ขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกได้ว่าถูกใครบางคนสะกดรอยตาม ชายหนุ่มแปลกหน้าที่รูปงามจนน่าทึ่งคนนั้นชื่อฮาเซเบะ อิจิกะ เขาพูดออกมาว่าที่คอยติดตามอยู่ข้างๆ ตลอดไม่ยอมห่างก็เพื่อปกป้องริฮิโตะ...

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”