ร่างใหญ่กำยำของบุรุษหนุ่ม ซึ่งได้รับคำสั่งให้บินด่วนจากรัฐเท็กซัสให้กลับมายังประเทศไทย ก้าวเดินช้าๆ ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นคงเข้าไปภายในบริเวณวัด ในยามโพล้เพล้หลังจากดวงสุริยาลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
เจ้าของใบหน้าคมเข้มทว่าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรีสงบนิ่งไม่ต่างจากทะเลไร้คลื่นในเดือนมืด จ้องมองไปยังศาลาวัดซึ่งแน่นขนัดไปด้วยผู้คนในชุดขาวดำ ที่มาร่วมงานศพของ ?รสิตา? หญิงสาวที่ด่วนลาโลกในวัยยี่สิบปีพร้อมกับลูกน้อยในท้องด้วย
ทันทีที่เจ้าของร่างใหญ่กำยำเดินเข้ามาใกล้บริเวณศาลา ก็มีเสียงซุบซิบจากแขกที่มาร่วมฟังอภิธรรมงานศพ หลายคนไม่รู้ว่าบุรุษเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่แลดูดุดันคนนี้เป็นใคร หลายคนเดาว่าเขาคือพ่อของเด็กในท้อง ที่ทิ้งรสิตาไป กระทั่งทำให้รสิตาต้องคิดสั้นจบชีวิตของตนเองกับลูกน้อย
เสียงซุบซิบที่เริ่มหนาหูขึ้น ได้ลอยไปกระทบโสตประสาทของผู้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งนั่งร้องไห้ปริ่มจะขาดใจกับการสูญเสียลูกสาวไป ได้หันไปมองตามที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พอเห็นร่างใหญ่กำยำของคนที่ตนเองเฝ้ารออยู่ทั้งวัน ก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถลาไปหาลูกชายในทันที
?วิน...มาแล้วหรือลูก...?
วิริยาเรียกลูกชายเพียงคนเดียวของตนเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และขณะผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วไม่ได้ระวังตัว ก็เกิดอาการหน้ามืดซวนโซทำท่าจะล้มลง หากไม่ได้แขกเหรื่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันช่วยจับประคองไว้ นางคงล้มลงไปกองกับพื้นเป็นแน่
ภาวิน ผู้ที่ถูกมารดาเรียกตัวกลับมาจากรัฐเท็กซัส ถึงกับหน้าถอดสีเล็กน้อย ตอนเห็นมารดาซวนเซจะล้ม เท้าใหญ่ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปหามารดา โดยไม่คิดจะทักทายใครทั้งนั้น
?วินมาแล้วครับ คุณแม่?
?วิน...วิน...? วิริยารำพันเรียกชื่อลูกชาย ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะโผเข้าไปสวมกอดร่างใหญ่ของลูกชายไว้แน่น
?วิน...แม่เสียน้องหนูไปแล้ว แม่ไม่มีน้องหนูอีกแล้ว...มัน...มันฆ่าลูกของแม่...?
ภาวินนิ่วหน้ากับคำพูดในตอนท้ายของมารดา เขาไม่ทราบสาเหตุการตายของน้องสาวต่างบิดา ที่ไม่ได้พบกันนานเกือบสองปีแล้ว และด้วยยังไม่อยากถามมารดาในตอนนี้ จึงได้แต่ประคองร่างเล็กอ่อนปวกเปียกของท่านให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง
?คุณแม่ นั่งลงก่อนนะครับ?
?วิน...วิน...ต้องแก้แค้นให้แม่...?
วิริยาบีบต้นแขนของลูกชายไว้แน่น น้ำเสียงที่เค้นออกมาแม้ยังคงแผ่วเบา แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างที่สุด
ภาวินถอนหายใจลึก กวาดสายตามองรอบๆ ตัว ไม่มั่นใจว่าแขกที่มาร่วมงานศพ ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นได้ยินคำ
พูดของมารดาหรือเปล่า
?เรื่องของน้องหนู เราไว้พูดกันทีหลังที่บ้านได้ไหมครับ พระท่านเดินทางมาถึงแล้ว ฟังพระสวดอภิธรรมก่อนนะครับ คุณแม่?
ผู้เป็นมารดา ทำท่าจะออกปากขอร้องอีกครั้ง เพราะนอกจากจะเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแล้ว ในหัวอกของนางยังอัดแน่น เต็มไปด้วยความคั่งแค้น อยากได้ยินคำรับปากจากภาวินว่าจะแกแค้นให้นาง
แต่...พอลูกชายยกมือพนมไหว้ ตั้งใจฟังพระสวด ก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะรู้นิสัยอันดื้อรั้นของภาวินดีว่า หากอีกฝ่ายไม่อยากพูดด้วยแล้ว ต่อให้นางขอร้องยังไง ภาวินก็ไม่พูดด้วย สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการเก็บความแค้นไว้ในใจ รอเวลาอันเหมาะสมที่จะขอร้องลูกชายอีกครั้ง
ภาวินนิ่งเงียบขณะยกมือขึ้นพนมไหว้ฟังพระสวดอภิธรรมศพ ดวงตาคมกริบจ้องมองเขม็งไม่กะพริบตาไปยังภาพถ่ายหน้าโลงศพของรสิตา หรือที่ทุกคนรวมทั้งเขาเรียกว่า ?น้องหนู? ซึ่งคำพูดของมารดายังคงวิ่งวนอยู่ในหัวสมองของเขาตลอดเวลา
?มันฆ่าลูกของแม่?
ใครฆ่าน้องหนู? ใครทำให้น้องหนูต้องตาย?
หลายคำถามเกิดขึ้นในใจ ภาวินรู้แค่ว่าน้องสาวฆ่าตัวตาย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของน้องสาวต่างบิดา เพราะในขณะกำลังดูแลโคขุน ที่เลี้ยงไว้นับร้อยๆ ตัวในฟาร์มขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัส ซึ่งแน่นอนว่ามีเขาเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงโคขุนแห่งนี้ ก็ได้รับโทรศัพท์จากมารดาบอกข่าวร้ายว่ารสิตาตายแล้ว และขอร้องแกมออกคำสั่งให้เขาบินกลับประเทศไทยเป็นการด่วน
ภาวินเหลือบสายตามองมารดาเป็นระยะๆ ขณะฟังพระสวดอภิธรรมจนจบ เสียงร่ำไห้ของมารดาดังก้องอยู่ใกล้ๆ หู ท่านร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ตลอดเวลา บางครั้งทำท่าจะเป็นลมจนต้องปฐมพยาบาลและมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย
หลังจากพระสวดอภิธรรมจบแล้ว แขกที่มาร่วมงานศพเริ่มทยอยกลับ กระทั่งเหลือแค่ภาวิน วิริยาผู้เป็นมารดา และญาติสนิทๆ อีกไม่กี่คนเท่านั้น
ภาวินลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปที่บริเวณหน้าโลงศพ จุดธูปหนึ่งดอก แล้วนั่งนิ่งจ้องมองภาพถ่ายของรสิตา พึม
พำถามเสียงแผ่วเบาแทบไม่พ้นลำคอ
?น้องหนู...เกิดอะไรขึ้นกับน้องหนู อาทิตย์ที่แล้ว น้องหนูโทร.ไปหาพี่ ทำไมไม่บอก ทำไมไม่เล่าให้พี่ฟัง ทำไมไม่บอกถึงความทุกข์ หรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับน้องหนู ใครกัน? ที่เป็นคนทำร้าย หรือเป็นต้นเหตุให้น้องหนูต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย?
ภาวินหลุบสายตามองก้านธูปที่ถืออยู่ในมือ ซึ่งถูกเปลวไฟเผาไหม้ไปเกือบครึ่งก้าน ก่อนจะเงยหน้ามองภาพถ่ายของน้องสาวอีกครั้ง และไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่า ภาพถ่ายของรสิตาแลดูหมองเศร้า ราวกับเธอกำลังร้องไห้อยู่ก็ไม่ปาน...
ภาวินปักธูปกับกระถางธูป ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปใกล้โลงศพ แล้วเคาะโลงเบาๆ พลางเอ่ยถามร่างอันไร้ดวงวิญญาณของน้องสาว
?น้องหนูกำลังจะบอกอะไรพี่ หรือว่าต้องการให้พี่แก้แค้นคนที่ทำให้น้องหนูต้องตาย!?
สิ้นคำถามของภาวิน จู่ๆ ก็เกิดคลื่นลมพัดแรง ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีคลื่นลมแม้แต่นิดเดียว กระทั่งทำให้เปลวเทียนที่จุดหน้าโลงศพดับวูบลง พวกหรีดล้มระเนระนาดไปหลายพวง ทำเอาภาวินต้องตกใจ และคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในศาลาวัด รวมทั้งมารดาของเขาด้วย ต่างก็หวีดร้องเสียวหลง กอดกันแน่นด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
ภาวินหลับตาลงชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอลืมตาขึ้นก็เคาะโลงบอกน้องสาวด้วยน้ำเสียงห้วนจัดอันเต็มไปด้วยความคั่งแค้น
?ตกลง พี่จะทำตามที่น้องหนูต้องการ น้องหนูไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะตามล่าคนที่ทำให้น้องหนูต้องตาย พี่จะตอบแทนมัน ให้มันเจ็บปวดและทรมานที่สุด?
ภาวินรับรู้ถึงสายลมที่แล่นมาปะทะตัวอีกครั้ง รสิตาส่งสัญญาณให้เขาเช่นนั้น ให้เขาควานหาคนที่ทำให้เธอต้องตาย และแก้แค้นให้กับเธอ เพื่อให้เธอนอนตายตาหลับ
?วิน...วินพูดอะไรกับน้องหนู...จนเกิดลมแรงพวงหรีดลมระเนระนาด? วิริยาโผเข้ามาจับแขนสีแทนของลูกชาย เอ่ยถามทั้งน้ำตานองหน้า
?กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่าครับคุณแม่?
?จ้ะ...จ้ะ...ไปคุยกันที่บ้านก็ได้จ้ะ?
ภาวินไม่อยากพูดในขณะมีคนอื่นอยู่ด้วย ชายหนุ่มประคองมารดาให้ไปขึ้นรถยนต์ ซึ่งท่านก็ยอมแต่โดยดี และก่อนจะขับรถออกไปจากบริเวณลานจอดรถภายในวัด ภาวินก็ไม่ลืมหันไปมองภาพถ่ายของน้องสาวอีกครั้ง แล้วขับรถออกจากวัดมุ่งตรงไปยังบ้านของมารดา ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงม้าขนาดกลางภายในจังหวัดเชียงใหม่
เมื่อเจ้าภาพกลับไปหมดแล้ว สัปเหร่อ ก็เก็บเก้าอี้ ตรวจตราดวงไฟ เตรียมปิดศาลาวัด แต่ก็ไม่ทันได้ทำเช่นนั้น เมื่อมีเจ้าของร่างบางในชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท ในมือมีพวกหรีดและซองช่วยงานศพถืออยู่ในมือ ก้าวออกมาจากที่หลบซ่อนในความมืด ตรงไปห้ามสัปเหร่อไม่ให้ปิดประตูศาลาวัด
?คุณลุง อย่าเพิ่งปิดศาลาค่ะ รอสักครู่ได้ไหมคะ?
สัปเหร่อหันมามองตามเสียงเรียกทางด้านหลัง พอเห็นหญิงสาวหน้าตาสละสลวย ค่อนข้างหมองเศร้ายืนถือพวงหรีดกับซองสีขาวอยู่ในมือก็เอ่ยถามอย่างงุนงง
?อ้าว...ทำไมเพิ่งมางานศพตอนนี้ล่ะครับคุณ พระสวดจบแล้ว เจ้าภาพก็เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อสักครู่นี้เอง ลุงกำลังจะปิดศาลาแล้วครับ?
นารา เจ้าของใบหน้างดงาม จะตอบได้อย่างไรว่าเธอมาถึงงานสวดพระอภิธรรมศพตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แต่ไม่กล้าเข้ามาในงาน หญิงสาวแอบเฝ้าดูเป็นนาน กระทั่งเจ้าภาพและแขกทุกคนกลับไปแล้ว ถึงได้โผล่ออกมาจากที่หลบซ่อน เพื่อเคารพศพของผู้ตาย แต่! เมื่อพูดความจริงไม่ได้ จึงจำต้องโกหกให้แนบเนียนที่สุด
?พอดี...นา...?
นาราเกือบหลุดชื่อของตัวเองออกไปด้วยความเคยชิน ก่อนชะงักกึกแล้วเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่และเอ่ยโกหกสัปเหร่อไปด้วย
?เอ่อ...หนูเป็นเพื่อนของรสิตาค่ะ พอทราบข่าว หนูก็บินมาจากสงขลา กว่าจะมาถึงสนามบิน มาถึงวัดก็ค่ำมากแล้วนะคะ ลุง หนูขอเวลาแค่สิบนาทีไปกราบศพ แล้วลุงค่อยปิดศาลานะคะ?
?ได้ครับ เดี๋ยวลงช่วยเอาพวงหรีดไปวางครับ?
เพราะเห็นใจหญิงสาวที่บินมาไกลจากทางภาคใต้เพื่อมาเคารพศพคนตาย สัปเหร่อจึงทำตามคำขอร้องของหญิงสาว พร้อมกับเอาพวงหรีดไปวางหน้าศพของรสิตาด้วย
นาราจุดธูปพนมมือไหว้อยู่หน้าโลงศพ ใบหน้างามหมองเศร้ามีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ขณะจ้องมองไปยังภาพถ่ายของรสิตา
?รสิตา ฉันมาขอโทษคุณแทนเขา...ฉันไม่เคยรู้เรื่องของคุณกับเขาจริงๆ และฉันก็พยายามพูดกับเขาแล้วให้รับผิดชอบคุณกับลูก แต่...แต่...ฉันก็ทำไม่สำเร็จ ฉันเสียใจ ฉันขอโทษที่มีส่วนทำให้คุณต้องตาย ยกโทษ อโหสิกรรมให้กับฉันด้วย...?
นาราพึมพำเสียงสั่นเครือ แล้วก็ต้องขนลุกซู่ด้วยความสะพรึงกลัว เมื่อรู้สึกว่าภาพถ่ายหน้าโลงศพมีชีวิตขึ้นมา พอมองภาพถ่ายอีกครั้ง ราวกับดวงตาของรสิตาจ้องมองเธอเขม็งด้วยความเคียดแค้น ไม่ให้อภัย และไม่อโหสิกรรมกับคำพูดของเธอ
?รสิตา...ฉันขอโทษ...?
นาราเอ่ยพูดกับผู้ตายอีกครั้ง ก่อนจะปักธูปลงในกระถางธูป เคารพศพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินเร็วๆ ออกมาจากศาลาวัด ตรงไปยังสัปเหร่อที่ยืนรออยู่
?คุณลุงคะ หนูฝากซองไว้ช่วยงานศพด้วยนะคะ และนี่เป็นค่าเสียเวลาของลุงค่ะ?
สัปเหร่อรับธนบัตรใบละพันกับซองสีขาวมาถือในมือ พอเห็นไม่มีชื่อผู้ช่วยงาน ก็เอ่ยทักท้วงหญิงสาวที่กำลังก้าวเดินออกไปจากบริเวณศาลาวัด
?หนู ทำไมไม่เขียนชื่อด้วยล่ะครับ?
นาราหันมามอง เอ่ยตอบเสียงเศร้า ?ไม่ต้องเขียนหรอกค่ะ คุณลุง?
?ไม่เขียนแล้วเจ้าภาพจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าใครมาช่วยงานศพ? สัปเหร่อเอ่ยท้วงติง
?ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้พวกเขารู้หรอกค่ะ ว่าใครมาช่วยงานศพ? นารายิ้มเศร้าๆ เอ่ยแผ่วเบาในตอนท้ายแทบไม่พ้นลำคอ
?เพราะพวกเขาคงไม่ให้อภัยนาราแน่ๆ?
สัปเหร่อเกาหัวอย่างงุนงงกับแขกคนสุดท้ายรายนี้ แต่ก็ไม่สามารถทักท้วงอะไรได้ เพราะเจ้าของร่างบางในชุดไว้ทุกข์สีดำได้เดินออกไปจากบริเวณวัดจนลับสายตาไปแล้ว
นาราเดินไปยังรถยนต์ที่เธอเช่าบริการมาจากสนามบิน พร้อมทั้งคนขับรถด้วย และก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ หญิงสาวหันไปมองยังทิศทางที่ตั้งของศาลาวัดด้วยใบหน้าหมองเศร้า แล้วเอ่ยออกมาฝากกับสายลมส่งไปถึงดวงวิญญาณของรสิตาด้วย
?รสิตา พยายามทำทุกอย่างแล้วเพื่อให้เขากลับมาหาคุณ แต่ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากฉันเดินออกมาจากชีวิตของเขาแล้ว กระทั่งมารู้ข่าวว่าคุณฆ่าตัวตายพร้อมกับ...ลูก...ฉันขอโทษอีกครั้ง...รสิตา...?
หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจหลั่งรินมาตามพวงแก้มขาวซีด ขณะเจ้าตัวก้าวขึ้นไปนั่งในรถยนต์ ก่อนจะเคลื่อนออกไปจากบริเวณวัด
นาราซบหน้าลงกับกระจกรถอันเย็นเฉียบ ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลเป็นทางยาว นึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และนึกเสียใจที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไปกว่านี้ กระทั่งทุกอย่างต้องจบลงด้วยชีวิตของรสิตาและลูกน้อยในวัยสองเดือน!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะมีแต่คำว่าแก้แค้นบรรจุอยู่ในความรู้สึกของ ?ภาวิน? กำแพงแห่งความโกรธจึงหนาหนักและสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันนั้นความรักก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาในหัวใจภาวินเช่นกัน เขาบอกตัวเองว่าเขารัก ?นารา? แต่เขาไม่อาจเอ่ยปากบอกเธอได้ ความผิดที่หญิงสาวไม่ได้เป็นคนก่อแต่เธอก็มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ มันทำให้ภาวินอยากให้บทเรียนที่โหดร้ายแก่นาราบ้าง ทว่าบาดแผลที่เขาสร้างให้หญิงสาวนั้นกลับมาทำร้ายตัวเขาเองอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่เคยคิดเลยว่าซาตานไร้หัวใจเช่นเขาจะรักเชลยสาวได้
ภาวินกอดร่างบางไว้แนบกาย มอบจุมพิตหวานฉ่ำเป็นเวลาเนิ่นนานบนเรียวปากอิ่ม พอผละริมฝีปากออกแล้ว มือใหญ่ทั้งสองยังคงลูบไล้ไปทั่วร่างอรชร พร้อมกับเอ่ยถามให้นาราต้องหัวเราะเบาๆ
?ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับ คุณกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมจริงๆ ใช่ไหมครับ?
