ฉึก ฉึก เสียงย่ำกรงเล็บของริกูที่เดินเรียงกันเป็นขบวนดังเป็นจังหวะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะที่สัมภาระบนหลังริกูตัวที่เดินนำอยู่ข้างหน้าโยกไปมาตามจังหวะนั้น ภาพของสิ่งที่คุ้นตาชวนให้คิดถึงก็พลันปรากฏแก่สายตาของราบิซา
?อ๊ะ?
ราบิซาระวังที่จะไม่กระชากบังเหียนให้ตึงขึ้นโดยแรง พลางเดินออกนอกขบวนเล็กน้อย และพยายามยืดคอชะเง้อขึ้น เบิกตาสีพระอาทิตย์จนกลมโตเพ่งมองไปเบื้องหน้า
อีกด้านหนึ่งของแผ่นดินสีน้ำตาลซีดจางที่ก่อตัวเป็นเนินเตี้ยๆ นั้น มองเห็นหอคอยแท่งเรียวเปล่งประกายสีทองอยู่ลิบๆ ทว่าเนื่องจากขบวนอยู่ระหว่างลงทางลาด พื้นดินของอีกฟากหนึ่งที่สูงกว่าจึงบดบังภาพนั้นอีกครา พื้นดินบริเวณนี้ซึ่งเป็นด้านทิศตะวันออกของคาวุลมีความสูงต่ำลาดชันแตกต่างกันค่อนข้างมาก
(มองไม่เห็นเสียแล้ว....แต่นั่นน่ะคือหอคอยสภาของคาวุลแน่)
ก็หมายความว่า ข้างหน้านั่นคือคาวุลสินะ บ้านเกิดที่ไม่ได้กลับมาเสียนาน
ขณะที่กำลังตื่นเต้นดีใจอยู่นั้น ก็ถูกผลักหัวเบาๆ จากด้านหลัง ราบิซาตัวเอนไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะรีบหันกลับไป ใครเป็นคนทำถึงไม่ถามก็รู้ แล้วก็เป็นตามคาด จิเซ็ตที่ขี่ริกูอยู่ข้างหลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มองมาทางนี้
?นี่แน่ะ มัวแต่มองข้างทางเดี๋ยวก็สะดุดล้มหรอก พื้นดินแถวนี้มันขรุขระนะ?
?มาผลักหัวข้าแบบนั้นอันตรายกว่าอีก! จริงๆ เลย ข้าไม่ได้ชมวิวนะ แค่เห็นหอคอยของคาวุลแล้วต่างหาก?
ถึงจะงอนอยู่บ้าง แต่ราบิซาก็ชี้ให้ดูเส้นที่แบ่งฟ้ากับผืนดินกว้างใหญ่ซึ่งแผ่ปกคลุมอยู่เบื้องหน้า
?ถ้าข้ามเนินลูกนั้นไปก็ถึงคาวุลแล้วใช่ไหมล่ะ? กำลังคิดว่าในที่สุดก็มาถึงตรงนี้จนได้?
?ข้ามพ้นไปแล้วก็ยังต้องเดินต่ออีกหน่อย แล้วก็จะมองเห็นรูปปั้นตาแก่ยักษ์สีขาว?
?อ้อ จะว่าไปก็มีของแบบนั้นอยู่ด้วยสินะ ....คิดถึงจัง ยังทำหน้าน่ากลัวเหมือนเดิมไหมน้า??
?ถ้าหน้าตาของรูปปั้นหินเปลี่ยนไปนี่สิ ยิ่งน่ากลัวกว่าแน่!?
ก็จริงอยู่นะ ราบิซาพูดพลางเกาหัวผ่านผ้าที่โพกหัวอยู่ บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นโดยรอบ คุณป้าที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันมาร่วมวงด้วยอีกคน
?แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้านะ ตอนข้าเด็กๆ ก็กลัวหน้าตาของรูปปั้นยักษ์นั่นเหมือนกัน?
?ใช่ไหมล่ะ? ถ้าทำไม่ดีละก็ ตอนกลางคืนรูปปั้นยักษ์นั่นจะออกมาจับกิน พวกผู้ใหญ่ของคาวุลพูดแบบนั้นกันทุกคนจนข้าฝันเห็นตั้งหลายที?
?ก็แปลว่าเจ้าทำเรื่องแย่ๆ ไว้เยอะขนาดเก็บเอาไปฝันแบบนั้นเลยสิ หืม?
?มะ ไม่ใช่นะ อย่าเอาข้าไปเหมารวมกับเจ้าสิ!?
ราบิซาเหลือบตาขึ้นมองจิเซ็ตที่พูดจากระเซ้าเย้าแหย่และเริ่มโต้กลับบ้าง
?จิเซ็ตนั่นแหละ แม่ของเจ้าเล่าให้ข้าฟังแล้ว ว่าจิเซ็ตน่ะ ทุกครั้งที่ฉี่รดที่นอนจะแอบเอาเสื้อผ้าของตัวเองไปสลับกับของพี่ชายที่นอนอยู่ข้างๆ?
จิเซ็ตที่มีสีหน้าสบายอารมณ์มาตลอดเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที
?เรื่องแบบนั้น อย่าเล่าให้ทุกคนฟังสิ โธ่เอ๊ย แม่นะแม่ เล่าเรื่องอะไรแบบนั้นนะ....?
?นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องนะ เช่นว่าเกลียดถั่วแขกขาว ทุกครั้งที่เจอจะแอบ....?
?หวา รู้แล้วๆ ข้าผิดเอง?
เสียงร้องหมดท่าของจิเซ็ตทำเอาคนทั้งขบวนหัวเราะกันคิกคัก ทุกคนเฝ้ามองสองคนที่อายุน้อยที่สุดในขบวนจากทารัสฟาลมุ่งหน้าสู่คาวุลด้วยสายตาอบอุ่น
?พวกเจ้านี่สนิทสนมกันดีจริงๆ นะ แต่จากนี้ไปต้องแยกกันเกือบเดือน คงจะเหงากันแย่เลยล่ะสิ??
คุณป้าหันมาถามเชิงเย้าแหย่ ราบิซากับจิเซ็ตหันมามองหน้ากันอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะตอบออกมาคนละแบบ
?ยะ...แยกกันเดือนหนึ่งก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แล้วตอนนี้ก็ทะเลาะกันอยู่ด้วย?
?อืม ก็ใช่นะ ถ้าไม่ได้เห็นความประหลาดของยัยนี่สักเดือน ก็เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง?
?หน็อย จิเซ็ต ข้าฟังอยู่หรอกนะ ที่ว่าประหลาดน่ะ หมายความว่ายังไง?
?ไม่รู้เหรอ? ก็ทำอะไรแปลกๆ ไม่เข้าเรื่องไง?
?ไม่ได้ถามถึงความหมายตรงตัวแบบนั้น?
คุณป้ายกมือขึ้นแนบแก้มมองดูสองคนที่เริ่มโต้เถียงกันด้วยใบหน้าอมยิ้มพลางพึมพำว่า ?สมัยสาวๆ ข้าเองก็....? ก่อนที่จะหันกลับไปข้างหน้า
ขบวนคาราวานจากทารัสฟาล เมืองตะวันออกสุดของทะเลทรายกลาง เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ของเมื่อห้าวันก่อนเพื่อมุ่งหน้าสู่คาวุล ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของทะเลทรายกลาง หากเป็นริกูที่แข็งแรงและรวดเร็วที่สุดแล้วละก็จะสามารถไปถึงได้โดยใช้เวลาประมาณสองวัน แต่หากส่วนใหญ่เป็นการเดินเท้าจะใช้เวลาค่อนข้างมาก
ผู้ร่วมอยู่ในขบวนคาราวานนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองคาวุลวัยกลางคน พวกเขาเป็นช่างฝีมือที่ถูกส่งออกไปเพื่อนำเทคนิคการทอผ้า การก่อสร้างและอื่นๆ จากคาวุลไปเผยแพร่ เมื่อหมดวาระแล้วจึงเดินทางกลับบ้านเกิด เนื่องจากส่วนใหญ่ขี่ริกูไม่เป็น หรือไม่คุ้นเคยกับการเดินทาง จึงต้องค่อยๆ ไปกันอย่างไม่เร่งรีบนัก
ริกูที่บรรทุกสัมภาระจนเต็มหลัง มีเชือกร้อยเอาไว้ให้เดินเรียงกันไปเป็นแถวเดียว โดยมีกองคาราวานเดินเท้าเดินเรียงแถวอยู่ข้างๆ ราบิซาเดินอยู่ตรงกลางของขบวน ถือบังเหียนในมือ เพราะรับหน้าที่คุมแถวริกูทางด้านหลังไม่ให้เดินคดเคี้ยว
หัวแถว ท้ายแถว และซ้ายขวาของกองคาราวานที่เดินเป็นเส้นตรงอย่างเป็นระเบียบ มีผู้คุ้มกันทั้งสี่ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกกองกำลังพายุทรายคอยกำกับอยู่ เพื่อเฝ้าระวังและตอบสนองต่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที จึงมีเฉพาะสี่คนนี้เท่านั้นที่ขี่ริกู บางคราวก็บ่นกันว่าเจ็บก้น จิเซ็ตก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แม้จะดูเหมือนเอาแต่พูดล้อเล่นกับราบิซา แต่ดวงตาสีรัตติกาลไม่ได้คร้านต่อการระแวดระวังรอบด้านเลย
ดวงตาคู่นั้นเองที่มองเห็นทัศนียภาพอันสวยสดงดงามเบื้องหน้าได้ก่อนราบิซาที่เดินอยู่บนพื้น
?อ๊ะ คาวุล?
?ฟังอยู่หรือเปล่าจิเซ็....เอ๊ะ??
ได้ยินจิเซ็ตพูดแบบนั้น ราบิซาก็รีบเงยหน้าขึ้นมองไปด้านหน้า เบื้องหน้าของเธอที่เดินข้ามเนินลูกสุดท้ายมาแล้ว ปรากฏภาพของเมืองคาวุลอันงดงามตระการตา
?ใช่แล้ว คาวุล....!?
เสียงร้องยินดีที่แฝงด้วยความโล่งใจและคิดถึงบ้านเกิดดังขึ้นอื้ออึง ทัศนียภาพที่เห็นไม่ใช่ทะเลทรายที่แห้งแล้งไร้พืชผลอีกต่อไป เมืองคาวุลที่เจริญรุ่งเรืองด้วยอาศัยซิมซิม ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำน้ำมาให้นั้น เป็นดั่งสรวงสวรรค์ที่เขียวชอุ่ม
มองเห็นกำแพงสีขาวของบ้านเรือนสะท้อนแสงแดดร้อนแรงได้อย่างเด่นชัดภายใต้ท้องฟ้าโปร่ง สีสันสดใสของบานประตู ขอบหน้าต่าง และหลังคาทั้งสีฟ้า แดง เขียว หอคอยสีทองที่ยอดสูงเด่นขึ้นไปบนฟ้า รวมถึงกำแพงเมืองแข็งแรงสีทรายยาวตลอดแนวจากตะวันออกไปยังตะวันตกที่ล้อมรอบสิ่งก่อสร้างดังกล่าวไว้
ที่ชานเมืองยังคงมีกระโจมของกองกำลังป้องกันตนเองตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ บริเวณโดยรอบนั้นมีไม้พุ่มที่ปลูกโดยอาศัยแหล่งน้ำจากซิมซิมขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ ลักษณะของเมืองที่เห็น ไม่ได้ต่างไปจากตอนที่ราบิซาจากที่นี่ไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าย้อนเวลากลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างนั้นแหละ
?อะไรกัน นึกว่าจะเปลี่ยนไปบ้างเสียอีก แต่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ท่านพี่กับไอเชสบายดีไหมนะ? อ้อ แล้วก็ท่านหัวหน้าสวน อะ หน้าตาของรูปปั้นนั่นน่ากลัวจริงๆ ด้วย!?
ความคิดถึงบ้านเกิดเต็มตื้นขึ้นมาจนราบิซาเผลอพูดเสียงดังอย่างลืมตัว
?ดูสิจิเซ็ต! เห็นหอคอยอันที่เตี้ยกว่าที่อยู่ด้านหลังหอคอยนั่นไหม คิดว่านั่นเป็นอะไร? ถึงตอนนี้จะดูเหมือนหอคอยธรรมดาที่น่าเบื่อก็เถอะ แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นประภาคาร พอตกกลางคืนไฟจะถูกจุดขึ้น มองเห็นเงาดำของกำแพงลอยเด่นขึ้นมา สวยมากเลยล่ะ! ข้างใต้นั้นมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดของคาวุล น้ำผลไม้ที่ขายอยู่ตรงประตูทางเข้านั่นสุดยอดไปเลย ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว ข้าจะพาไปเอง แค่นี้ข้าเลี้ยงได้!?
?เจ้านี่มันสบายจริงนะ ไม่ได้กลับมาเที่ยวเล่นไม่ใช่เหรอ??
?มันก็จริง แต่ไม่เห็นจะเป็นไรเลย นานๆ จะได้กลับมาบ้าน แล้วจิเซ็ตก็ยังไม่เคยเที่ยวเมืองคาวุลไม่ใช่เหรอ??
ราบิซาที่คาดหวังจะได้เที่ยวตลาดของคาวุลอย่างเต็มที่เงยหน้ามองจิเซ็ตที่อยู่บนหลังริกูด้วยดวงตาเป็นประกาย จิเซ็ตเกือบจะพยักหน้าไปกับสีหน้าแววตาดีใจแบบนั้น แต่ก็รีบส่ายหน้าไปมา
?ที่อยากให้แนะนำคือภูเขาต่างๆ ต่างหาก ส่งพวกเจ้าถึงที่แล้ว กลุ่มผู้คุ้มกันจะมุ่งหน้าต่อไปยังเบม ไม่มีเวลาแวะพักที่คาวุลหรอก โทษทีนะ?
?เอ๊ะ อย่างนั้นเหรอ? จะไปเบมกันนี่เอง?
จิเซ็ตกำลังจะอ้าปากตอบคำถามราบิซาที่เบิกตากลมโต แต่แล้วก็รู้สึกถึงสายตาของใครบางคน
ผู้คุ้มกันที่ขี่ริกูนำขึ้นหน้าจิเซ็ตไปหันคอเล็กน้อยมองทางนี้ คงจะกำลังฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่
(รู้แล้วน่า จะไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็นออกไปหรอก)
จิเซ็ตส่งสายตาตอบพรรคพวกไป แล้วจึงเริ่มเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง
?จะไปหาซื้อด้ายสีน่ะ ได้ยินว่าที่เบมมีโรงย้อมผ้า เลยมีด้ายสีหลากหลายชนิดมากกว่าที่คาวุล แล้วก็จะไปถามว่าผ้าทอที่เอาไปฝากขาย ขายได้มากแค่ไหน ถ้าหากว่าขายดีก็อาจจะได้รับคำสั่งซื้อมาอีกก็ได้ใช่ไหมล่ะ? ถ้าเป็นอย่างนั้นอุตสาหกรรมสิ่งทอของทารัสฟาลก็จะรุ่งเรือง แต่ถ้าขายไม่ดี ก็ต้องไปสอบถามสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร?
?อ้อ อย่างนี้นี่เอง....เราทดลองเอาสินค้าหลายๆ อย่างไปวางขายที่ร้านในเบมนี่เนอะ?
ถ้าจะไปเมืองแห่งศิลปะการฝีมืออย่างเบมเพื่อหมายจะให้สิ่งทอเป็นอุตสาหกรรมประจำเมืองทารัสฟาลละก็ ไม่มีเวลาจะมาเที่ยวเล่นจริงๆ เสียด้วย แม้จะผิดหวังอยู่บ้างแต่ราบิซาก็พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
?ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้เนอะ ทุกคนกำลังตั้งตารอด้ายสีและข้อมูลเรื่องการขายอยู่นี่นา....ไปถึงคาวุลแล้วก็ต้องจากกันเลยเหรอเนี่ย....?
พอรู้แบบนั้น เท้าที่มุ่งหน้าสู่คาวุลก็รู้สึกหนักขึ้นมา
(งั้นเหรอ ต้องจากกันเร็วขนาดนั้นเลย....)
หลงนึกว่าพวกผู้คุ้มกันจะหยุดอยู่ที่คาวุลสักวันเพื่อให้หายเหนื่อยจากการเดินทางเสียอีก เธอรู้จักที่นี่ดีกว่าจิเซ็ต ถ้าจะมีที่ที่พอนำทางให้จิเซ็ตได้บ้าง ก็เห็นจะมีแต่คาวุลเท่านั้นแหละ ดังนั้นตั้งแต่ตอนเริ่มเดินทางแล้วที่ราบิซาแอบตั้งตารอที่จะได้พาเขาไปเที่ยวตลาดเมื่อมาถึงคาวุล ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่กลับมีเรื่องผิดคาดแบบนี้....
?แต่ถึงไม่มีเรื่องนี้ ถ้าเจ้าไปเที่ยวเล่นโดยไม่อ่านหนังสือ อาจารย์ของเจ้าคงไม่ยอมแน่ไม่ใช่เหรอ??
จิเซ็ตเหลือบมองราบิซาที่อยู่ๆ ก็เงียบไปแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
?เจ้ามั่นใจไหมว่าจะผ่านการสอบคัดเลือกเป็นผู้ดูแลสวนน่ะ?
คำพูดนั้นทำให้ราบิซาเพิ่งจะนึกออกว่าตัวเองกลับมาคาวุลครั้งนี้เพื่ออะไร
?ผะ....ผ่านสิ แต่ถึงไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ก็แค่มาสอบเอาประสบการณ์เท่านั้นแหละน่า?
พูดออกไปอย่างมั่นใจว่าจะสอบผ่าน แต่ก็ต่อท้ายด้วยคำพูดแสดงความไม่มั่นใจ ราบิซารู้สึกสมเพชตัวเองเหมือนกัน
คนที่แนะนำให้ราบิซามาสอบคัดเลือกเป็นผู้ดูแลสวนซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ สองปีที่คาวุลไม่ใช่ใครอื่น โยชีฟ ผู้ดูแลสวนศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยทารัสฟาลนั่นเอง
?จะเป็นผู้ดูแลสวนได้ ที่จริงแล้วจะต้องผ่านด่านมากมาย?
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน โยชีฟรินชาสะระแหน่พลางพูดเรื่องนี้ออกมา
?ก่อนอื่นคือการสอบคัดเลือกเป็นผู้ดูแลสวน ไม่ใช่สอบผ่านแล้วจะได้เป็นผู้ดูสวนเลยหรอกนะ แต่เป็นแค่การคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ดูแลสวน การสอบนี้จะจัดขึ้นทุกๆ สองปีที่คาวุล เจ้าก็รู้ใช่ไหม? คุณสมบัติของผู้เข้าสอบคือมีอายุสิบห้าปีขึ้นไป เป็นชาวเมืองคาวุล หรือไม่ก็มีหนังสือแนะนำจากผู้ดูแลสวนที่ถูกส่งไปประจำสวนสาขาย่อยแต่ละแห่ง ถ้าสอบผ่านก็สามารถไปทำงานทั่วไปที่สวนสาขาย่อย หรืองานต่างๆ ที่สวนศักดิ์สิทธิ์เปิดรับได้ง่ายขึ้น และแน่นอนว่าถ้าอยากจะเป็นผู้ดูแลสวน ก็ต้องสอบผ่านด่านนี้ก่อน?
แม้จะแปลกใจอยู่บ้างว่าอยู่ๆ พูดเรื่องอะไรขึ้นมา แต่ราบิซาก็พยักหน้าฟังอย่างตั้งใจ
?คนที่สอบผ่านแล้วอยากจะเป็นผู้ดูแลสวน ก็จะเข้าโรงเรียนประจำของสวนศักดิ์สิทธิ์ เรียนทั้งวิชาการและภาคปฏิบัติเป็นเวลาสองปี ในระหว่างนี้ทางสวนจะให้เงินช่วยเหลือจำนวนเล็กน้อย คนคนนั้นจะเหมาะกับการเป็นผู้ดูแลสวนหรือไม่ ก็จะตัดสินกันที่นี่แหละ มีหลายคนที่ถูกแนะนำให้ไปประจำที่สถานพยาบาลหรือไปทำงานอื่นๆ คนที่สอบข้อเขียนปีละสองครั้งและสอบสัมภาษณ์ผ่าน เรียนจบมาก็จะได้เป็นผู้ช่วยผู้ดูแลสวน?
?ผู้ช่วยผู้ดูแลสวน? ทำขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้เป็นผู้ดูแลสวนอีกเหรอ??
?ตกใจอะไร ฮาดิคก็ผ่านขั้นตอนแบบนั้นใช่ไหมล่ะ??
ราบิซาคิดย้อนกลับไปในอดีต ฮาดิคผู้เป็นพี่ชายดำเนินตามรอยพ่อซึ่งเป็นผู้ดูแลสวน ครั้งแรกที่เข้าสอบคือตอนอายุสิบห้า หลังจากนั้นก็ไปเรียนที่ไหนสักแห่งอยู่สองปี ต่อมารู้สึกว่าจะได้เป็นผู้ดูแลสวนเลย แต่พอนึกดูดีๆ แล้ว ก็เคยได้ยินพี่ชายพูดว่า ?ยังเป็นแค่ผู้ช่วยอยู่เลย? อยู่หลายครั้ง
?งั้นเหรอ นึกว่าท่านพี่แค่พูดถ่อมตัวเสียอีก เรื่องจริงสินะ!?
?ถ่อมตัวอะไรของเจ้า แต่เอาเถอะ พอได้เป็นผู้ช่วยผู้ดูแลสวนแล้ว เมื่อทำงานได้สักพักจนเป็นที่ยอมรับ ผู้ดูแลสวนรุ่นพี่จะแนะนำให้ได้เป็นผู้ดูแลสวน หลังจากนั้นจะแบ่งเนื้อหาของงานให้ละเอียดขึ้นตามลักษณะนิสัยและความต้องการของเจ้าตัว?
?อืม นี่โยชีฟ จากที่เล่ามา ตอนนี้ข้าอยู่ตรงไหนล่ะ? เป็นผู้ดูแลสวนฝึกหัดทั้งที่ยังไม่ได้เข้าสอบเลย.... แต่ก็ได้เงินเดือนด้วยนิดหน่อย นี่ข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนก่อนจะจบมาเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลสวนอยู่อย่างนั้นเหรอ??
?แหม แปลกนะที่เจ้าถามคำถามดีๆ แบบนี้เป็นด้วย?
ควรจะดีใจหรือเศร้าใจดี เห็นราบิซาทำหน้าบอกไม่ถูกแบบนั้น โยชีฟก็หัวเราะขำๆ
?ใช่แล้วล่ะ อย่างที่เจ้าว่ามานั่นแหละ ตอนนี้เจ้าอยู่ในสถานะที่คลุมเครือที่สุดอย่างผู้ดูแลสวนฝึกหัด ทางสวนศักดิ์สิทธิ์กำหนดให้ ?การเดินทางของทูตเทียบเท่ากับการสอบคัดเลือกเป็นผู้ดูแลสวน? เจ้าก็เลยได้ทำงานนี้ แต่เจ้าก็ยังไม่มีความรู้พื้นฐานพอจะเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นผู้ดูแลสวนได้ สิ่งที่ข้าสอนเจ้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็เพื่อจะเติมเต็มช่องว่างนั้น?
?งั้นก็หมายความว่า ข้าได้เป็นนักเรียนก่อนที่จะเตรียมตัวสอบคัดเลือกอีกใช่ไหม??
?พูดง่ายๆ ก็ตามนั้นแหละ?
โยชีฟพยักหน้ารับเหมือนว่าราบิซาตอบได้ดีมาก แล้วเงยหน้าขึ้นมองราบิซา
?ถ้ายึดตามเกณฑ์ของสวนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเข้าสอบคัดเลือก แต่ข้าคิดว่ายังไงเสียก็ควรจะเข้าสอบและสอบให้ผ่านด้วย ถ้าคิดจะเป็นผู้ดูแลสวนก็ควรจะผ่านประสบการณ์เดียวกันกับคนอื่นๆ เจ้าคงไม่อยากให้มีความเหลื่อมล้ำแปลกๆ หรอกใช่ไหม??
สรุปว่าเขาสนับสนุนให้ราบิซาเข้าสอบ แม้คำว่าสอบจะทำให้รู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ทนไม่ได้ถ้าการที่ตัวเองไม่ได้เข้าสอบจะทำให้เกิดข้อเสียเปรียบขึ้นในภายหลัง คิดอย่างนั้นแล้ว แม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ราบิซาก็พยักหน้ารับ
?อื้อ ก็จริงนะ ถึงยังไงก็เรียนมาเหมือนๆ กัน แล้วก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรที่จะไม่เข้าสอบด้วย ว่าแต่....การสอบครั้งต่อไปจะจัดขึ้นเมื่อไหร่นะ??
พอได้ยินคำตอบนั้น รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏขึ้น โยชีฟตอบไปอย่างอารมณ์ดี
?จะเข้าสอบสินะ ดีมาก แบบนี้สิถึงจะสมเป็นศิษย์ข้า กำหนดสอบที่ใกล้ที่สุดก็คือเดือนหน้า?
?เดือนหน้าเหรอ ถ้างั้นครั้งนี้คงไม่ทัน เอาไว้รอสอบอีกสองปีหลังจากนี้แล้ว....?
ทันทีที่ราบิซาพึมพำแบบนั้นออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ ดวงตาสีเขียวเข้มภายใต้ผมหน้าม้าที่ตัดตรงเรียบก็วาวโรจน์ขึ้น
?อีกสองปีเรอะ? พูดอะไรใจเย็นแบบนั้น ถ้าตัดสินใจว่าจะเข้าสอบแล้วก็ต้องสอบเลยสิ จะปล่อยโอกาสหลุดลอยไปทำไม ต้นเดือนหน้าจงกลับไปคาวุลเพื่อเตรียมสอบซะนะ?
?หา??
ราบิซาตกใจจนเผลอทำถ้วยชาที่ว่างเปล่าตกลงบนตัก
?อะไรกัน ไม่ไหวหรอก! ตอนนี้ไม่มั่นใจเลยนะว่าจะสอบผ่าน!?
โยชีฟไม่แยแสต่อท่าทีลนลานของเธอ เขาซดน้ำชาพลางตอบกลับนิ่งๆ
?ความมั่นใจน่ะ ไม่ได้รอแล้วมันจะเกิดขึ้นมาได้หรอกนะ โดยเฉพาะเจ้าที่ไม่ชอบเรียนหนังสือด้วยแล้ว ถ้าในสองปีนี้ค่อยๆ เรียนรู้ไปก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม จะฝืนตัวเองยังไงก็ตาม ถ้าตัดสินใจทำแล้ว ก็ทำให้มันเสร็จๆ ไปเลยดีกว่า?
?ตะ แต่ว่าถ้าตกขึ้นมาก็จะเป็นผู้ดูแลสวนฝึกหัดไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ....!?
สิ่งที่ราบิซากังวลที่สุดกว่าสิ่งใดก็คือเรื่องนี้เอง
ลองคิดดูจากสถานะตอนนี้ ถ้าสอบตกในการสอบที่เดิมทีควรต้องผ่าน มันจะไม่แย่หรอกเหรอ?
และถ้าเพราะเหตุนั้นทำให้สูญเสียสถานะของผู้ดูแลสวนฝึกหัดไป จนทำให้ไม่สามารถกลับมาที่ทารัสฟาลได้ล่ะ....!
แต่โยชีฟได้ทำให้ความกังวลนั้นสลายไปอย่างง่ายดาย
?สบายใจได้ กรณีของเจ้าที่ได้อยู่ในสถานะนี้ก็เพราะได้รับการยอมรับจากการออกเดินทางและทำงานในฐานะทูตได้สำเร็จ ถึงแม้จะสอบตกก็ไม่ใช่ว่าจะหมดคุณสมบัติในการเป็นผู้ดูแลสวนฝึกหัดในทันทีหรอก สรุปคือจะบอกให้เจ้าไปหาประสบการณ์ต่างหาก?
?อะ....งะ งั้นเหรอ ค่อยยังชั่ว....?
?ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ยอมให้ทำเล่นๆ หรอกนะ?
พอทำท่าโล่งใจเข้าหน่อย น้ำเสียงเข้มงวดก็ลอยมาทันที
?ถ้าจะทำแล้วก็ต้องตั้งใจหมายมั่นที่จะสอบให้ผ่านให้ได้ ดูว่าการศึกษาเล่าเรียนของตัวเองได้ผลแค่ไหน อีกนัยหนึ่งก็เหมือนเป็นการทดสอบข้าด้วย จากนี้ไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน จะเข้มงวดกวดขันอย่างเข้มข้นเลยล่ะ เข้าใจนะ?
?เอ๊ะ?
?อา อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เนอะ ถึงจะเร่งรีบไปหน่อย แต่ก็ได้สอนเรื่องที่จำเป็นให้เกือบหมดแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น ข้าเป็นคนเสนอให้ไปสอบเอง เพราะฉะนั้นจะร่วมมือเต็มที่เลย?
?หา?
?ใช่ๆ จะเข้าสอบต้องใช้เงินอยู่บ้าง เรื่องนี้เอาเป็นว่าข้าจะจ่ายให้ก่อน ถือเป็นของแสดงความยินดีล่วงหน้า เจ้าจดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างเดียวก็พอ?
?หา?
?ที่จริงแล้วข้าเป็นคนเกลียดความพ่ายแพ้มากกว่าที่คิดนะ เราศิษย์อาจารย์รวมใจเป็นหนึ่งแล้วมาพยายามกันเถอะ!?
พูดแบบนั้นแล้วอาจารย์เลือดร้อนก็กำหมัดแน่น แต่ก็อาจจะไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจก็ได้ ราบิซาพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยิ้มตอบทั้งที่อยากจะร้องไห้
(ตั้งแต่ตอนนั้นก็เข้มงวดจริงๆ ตามที่พูดเลย....)
?เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า ตาลอยเชียว?
ตอนที่กำลังเหม่อคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เสียงร้องทักของจิเซ็ตก็พาให้ราบิซากลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง พอรู้ตัวอีกทีประตูเมืองคาวุลก็ใกล้เข้ามาตรงหน้าแล้ว
ผู้คุ้มกันสามนายที่คอยปกป้องขบวนคาราวานทั้งซ้ายขวาหน้าหลังไปรวมตัวกันด้านหลังของจิเซ็ตตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
?อา....?
ราบิซาเผลอปล่อยบังเหียนแล้วออกจากขบวนไปหยุดอยู่ ณ ที่นั่น
ขณะเดินผ่านเข้าประตูเมืองคาวุล ชาวเมืองที่กลับมายังบ้านเกิดแต่ละคนต่างหันไปหากองกำลังคุ้มกัน บ้างก็โบกมือให้ บ้างก็ส่งเสียงล่ำลา พวกผู้ชายในกองกำลังคุ้มกันซึ่งเป็นอดีตสมาชิกกองกำลังพายุทรายทำสีหน้านิ่งเฉยแต่ก็ตอบกลับด้วยท่าทางประหม่า
แล้วโยชีฟที่เดินนำอยู่ต้นขบวนก็ย้อนกลับออกมานอกประตูเมือง
?ขอบคุณพวกเจ้าที่มาส่งถึงที่นี่ ได้ยินว่าจากนี้พวกเจ้าจะเดินทางต่อไปยังเบม จะไม่แวะพักสักหน่อยจริงๆ หรือ? ถ้ายังไงเราจะเตรียมที่พักไว้ให้?
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ราบิซาก็เงยหน้าขึ้นทันที เธอทำหน้าตาสดใสมองไปที่จิเซ็ต
?แบบนั้นก็ดีนะ! ริกูก็คงจะเหนื่อยแล้ว แล้วก็เติมน้ำเอาไว้หน่อยจะดีกว่า?
แต่คนที่ตอบไม่ใช่จิเซ็ต เป็นโฮเลบผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่ม
?ขอบคุณในน้ำใจ แต่เราไม่คิดจะเปลี่ยนแผน ขอโทษที เราต้องรีบไป?
พูดห้วนๆ แล้วเขาก็หันริกูกลับเพื่อเตรียมออกเดินทาง ขณะที่คนอื่นๆ ตามไป
?....อย่างที่เขาว่าแหละ โทษทีนะ?
จิเซ็ตวางมือแปะลงบนหัวราบิซาที่เงยหน้าขึ้นมองพลางยิ้มอย่างลำบากใจ
?น้ำผลไม้ เอาไว้เลี้ยงคราวหน้านะ ยังมีโอกาสอีกนี่นา?
?อะ อื้อ ถ้ารีบก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ....?
ราบิซาพึมพำเบาๆ อย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จิเซ็ตเองก็จับผ้าโพกหัวของราบิซาไว้อย่างหลวมๆ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด และไม่ได้ขยับไปจากตรงนั้น ด้านหลังของเขา ริกูสามตัวค่อยๆ เดินห่างออกไปเรื่อยๆ
โยชีฟพูดขึ้นมาราวกับจะทำลายบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างทั้งคู่
?เอาะล่ะจิเซ็ต เดินทางระวังตัวด้วย ไว้เจอกันหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ระหว่างนั้นฝากซิมซิมด้วยนะ เรื่องการสร้างสวนก็ดำเนินการต่อ อย่าอู้ล่ะ เรื่องอื่นๆ ที่ข้าเป็นห่วงระหว่างที่ไม่อยู่ ก็ได้เขียนและวางไว้ที่ห้องประชุมแล้ว กลับไปแล้วก็อ่านให้ละเอียดด้วย?
?หมายถึงมัดหนังสัตว์หนาเตอะนั่นน่ะเหรอ!? ตัวหนังสือเล็กจิ๋วที่เขียนเบียดกันจนดูแล้วมึนแบบนั้น ข้านึกว่าเป็นยันต์กันสิ่งชั่วร้ายหรืออะไรเสียอีก....?
?เปล่า นั่นเป็นบันทึกของข้าเอง ถ้ามีแต่ข้อควรระวังอย่างเดียวก็เกรงจะเบื่อ เลยมีทั้งเรียงความ เรื่องสั้น เขียนไปเขียนมาเลยหนากว่าที่คิด อุตส่าห์เขียนออกมาแล้วก็อ่านด้วยล่ะ ข้ามีเรื่องต้องสะสางหลังเดินทางอีก ขอตัวก่อนแล้วกัน?
โยชีฟพูดยิ้มๆ ก่อนหันหลังเดินไป ราบิซามองส่งโดยไม่พูดอะไร จากนั้นค่อยๆ พูดพึมพำอย่างรู้สึกสงสาร
?อ่านไปตามที่เขาบอกจะดีกว่านะ พูดแบบนั้นแสดงว่าต้องมีออกสอบแน่?
?อะไรเล่า!? โธ่เอ้ย กลับไปถึงจะเอาให้พวกฮาคิมอ่านให้หมดเลย?
ราบิซาหัวเราะคิกกับท่าทีของจิเซ็ตที่บ่นโอดครวญพลางชำเลืองมองทางด้านหลังของเขา
?น่าจะต้องไปแล้วล่ะมั้ง สามคนนั่นไปไกลแล้วนะ?
?อ้อ จริงด้วย?
จิเซ็ตหันไปมองด้านหลังแล้วหันกลับมาหาราบิซาอีกครั้ง
?รักษาตัวด้วย แต่ก็เดือนเดียวนี่เนอะ โยชีฟอาจจะเข้มงวดหน่อยแต่ก็พยายามเข้านะ?
?อื้อ จิเซ็ตก็รักษาตัวด้วย กลับทารัสฟาลแล้วฝากดูแลอารียากับคุกขุด้วย?
ราบิซานึกถึงภาพของน้องชายที่น่ารักซึ่งดึงดันอยากจะมาด้วย กับริกูตัวโปรดที่กำลังตั้งท้องอยู่ ได้ยินอย่างนั้นจิเซ็ตก็บ่นพึมพำว่า ?คุกขุน่ะพอเข้าใจ แต่มาฝากอารียาให้ข้าช่วยทำอะไรล่ะ....? พลางทำหน้าแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
?เอาเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก ระมัดระวังตัวของเจ้าเองให้ดี อย่าประมาทเพราะเห็นว่าเป็นเมืองที่ตัวเองรู้จักดีล่ะ เห็นดีใจที่ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่...."
เห็นสายตาราบิซาที่จ้องมองมาทางนี้เพื่อรอฟังว่าจะพูดอะไรต่อ จิเซ็ตก็เกิดลังเล เขาเบนสายตาไปทางอื่นก่อนจะพูดต่อเหมือนเป็นเรื่องที่พูดยาก
?เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น ไม่มีทางที่จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก อย่าคิดว่าจะมีแต่คนที่ชื่นชมในสิ่งที่เจ้าทำนะ พวกที่คิดตรงข้ามย่อมมีแน่นอน?
ราบิซาอึ้งไปชั่วขณะแล้วจ้องมองเข้าไปยังดวงตาสีรัตติกาลที่หลุบต่ำ
ตั้งแต่วันที่ราบิซาออกจากคาวุลในฐานะทูตแห่งซิมซิมราวกับหนีออกไป ก็ผ่านมามากกว่าครึ่งปีแล้ว ถึงตอนนี้วันคืนที่ร่วมเดินทางในฐานะทูตไปกับจิเซ็ตจะราวกับอดีตที่ห่างไกล แต่เหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชาวทะเลทรายกลางทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำ
ซิมซิม ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำพาน้ำมาให้แผ่นดินที่แห้งแล้ง เติบโตขึ้นจากการสัมผัสจิตใจคน และเมืองเพียงแห่งเดียวที่มันสามารถเติบโตได้ก็คือคาวุล
ชาวทะเลทรายกลางได้รับรู้แล้วว่าเมืองที่เป็นศูนย์กลางการเคารพยกย่องให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีประวัติศาสตร์อันดำมืดถูกปิดซ่อนอยู่
ผู้ให้กำเนิด ?กองกำลังพายุทราย? กองโจรในตำนานที่ข่มขู่สร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คน แท้จริงแล้วก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์คาวุล ยิ่งกว่านั้นชนชั้นปกครองของคาวุลที่เริ่มก่อตั้งองค์กรสวนศักดิ์สิทธิ์ก็ปกปิดเรื่องนั้นมาตลอด ผู้ที่ได้รู้ความจริงนี้ต่างโกรธแค้นและพากันจับอาวุธมุ่งหน้าสู่คาวุล
ดูเหมือนว่าการใช้กำลังเข้าปะทะกันจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ กระทั่งคำอธิบายและคำขอโทษจากหัวหน้าสวนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เป็นผล ตอนที่ทุกคนในที่นั้นจินตนาการได้ถึงสงครามอันโหดร้ายซึ่งเต็มไปด้วยเสียงตะโกนของความโกรธแค้นและเสียงประดาบ
ราบิซาที่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยในฐานะผู้ดูแลสวนคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้า
อะไรโน้มน้าวจิตใจของผู้คนในตอนนั้นให้อ่อนลง แม้แต่ตัวราบิซาก็ไม่เข้าใจ
แต่คำพูดจากใจของเธอก็ทำให้บรรยากาศในตอนนั้นเปลี่ยนไปจริงๆ
ในที่สุดผู้คนต่างก็ละทิ้งอาวุธ และยอมยื่นมือแห่งสันติภาพมายังคาวุล
ราบิซาไม่คิดหรอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเพียงคนเดียวจะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงได้ เพราะความรู้สึกของเธอก็คงจะเหมือนกับความรู้สึกของผู้ดูแลสวนทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เพียงแต่เธอเป็นคนพูดสิ่งนั้นออกมาเท่านั้นเอง
แต่ก็เข้าใจว่าการกระทำของเธอคงจะสร้างโอกาสที่สำคัญขึ้นมา จึงพอเข้าใจได้บ้างว่าจิเซ็ตเป็นห่วงเรื่องอะไรอยู่
?ท่านพี่กับท่านหัวหน้าสวนก็เป็นห่วงเรื่องเดียวกับจิเซ็ตแหละ หลังจากนั้นมีผู้ดูแลสวนคนหนึ่งเสนอให้ยกย่องการกระทำของข้ากับท่านหัวหน้าสวนไปทั่วทั้งเมือง แต่พอคิดถึงความรู้สึกของชาวเมืองคาวุลที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวมาก่อนก็เลยยกเลิกไป ลองคิดถึงใจของพวกเขาดู อยู่ดีๆ มาบอกว่าทำผิดบาป แล้วก็ต้องยอมรับความผิดนั้นทั้งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรด้วยซ้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีความรู้สึกเดียวกับพวกเราหรือเปล่า?
เสียงโล่งใจที่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยการใช้อาวุธคงจะมีมาก ทว่าเบื้องหลังก็ยังคงมีเสียงไม่พอใจว่าทำไมถึงยอมรับความผิดอย่างง่ายดาย.... ฮาดิคพูดไว้อย่างนั้น
?ตอนนี้ในคาวุลฝ่ายไหนมีมากกว่ากันก็ยังไม่รู้....?
นัยน์ตาสีพระอาทิตย์เผยให้เห็นแววหม่นหมองชั่วครู่ ก่อนที่จะกลับมาสดใสเข้มแข็งขึ้นในทันที
?แต่ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้ดีว่าทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้อง ไม่ละอายและไม่เสียใจภายหลังด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ท้อใจ เพราะฉะนั้นข้าไม่เป็นไรหรอก?
ราบิซายืดอกขึ้นอย่างมุ่งมั่น จิเซ็ตรู้สึกว่าตัวเธอที่เชิดหน้าขึ้นอย่างนั้นดูเจิดจ้ามาก
(ยัยนี่อาจจะเข้มแข็งกว่าเรามากเลยก็ได้)
จิเซ็ตก็เคยผ่านการตัดสินใจเลือกทำในเรื่องที่ความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่ายมาก่อน ความเป็นห่วงราบิซาส่วนใหญ่แล้วก็มาจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง แม้จะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เสียใจภายหลัง แต่ก็รู้ว่าทำได้ไม่ง่ายนัก ....ถ้าเป็นราบิซาละก็ อาจจะไม่เป็นไรก็ได้
จิเซ็ตหรี่ตาลงพลางเอนตัวออกจากอาน และยื่นมือไปที่ต้นคอของราบิซา
?เอ๊ะ อะไร!??
เขาใช้นิ้วเกี่ยวสายสร้อยเงินที่ต้นคอของเธอซึ่งถอยตัวออกห่าง
จี้เงินรูปพระจันทร์เสี้ยวฝังอัญมณีสีน้ำเงิน สิ่งที่เผยโฉมออกมาจากเสื้อคือสร้อยคอที่จิเซ็ตเคยมอบให้นั่นเอง
?ทำไมเก็บเอาไว้ในเสื้อล่ะ?
?อะ ก็ข้าไม่อยากให้ฝุ่นทรายเกาะน่ะ?
?หืม งั้นตอนอยู่คาวุลก็เอาออกมาสิ?
?เอ๊ะ?
เผลอร้องเสียงดังออกมา แย่ล่ะสิ ราบิซาคิดแล้วรีบปิดปาก ที่คาวุลเธอทำตัวเหมือนผู้ชายมาตลอด แน่นอนว่าไม่เคยสวมเครื่องประดับติดกายเลยสักครั้ง ทั้งที่เป็นอย่างนั้นถ้าอยู่ๆ มาใส่สร้อยแบบนี้ พวกเพื่อนๆ เห็นเข้าต้องอายเขาแน่ เลยตั้งใจว่าตอนที่อยู่คาวุลจะซ่อนเอาไว้ในเสื้อแบบนี้แหละ
?ตรงนี้เขียนไว้ว่าอะไรจำได้ไหม?
จิเซ็ตที่หาได้รู้ถึงความคิดนั้นไม่ ถามออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกเล่น
?เอ๊ะ? มีเขียนอะไรไว้ด้วยเหรอ??
ราบิซาพลิกจี้ เริ่มมองหาข้อความ เขาจึงเขกที่หน้าผากของเธอเบาๆ
?ลืมได้ไงเนี่ย อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านคนเดียว ใช่ไหมล่ะ? ที่คาวุลก็ต้องทำตามนะ?
?อ้อ จำได้แล้ว แล้วทำไมต้องห้ามที่คาวุลด้วย....?
ราบิซาเบ้ปากพูดด้วยน้ำเสียงแกล้งๆ แต่พอรู้สึกถึงสายตาจริงจังของจิเซ็ต เธอจึงเลิกพูดเล่นและพยักหน้ารับแทน
?รู้แล้วน่า สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วนี่เนอะ ข้าจะระวังตัว ไม่ประมาทเพราะคิดว่าเป็นบ้านเกิดหรอก?
?ดีมาก เด็กดี?
จิเซ็ตพูดอย่างนั้นแล้ววางมือบนศีรษะสีพระอาทิตย์ที่มีผ้าโพกหัวพันอยู่ จากนั้นโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของราบิซาอย่างรวดเร็ว
?หวา!??
ราบิซาจับผ้าโพกหัวไว้อย่างลนลานแล้วถอยตัวออกห่าง พลางได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีชัย
?น่าเสียดาย จากบนหลังริกูนี่ทำได้เพียงแค่นั้น?
?เจ้า!??
จิเซ็ตดึงบังเหียนหันริกูกลับไปอีกทางก่อนหันกลับมามองทางนี้ด้วยนัยน์ตาสีรัตติกาลที่หวานฉ่ำ ราบิซาใจเต้นรัวหน้าแดงมองไปรอบๆ ซ้ายขวาอย่างลนลาน
?บะ บ้า! มาทำอะไรในที่แบบนี้เล่า....?
ราบิซาใจเต้นกลัวว่าจะมีใครที่รู้จักมาเห็นเข้า
?ต้องขออนุญาตบ้างล่ะ ต้องเลือกสถานที่บ้างล่ะ เรื่องมากจริงๆ นะเจ้า แบบนี้น่ะมันแค่ทักทายกัน ก็บอกไปสิว่าที่ทารัสฟาลเขาทักทายกันแบบนี้?
?อย่าพูดมั่วๆ น่า!!?
จิเซ็ตหัวเราะน้ำเสียงสูงของราบิซาพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ใช้เท้าเตะเบาๆ ที่ท้องริกู ทันใดนั้นริกูก็ออกวิ่งไปอย่างเต็มแรง
?ไปล่ะนะราบิซา ข้าไม่อยู่คงจะเหงาบ้าง คอยระวังตัวแล้วก็พยายามเข้าล่ะ?
?นั่นมันคำพูดของข้าต่างหาก เจอกันคราวหน้าก็แก้นิสัยมือไวของเจ้าเสียด้วย?
ราบิซาเกร็งไหล่ กำหมัด มองส่งจิเซ็ตทั้งที่ยังหน้าแดงอยู่อย่างนั้น ภาพของเขาที่มุ่งหน้าไปทางขอบฟ้าไกลออกไปเรื่อยๆ จนดูเล็กกว่าเมล็ดถั่วเสียอีก
เมื่อมองจนลับตาไปแล้ว เธอจึงค่อยหันหลังกลับวิ่งเข้าไปยังประตูเมืองคาวุลที่อยู่เบื้องหลัง นับจากวันที่รอดพ้นจากการบุกโจมตีโดยชาวทะเลทรายด้วยกัน ก็ประมาณห้าเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับมายังบ้านเกิด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ราบิซาเดินทางกลับคาวุล บ้านเกิดที่จากมานาน เพื่อเข้าสอบคัดเลือกที่ถือเป็นก้าวแรกในการจะเป็นผู้ดูแลสวน ราบิซาดีใจที่จะได้เตรียมตัวสอบไปพร้อมๆ กับพวกซายุน เพื่อนสมัยเด็กที่สนิทสนมกัน แต่พวกซายุนกลับแสดงท่าทีเย็นชาใส่ เพราะอะไรกันนะ....!? ในที่สุดราบิซาก็รู้สึกได้ว่าเมืองคาวุลกำลังเปลี่ยนแปลงไป ในระหว่างนั้นเอง ราบิซาได้พบกับลีดู หญิงสาวคนทรงของ ?ลัทธิดวงดาวพยากรณ์? ผู้สามารถหยั่งรู้อนาคต และเรื่องราววุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกจนได้!?
