ฉันติดอยู่ในห้วงเวลาที่ถูกหยุดเอาไว้
ได้เพียงแต่มองแสงจันทร์
เพียงคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า
ความทรงจำของฉันกำลังแตกกระจายหายไปทีละน้อย
ฉันกำลังลบเธอออกไป ฉันและเธอ ความรักของเรา ตอนนี้มันจบลงไปแล้ว แสงสว่างของฉันหายไป
เธอและฉัน อยู่ในห้วงเวลาที่ถูกหยุดเอาไว้
ฉันแค่เกลียดที่จะต้องเห็นเรากลายเป็นความทรงจำที่เลือนราง ฉันทนไม่ได้
เพลงเพลงเดิมดังมาจากลำโพงคู่เดิมแต่กลับให้ความรู้สึกเศร้ากว่าครั้งไหนๆ
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อหัวใจของเขาเต้นแผ่วคล้ายจะหยุดลงในเวลาอันใกล้นี้ มือเรียวเสยผมรองทรงที่เริ่มยาวปรกตาขึ้น เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเล็กๆ ของตัวเอง ลืมตามองความมืดที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
ความเหงาแทรกตัวอยู่ในทุกอณูของความมืดมิด และความเจ็บร้าวก็แทรกตัวอยู่ในทุกลมหายใจของเจ้าของห้อง
เฮ้อ
เสียงถอนหายใจดังแทรกขึ้น เจ้าของเสียงยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองผ่านความมืดที่สายตาเริ่มชินไปยังสวิตช์ไฟ เขาเฝ้าถามตัวเองในใจ
ทรมานตัวเองไปเพื่ออะไร
เขาถามตัวเองอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่เพียงแค่กล้าก้าวลงจากเตียงและกดสวิตช์เปิดไฟ โลกที่กำลังมืดมิดก็สว่างไสวแล้ว
สว่างไสวอย่างนั้นเหรอ
เขาหัวเราะให้กับความโง่เง่าของตัวเองก่อนทิ้งตัวนอนลงตามเดิม
โลกที่มองเห็นด้วยตาสามารถสว่างได้เพียงเปิดไฟ แต่โลกอีกใบที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ มืดมิดเสียจนไม่รู้ว่าจะทำให้มันสว่างได้อย่างไร บางทีตัวเขาอาจจะต้องจมอยู่ในความมืดมิดนี้ตลอดไป
เสียงเพลงยังคงดังก้องในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นายน์หลับตาลง หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ปล่อยให้เธอก้าวออกไปจากชีวิตเด็ดขาด
ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของความรักสักหน่อย หัวใจต่างหาก แค่เรารักกัน แค่รักกันไม่พอเหรอ
?นายน์เราเลิกกันเถอะ? เสียงหวานปนเศร้ายังคงดังก้องในหู ดวงตากลมกะพริบปริบพยายามเลี้ยงน้ำใสๆ เอาไว้ในนั้นไม่ให้มันไหลรินออกมา
ภาพตัวเองที่ยืนนิ่งไร้ซึ่งคำพูดชัดเจนในความทรงจำ หากตอนนั้นเขาทำอะไรสักอย่าง ตอนนี้คงไม่อินกับเพลงเศร้าขนาดนี้
?จ๋าจะออกเดินทางวันเสาร์นะ ถ้านายน์ว่างก็ไปส่งนะ?
หากเขาคว้าแขนเธอไว้ ดึงเข้ามากอด และบอกว่าอย่าไป หากตอนนั้นทำแบบนั้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไหม นายน์เฝ้าถามตัวเองขณะนอนซบหน้าบนหมอนเปื้อนคราบน้ำตา
พรุ่งนี้แล้วที่อดีตคนรักจะเดินทางไปต่างประเทศ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรไปส่งหรือไม่ เขาคิดไม่ตกว่าหากไปจริงๆ เขาจะสามารถบอกลาเธอด้วยรอยยิ้มได้หรือ แล้วฐานะอะไรที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ อดีตคนรักอย่างนั้นเหรอ เป็นครั้งแรกที่คนฉลาดอย่างนายน์รู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกิน
เรื่องเรียนเขาอาจจะเก่งกว่าใครๆ แต่เรื่องความรัก เขาอยู่ในระดับอนุบาล ไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จ๊ะจ๋าเป็นรักครั้งแรกของเขา เป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ กว่าจะทำลายกำแพงของตัวเองและเข้าไปบอกรักก็ใช้เวลานานเป็นปี คบกันสองปีเท่านั้น มันสั้นเกินไป เขาอยากยืดเวลาให้นานกว่านี้อีกหน่อย แต่เธอกำลังจะไปแล้ว ไปเรียนต่อในประเทศที่อยู่ห่างไกลคนละซีกโลก
เขาควรทำอย่างไร รีบนอนเพื่อที่จะไปส่งอดีตคนรักในวันพรุ่งนี้อย่างนั้นเหรอ ไปส่งด้วยสภาพดวงตาปูดบวมเพราะนอนร้องไห้ทั้งคืน เขาจะกล้าไปหาเธอในสภาพนี้เหรอ
คำถามนี้ไม่อาจใช้ทฤษฎีที่ร่ำเรียนมาหาคำตอบได้ สุดท้ายคนที่บอบช้ำทั้งหัวใจและขอบตาก็เผลอหลับไปทั้งๆ ที่เสียงเพลงเดิมยังคงก้องในหู น้ำตาค่อยๆ เหือดแห้ง แต่เสียงสะอื้นยังคงดังสะท้อนในความมืด
ในคืนที่เงียบเหงา ตอนนี้ฉันอยากจะบอกเธอว่า...แค่อยู่กับฉันนะ แต่เธอกลับไม่ได้ยินฉันเลย
กลับมาหาฉันเถอะนะ กลับมาเถอะ
?เดินทางปลอดภัยนะ?
?ผมไปนะครับ ไปเถอะจ๋า?
ชายหนุ่มยกมือไหว้พ่อและแม่ก่อนหันไปเรียกแฟนสาว เสียงทุ้มทำให้คนที่กำลังชะเง้อมองหาใครสักคนหยุดการกระทำนั้น เธอหันไปยิ้มให้แฟนหนุ่ม ส่งมือบางวางลงบนมือเขา กอบกุมกันไว้ก่อนเดินไปในเส้นทางของความรัก
ขณะเดียวกันใครคนหนึ่งกำลังทอดมองพวกเขาผ่านม่านน้ำตาอยู่ไกลๆ ไม่มีสักคำเอ่ยลา ไม่มีกระทั่งแรงจะยกมือขึ้น แม้การทรงตัวก็ยังทำไม่ได้ เขาทรุดลงบนพื้นเมื่อแผ่นหลังของคนรักลับตาไป
ตอนนี้นายน์รู้แล้วว่าไม่ใช่ระยะทางหรอกที่ทำให้ต้องเลิกรา
หัวใจต่างหาก หัวใจของเธอไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
เจ้าของร่างบอบบางกัดริมฝีปากแน่น พยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอไป แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน เขารู้สึกเหมือนกับว่าลูกโป่งที่อัดแน่นอยู่ในตัวกำลังระเบิด หัวใจที่เคยพองโตด้วยความหวังลีบเล็กลง ดวงตาพร่าเบลอ หูอื้อ ไม่ได้ยินเสียงใด ร่างกายอ่อนแรง เขาอาจจะตายอยู่ตรงนี้หากไม่มีมือของใครคนหนึ่งยื่นมาตรงหน้า
?เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ?
ไร้ซึ่งคำตอบใดนอกจากมือบางที่ทุบอกซ้ายของตัวเองแรงๆ หวังว่าการกระทำนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บช้ำภายใน แต่มันช่างไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน
?อย่าทำร้ายตัวเองสิครับ?
น้ำเสียงทุ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยไม่ได้ช่วยให้คนชอกช้ำรู้สึกดีขึ้นสักนิด จนกระทั่งความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาเข้ามากอบกุมมือซ้ายนั้นเอาไว้ คนที่กำลังกัดริมฝีปากตัวเองแน่นจึงรู้สึกผ่อนคลาย
?ก็แค่อกหักเองครับ เดี๋ยวก็ดีขึ้น อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้เลยนะครับ ผมขอร้อง?
นายน์ได้ยินคำพูดของคนตรงหน้าชัดเจนทั้งประโยค แต่สมองที่พร่าเบลอไม่สามารถรับรู้อะไรได้ เข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา
ดวงตากลมจับจ้องไปยังคนพูด แต่ม่านน้ำตาก็ทำให้มองเห็นเพียงภาพรางๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มตรงหน้าหน้าตาเป็นอย่างไร ร่างทั้งร่างถูกรั้งเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น เสียงสะอื้นดังสะท้อนในห้วงความคิด พร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดถูกปลดปล่อยออกมามากมายในวงแขนของคนที่ไม่รู้จัก มีเพียงกลิ่นน้ำหอมจางๆ เท่านั้นที่นายน์พอจะจำได้
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าภาพความทรงจำของความรักที่มีชื่อว่าจ๊ะจ๋าจะเลือนหายไปจากหัวใจ ได้แต่หวังว่าสักวันภาพเหล่านั้นจะถูกลบออกไปจนหมดสิ้น
1
On Rainy Days
หากไม่อยากถูกฤดูฝนกลั่นแกล้งจนป่วยไข้ ก็ไม่ควรลืมพกร่มก่อนออกจากบ้าน
นายน์กำลังถูกฤดูฝนกลั่นแกล้ง
เจ้าของร่างผอมบางในชุดนักศึกษาหนาวสั่น เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกปอนแนบไปกับลำตัว ยิ่งในยามที่สายลมจับมือกับหยาดฝนและโถมเข้ามาที่ตัวเขา ร่างกายบอบบางก็ยิ่งหนาวเหน็บเสียจนปากคอสั่น
ทั้งๆ ที่ก่อนออกจากห้องมา ท้องฟ้ายังสดใสอยู่แท้ๆ แต่พอเดินทางเกือบจะถึงตึกเรียน ฝนดันเทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
โชคร้ายเหลือเกิน
ถอยหลังก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ไหว เจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเอ็ดเซนติเมตรจึงทำได้เพียงยกแฟ้มใสซึ่งบรรจุเอกสารประกอบการเรียนไว้ไม่กี่แผ่นขึ้นบังสายฝนที่กำลังเทลงมา เหมือนจะดีแต่ที่จริงแล้วแผ่นพลาสติกขนาดใหญ่กว่าเอสี่นิดหนึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เส้นผมสีช็อกโกแลตเข้มเปียกลู่ไปตามกรอบหน้า คิ้วพันกันยุ่ง ขณะขาเรียวเล็กออกวิ่งหาที่กำบัง ณ เวลานี้ไม่มีอะไรน่าพึ่งพิงเท่ากับต้นไม้ใหญ่เพียงต้นเดียวซึ่งตั้งตระหง่านที่ข้างทางเดินเท้า
ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นที่กำบังแดดในหน้าร้อน และทำหน้าที่รับเม็ดฝนที่กำลังเทลงมาอย่างบ้าคลั่งในช่วงฤดูฝน
นายน์ไม่มีทางเลือก เขาขยับตัวเข้าไปใกล้โคนต้น ใบไม้ลู่ไหวไปตามแรงกระโชกของลม ร่างกายเย็นเยียบเสียจนต้องกอดตัวเองไว้หลวมๆ ลูบท่อนแขนเพื่อให้ความอบอุ่น แต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย
?ซวย?
เจ้าของริมฝีปากอิ่มที่กำลังสั่นกึกๆ บ่นพึมพำ ดวงตากลมสอดส่ายไปตามทางเดินพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือด้วยความกังวล
เพราะตื่นสาย เรื่องราวในเช้าวันนี้จึงค่อนข้างแย่และแย่ยิ่งกว่าเมื่อฝนตกหนัก
ครืนนนน~
เสียงฟ้าร้องทำให้เขาสะดุ้ง ยิ่งลมแรงเท่าไร เขาก็ยิ่งหนาวสั่นและหงุดหงิดตัวเอง
อีกยี่สิบนาทีชั่วโมงเรียนจะเริ่มแล้ว วันนี้มีสอบ ถ้าเขาไปสายรับรองว่าวันนี้จะได้ถูกบันทึกให้เป็นวันที่ซวยที่สุดของเขาแน่ๆ
ไม่มีทางเลือกแล้ว
ร่างกายสมส่วนตามมาตรฐานชายไทยก้าวขาออกจากบริเวณนั้น ใกล้พ้นจากร่มเงาของต้นไม้เต็มที แต่ในช่วงเวลาเดียวกันใครอีกคนก็เดินเข้ามาใกล้
สายฝนที่กำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้มองเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจนนัก มีเพียงรูปร่างสูงใหญ่กว่านายน์มากมายที่สะดุดตา
พึ่บ!!!
ขณะที่กำลังมุ่นคิ้วมองคนตัวสูง ความเย็นเยือกก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น รอบกายของนายน์ดับวูบลงในเสี้ยววินาทีก่อนเสียงทุ้มของเขาคนนั้นจะดังขึ้น
?หลบฝนใต้ต้นไม้อันตรายนะครับ?
เสียงทุ้มน่าฟังเสียจนผู้ชายด้วยกันเองยังนึกอิจฉา
กว่าจะดึงเสื้อที่คลุมศีรษะออก กว่าจะเดินออกจากใต้ต้นไม้นั่น ก็พบเพียงแผ่นเปียกปอนที่เล็กลงเรื่อยๆ จนได้แต่มุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
สายแล้ว...
เมื่อก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือจึงสำนึกได้ว่าไม่มีเวลามาสงสัยเรื่องเจ้าของเสื้อแล้ว
นายน์ใช้เสื้อของชายแปลกหน้าคลุมศีรษะก่อนออกวิ่งไปตามเส้นทางเดียวกัน เขาคนนั้นหยุดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งตึกตรงข้ามคือคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
วิ่งมาทางนี้ไม่วิศวะก็สถาปัตย์แหละวะ
เสียงทุ้มยังคงดังก้องในความทรงจำของนายน์ทั้งวัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเสื้อแจ็กเกตนั้นก็เช่นกัน
?ยากฉิบ อ่านหนังสือทั้งคืนไม่ได้ช่วยอะไรเลยว่ะ?
จุ๊น ชายหนุ่มเจ้าของตำแหน่งเฮดว้าก เพื่อนสนิทของนายน์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พลางเอนศีรษะที่ประดับด้วยเส้นผมสีดำสนิทยาวถึงต้นคอลงมาซบที่ไหล่ จากนั้นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
นายน์เหลือบมองเพื่อนแล้วถอนหายใจออกมาเหมือนกัน
มันเป็นการสอบที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้เสียพลังงานไปเยอะมากเลยทีเดียว อารมณ์คล้ายกับอยู่ๆ ก็ถูกดึงลงไปในขุมนรก และตอนนี้พวกเขาก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะถูกดึงลงไปอีกครั้งหากผลสอบออกมาห่วยแตก
?ทำได้ใช่ไหมนายน์คนเก่ง?
คำพูดติดประชดประชันของจุ๊นที่ขยับนั่งตัวตรงเบะปากใส่ เรียกความสนใจจากคนเก่งไม่ได้สักนิด
เขาไม่สนใจคำพูดพวกนี้หรอก เรียนเก่งเหรอ ใครๆ ก็เรียนเก่งได้หากพยายามมากพอ และถ้ามีพื้นฐานที่ดีก็ยิ่งได้เปรียบเข้าไปใหญ่
แน่นอนว่าโดยพื้นฐานแล้วนายน์เป็นเด็กหัวดี จึงสามารถเข้าใจบทเรียนยากๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงขยันและพยายามเรียนให้ดีที่สุด พร้อมๆ กับใช้ชีวิตเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีจนเพื่อนๆ อิจฉา แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถเข้าใจมันได้สักครั้ง
เรื่องของความรักที่คนฉลาดอย่างเขาโง่งมเหลือเกิน
?นายน์ วันหลังติวให้บ้างนะ?
?ว่าไงนะจุ๊น? เจ้าของความเฉลียวฉลาดเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เชื่อหู
คนอย่างจุ๊นนี่นะขอให้ติวหนังสือ คบกันมาสองปีกว่าไม่เคยขอร้องให้เขาช่วยเรื่องนี้เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมาขอเรื่องแบบนั้น
แปลกจนคิดว่าคืนนี้หิมะอาจจะตกที่ไหนสักแห่งในประเทศไทย
?ติวหนังสือไง วิชานี้เรียนยังไงก็ไม่เข้าใจว่ะ ขนาดเมื่อคืนอ่านหนังสือทั้งคืนยังทำได้ไม่ถึงครึ่งเลย?
?เอาสิ เมื่อไรว่ามาเลย นานๆ จะได้ติวหนังสือให้คุณจุ๊นเฮดว้ากสุดหล่อสักที ผมภูมิใจมากเลยครับ นับวันรอเลยเนี่ย?
?น้อยๆ หน่อยนายน์ ยียวนนะเรา แล้วนี่กลับหอเลยไหม?
แก้มสีระเรื่อถูกหยิกแรงๆ จนเจ้าของมันร้องโอ๊ยและตีมือซนเบาๆ จนอีกคนหัวเราะนิดๆ อย่างเอ็นดู
สำหรับจุ๊น นอกจากนายน์จะเป็นเพื่อนสนิทแล้ว อีกตำแหน่งหนึ่งที่เขายัดเยียดให้คือน้องชาย ก็เพื่อนตัวน้อยของเขาน่ารักน่าแกล้งเหมือนเด็กๆ เลยนี่นา
?จะไปส่งเหรอ อย่ามาทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีหน่อยเลย ฉันเพื่อนแกนะเว้ยไม่ใช่น้องชาย?
ทุกครั้งที่จุ๊นแสดงออกถึงความห่วงใย นั่นหมายความว่ากำลังคิดว่านายน์เป็นน้อง
น้องชายอะไรกัน ถึงจะตัวเล็กกว่า แต่ถ้าหากเอาบัตรประชาชนมาโชว์แล้วนับอายุตามวันเกิด คนที่เป็นน้องก็คือจุ๊นนั่นแหละ
?แกก็อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงสิวะ?
?พูดอย่างกับฉันเป็นเด็กน้อยสามขวบ แทนที่จะเอาเวลามาห่วงฉัน เอาเวลาไปง้อแฟนไม่ดีกว่าเหรอ?
?ช่างมัน ปล่อยแม่งไปเถอะ งี่เง่าแบบนั้นทนคบมาได้ถึงตอนนี้ก็บุญแล้ว?
จุ๊นเพิ่งเลิกกับแฟน แม้ชอบพูดเหมือนไม่แคร์ แต่ที่จริงแล้วใครจะรู้ว่าผู้ชายเข้มแข็งคนนี้กอดหมอนนอนร้องไห้ทุกคืน
ไร้ซึ่งคำปลอบโยนจากปากเพื่อนสนิทตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นายน์รู้ดีว่าสำหรับคนอกหักยิ่งปลอบก็ยิ่งอ่อนแอ สิ่งเดียวที่ทำได้คือรับฟัง
?ทำใจได้ง่ายขนาดนั้นเชียว มีคนใหม่แล้วล่ะสิ ใช่พอร์ชหรือเปล่า?
คนถูกแซวถึงกับทำหน้าหน่ายแล้วล็อกคอคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ อยากแซวกันนักต้องโดนแบบนี้
พอร์ช คือประธานเชียร์คณะสถาปัตย์ ทั้งยังพ่วงตำแหน่งเดือนมหา?ลัยสุดหล่อมากความสามารถ ขวัญใจสาวแท้สาวเทียมและหนุ่มๆ อีกมากมาย
?ถามจริงตอบจริงนะนายน์ ฉันเหมือนเกย์เหรอวะ หล่อเถื่อนขนาดนี้คิดว่าจะชอบผู้ชายได้จริงๆ เหรอ?
หากพูดกันตามจริงก็ไม่เหมือนหรอก แต่พอหนุ่มหล่อดิบเถื่อนอย่างเขาเดินข้างๆ ตบหัว กอดคอกับหนุ่มหล่อเจ้าสำอางอีกคน ก็เลยกลายเป็นเหมือนไปซะอย่างนั้น
?ก็พอร์ชมันหล่อ แต่ไม่ต้องคิดมากนะจุ๊น ไม่ว่าแกจะเป็นรุกเป็นรับหรือเป็นผู้ชายแมนๆ ฉันก็รับได้ ไม่ต้องคิดมากหรอก สมัยนี้ใครๆ เขาก็เป็นกัน?
นายน์พูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจพลางตบไหล่ปลอบเพื่อนเบาๆ แต่มันเป็นความเห็นใจที่จุ๊นคิดว่าไม่มีความจำเป็นสักนิด เจ้าตัวปัดแขนเพื่อนออกจากไหล่ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้ว...
โครม!!!!
คนเป็นเพื่อนสนิทล้มคว่ำลงบนพื้น รอยรองเท้าชัดเจนที่เสื้อนักศึกษาสีขาว
?ไอ้จุ๊น ไม่ติวหนังสือให้แล้ว?
?โหยยย ขี้งอนเป็นตุ๊ดเลย? ล้อเพื่อนอย่างนั้นพร้อมทั้งก้าวเข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ?เจ็บเหรอ?
?ลองไหมครับ เดี๋ยวผมจะถีบให้เต็มตีนเลยครับคุณจุ๊น?
?ไม่อะ ไม่ว่าง?
?จุ๊น!!?
จังหวะที่อีกคนเอ่ยลา อีกคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าลิฟต์ พอร์ชกำลังก้าวขายาวๆ เข้ามาใกล้พวกเขา
?จะไปไหนกันวะ ไปเดทเหรอ?
?ไอ้นายน์?
พอถูกล้อเข้าหน่อย พ่อหนุ่มดิบเถื่อนก็ทำหน้ายุ่งใส่ ขณะที่อีกคนเอาแต่ยิ้ม
?อะไรไอ้จุ๊น ร้อนตัวนะ พอร์ชยังไม่ว่าอะไรเลย เนอะพอร์ช?
?ชินแล้วแหละ ใครจะพูดอะไรก็พูดไปสิ เราไม่ได้เป็นซะหน่อยจะคิดมากทำไมวะ เนอะจุ๊น?
ท้ายประโยค มือหนาเอื้อมไปดึงจุ๊นมายืนข้างๆ
ถูกของพอร์ช ก็แค่คำพูดไม่คิดของคนอื่นจะเอามาใส่ใจทำไม
?ไอ้พอร์ช เวลาอยู่กับกูไม่ต้องพูดอะไรหล่อๆ ได้ไหม แค่ยืนข้างมึง กูก็หมองจนอยากแดกโอโม่เป็นอาหารหลักแล้วเนี่ย?
เสียงบ่นของจุ๊นดังขึ้นเมื่อทั้งคู่เดินลงบันไดไปแล้ว
คงชวนพอร์ชไปอ่อยน้องปีหนึ่งที่เรียนอยู่ชั้นล่างล่ะมั้ง ถึงไม่ยอมใช้ลิฟต์
นายน์คว้าเสื้อแจ็กเกตที่วางอยู่ข้างตัวและลงลิฟต์มาที่ชั้นหนึ่ง
เพียงก้าวเท้าออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ น้องปีหนึ่งก็โผล่มาหยุดตรงหน้า
?พี่นายน์มีคนมาหาครับ?
คนถูกเรียกว่าพี่มุ่นคิ้วมอง ยังไม่ทันได้เอ่ยถามซ้ำให้แน่ใจ รุ่นน้องก็วิ่งจากไปเสียแล้ว
นายน์กระชับแฟ้มในมือกับเสื้อแจ็กเกตไว้แน่นก่อนสอดส่ายสายตามองไปทั่วบริเวณ ทั้งหน้าคณะหรือแม้กระทั่งสวนข้างๆ
สาวน้อยน่ารักที่เขาแอบจินตนาการไว้น่ะเหรอ ไม่มีหรอก จะมีก็แต่...
ร่างสูงของใครบางคนยืนพิงต้นไม้อยู่ในสวนนั้น
ไม่คุ้นเลยแฮะ
คิดอยู่สักพักจึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ พอมาหยุดอยู่ข้างหลังแบบนี้ รู้สึกเลยว่าตัวเองได้กลายเป็นคนแคระไปเสียแล้ว
อันที่จริงนายน์ก็ไม่ได้เตี้ยหรือตัวเล็กเลยนะ ผู้ชายตรงหน้านี้ต่างหากที่สูงเกินไป
เจ้าของแผ่นหลังกว้างยืนตัวเกร็ง ได้ยินเสียงเดินเข้ามาใกล้ก่อนหยุดอยู่ด้านหลัง
เขามั่นใจว่าต้องใช่คนที่เขาตามหา
พี่นายน์ อดีตคนรักของพี่สาวข้างบ้าน
สองดือนกว่าแล้วตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่ หลายครั้งที่อยากมาหา แต่เพราะกิจกรรมรับน้องอันหนักหน่วงและต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่รวมถึงเพื่อนใหม่ เขาจึงไม่มีโอกาสมาเจอสักที
มือใหญ่ชื้นเหงื่อจนเจ้าของต้องเช็ดมันกับกางเกงสแล็คสีดำ เขาสูดอากาศเข้าจนเต็มปอดก่อนผ่อนลมหายใจเอาความกังวลออกมา ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากันแล้ว
ร่างสูงค่อยๆ หันกลับมา สิ่งแรกที่เห็นคือผู้ชายตัวเล็กที่ไม่ได้ดูอ่อนแอดั่งครั้งแรกที่เจอกัน พี่นายน์ในมาดหนุ่มวิศวะดูดีมากจนเขาเผลอยิ้ม ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามซึ่งกำลังสำรวจใบหน้าเขาอยู่ทำเอาหายใจติดขัด แอบลุ้นว่าคนตรงหน้าจะจำกันได้ไหม ถ้าจำได้ก็ดีแต่ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร (มั้ง)
?ชลใช่ไหม?
เพียงคนตรงหน้ายิ้ม ชลก็เผลอยิ้มตาม
?พี่นายน์จำผมได้ด้วยเหรอครับ?
?ก็แค่สูงขึ้น ความหล่อยังไม่เปลี่ยนเลยจำได้อยู่แล้ว? นายน์ขยิบตาให้ทีหนึ่งก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เห็นดังนั้นชลจึงนั่งลงข้างๆ บ้าง
?พี่นายน์ก็ดูดีขึ้นนะครับ?
?พี่ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ต้องมาชมหรอก?
?จริงๆ นะพี่นายน์ เมื่อก่อนพี่นายน์ดูเนิร์ด แต่ตอนนี้ดูเท่แบบหนุ่มวิศวะอะ?
?เราพักเรื่องการอวยกันไว้แค่นี้ไหม ถ้าชมกว่านี้อีกหน่อยพี่จะลอยแล้วนะเว้ย?
?ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจับขาไว้ ถ้าพี่นายน์ลอย ผมก็ไปด้วย?
มือหนาวางลงบนหน้าขารุ่นพี่ เสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากนั้น ใบหน้าจริงจังของรุ่นน้องดูตลกจริงๆ
นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ตอนอยู่กรุงเทพมหานครทั้งคู่เรียนโรงเรียนเดียวกันก็จริง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกันอย่างจริงจัง ถึงอย่างนั้นนายน์ก็เคยได้ยินเรื่องของชลมาบ้าง
ชลเป็นเด็กหนุ่มที่ค่อยข้างโดดเด่น ไม่สิ! ต้องบอกว่าโดดเด่นมากๆ คนหนึ่ง เขาเล่นกีฬาเก่ง เป็นนักกิจกรรมตัวยง แม้การเรียนจะไม่ได้เลิศเลอขนาดติดอันดับนักเรียนเรียนดี แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ รวมทั้งหน้าตาที่หล่อเหลาและสัดส่วนร่างกายราวกับนายแบบทำให้เขาเป็นหนุ่มป๊อป ไม่มีใครไม่รู้จักเขาหรอก ขนาดนายน์ที่เป็นรุ่นพี่และเป็นเด็กเรียนยังได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเลย
หากบอกว่าไม่เคยคุยกันก็ไม่ถูกต้องนัก มีครั้งหนึ่งตอนนายน์ไปส่งจ๊ะจ๋าที่บ้าน ทั้งคู่ได้เจอกันตรงหน้าปากซอย ระยะทางไม่ถึงห้าร้อยเมตรทำให้คุยกันได้ไม่กี่คำก่อนแยกย้าย แต่หลังจากนั้นเวลาเดินผ่านกันในโรงเรียน หนุ่มรุ่นน้องจะยิ้มให้เขาเป็นประจำ ชลเป็นคนเฟรนด์ลี่ นิสัยดี หากเขาเป็นได้อย่างชลแม้สักครึ่งก็คงดี
?แล้วนี่คิดไงมาหา เปิดเทอมมาตั้งสองเดือนแล้วนะ?
?จริงๆ ว่าจะมาหาพี่นายน์ตั้งนานแล้วครับ แต่รับน้องหนักมากเลย แล้วก็มีอะไรหลายๆ อย่างให้ต้องปรับตัวก็เลยเพิ่งมา ไม่โกรธใช่ไหมครับ?
?โกรธทำไม ดีใจจะตาย รอน้องโรงเรียนมาสองปีแล้ว พี่ดีใจนะที่ชลมา?
รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ดูน่ารักจนคนมองเผลอใจเต้นแรง
?ปีที่แล้วไม่มีใครเลยเหรอครับ?
?ไม่มีหรอก ชลมาก็ดีแล้ว เชื่อใจพี่ได้ เดี๋ยวพี่ดูแลชลเป็นอย่างดีเลย? คนเป็นรุ่นพี่ยืดตัวขึ้นอย่างภาคภูมิใจก่อนโอบไหล่รุ่นน้องไว้อย่างยากลำบาก
ผิดที่ชลตัวสูงกว่า ขนาดนั่งแล้วยังสูงกว่าจนน่าโมโห
?ไม่มั้งครับพี่นายน์ เมื่อเช้าผมยังเป็นคนดูแลพี่นายน์อยู่เลย?
?ดูแล??
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน นายน์ย้อนความคิดกลับไปเมื่อเช้า มือที่สัมผัสเสื้อแจ็กเกตอยู่ทำให้เขาคิดบางอย่างได้
อย่าบอกนะว่า...
?เสื้อผมครับ พี่นายน์จะเอาไปซักก่อนค่อยคืน หรือจะคืนเลยครับ?
?ที่แท้ก็มาเอาเสื้อคืนนี่หว่า?
?นั่นก็เหตุผลหนึ่ง แต่จริงๆ อยากมาหาพี่นายน์นั่นแหละครับ พี่นายน์สบายดีใช่ไหม?
ชลไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร เขาไม่อยากเดา แต่ก็อดคิดไม่ได้เมื่อแววตาของรุ่นพี่วูบไหวไปชั่วขณะหนึ่ง
?สบายดีสิ ชลแหละ เมื่อเช้าตากฝน ยังสบายดีอยู่ใช่ไหม?
ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ชลยิ้มสวยแบบที่สาวเห็นแล้วต้องกรี๊ดก่อนตอบ
?ปวดหัวนิดหนึ่งครับ ถ้าไม่ดูเป็นการรบกวน พี่นายน์ช่วยเลี้ยงข้าวสักมื้อได้ไหม?
?ปวดหัวเกี่ยวอะไรกับกินข้าววะ?
?ก็กินข้าวแล้วจะได้กินยาไง และอีกอย่างพี่นายน์บอกเองว่าจะดูแลผมเป็นอย่างดี เพิ่งพูดเมื่อกี้ลืมแล้วเหรอครับ?
?ทะเล้นจริงนะเรา งั้นเอาเสื้อไปเลย ไม่ซักนะ ขี้เกียจ?
พูดอย่างที่ใจคิดจบแค่นั้น คนตัวเล็กกว่าก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและก้าวออกจากบริเวณนั้น หากแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกคนไม่ได้เดินตามมา
นายน์เอี้ยวตัวมองก็พบว่าดวงตาคมมองตามเขามา แต่เจ้าของมันกลับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
?จะไม่ไปเหรอ?
?พี่นายน์จะเลี้ยงข้าวเหรอครับ?
?เออดิ อยากทำหน้าที่พี่โรงเรียนจะแย่แล้วครับ?
พวกเขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นานแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน มีคำถามมากมายที่อยากถาม ทั้งเรื่องอาจารย์ที่โรงเรียน บรรยากาศที่เคยสัมผัสเมื่ออดีตและเรื่องของคนข้างบ้าน
ตั้งแต่เลิกกับคนรักเก่า นายน์คิดมาตลอดว่าเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ก็เปล่า...เวลาไม่ได้ช่วยรักษาแผลในใจเขาสักนิด บาดแผลยังคงชัดเจน เพียงแค่สะกิดมันนิดเดียว เลือดก็พร้อมจะไหลซึมออกมา
การเจอชลครั้งนี้ นายน์ก็พร้อมที่จะรับความเจ็บปวดนั้นเช่นกัน
พวกเขาเลือกร้านอาหารแบบนั่งชิลด้านหลังมหาวิทยาลัย ดูเหมือนว่าชลจะสนิทสนมกับพนักงานที่ร้านเป็นอย่างดี พวกเขาถึงได้พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง และเชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเหมือนเป็นที่ประจำ
?มาบ่อยเหรอ? นายน์ถามเมื่อชลคืนเมนูอาหารให้พนักงานเสิร์ฟสาวซึ่งมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ก็รู้ว่าชลมีเสน่ห์ แต่ไม่คิดว่าจะมากจนล้นขนาดนี้
?รุ่นพี่พามาเลี้ยงบ่อยๆ ครับ?
?ลืมถามเลยอะ ชลเรียนสถาปัตย์เหรอ?
คนถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ
?งั้นก็รู้จักพอร์ชสิ?
?ครับ พี่พอร์ชเป็นสายรหัสครับ?
?มิน่าถึงได้ดูคุ้นเคยกับที่นี่จัง แฟนเจ้าของร้านเคยเรียนสถาปัตย์ที่นี่ และที่สำคัญเป็นสายรหัสพอร์ชด้วย มันคงพามากันที่นี่บ่อยเลยสิ?
?ทุกครั้งเลยครับ? ท้ายประโยคทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นคล้ายอากาศช่วงเช้าของฤดูร้อน แต่ภายนอกร้านนั้นเมฆฝนกำลังตั้งเค้า และอีกไม่นานก็คงตกลงมา
อาหารมาเสิร์ฟแล้ว นายน์ไม่พูดอะไร ชลก็เช่นกัน ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารกันเงียบๆ หากแต่ภายใต้ความเงียบนั้นนายน์กลับรู้สึกว่ามันดี อาจเป็นเพราะได้เจอคนรู้จักล่ะมั้ง
?พี่นายน์ลองกินนี่ดูสิ อร่อยมากเลยนะ?
นานแล้วที่ไม่ถูกใครเทคแคร์แบบนี้ ก็นะ...ชีวิตหนุ่มวิศวะที่โสดสนิทมาตั้งหลายปี วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับเพื่อนผู้ชาย คงมีใครมาเทคแคร์ดูแลหรอก
?อันนี้ไม่เคยกินเลยว่ะ มันคืออะไรอะ?
?ลาบทอดครับ อร่อยนะ ลองชิมดู?
พอเห็นว่าอีกคนลังเล ชลจึงถือวิสาสะใช้ส้อมจิ้มอาหารที่ตัวเองนำเสนอไปจ่อปากคนที่เอาแต่ทำหน้าสงสัย
?อะไร?? นายน์ผงะ
ก็ชอบอยู่หรอกที่มีคนมาเอาใจใส่น่ะ แต่นี่มันมากไปแล้ว เพื่อนผู้ชายที่ไหนเขาทำกันวะ
?อ้าปากครับ?
แม้อีกคนทำท่าเหมือนรังเกียจ แต่ชลก็ไม่ได้ยอมแพ้ ยังคงคะยั้นคะยอให้นายน์อ้าปาก และก็สำเร็จเมื่อรุ่นพี่ขี้เกียจเถียง อีกอย่างแววตาชลน่ะดูมุ่งมั่นมากๆ จนไม่อยากจะต่อกรด้วยสักนิด
ผู้ชนะเท้าคางมองคนตรงหน้าซึ่งกำลังเคี้ยวอาหารที่เขาป้อนให้อย่างมีความสุข พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
?อร่อยไหมครับ?
?ก็ดีนะ แต่นี่มันอาหารอีสานไม่ใช่เหรอ ทำไมที่นี่มีขายด้วยวะ นี่ขายทุกอย่างหรือเปล่าเนี่ย สั่งหูฉลามน้ำแดง พระกระโดดกำแพงจะมีมาเสิร์ฟปะ?
นายน์ตั้งใจพูดเสียงดังในท้ายประโยคให้คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงินได้ยิน และก็เป็นไปตามคาด สาวเจ้าของร้านถือตะหลิวที่ไม่รู้ไปหยิบมาจากในครัวตอนไหนเดินตรงมาทางนี้
ชลทำหน้าหวาดๆ ขณะที่คนพูดกำลังยิ้มขำ
?น้องนายน์มาคนเดียวยังทำซ่าอีกนะ?
?คนเดียวอะไรเจ๊ มากับน้อง?
?น้องหล่อเนอะ? พี่ปิ่น เจ้าของร้านเหล่มองและชมเต็มคำจนคนถูกชมยิ้มอายๆ ?ปกติมากับไอ้พอร์ชไม่ใช่เหรอเราน่ะ ทำไมวันนี้มากับนายน์ล่ะ มาสองคนด้วย มาเดทเหรอ?
?โหเจ๊ เล่นงี้เลยเหรอ โทษฐานที่ใส่ร้ายกัน ลดให้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์สิ นะครับ?
?ฝันไปเถอะย่ะ เรียกเช็กบิลใช่ไหม รอแป๊บหนึ่ง?
?พี่ปิ่นคนสวยลดให้หน่อยนะครับ ชลเป็นน้องโรงเรียนผมอะ นี่ก็พามาเลี้ยง ลดหน่อยน้า?
อ้อนแค่น้ำเสียงและสีหน้าเหมือนจะไม่เพียงพอ นายน์จึงลุกจากเก้าอี้วิ่งตามเข้าไปเกาะแขนคุณพี่เจ้าของร้านพลางทำหน้าเหมือนแมวขี้อ้อน
น่ารักชะมัด
อยู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวคนที่กำลังมองการกระทำนั้นจนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
การอ้อนขั้นสูงที่ร่ำเรียนมาจากพอร์ชใช้ได้ผล แม้จะไม่ได้ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ คงไม่มีใครบ้าจี้ลดให้ขนาดนั้นหรอก แต่อย่างน้อยก็ได้ส่วนลดมาตั้งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เซฟเงินในกระเป๋าได้ตั้งเยอะ
นายน์เดินออกจากร้านอย่างอารมณ์ดี เขาอยากโทรไปอวดพอร์ชจะแย่อยู่แล้ว แต่ติดที่ว่าเมื่อเช้าลืมหยิบโทรศัพท์ออกมา
?พี่นายน์อารมณ์ดีจังนะครับ ทำแบบนั้นบ่อยเหรอครับ?
?ทำอะไร? คนถูกถามหุบยิ้มฉับก่อนเอี้ยวตัวมองคนที่เดินตามมาไม่ห่าง
?อ้อนผู้หญิงน่ะครับ ทำบ่อยเหรอครับ?
?เป็นผู้ชายก็ต้องอ้อนผู้หญิงสิ จะให้อ้อนผู้ชายอย่างนั้นเหรอ?
?พี่นายน์มีแฟนหรือยังครับ? ชลไม่แน่ใจว่าควรถามหรือเปล่า แต่ก็อยากรู้ อยากได้ยินจากปาก
อาการของคนร่าเริงที่อยู่ๆ ก็เงียบไปทำให้รู้ว่าคำถามของตัวเองไปจี้ใจเข้า ชลจึงขยับเข้าไปใกล้ วางมือลงบนไหล่คนอายุมากกว่าแล้วเอ่ยคำขอโทษ
?พี่นายน์ ผมขอโทษนะครับ?
?พูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว จ๋าเป็นยังไงบ้าง ได้คุยกันไหม แล้วตอนกลับไทยได้เจอหรือเปล่า?
?พี่จ๋าดูเหมือนจะสบายดีครับ?
?แล้วกับแฟนล่ะ ยังรักกันดีอยู่ใช่ไหม?
?พี่นายน์...?
?เล่าเถอะ พี่อยากรู้ อยากรู้ว่าในขณะที่พี่ยังรักเขาอยู่หมดทั้งใจ เขาลืมพี่ไปหรือยัง ถ้าลืมไปแล้วจะได้พยายามลืมเหมือนกัน?
ชลไม่รู้ว่าควรเล่าอย่างไร ยิ่งเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของคนข้างๆ ก็ยิ่งไม่กล้าพูด เวลาสองปีกว่าไม่ได้ช่วยให้นายน์ดีขึ้นเลย ขณะที่คนสองคนกำลังมีความสุข พวกเขาไม่รู้เลยว่าอีกคนหนึ่งกำลังเจ็บเจียนตาย
ครืนนน~
คล้ายว่าฟ้าฝนเป็นใจ เมื่อชลขยับริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเพื่อเล่าเรื่องของพี่สาวข้างบ้าน เสียงฟ้าก็ดังขึ้น พอเงยหน้ามองบนฟ้าก็พบว่าฝนกำลังตก
?พี่นายน์ครับ?
สิ้นเสียงเรียก มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมืออีกคนและดึงให้เข้ามาใกล้จนร่างกายแนบชิด
คนถูกเรียกตกใจในคราแรก แต่ก็คลายลงเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยกมือขึ้นใช้เสื้อตัวที่เขาเพิ่งคืนไปเมื่อครู่คลุมศีรษะทั้งคู่เอาไว้ อันที่จริงมันแทบไม่ช่วยอะไรเลย แต่ก็ยังดีกว่าวิ่งตากฝน
?วิ่งเถอะ?
คราวนี้เป็นนายน์ที่เป็นฝ่ายเรียก ทั้งคู่มองตาและพยักหน้าส่งสัญญาณให้กันก่อนออกวิ่งไปตามทางที่ชื้นแฉะ
?พี่นายน์ขยับเข้ามาหน่อยครับ เปียกหมดแล้ว?
เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ นายน์วิ่งเร็วถึงขั้นได้รับเลือกเป็นตัวแทนลงแข่งวิ่งตอนงานกีฬาเฟรชชี่เชียวนะ
อดีตนักวิ่งลดความเร็วของฝีเท้าลงอีกหน่อยแล้วขยับเข้าไปใกล้รุ่นน้องอีกนิด
?ก็ชลวิ่งช้านี่หว่า ขาก็ยาว ทำไมเต่างี้อะ?
?อ้าว กลายเป็นผมผิดซะงั้น?
?ไม่ต้องมาเถียง รีบวิ่งเลย เดี๋ยวโดนฝนไม่สบายนะเว้ย?
แขนเล็กสอดเข้ามาที่เอวคนตัวสูงอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว ชลนิ่งไปนิดด้วยความตกใจ ไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ นายน์ก็ดึงเขาให้ออกวิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยกันอีกครั้ง
แปลกมาก ความรู้สึกเมื่อกี้มัน...แปลกมากจริงๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความปวดร้าวที่หัวใจสามารถบรรเทาได้ด้วยความเจ็บปวดที่ร่างกาย
?นายน์? ชายผู้ถูกสาวคนรักทิ้งไว้เบื้องหลังมีความคิดอย่างนั้นมาตลอดสองปี เขายังคงจมปลักอยู่กับความเศร้าตรม และทำร้ายตัวเองซ้ำๆ เพื่อให้ใจรู้สึกดีขึ้น เมื่อได้รู้เรื่องนั้น ?ชล? เด็กหนุ่มรุ่นน้องแสนขี้เล่นที่เฝ้ามองนายน์มาตลอดจึงไม่สามารถเพิกเฉยได้ เขาพยายามลบล้างความเข้าใจผิดๆ แบบนั้นของนายน์ด้วยความเชื่อของตัวเอง
ความอบอุ่นจากริมฝีปากต่างหากที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ ไม่เชื่อก็ให้ผมลองพิสูจน์ดูสิ...
