New Release : GOSICK 4 สาวน้อยยอดนักสืบ ตอน ตัวแทนแห่งคนเขลา

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : GOSICK 4 สาวน้อยยอดนักสืบ ตอน ตัวแทนแห่งคนเขลา

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ ?มายาหอคอยสีนิล?

ที่นั่นเป็นโลกที่มีเพียงสีขาวและดำ

มันเป็นสีขาวและดำ ราวกับเป็นกลางวันและกลางคืน....

หอคอยสีนิลตั้งอยู่ที่นั่นราวกับกำลังล่องอยู่ในยามสนธยา
แสงจันทร์นวลผ่องส่องสว่างผ่านเมฆหมอกลงมากระทบหอคอยแห่งนั้น
ณ เนินเล็กๆ ที่ห่างออกมาจากหมู่บ้าน....
หอคอยสีนิลส่งหลังคาทรงแหลมขึ้นสูงประหนึ่งจะทะลวงสู่ท้องฟ้า ด้านหน้าหอคอยมีนาฬิกาเรือนมหึมา เข็มนาฬิกาทั้งสองยื่นออกชี้เวลาจนดูราวกับเป็นเคียวสีดำสนิท
ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด และดูส่อเค้าถึงลางร้าย....

จนในที่สุดก็มีรถม้าวิ่งขึ้นเนินมาราวกับจะปัดเป่าความมืดให้สิ้นไป ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นจนทำให้ม้าทั้งสองตัวตื่นตกใจ ส่งเสียงร้องเป็นการใหญ่
พอรถม้าหยุดลงก็มีหญิงสาวสวมชุดสีดำลงมาจากรถม้า หญิงสาวหันหน้ากลับไปทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คนควบคุมม้าบังคับม้าให้วิ่งลงเนินไปโดยไม่สนใจที่จะฟังเลย ราวกับกำลังหนีจากอะไรบางอย่าง
หญิงสาวยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำยังไงดีอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็เกิดเสียงฟ้าร้องอีกครั้ง พร้อมกับมีสายฝนเย็นยะเยียบดั่งลูกศรเสียดแทงตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอจึงลนลานออกวิ่งไป
ไปสู่หอคอยทะมึน
หน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมสองบานบนหอคอยนั้นดูราวกับดวงตาของมนุษย์ที่กำลังก้มลงมองร่างของหญิงสาวอย่างเย็นชา เมื่อแสงสีขาวที่อยู่ด้านในหอคอยกะพริบวูบ ก็ทำให้ดูเหมือนกับอสุรกายกำลังกะพริบตาอยู่เลยทีเดียว
หญิงสาวถูกดูดเข้าไปในหอคอย....

และภายในหอคอยนั้น.... มีสภาพดังเช่นเครื่องสร้างฝันร้าย
ในห้องทรงวงกลมเช่นเดียวกับหอคอยนั้นปกคลุมไปด้วยความมืดสลัวสีเทา
บนหัวเป็นช่องเปิดโล่ง ไกลขึ้นไปด้านบนนั้นจมอยู่ในความมืดมิด ดูราวกับกำลังจ้องมองลงไปในบึงไร้ก้น ชวนให้เกิดความสับสนว่าด้านไหนคือด้านบน ด้านไหนคือด้านล่างกันแน่....
มีบางอย่างเคลื่อนที่จากทางขวาไปทางซ้าย ดั่งคมดาบที่ตัดผ่านความมืด ทำให้อากาศสั่นไหว ซึ่งตัวจริงของมันก็คือลูกตุ้มนาฬิกาขนาดใหญ่ที่แกว่งเข้ามาใกล้นั่นเอง จากนั้นมันก็แกว่งจากซ้ายไปขวา กลับไปสู่ทิศทางเดิมพลางก่อให้เกิดสายลมอันน่าสยดสยองไปด้วย
เอี๊ยดๆๆ เอี๊ยดๆๆๆ....
ฟันเฟืองขนาดมหึมาทั้งสี่อันที่อยู่มุมห้องขบกันพลางส่งเสียงต่ำอันแปลกประหลาด ฟันเฟืองนั้นขบเข้าด้วยกัน แล้วก็แยกออก และขบกันอีกครั้ง....
หญิงสาวชุดดำที่ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องนั้น กวาดตามองไปรอบๆ ห้องด้วยท่าทางหวาดกลัว
พอหญิงสาวคนนั้นถอดผ้าคลุมหน้าสีดำออก.... ก็เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาววัยแรกแย้ม พร้อมกับเส้นผมและดวงตาที่ไม่อาจมองเห็นว่าเป็นสีอะไร จากนั้นเมื่อเธอถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกก็พบว่าเธออยู่ในชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์
เธอมองไปรอบๆ ห้องด้วยท่าทางหวาดกลัว ขมวดคิ้วให้กับฟันเฟืองและลูกตุ้ม ก่อนจะสังเกตเห็นโต๊ะไม้ตะโกและพุ่งเข้าไปหา
บนโต๊ะมีหนังสือและอุปกรณ์การทดลองต่างๆ วางเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย เด็กสาวรีบร้อนหยิบของเหล่านั้นขึ้นมา พยายามค้นหาอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกันนั้นเอง.... ก็เกิดควันสีขาวกลุ่มหนึ่งขึ้นมาที่ตรงกลางห้อง
เด็กสาวยังไม่รู้สึกตัว
ควันนั้นกลายเป็นรูปร่างคน ซึ่งสิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือ....
ในที่สุดหญิงสาวที่รู้สึกถึงกลิ่นอายนั้นก็หันหลังกลับไปมอง สิ่งที่อยู่ตรงนั้นก็คือบุคคลปริศนาที่สวมหน้ากากดูน่ากลัว และสวมเสื้อคลุมยาวยืนอยู่
เด็กสาวส่งเสียงร้อง จากนั้นก็ขยับริมฝีปากราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง

ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถิด ท่านผู้อาศัยในหอคอยสีนิล!
ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จำเป็นต้องใช้พลังของท่าน
มิเช่นนั้นพ่อที่ป่วยของฉันคงได้เดินทางไปสู่ปรโลกในไม่ช้า....

ชายสวมหน้ากากผู้ที่ถูกเรียกว่าท่าน เดินเข้ามาหนึ่งก้าว
ร่างของเด็กสาวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัว
ชายคนนั้นยกมือที่สวมถุงมือข้างหนึ่งขึ้นมา แล้วจับที่หน้ากากของตนเอง
จากนั้นก็พูดออกมา

เด็กสาวเอ๋ย เด็กสาวผู้ไร้มลทินเอ๋ย
จงมองดูคำสาปของข้าให้เต็มสองตาเถิด
นี่แหละคือโฉมหน้าอันน่าเวทนาของชายผู้เป็นอมตะ!

ชายคนนั้นค่อยๆ ถอดหน้ากากออกช้าๆ แล้วปล่อยมันให้ตกลงไปจากมือ หน้ากากตกกระทบพื้นอันมืดมิดดังแก๊ง โดยอยู่ภายใต้เงาของลูกตุ้มขนาดมหึมา
ใบหน้าอันงดงามของเด็กสาวบิดเบี้ยวไปด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว
แล้วชายคนนั้นก็พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

นี่แหละ คือสภาพที่แท้จริงของความเป็นอมตะ!

เด็กสาวเบิกตากว้าง ยกฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นปิดหน้าแล้วร้องคร่ำครวญ จากนั้นก็เอามือไปแตะที่คอและเริ่มแสดงท่าทีทรมาน
เธอโซเซไปมา ก่อนจะล้มคว่ำหน้าลงบนพื้น ไหล่เปลือยเปล่าสีขาวสั่นกึกๆ แล้วเงาของลูกตุ้มก็เข้ามาบดบังร่างของชายที่กำลังยืนก้มลงมองเด็กสาวเอาไว้
เงาของลูกตุ้มค่อยๆ เคลื่อนที่ ทำให้แสงสีขาวสาดส่องใส่ร่างของชายคนนั้นโดยไล่จากทางด้านขวาล่างไปทางซ้ายบน
ส่วนตัวเด็กสาวนั้น ด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด เธอจึงร้องตะโกนออกมา

อา~ ความลับของโฉมหน้านั้น ช่างน่ากลัวอะไรเพียงนี้....!


บทที่ 1 บันทึกของนักเล่นแร่แปรธาตุ

1

ณ ห้องอันมืดมิดแห่งหนึ่ง มีเก้าอี้แบบมีพนักพิงจำนวนมากมายตั้งเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีชาวหมู่บ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้แต่ละตัว จ้องมองภาพขาวดำที่ถูกฉายจากฟิล์มลงบนจอภาพอย่างใจจดใจจ่อ
ในจอนั้นเป็นฉากที่บุคคลลึกลับผู้ปรากฏตัวขึ้นมาในหอคอยสีนิลกำลังจะถอดหน้ากากออก และเผยให้เห็นโฉมหน้าอันสยดสยอง....
เสียงดนตรีดังขึ้นเร้าอารมณ์....
ในโรงภาพยนตร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ในหมู่บ้าน.... โรงภาพยนตร์ที่เกิดจากการที่คนหนุ่มในหมู่บ้านจัดการดัดแปลงโรงละครเล็กๆ ซึ่งไม่ได้ใช้มานานแห่งนั้น มีผู้คนมากมายพากันเข้ามาเพื่อชมภาพยนตร์เรื่อง ?มายาหอคอยสีนิล? กันอย่างเนืองแน่นดังเช่นทุกวัน ท่ามกลางเด็กสาวชาวหมู่บ้านที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหนาดูทนทานนั้น มีเด็กสาวที่แต่งตัวสวยอย่างเต็มที่คนหนึ่ง และเด็กหนุ่มชาวตะวันออกที่ดูเหมือนจะมาด้วยกันนั่งอยู่ ดูแล้วพวกเธอน่าจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนเซนต์มาร์เกอริต ซึ่งเป็นโรงเรียนของลูกหลานขุนนางที่ตั้งอยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้าน
หนึ่งในสองคนที่ดูโดดเด่นออกมาจากกลุ่มชาวหมู่บ้าน.... หรือก็คือเด็กสาวที่มีผมสั้นสีทองและแขนขาเรียวยาวนั้น เอาแต่จ้องจอชนิดแทบไม่กะพริบตามาได้พักใหญ่ๆ แล้ว แต่ในทางกลับกัน เด็กหนุ่มที่ดูน่าจะโดนฝืนใจบังคับมาด้วยกันนั้นนั่งนิ่งในท่าหลังตรงประหนึ่งนักรบอยู่บนเก้าอี้มาได้ร่วมชั่วโมงแล้ว โดยเขาหลับตาแน่น.... และนอนหลับอยู่อย่างเงียบเชียบ
พอบนจอฉายบทพูดของเด็กสาว ชาวหมู่บ้านก็พากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาพร้อมๆ กัน
?อา~ ความลับของโฉมหน้านั้น ช่างน่ากลัวอะไรเพียงนี้....!?
เด็กสาวผมสีทอง.... อาวริล แบรดลีย์กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
จากนั้น....
พร้อมๆ กับที่เสียงซาวนด์เอฟเฟกต์ดังกระหึ่มขึ้น ก็มีภาพใบหน้าของชายผู้ลึกลับคนนั้นฉายขึ้นมาจนเต็มจอ
?กรี๊ดดดดดดด!?
อาวริลส่งเสียงร้องดังลั่นพร้อมกับโยนกล่องสีน้ำตาลขึ้นไปโดยไม่ทันคิด ทำให้คุกกี้ช็อกโกแลตชิพที่ยังกินไม่หมดลอยสูงขึ้นไปสู่เพดานอย่างสวยงาม จากนั้นเธอจึงใช้มืออีกข้างบีบคอของคุโจ คาซึยะที่นั่งหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ อย่างเต็มแรง
?โครงกระดูกอ่า~~~~!??
?....อุว้ากกกกกก!?
คาซึยะสะดุ้งพรวดลุกขึ้นยืน พร้อมกันนั้นก็มีเสียงจากชาวหมู่บ้านดังมาจากทางด้านหลังว่า ?นั่งลงเซ่!? ?อย่าบังสิ มองไม่เห็น!? ?คุกกี้ตกมาจากไหนเนี่ย!?? ดังมาเป็นชุด คาซึยะจึงก้มหัวลงเก้าสิบองศาเพื่อขอโทษ จากนั้นเก็บคุกกี้ที่ตกขึ้นมา แล้วจึงกลับมานั่งเก้าอี้ตามเดิม
เขาเหลือบตาเขม่นอาวริล
อาวริลอ้าปากออก ดวงตาเป็นประกายปิ๊งๆ พลางจ้องมองที่จอ คาซึยะมองดูใบหน้าที่ดูสนุกสนานอย่างไร้เดียงสานั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วในที่สุดก็ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาเป็นทำนองว่าช่วยไม่ได้น้า ก่อนจะจัดท่านั่งใหม่แล้วหลับตาลงอีกครั้ง

ขณะนั้นเป็นปี ค.ศ. 1924....
ณ ประเทศเล็กๆ แห่งหนึ่งในยุโรปที่ชื่อว่าราชอาณาจักรเซาวิลล์
ฝั่งชายแดนติดสวิตเซอร์แลนด์เป็นทะเลสาบกับเทือกเขาเขียวขจีและป่าลึก ฝั่งชายแดนติดฝรั่งเศสเป็นไร่องุ่นกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ส่วนฝั่งชายแดนติดอิตาลีเป็นสถานที่พักร้อนอันสวยงามที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศเล็กๆ ที่มีอาณาเขตเรียวยาว ดูราวกับระเบียงทางเดินที่เต็มไปด้วยปริศนาแห่งนี้ แม้จะถูกล้อมรอบด้วยประเทศมหาอำนาจ แต่ก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สืบทอดมาแต่โบราณ และมีความแข็งแกร่งพอที่จะเอาตัวรอดผ่านไฟสงครามโลกมาได้ นอกจากนั้นยังมีสิทธิ์มีเสียงในการเจรจากับประเทศมหาอำนาจจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ?ยักษ์น้อย? ของยุโรปตะวันออก
หากเปรียบอ่าวลียงที่อยู่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นประตูหน้าบ้านอันสวยงามของราชอาณาจักรเซาวิลล์แห่งนี้แล้วละก็ เทือกเขาแอลป์ก็เปรียบได้กับห้องใต้หลังคาซึ่งเป็นจุดที่อยู่ลึกและลับที่สุดของบ้านนั่นเอง ที่ตีนเขานั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นดินแดนอันงดงาม ร่มรื่น และเป็นที่รู้จักกันในฐานะแหล่งผลิตไวน์และผลไม้ ไกลจากหมู่บ้านออกมาเล็กน้อยมีโรงเรียนอันแสนแปลกประหลาดที่อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่ยุคกลางตั้งอยู่
มันคือโรงเรียนเซนต์มาร์เกอริตนั่นเอง....
เบื้องหน้าเป็นที่รู้จักกันในฐานะโรงเรียนสำหรับลูกหลานของขุนนาง แต่ก็มีปริศนาอยู่มากมาย จนมีบางคนคิดว่าความลับของราชอาณาจักรเล็กๆ ที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์นี้จำนวนไม่น้อย ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่หลังจากสงครามโลกจบลง โรงเรียนที่เน้นการรักษาความลับแห่งนี้ก็เริ่มเปิดรับนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีความสามารถจากประเทศพันธมิตรต่างๆ
ซึ่งคุโจ คาซึยะก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนผู้มีผลการเรียนดี มีมารยาทเยี่ยมที่มาจากประเทศเกาะในตะวันออกไกลซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรเช่นกัน เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศนี้โดยตั้งความหวังกับชีวิตใหม่เอาไว้เต็มเปี่ยม โดยทิ้งครอบครัวและความบกพร่องอย่างหนึ่งเอาไว้ที่บ้านเกิดเมืองนอน....
ในการใช้ชีวิตที่นี่ คาซึยะต้องพบกับการดูถูกจากลูกหลานชนชั้นสูง และเรื่องลึกลับที่มีแพร่กระจายอยู่ทั่วโรงเรียน รวมถึงกำแพงแห่งภาษาและวัฒนธรรม และ....
ได้พบกับวิคตอริก้า เดอ บลัว เด็กสาวน่าพิศวง ผู้งดงามอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน และแปลกพิสดารเหลือจะเอ่ย พร้อมกับได้ผจญภัยอีกหลายครั้ง....
ชีวิตของเขาได้พบเจอกับอะไรมากมายหลายอย่างเป็นสีสันแห่งชีวิต

?คุโจคุงนี่ละก็ ร้องออกมาซะดังเชียว ขวัญอ่อนจริงๆ เลยน้า!?
อาวริลเปิดประตูโรงภาพยนตร์พลางพูดแบบนั้นด้วยท่าทีสนุกสนานอย่างมาก คาซึยะจึงเริ่มโต้แย้งอย่างจริงจัง
?เธอนี่นะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ฉันไม่ได้ร้องออกมาเพราะตกใจหน้าคนที่เป็นโครงกระดูกนั่นหรอกนะ?
?ทำเป็นพูดกลบเกลื่อนไปได้?
?จะ จริงๆ นะ หลักฐานก็คือเพราะว่าฉันหลับอยู่ตลอดเวลาเลยยังไงล่ะ?
?ก็แค่กลัวเลยหลับตาไว้ล่ะสิ อาวริลรู้ทันหรอกน่า ที่สำคัญถ้าหลับอยู่ละก็คงไม่ร้องออกมาได้ถูกจังหวะแบบนั้นหรอกเนอะ??
?ใช่ซะที่ไหนเล่า นั่นมันเพราะเธอเล่นบีบคอฉันซะแน่น....?
?คุโจคุง?
อาวริลทำหน้าจริงจังหันมามอง
?บีบซะแน่น.... อะไรเหรอ??
?ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย?
?เอ๋~!??
?ถึงคุโจคุงจะเป็นคนขวัญอ่อน ไม่เอาไหน อ่อนแอ หรือคะแนนสอบติดตัวแดงยังไง ฉันก็ไม่เกลียดคุโจคุงหรอกนะ?
?........?
คาซึยะตั้งท่าจะโต้แย้งต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจล้มเลิกไปก่อน
(ก็นะ บางทีฉันก็ไม่เอาไหนจริงๆ แหละ แต่ยังไงก็ไม่ได้ขวัญอ่อนแน่ๆ แถมเรื่องคะแนนสอบฉันก็เป็นที่หนึ่งของห้องประจำเลยนะ....)
คาซึยะงอน รับไม่ได้กับคำพูดเมื่อครู่ แต่ทางฝั่งอาวริลไม่ได้มีทีท่าจะสังเกตเห็นแม้แต่น้อย เธอเดินออกจากโรงภาพยนตร์ไปแบบตัวลอยด้วยท่าทีสนุกสนาน
แสงแดดแห่งช่วงต้นฤดูร้อนสาดส่องลงมาบนถนนซึ่งเป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของหมู่บ้าน คงเพราะเมื่อสักครู่มีฝนไล่ช้างตกลงมา จึงทำให้ถนนเปียกอยู่ แต่ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใสดีแล้ว ป้ายร้านค้าและต้นไม้ประดับริมสองข้างทางมีหยดน้ำเกาะจนส่องประกายสวยงาม ทั้งบ้านจั่วทรงสามเหลี่ยมที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง เถาวัลย์สีเขียวขจีที่ยื่นลงมาจากหน้าต่าง และดอกเจอเรเนียมที่เบ่งบานอย่างสวยงามนั้นช่างดูเจิดจ้าไปหมด
ยามบ่ายของวันอาทิตย์....
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อนที่จะปิดเทอมฤดูร้อนยาวนานร่วมสองเดือนในอีกไม่กี่วันนี้ เป็นช่วงเวลาที่การสอบและการเรียนส่วนใหญ่จบลงแทบทั้งหมดแล้ว จึงเหมาะจะพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง คาซึยะและอาวริลที่ลงมาเที่ยวเล่นสบายๆ ในหมู่บ้านวันนี้ก็ไม่ได้สวมชุดนักเรียน แต่เป็นชุดไปรเวทของตัวเอง
คาซึยะสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายและเสื้อกั๊กหนัง ส่วนอาวริลนั้นสวมเสื้อสีขาวทรงเรียบง่ายที่ทำจากผ้ามัสลินกับกระโปรงบานลายหยดน้ำดูน่ารัก เธอเดินแกว่งแขนขาไปด้วยท่าทีร่าเริง
?อ้าว....??
อยู่ๆ อาวริลก็ทำหน้าครุ่นคิดแล้วหยุดเดิน คาซึยะจึงหยุดตามไปด้วย
?มีอะไรเหรอ อาวริล??
?เปล่าหรอก ก็แค่รู้สึกเหมือนกับว่าฉันเคยได้ยินเรื่องเหมือนกับในหนังเมื่อกี้จากที่ไหนสักแห่งมาก่อนเท่านั้นเอง เรื่องของชายสวมหน้ากากและเสื้อคลุมผู้ลึกลับที่อาศัยอยู่ในหอคอยสีดำ กับเด็กสาวที่ตายอย่างแปลกประหลาดอยู่ในนั้น....?
คาซึยะพูดตอบไปงั้นๆ โดยมีท่าทางไม่สนใจเท่าไรนัก
?อย่างอาวริลก็คงเคยได้ยินมาบ้างล่ะน่า เพราะเธอไปไล่อ่านเรื่องลึกลับจากทั่วทุกสารทิศทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วนี่นา?
?อืม มันก็ใช่อยู่หรอก....?
อาวริลครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงออกเดินต่อไป
จนเธอไปหยุดยืนอยู่หน้าที่ทำการไปรษณีย์แล้วพูดขึ้นมา
?รอเดี๋ยวนะ?
แล้วเธอก็วิ่งเข้าไปในนั้น
คาซึยะจึงต้องยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างไม่มีอะไรทำ
จังหวะนั้นเองก็มีผู้ชายตัวสูงสองคนเดินผ่านมา คนหนึ่งสวมหมวกลึกเกือบปิดตา แต่เส้นผมสีแดงราวกับเปลวเพลิงก็ยังแลบออกมาให้เห็นจากใต้หมวก ส่วนอีกคนนั้นเป็นชายชาวตะวันออกเช่นเดียวกับคาซึยะ โครงหน้าสมส่วนได้รูป สายตาเย็นชาอย่างน่าประหลาด
พอเด็กสาวในหมู่บ้านเดินสวนกับชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้าทั้งสองคนนั้นก็หันกลับมามองดูพวกเขา จากนั้นก็หันมองหน้ากันเองราวกับจะถามว่าเมื่อกี้ใครเหรอ ส่วนชายทั้งสองคนนั้นพอรู้ตัวว่ามีคนมองก็หยุดเดินและหันไปขยิบตาให้กับพวกเด็กสาวอย่างเป็นมิตร ทำให้พวกเด็กสาวอายจนหน้าแดงและเดินจากไป
ระหว่างที่คาซึยะมองดูชายสองคนนั้นผ่านๆ แบบไม่ได้ใส่ใจนักอยู่นั้นเอง....
?ขอโทษที่ให้รอนะ!?
อาวริลพุ่งออกจากที่ทำการไปรษณีย์เข้ามาหา ในมือข้างหนึ่งถือซองไปรษณีย์ที่ไปรับมา
?พอดีฉันสั่งซื้อของทางไปรษณีย์เอาไว้น่ะ ที่ร้านใหญ่ๆ ของเซาเลมเนี่ย มีบริการให้เราส่งเงินไปก่อนแล้วเขาจะส่งของมาให้ทางไปรษณีย์ได้ด้วยนะ?
?งี้นี่เอง เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย?
คาซึยะรู้สึกประทับใจกับเรื่องนั้น
ทั้งสองคนออกเดินต่อไปด้วยกันอีกครั้ง แล้วอาวริลก็พูดขึ้น
?แต่ว่านะ ยังไงฉันก็รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ?
?เคยได้ยินอะไรเหรอ? .... อ้อ หมายถึงเรื่องลึกลับเมื่อกี้นี้เองเหรอ?
?โธ่ ตั้งใจฟังกันหน่อยสิ?
คาซึยะค่อยๆ เดินไปบนทางเดินกลับสู่โรงเรียนพร้อมกับอาวริลที่ปิดปากเงียบลงอย่างที่ไม่ค่อยจะมีบ่อยๆ
บ้านเรือนค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นไร่องุ่นเรียงรายกว้างไกล แสงอาทิตย์ของช่วงต้นฤดูร้อนสาดส่องเถาองุ่นที่เปียกอยู่จนส่องประกายเจิดจ้า รถม้าค่อยๆ วิ่งแซงทั้งสองคนขึ้นไปอย่างช้าๆ
จนในที่สุดก็เริ่มมองเห็นประตูโรงเรียน พอเดินไปจนถึงรั้วเหล็กของประตูโรงเรียนซึ่งถูกทำเป็นลวดลายคล้ายเถาวัลย์ขดทับกันไปมาดูสลับซับซ้อน และมีของประดับเปล่งประกายสีทองติดอยู่เป็นจุดๆ อยู่ๆ อาวริลก็ร้องขึ้นมา
?อ๊า~~~~!!?
?มะ มีอะไรเหรอ อาวริล?
?นึกออกแล้วล่ะ! คุโจคุง ทางนี้!?
อาวริลจับมือคาซึยะเอาไว้แล้วออกแรงลากเขาไป คาซึยะโดนจูงมือไปจึงเริ่มออกวิ่งผ่านประตูเข้าไปในเขตโรงเรียน
ในเขตโรงเรียนที่ทำเป็นสวนสไตล์ฝรั่งเศสนั้นมีนักเรียนอยู่กันมากกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ตามปกติ คงเพราะใกล้ปิดเทอมแล้ว พวกนักเรียนจึงพากันมาพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่บนม้านั่ง ในศาลา และบนสนามหญ้า หรือไม่ก็พากันเดินอยู่บนทางเดินเล็กๆ พลางส่งเสียงหัวเราะท่าทางสนุกสนาน บ่อน้ำพุคริสตัลถูกฝนจากเมื่อสักครู่จึงเปล่งประกายสวยงาม สะท้อนแสงอาทิตย์เจิดจ้าจนถึงขั้นแสบตา
ส่วนคาซึยะถูกอาวริลจูงมือวิ่งผ่านสวนนั้นไป
?แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ??
?หอคอยสีนิลไง! เรื่องลึกลับเกี่ยวกับหอคอยสีนิล! ฉันนึกออกแล้วว่าได้ยินมาจากที่ไหน!?
อาวริลหยุดวิ่ง ดวงตาสีฟ้าของเธอเปล่งประกายระยิบระยับดูท่าทางสนุกสนานเป็นที่สุด คาซึยะลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงถามกลับอย่างเสียไม่ได้
?....แล้วได้ยินมาจากไหนล่ะ??
?ที่นี่ไง!?
อาวริลตอบด้วยท่าทางดีใจ
?ที่โรงเรียนเซนต์มาร์เกอริตนี่แหละ ก็นึกอยู่แล้วว่าดีไซน์หอนาฬิกานั่นมันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน คุโจคุง ดูสิ ไอ้นั่นไง!?
อาวริลชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า
คาซึยะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าตามทิศทางที่นิ้วชี้ไป
ที่ตรงนั้น....
มีหอนาฬิกาขนาดใหญ่ดูเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่

หอคอยนั้นย้อมไปด้วยสีเทาอันมืดมิด ยอดหอคอยเป็นยอดแหลมหลายอัน รูปร่างดูซับซ้อน บนหอคอยมีนาฬิกาทรงวงกลมขนาดมหึมาและเข็มนาฬิกาสีดำสนิทชี้บอกเวลาอยู่
คาซึยะเพ่งสายตามองยอดหอคอย ซึ่งก็พบว่ามันดูคล้ายกับหอคอยสีนิลที่อยู่ในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องนั้นมากเลยทีเดียว ยอดหอคอยรูปทรงแหลมแบบนั้น.... มันเหมือนกันเกินกว่าจะเป็นแค่ความบังเอิญจริงๆ นั่นแหละ
ทั้งสองคนหันมองหน้ากัน
?....อาวริล นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ทำไมถึงมีหอคอยแบบเดียวกับที่อยู่ในหนังมาอยู่ในโรงเรียนนี้ด้วยล่ะ??
?ไม่รู้สิ.... เป็นคำสาปอะไรสักอย่างรึเปล่าน้า??
?คำสาปเนี่ยนะ!? อาวริล เธอนี่นะ ไอ้การที่เจออะไรก็นึกสนุกเอามาผูกเข้ากับเรื่องแบบนั้นไปซะหมดน่ะ.... ฉันไม่ค่อยปลื้มนักหรอก.... เดี๋ยวสิ นี่เธอจะไปไหนน่ะ??
อาวริลทิ้งคาซึยะที่กำลังตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างอย่างจริงจังแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปหาหอคอย คาซึยะจึงลนลานรีบตามไป อาวริลเดินหลบกิ่งต้นมะเดื่อที่แห้งล้อมรอบหอคอยจนดูราวกับลวดลายอันน่าสยดสยองไปมา จนในที่สุดก็ไปยืนอยู่หน้าประตูที่ดูน่าจะเป็นทางเข้าหอคอย
คาซึยะหยุดฝีเท้า
สายลมพัดผ่านมา ทำให้กิ่งต้นมะเดื่อที่แห้งเสียดสีกับกำแพงหินของหอคอยจนเกิดเป็นเสียง ราวกับเสียงกระซิบอันดำมืดแผ่ไปทั่วบริเวณ บนประตูไม้เก่าแก่ที่ใกล้จะผุพังแล้วนั้นมีใยแมงมุมเกาะอยู่หลายชั้น พอแหงนหน้ามองขึ้นไปก็พบกับหน้าต่างเล็กๆ สองบาน เสมือนดวงตาของอสุรกายที่จ้องมองลงมา....
?อาวริล....??
อาวริลดึงลูกบิดประตู แต่ดูเหมือนประตูจะล็อกอยู่ เธอจึงไหล่ตกด้วยท่าทางผิดหวัง ทำให้คาซึยะโล่งใจ
?ท่าทางจะเข้าไปไม่ได้สินะ?
?อืม....?
?เอ่อ คือฉันมีธุระที่หอสมุด เพราะงั้นขอตัวก่อนนะ....?
พอได้ยินคำว่าหอสมุดปุ๊บ อาวริลที่กำลังซึมก็เงยหน้าขวับขึ้นมาทันที เธอลนลานคว้ามือของคาซึยะแล้วดึงเขาเอาไว้
?เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไปนะ แบบว่า จริงสิ ทำแบบนี้ก็ได้นี่นา!?
?....แบบนี้ที่ว่าคือ??
?เอ๋ เอ่อ.... กะ ก็ แบบนี้ไง!?
อาวริลที่เข้าตาจนยกขาเรียวยาวของเธอขึ้น ทำให้กระโปรงบานลายหยดน้ำพองออก เรียวขาเรียบเนียนดูสุขภาพดีของเธอพุ่งออกไปในพริบตา
???เปรี๊ยง!
หลังจากอาวริลออกแรงถีบออกไป ประตูหยุดนิ่งไม่ไหวติงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เปิดเข้าไปข้างในดังแอ๊ด.... อย่างช้าๆ
อาวริลเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับส่งเสียงร้องอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอและกระโดดดึ๋งๆ ไปมาอยู่ตรงนั้น ก่อนจะหันมาฝืนทำหน้ายิ้มให้
?คุโจคุง เปิดได้แล้วล่ะ!?
?ใช่ซะที่ไหนเล่า เล่นพังประตูแบบนี้เลยเหรอ!?
?ยะ ยังไงก็เข้าไปก่อนเถอะน่า!?
คาซึยะพยายามพูดโต้แย้งอะไรหลายๆ อย่างพลางถูกอาวริลดึงมือไป จนในที่สุดก็ต้องก้าวเท้าเข้าไปในหอคอย

ภายในหอนาฬิกานั้นมืดสลัว เงียบสงัดราวกับโลกนี้ล่มสลายไปแล้ว
ระเบียงทางเดินทอดยาวออกไป ที่ปลายทางนั้นมีบันไดที่แคบและยาวอยู่ ทุกย่างก้าวของทั้งสองคนทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายจนอาวริลไอแค่กๆ เป็นการใหญ่ จากนั้นเธอก็มาจับแขนคาซึยะเอาไว้
?รู้สึกเวียนหัวยังไงก็ไม่รู้สิ แปลกจังเลย....?
?อืม ฉันก็เป็นเหมือนกัน....?
ระหว่างที่เดินไปในหอนาฬิกา คาซึยะรู้สึกแย่อย่างประหลาด ราวกับโดนใครบางคนจับหัวเขย่าไปมา แล้วอาวริลที่เดินนำขึ้นบันไดไปก่อนก็เดินสะดุดจนร้อง ?ว้าย!? พร้อมกับล้มลงมาทับคาซึยะ ทั้งสองคนล้มกลิ้งลงไปอย่างแรง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นพลางสำลักฝุ่น
?อาวริล กลับกันเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะต้องไปห้องสมุด....?
?ไม่นะ!?
?....ไม่เหรอ??
อาวริลหันกลับมา
?แบบว่า ไอ้นั่นไง หนังเรื่องนั้น.... ฉากสุดท้ายของหนังเรื่องนั้นน่ะ ฉันว่ามันน่าจะอยู่ในหอคอยนี้แหละ?
คาซึยะนึกขึ้นมาได้ ถึงเขาจะหลับอยู่เกือบตลอดเรื่อง แต่ฉากนั้นเป็นตอนที่อาวริลบีบคอเขาจนตื่นขึ้นมาพอดีก็เลยจำได้.... มันเป็นฉากในห้องที่มีฟันเฟืองและลูกตุ้มขนาดใหญ่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เป็นห้องที่ชายสวมหน้ากากผู้อาศัยอยู่ในหอคอยสีนิลใช้เป็นห้องวิจัยในการทดลองอันลึกลับนั่นเอง
?มันจะไปอยู่ในนี้ได้ยังไงเล่า....?
อาวริลเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจคำแย้งของคาซึยะเลย ไม่รู้ทำไมทั้งสองคนถึงได้รู้สึกปวดหัวมาก จึงใช้นิ้วชี้กดที่ขมับเอาไว้
จนในที่สุดอาวริลก็เจอประตู คาซึยะพยายามห้ามปราม แต่เธอก็ถีบประตูจนมันพังเปิดออกโดยไม่สนใจคาซึยะเลยสักนิด จากนั้นก็พูดพลางกระโดดเหยงๆ ด้วยท่าทางเจ็บ
?....เจอแล้ว!?
อาวริลทำตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ส่วนคาซึยะเองก็โดนดึงแขนเข้าไป จึงได้ชะโงกมองเข้าไปในห้องด้วย
สิ่งที่อยู่ตรงนั้นก็คือ....
ห้องอันน่าสยดสยองที่ปกคลุมไปด้วยสีเทาซึ่งมีสภาพเหมือนกับในภาพยนตร์เรื่อง ?มายาหอคอยสีนิล? ทุกประการ มันตั้งอยู่ตรงนั้นราวกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกหลงลืมไปด้วยกาลเวลา
เป็นพื้นที่ที่กว้างขวางและมืดสลัว
เพดานอันมืดมิดเป็นช่องเปิดโล่งสูงขึ้นไปด้านบน ลูกตุ้มขนาดมหึมาของนาฬิกาแกว่งตัดผ่านอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองไปทางซ้ายที.... ทางขวาที.... อย่างต่อเนื่อง
ถัดออกไปเป็นฟันเฟืองขนาดใหญ่โตมโหฬารสี่ชิ้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ฟันเฟืองแต่ละอันเบียดเข้าหากันจนเกิดเสียง
เอี๊ยดๆๆๆๆ....
ทำให้เกิดเสียงต่ำอันแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
มันทำให้รู้สึกอึดอัด และรู้สึกกลัวอย่างไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร....
ราวกับหลุดเข้ามาอยู่ภายในของเครื่องสร้างฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น....
คาซึยะเกร็งจนเผลอกำหมัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงทำใจให้สงบแล้วค่อยๆ กวาดตามองไปรอบๆ ห้องอันมืดสลัวแห่งนั้น
บนโต๊ะไม้ตะโกขนาดใหญ่มีอุปกรณ์การทดลองชิ้นน้อยชิ้นใหญ่วางเกลื่อนอยู่เต็มไปหมด มันถูกวางกระจัดกระจายเอาไว้เหมือนกับยังมีใครใช้มันอยู่จนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ แต่ทั้งหมดมีฝุ่นจับเต็มไปหมด ปกคุลมไปด้วยสีเทาเช่นเดียวกับที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้องแห่งนี้
คาซึยะหันไปมองที่ผนังด้านหนึ่ง ผนังนั้นฝังสเตนกลาสเอาไว้ มันเป็นสิ่งเดียวที่มีสีสันสดใสภายในห้องที่ปกคลุมไปด้วยสีเทาแห่งนี้ โดยสเตนกลาสนั้นถูกทำเป็นภาพของสวนดอกไม้ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก ท่ามกลางมวลหมู่ดอกไม้สีม่วงเข้มและสีเหลืองนั้น มีดอกไม้สีแดงบานอยู่เพียงดอกเดียว
มันเป็นห้องแห่งฟันเฟืองและลูกตุ้มนาฬิกาอันมืดมนและดูอัปมงคล....
คาซึยะกลั้นหายใจกวาดตามองดูห้องนั้น
สภาพของห้องนี้เหมือนกับห้องที่อยู่ในภาพยนตร์ที่เพิ่งดูมาเมื่อสักครู่มากจนน่าขนลุก หอนาฬิกาที่มีชายผู้ลึกลับซึ่งปรากฏอยู่ในภาพยนตร์สยองขวัญ กับหอนาฬิกาที่อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้....
(นี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ....?)
พอหันไปมองข้างๆ ก็เห็นอาวริลครุ่นคิดด้วยท่าทางเป็นกังวล
?แบบนี้มันหรือว่าจะเป็น....?
?....หือ??
?ไอ้นั่นไง ฉันเคยบอกใช่มั้ยล่ะว่ารู้สึกเหมือนเคยได้ยินเรื่องเหมือนในหนังนั่นมาจากที่ไหนสักแห่ง ฉันนึกออกแล้วล่ะ เรื่องมันคล้ายกับเรื่องลึกลับที่มีอยู่ในโรงเรียนนี้มากๆ เลยล่ะ?
?เป็นเรื่องยังไงเหรอ??
?คือว่า ก่อนอื่นเอาความจริงทางประวัติศาสตร์ก่อนนะ เมื่อประมาณยี่สิบหรือสามสิบปีก่อนนี่แหละ ที่เซาวิลล์แห่งนี้มีจอมขมังเวท หรือจะเรียกว่านักเล่นแร่แปรธาตุดีนะ.... ยังไงก็เถอะ มีคนพิลึกสุดๆ แบบนั้นอยู่ด้วย โดยเขาแต่งกายได้แปลกประหลาดสุดๆ เลย คือสวมหน้ากาก สวมเสื้อคลุม และสวมถุงมืออย่างหนา คนพิลึกคนนั้นเป็นที่โปรดปรานของราชินีมากๆ จนในที่สุดก็ถึงขั้นได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับการบริหารประเทศด้วยนะ?
?งี้นี่เอง....?
คาซึยะตอบรับด้วยท่าทางสนใจ อาวริลจึงทำตาเป็นประกาย ท่าทางดีใจขึ้นมาทันที
?แล้วก็นะ นักเล่นแร่แปรธาตุคนนั้นมาตั้งห้องวิจัยอยู่ในหอนาฬิกาของโรงเรียนนี้แล้วหมกตัวอยู่ที่นี่ แสดงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าขัดขืนเขา แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ศัตรูทางการเมืองเพิ่มขึ้นด้วยล่ะนะ?
?งั้นเหรอ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ เพิ่งรู้นี่แหละ งั้นที่นี่ก็คืออดีตห้องวิจัยนั่นสินะ??
?ก็คงจะอย่างนั้น แล้วก็นะ ต่อไปเป็นเรื่องลึกลับแล้ว วันหนึ่งพระราชาที่หวาดกลัวในพลังของเขาก็ส่งกลุ่มอัศวินของราชามาที่โรงเรียนแห่งนี้เพื่อที่จะลงมือสังหารเขา แต่ว่าถึงเขาจะโดนธนูอาบยาพิษเข้าไป นักเล่นแร่แปรธาตุก็ไม่ยอมตาย แต่กลับหนีหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ พวกกลุ่มอัศวินก็พยายามค้นหากันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ไม่เจอตัวเลย.... เลยมีคนเล่าลือกันว่าเขาเป็นอมตะ ส่วนหน้ากากนั้นก็มีไว้เพื่อปิดบังร่างกายที่ไม่แก่เฒ่านั่นเอง....?
?งั้นเหรอ....?
?นับแต่นั้นมา ชายผู้ลึกลับนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในหอนาฬิกา คอยวนเวียนอยู่ในนั้นทุก ค่ำ คืน.... กรี๊ดดดดดดดดดดด!?
?อย่าร้องเสียงดังนักสิ แล้วจะว่าไป ถ้าอย่างนั้นมันก็อธิบายได้ง่ายๆ เองนะ?
คาซึยะตอบกลับด้วยสีหน้าเยือกเย็น อาวริลจึงทำแก้มป่องด้วยท่าทางไม่พอใจ
?หมายความว่ายังไงเหรอ??
?สรุปคือ ถ้านั่นเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ละก็ การที่หอนาฬิกาในหนังที่เราเพิ่งไปดูมากับที่นี่คล้ายกันมากก็มีคำอธิบายได้อยู่ไม่ใช่เหรอ??
?ไม่จริงน่า~~~?
?อะ อธิบายได้จริงๆ นะ สรุปก็คือเมื่อก่อนเคยมีคนพิลึกอยู่ในหอนาฬิกานี้ แล้วเพราะแบบนั้นก็เลยเกิดเป็นเรื่องลึกลับว่ามีชายผู้ลึกลับแอบซ่อนตัวอยู่ยังไงล่ะ ส่วนหนังเรื่องนั้นก็สร้างโดยคนที่รู้จักเรื่องลึกลับเรื่องนี้ เพราะงั้นทั้งดีไซน์ของอาคารกับห้องวิจัย และเนื้อหาของเรื่องราวถึงได้คล้ายกันมากไง เอ้า กลับกันเถอะ?
?งือ....?
อาวริลบุ้ยปากด้วยท่าทางเจ็บใจ
?ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเบื่อแย่สิ....?
?ความจริงมันก็มักจะเป็นแบบนี้น่ะแหละ?
?เชอะ! คุโจคุงบ้าที่สุดเลย!?
?ง่ะ! งะ ไหงเป็นงั้นล่ะ?
?....ไม่รู้ไม่ชี้!?
อาวริลงอนหันหน้าหนี
?อ้อเหรอ ช่างเถอะ งั้นเดี๋ยวฉันไปห้องสมุด....?
คาซึยะถอนหายใจพลางตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องวิจัย แต่ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังแซ่กๆ มาจากด้านหลังจึงหันกลับไปดู
ซึ่งก็พบว่าอาวริลกำลังพยายามเปิดห่อของที่ถือติดตัวมาตลอดตั้งแต่เมื่อกี้ออก ณ ที่ตรงนี้ รู้สึกว่ามันจะเป็นห่อที่ไปรับมาจากที่ทำการไปรษณีย์สินะ ที่เธอบอกว่าซื้อของผ่านไปรษณีย์มาจากร้านค้าในเซาเลม....
?นี่เธอ ทำอะไรอยู่น่ะ??
?ว่าจะลองถามเรื่องของผู้ลึกลับที่อยู่ในหอนาฬิกานี้ดูน่ะ?
?ถามเหรอ แล้วจะถามใครล่ะ??
?ไอ้ นี่ ไง!?
อาวริลชี้นิ้วไปยังของแปลกๆ ที่ออกมาจากห่อของด้วยสีหน้าภูมิใจเต็มที่
มันเป็นแผ่นไม้กระดานรูปทรงสี่เหลี่ยม ด้านหน้ามีตัวอักษรพิมพ์เอาไว้ และมีก้อนหินสีดำรูปหัวใจมาคู่กัน
คาซึยะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
?....ไอ้นั่น มันคืออะไรกันแน่น่ะ??
?กระดานวีจา ไง เอาไว้ใช้กับแพลนเชตต์ นี่ ลองเล่นดูมั้ย??
?แล้วแพลนเชตต์คืออะไร??
?เป็นเครื่องมือที่เอาไว้ใช้พูดคุยกับวิญญาณไงล่ะ ฟังนะ เอาหินนี่วางลงตรงนี้ จากนั้นก็เอานิ้วชี้แตะไว้ แล้วก็ถามคำถาม....?
?อะไรของเธอเนี่ย นี่ ฉันต้องไปแล้วนะ?
อาวริลลนลานรีบรั้งตัวคาซึยะเอาไว้ก่อน
?เดี๋ยวสิ ไอ้นี่ต้องใช้สองคนถึงจะทำได้นะ อยู่ด้วยกันอีกนิดเถอะน่า!?
?แต่ว่าฉัน....?
คาซึยะลังเล ตั้งท่าจะเถียงอยู่หลายวินาที แต่แล้วก็ยอมแพ้และนั่งลงข้างๆ อาวริล ก่อนยื่นนิ้วชี้ไปแตะบนหินตามที่เธอบอก




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ในวันหนึ่ง ระหว่างที่วิคตอริก้ากำลังใช้เวลาอันแสนเบื่อหน่ายอยู่ในหอสมุดนั้นเอง อยู่ๆ ก็มีหนังสือสีทองเล่มหนึ่งตกลงมาใส่หัวเธอ หนังสือนั้นเขียนเอาไว้ว่า ?จงเป็นตัวแทนแห่งคนเขลา เพื่อเปิดโปงความลับอันโง่เขลาของข้าด้วยเถิด!? ซึ่งมันก็คือสาส์นท้าดวลจากลิเวียธาน นักเล่นแร่แปรธาตุผู้ที่เคยยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักรแห่งนี้ และหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาในหอนาฬิกานั่นเอง! และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็เกิดคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายอันแสนแปลกประหลาดขึ้นในหอนาฬิกาแห่งนั้นด้วย...!? ยามเมื่อวิคตอริก้าไขปริศนาทุกอย่างได้ ความลับต้องห้ามแห่งราชอาณาจักรก็จะเผยออกมาให้เห็น... เชิญชมเรื่องราวปริศนาอันแสนเข้มข้นได้ในเล่ม 4!

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”