เจ้าคงจะหิวสินะ มาทางนี้สิ
ลองตามคนคนนั้นไปนะ แล้วเขาจะให้ขนมปังกับเจ้ามากมายเลยล่ะ
พี่ได้รับมาแล้วน่ะ
แล้วเดี๋ยวจะไปรับ เจ้าไปคนเดียวก่อนนะ
แล้วเจ้าจะได้กินขนมปังมากมายเลยล่ะ....
1. สาวน้อยพเนจร
น้ำจะสะท้อนสีของท้องฟ้าเสมอ
?แย่แล้ว....รีบหนีขึ้นที่สูงเร็ว!?
และสิ่งนั้นมักจะเป็นสีน้ำเงินสดชื่นและสดใส เหมือนอย่างดวงตาของเรา....
?ลืมรองเท้าแตะเอาไว้ที่หุบเขาแล้งน้ำ? ลืมมันซะ! ลองฟังเสียงนี่สิ อีกไม่นานไอ้นั่นก็จะมาแล้ว?
แต่วันนี้ สิ่งนั้นกลับเป็นสีดินจนสัมผัสได้ถึงลางร้าย
?....มาแล้ว น้ำบ่าไหลมาแล้ว!?
เสียงครืนดังสนั่นหวั่นไหวรุกไล่เข้ามา ลำน้ำขุ่นเชี่ยวกรากเข้ากลืนกินผืนดิน
ท่ามกลางผู้คนที่กำลังวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น สาวน้อยคนหนึ่งแตะมือไว้ที่ข้างหน้าต่างพลางจ้องมองภาพที่อยู่เบื้องหน้า
ไม่นานปริมาณของน้ำก็เพิ่มขึ้น พื้นดินของเมืองที่เคยแห้งผากกลายเป็นแม่น้ำสายใหม่ที่ดวงตาสีน้ำเงินไม่เคยเห็นมาก่อน
ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะเคยเห็นฝนตกหนักขนาดนี้เป็นครั้งแรก
สาวน้อยกลืนน้ำลายลงไปในลำคออันบอบบาง ก่อนจะก้าวถอยหลังสองสามก้าวแล้วหมุนตัวกลับ
หลายคนเก็บข้าวของเตรียมจะหนีออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เธอกลับวิ่งฝ่าความวุ่นวายนั้นไปโดยไม่ลังเล ทันทีที่คว้าถุงหนังท่าทางเหมาะมือมาจากห้องห้องหนึ่งได้ ก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังหน้าต่างบานเดิมจนชนคนหลายคนเสียกระเด็น
ใครบางคนตะโกนไล่หลัง แต่สำหรับเธอแล้วนั่นเป็นเพียงเสียงรบกวนที่แทรกขึ้นมาเท่านั้น สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือธารน้ำสีดินที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่นอกหน้าต่างเท่านั้น
ร่างอรชรอ้อนแอ้นของเธอเลื่อนไถลผ่านกรอบสี่เหลี่ยมของหน้าต่างที่แบ่งกั้นท้องฟ้าเอาไว้
ดวงตาที่เบิกกว้างเห็นเพียงผิวน้ำอันบ้าคลั่งที่รุกเข้ามาใกล้
ญิน.... ญิน.... ญินแห่งน้ำ
วินาทีที่สัมผัสผิวน้ำ สาวน้อยก็หลับตาพลางเรียกบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ขึ้นในใจดังๆ
ได้โปรดเถอะ ช่วยนำทางให้ข้าด้วย....!
อาจมีใครหลายคนที่ได้เห็นละอองน้ำกระจายขึ้นมาพร้อมกับเสียงซ่าบนแม่น้ำสายใหญ่จากทางหน้าต่าง
กระแสน้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กลืนกินร่างของสาวน้อยซึ่งลอยผลุบโผล่อยู่เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นเธออีกเลย
* * * * *
เช้าวันนั้น บรรยากาศดูจะแตกต่างไปจากทุกที
ผู้ที่สัมผัสถึงความจริงข้อนี้ได้ดีที่สุดในเมืองทารัสฟาลซึ่งตั้งอยู่ตรงตีนของเนินทรายสีเหลืองขนาดใหญ่ ปลายสุดทางตะวันออกของทะเลทรายกลาง คงจะเป็นบรรดาผู้ชายที่ทำงานก่อสร้างสวนซิมซิมนี่กระมัง
?ฮึ่ย?
?ฮึ่ย?
?ฮึ่ย?
?ย่าห์?
จากมือหนึ่งสู่อีกมือหนึ่ง สูงขึ้นไปบนฟ้า อิฐดินดิบถูกโยนส่งไปด้านบนอย่างต่อเนื่อง เข้าจังหวะกับเสียงตะโกนอันขันแข็ง เมื่อไปถึงมือของคนที่เตรียมพร้อมรออยู่บนจุดสูงสุดของนั่งร้าน อิฐดินดิบเหล่านั้นก็ถูกจับมาซ้อนกันอย่างรวดเร็วโดยมีโคลนเป็นตัวยึด แล้วไม่ทันไรก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำแพง
?ดีมาก ทำไปเรื่อยๆ แบบนี้แหละ?
นานๆ ทีจะมีเสียงตะโกนดังขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กัน จากนั้นก็จะรับ-ส่งอิฐกันต่อ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ชายคนหนึ่งก็เอียงคอด้วยความสงสัย
?นี่ รู้สึกว่าวันนี้งานมันคืบหน้าไปกว่าทุกทีไหม??
ชายที่ถูกถามคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
?ต้องเป็นเพราะนั่นแน่เลย เพราะว่าวันนี้เจ้าพวกนั้นยังไม่มายังไงล่ะ?
?อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เพราะเจ้าพวกนั้นสินะ.... อ๊ะ พูดถึงก็มาเลย?
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งตุบๆ เข้ามาใกล้ ชายทั้งสองก็หันมามองหน้ากันแล้วยิ้มออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย
?อ๊ะ! วันนี้ก็ทำ ฮึ่ย ฮึ่ย กันอีกแล้วล่ะ!?
ไม่จำเป็นต้องหันไปดูก็รู้เลยว่าผู้ที่เพิ่งมาถึงก็คือบรรดาเด็กๆ ในเมืองซึ่งอยู่ในวัยกำลังซนเป็นที่สุด แม้จะถูกกำชับมาอย่างดิบดีแล้วว่าห้ามเข้าไปเล่นในสถานที่ก่อสร้าง พวกเขาก็ยังมากันทุกวัน และถึงจะโดนผู้ดูแลสวนโยชีฟดุว่าเอาทุกครั้ง ก็ไม่ได้รู้จักเข็ดหลาบ
?ฮึ่ยย่าห์ ฮึ่ยย่าห์?
พวกเด็กๆ เริ่มยกมือขึ้นลงเลียนแบบท่าทางและเสียงตะโกนตอนก่ออิฐ พลางกระโดดไปมาพร้อมกับวิ่งวนไปทั่ว
?ให้ตายซี้.... มาได้ทุกวี่ทุกวันไม่รู้จักเบื่อเลยนะพวกแกนี่! เดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก ไปทางโน้นไป๊!?
แม้ว่าพวกผู้ชายจะเอ่ยเตือนแล้ว พวกเด็กๆ ก็เอาแต่หัวเราะร่ากันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย
ไม่นานนักชายคนหนึ่งที่หงุดหงิดเพราะงานไม่คืบหน้าก็หันขวับไปทางพวกเด็กๆ แล้วยกสองมือพรวดขึ้นขู่ ตามด้วยส่งเสียงคำรามดังทุ้มต่ำ
?เฮ้ยยยยยยยยยยย....?
?จ๊ากกก?
พวกเด็กๆ หน้าเปลี่ยนสี รีบถอยห่างออกไปพร้อมกัน
เมื่อชายคนนั้นเริ่มทำงานต่ออีกสักพักหนึ่ง เงาน้อยๆ ก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปทางด้านหลัง....
?เฮ้ยยยยยยยยยยย....?
?อะจ๊ากกกก?
พวกเด็กตัวน้อยๆ หนีไปอีกครั้งด้วยความกลัว แต่ก็ท่าทางสนุกสนานกันมาก
?เฮ้ย แล้วจะไปทำให้พวกเด็กๆ มันสนุกเสียเองทำไมล่ะ?
?ก็แหม....?
?ช่วยไม่ได้น้า.... ข้าจัดการเอง!?
ผู้รับบทผีร้ายคนใหม่ปรากฏตัว พวกเด็กๆ ก็ยิ่งดีใจวิ่งหนีวนไปทั่วบริเวณนั้นกันจ้าละหวั่น ยิ่งมีคนเข้ามาร่วมรับบทผีร้ายตนใหม่เรื่อยๆ ก็มีแต่จะได้ผลตรงกันข้าม จนเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด
?....คนพวกนี้ทำอะไรกันอยู่เนี่ย....?
เนรา หัวหน้าสถานพยาบาลที่บังเอิญผ่านมา หยุดดูภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยความฉงน
?นี่พวกเจ้า เลิกเล่นอะไรแผลงๆ ได้แล้ว เดี๋ยวคนคนนั้นก็จะมา....?
?เดี๋ยวเถอะ!?
ขณะที่เนราคิดจะเตือนด้วยความหวังดีก็ได้ยินเสียงอันเกรี้ยวกราดของ ?คนคนนั้น? ดังแทรกมาทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว จึงหัวเราะหึหึถอดใจแล้วถอยฉากไป
?ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้วล่ะนะ?
แน่นอนว่าผู้ที่รีบวิ่งเข้ามาเสียจนฝุ่นตลบ ก็คือโยชีฟ ผู้ดูแลสวนที่มาประจำยังสวนศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยทารัสฟาลแห่งนี้ ถึงแม้เขาจะสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวอยู่ แต่ฝีเท้าของเขาก็ไวไม่เบาทีเดียว
?อ๊ะ! โยชีฟล่ะ!?
?โอ้ วิ่งเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย?
?เสียงก็ดังด้วย ปอดคงจะแข็งแรงน่าดู?
ทั้งที่ดูจากบรรยากาศแล้ว ยังไงก็ต้องโดนโกรธแน่ๆ แต่ไม่รู้ทำไมทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างก็ยินดีต้อนรับเขากันน่าดู
ทันทีที่มาถึง ดวงตาสีเขียวที่ลุกโชนก็กวาดมองไปยังผู้คนที่ยืนเรียงรายอยู่ ณ ที่นั้น
?นี่พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่! ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าสถานที่ก่อสร้างมันอันตราย อย่าให้เด็กเข้ามา!?
?คือ....พวกเราก็พยายามจะขู่ไล่ให้กลับไปแล้วนะ....?
?เนอะ แต่เจ้าพวกนี้ดันใจกล้ากว่าที่คิดน่ะ....?
โยชีฟจ้องเขม็งไปยังพวกผู้ใหญ่ที่ยังตัวสบายๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังด้านบน
?เจ้าก็เหมือนกัน จิเซ็ต หัดห้ามพวกเขาเสียบ้างสิ!?
?....อ้าว? ทำไมถึงรู้ได้ล่ะว่าข้าอยู่ด้วย??
นั่งร้านที่ประกอบขึ้นสำหรับก่ออิฐบนที่สูงโยกคลอนเล็กน้อย จากนั้นผมสีรัตติกาลก็โผล่ออกมาจากบริเวณที่ใกล้จุดสูงสุด
ดูเหมือนว่าจิเซ็ตซึ่งทำหน้าที่ก่ออิฐตรงจุดที่สูงที่สุดเสร็จแล้วจะเห็นว่าการที่คนข้างล่างเริ่มเอะอะวุ่นวายกันนั้นเป็นโอกาสดีที่สำหรับการแอบนอนกลางวัน บนนั่งร้านที่ได้กิ่งก้านของต้นอินทผลัมมาช่วยบังแดด มีทั้งลมพัดเย็นสบายและทิวทัศน์ที่สวยงาม บรรยากาศดีผิดคาด
?แต่ที่แย่ที่สุดก็คือพวกเจ้านั่นแหละ?
สุดท้ายโยชีฟจ้องเขม็งไปยังพวกเด็กๆ
?ห้ามไปรบกวนงานของพวกผู้ใหญ่นะ! ฟังให้ดี ตอนนี้พวกเขากำลังสร้างสวนให้กับซิมซิม ซึ่งเป็นงานที่สำคัญมาก....?
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็จ๋อยคอตก โดนโกรธกันยกใหญ่
ขณะกำลังชมสถานการณ์บ้าๆ บอๆ ซึ่งไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับเมืองนี้ด้วยความเพลิดเพลิน เนราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้จึงหันกลับไปมอง ในตอนนั้นดวงตาสีพระอาทิตย์ของอีกฝ่ายก็มองมาทางนี้เช่นกัน
?อ๋า....วันนี้ก็ท่าทางจะโกรธน่าดู?
?ให้ตายสิ คนพวกนี้ไม่รู้จักเข็ดกันซะบ้างเลย?
ราบิซาค่อยๆ เดินอย่างอ้อยอิ่งเข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่ข้างๆ เนรา ดูเหมือนว่าตอนแรกเธอจะเดินมาพร้อมกับโยชีฟด้วย ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก
?ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมยาวสีเขียวมาด้วย แสดงว่าชั้นเรียนของผู้ดูแลสวนเลิกแล้วสินะ?
?แค่ส่วนของช่วงเช้าแหละ โยชีฟบอกว่าอยากมาดูงานก่อสร้างว่าไปถึงไหนแล้ว ก็เลยตามมาด้วยน่ะ....?
?โยชีฟก็เหมือนกัน ตั้งอกตั้งใจบ่นเสียได้ทุกครั้ง ไม่รู้จักเบื่อบ้างเลยนะ?
?แต่ข้าชอบตรงที่เขาบอกเหตุผลที่โกรธให้ฟังทุกครั้งเนี่ยแหละ?
?ใช่ๆ ถึงจะจริงจังเกินไปหน่อย แต่คนแบบนี้ก็จำเป็นสำหรับเมืองนี้เนอะ?
พวกผู้ชายจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหนีจาก ?เขตโดนเทศน์? มาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็มาเข้าร่วมบทสนทนาพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
?เจ้าเด็กจอมซนพวกนี้ก็มีแค่ตอนกิน กับตอนถูกโยชีฟดุนี่แหละที่จะยอมอยู่เงียบๆ ได้?
?คงเพราะเป็นคนเอาจริงเอาจัง คนถึงได้ยอมฟังยังไงล่ะ?
?ดูเหมือนเดี๋ยวนี้แค่บอกว่า ?เดี๋ยวโยชีฟจะโกรธเอา? เด็กส่วนมากก็ยอมเชื่อฟังกันแล้วล่ะ?
?ตายแล้ว นับว่าเป็นพันธมิตรสุดแกร่งของพวกคุณแม่เลยสินะเนี่ย?
ทว่าพวกราบิซาก็พูดคุยกันอย่างสบายใจได้เพียงแค่นั้น เพราะโยชีฟที่ได้ยินบทสนทนาเข้าโดยบังเอิญหันขวับมา
?ว่าไงนะ? นี่พวกเจ้าสอนพวกเด็กๆ แบบนั้นอย่างนั้นเหรอ??
?เอ๊ะ?
ขณะที่พวกราบิซากำลังคิดว่าซวยแล้ว เป้าหมายของโยชีฟก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น ?พวกผู้ใหญ่สมัยนี้? แทน
?พวกเจ้านี่มันไม่ไหวเลย ช่างน่าเศร้าใจอะไรอย่างนี้ วิธีการดุว่าแบบนั้นมันเป็นการอบรมสั่งสอนที่แย่ที่สุดเลยนะ!ฟังนะ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ต้องให้เด็กรู้ว่าทำไมถึงโดนโกรธ....?
ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่คู้ตัวก้มหัวรอให้พายุที่จู่ๆ ก็มาพัดมาผ่านพ้นไป พวกเด็กๆ ที่เข้าใจว่าการสั่งสอนพวกตนจบลงแล้วก็เริ่มขยับตัวกันอย่างอยู่ไม่สุขตรงปลายเท้าของโยชีฟซึ่งกำลังพูดอยู่อย่างดุเดือด
?นี่ นี่ โ-ย-ชี-ฟ ทำไมถึงได้ใส่ชุดสีเขียวตลอดเลยล่ะ?
?แบบนี้ก็เหมือนซิมซิมเลยน่ะสิ??
?เป็นโยซิมซิมเหรอ??
หลังจากร่ายหลักการสั่งสอนเด็กไปได้พักหนึ่ง โยชีฟก็หันไปหาพวกเด็กๆ ต่อแบบแทบไม่พักหายใจ
?โอ้ พวกเจ้านี่ช่างสังเกตกันดีนะ พอดีเลย งั้นเดี๋ยวข้าจะบอกให้ก็แล้วกัน จริงอยู่ว่าสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงต้นซิมซิม แต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้นหรอกนะ....?
เห็นเขาต้องยุ่งกับทางโน้นทีทางนี้ทีแบบนี้ จิเซ็ตก็เงยหน้าขึ้นถอนหายใจใส่ท้องฟ้าด้วยความเอือมระอา
?โยชีฟเอ๊ย....ไปถูกเขากล่อมเสียแทนได้ไงล่ะ....?
ดูท่าเดี๋ยวคงได้เวลาพักดื่มน้ำชาและนอนกลางวันเสียก่อนที่จะกลับมาเริ่มงานใหม่อีกครั้งแน่ แสงอาทิตย์ที่ไต่ขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วบอกว่าเวลาในช่วงเช้ากำลังจะจบลงแล้ว
?เอาเถอะ จริงๆ แล้วงานของวันนี้ก็ทำได้เร็วและคืบหน้าไปเยอะแล้วล่ะนะ?
จิเซ็ตหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจ จัดแจงท่าเตรียมจะนอนกลางวันอย่างจริงจัง ดวงตาที่มีน้ำรื้นขึ้นมามองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล
...ทันใดนั้นสีหน้าเรื่อยเฉื่อยไม่ทุกข์ร้อนของจิเซ็ตก็ชะงักไป
?เอ๋??
เขารีบลุกพรวดขึ้นแล้วโน้มตัวไปจนสุดปลายของนั่งร้านก่อนจะขยี้ตา จากนั้นเพ่งมองไปยังท้องฟ้าที่ห่างไกลอีกครั้ง
ท้องฟ้าที่เคยสดใสไปจนสุดลูกหูลูกตาเสียจนขัดใจกลับมีบางอย่างที่ไม่คุ้นตาลอยอยู่ อะไรบางอย่างสีออกดำๆ ราวกับโคลนที่ทำให้น้ำขุ่น เหมือนกับกลุ่มควันที่ลอยขึ้นมาจากกองไฟ
?อะไรล่ะนั่น....เมฆรึ....??
ดวงตาสีรัตติกาลหรี่ลง แล้วลองเอ่ยชื่อที่แท้จริงของมันออกมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ดวงตาพิเศษซึ่งสามารถมองเห็นญินได้ คอยไล่ตามดูญินของน้ำที่ผ่านไปมาตรงหน้าอย่างลืมตัว
(จะว่าไป วันนี้ก็ดูแปลกไปตั้งแต่เช้าแล้ว....)
ข้อเท็จจริงซึ่งแม้จะรู้สึกได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษจนกระทั่งตอนนี้
ก็รู้สึกอยู่หรอกว่าวันนี้ญินของน้ำที่ล่องลอยอยู่ในอากาศดูจะมากกว่าปกติ ถ้าอย่างนั้นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าสิ่งประหลาดที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั่นก็คือ
?....อะ?
เขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนมันกลับไป จิเซ็ตลงมาจากนั่งร้านอย่างรวดเร็วราวกับลื่นไถลลงมา ก่อนจะกระโดดข้ามสองสามขั้นสุดท้ายแล้วลงมายืนบนพื้น จากนั้นรีบวิ่งไปหาพรรคพวกอย่างรวดเร็วจนแทบจะต้องล้มลุกคลุกคลาน
?ฝน!!?
เขาชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น ซึ่งพบเห็นได้ยากในยามปกติ
?เมฆฝนล่ะ! เมฆฝนลอยอยู่บนท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก!?
ตอนแรกพรรคพวกก็หันมาด้วยความตกใจและไม่เชื่อหู แต่เมื่อเคลื่อนสายตามองตามทิศที่เขาชี้ไปว่า นั่นไง! ทุกคนก็เบิกตากว้าง
?อ๊ะ....จริงด้วย....ฝนนี่นา!?
?ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกมืดไปหมดเลย....เมฆก็เป็นสีดำด้วย!?
เสียงฮือฮาที่เริ่มกระจายเป็นวงกว้างส่งไปถึงชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นด้วย ผู้คนในเมืองต่างพากันชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าแล้วส่งเสียงเอะอะกันใหญ่
?เฮ้....เห็นเขาว่าฝนจะตกแน่ะ....?
?ฝนเหรอ? นั่นน่ะมันมีจริงเหรอ??
ชาวทารัสฟาลถูกขังอยู่ในพายุทรายซึ่งควบคุมโดยอิฟรีทแห่งลมมาจนถึงเมื่อสองสามเดือนก่อน ดังนั้นแม้จะมีความรู้ว่าฝนคืออะไร แต่ก็ไม่เคยเห็นของจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งบรรดาผู้คนที่มาจากคาวุล ก็มีคนที่เคยเจอฝนจริงๆ น้อยมาก แม้ว่าจะมีพายุฝนก่อตัวมา ทว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมันจะหายไปเสียก่อนจะถึงคาวุลซึ่งอยู่ใจกลางของทะเลทรายกลาง
?นั่นน่ะเหรอ ฝน....?
ราบิซาพึมพำออกมาอย่างเหม่อลอย เธอเองก็กำลังจับตาดูเมฆฝนซึ่งเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน
แม้แววตาของเธอจะดูคล้ายคลึงกับตอนที่เห็นเมฆทรายซึ่งเกิดขึ้นจากพายุทราย แต่ความรู้สึกที่เธอได้รับนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เมฆฝนมีบรรยากาศที่ดำมืดหดหู่ เหมือนกับมุมมืดๆ มุมหนึ่งของห้องในตอนกลางดึกล่องลอยอยู่
?อากาศชื้นจัง?
?ใช่แล้ว อากาศชื้น! อ๊า โธ่เว้ย ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกตัวนะ เหตุที่งานวันนี้คืบหน้าไปได้เร็วนักก็เพราะโคลนที่ใช้เป็นตัวเชื่อมแห้งช้าลงกว่าทุกที เลยไม่ต้องเสียแรงและเวลาเพิ่มน้ำลงไปยังไงล่ะ!?
จิเซ็ตพูดขึ้นรัวเร็วด้วยท่าทางดีอกดีใจ พลางจ้องมองไปยังท้องฟ้ามืดครึ้มที่อยู่ไกลออกไปอย่างกระวนกระวาย
?ไกลไปหรือเปล่าน้า....จะมาถึงนี่ไหมเนี่ย....แต่ว่า ก็ไม่ใช่ระยะที่จะไปไม่ถึง?
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาจำนวนมากก็เปล่งประกาย
พวกผู้ชายรีบวิ่งออกไปจนไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อน
?ไปอาบน้ำกัน!?
?โอ้วววว?
ไม่ว่าจะเป็นงาน การดื่มชา หรือการนอนกลางวันต่างก็ปลิวหายไปจากหัวจนหมด ได้แต่ปล่อยให้สัญชาตญาณพาไป พวกผู้ชายตัวเกรอะกรังเริ่มวิ่งผ่านดินแดนรกร้างสีเหลืองโดยแย่งกันไปด้วยว่าใครจะได้ขึ้นนำหน้า
?เดี๋ยวเถอะ! พวกเจ้าน่ะห้ามไป!?
เนราและพวกผู้หญิงชาวเมืองคว้าคอเสื้อของเด็กๆ ที่ทำท่าจะวิ่งตามไปทีละคนพร้อมกับตีหน้ายักษ์ ยังไงก็คงไม่สามารถวางใจให้พวกผู้ชายที่จิตใจกลับไปเป็นเด็กเสียแล้วมาดูแลพวกเด็กๆ ได้
?ให้ตายซี้! ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ผู้ชายก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำจริงๆ?
เนอะ ราบิซา เนราเอี้ยวคอมาเพื่อขอความเห็น ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าราบิซาที่ควรจะอยู่ข้างๆ กันไม่อยู่แล้ว จึงได้แต่กะพริบตาปริบๆ
แน่นอนว่าราบิซาเองก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่เต็มเปี่ยม
?วิ่งเข้า วิ่งเข้าาา?
?เดี๋ยวฝนจะไปเสียก่อน!?
กลุ่มลุงๆ ที่ทำตาเป็นประกายราวกับเด็กหนุ่มวิ่งอยู่บนผืนดินอันรกร้าง
จริงอยู่ว่าในกลุ่มนั้นมีเด็กหนุ่มจริงๆ อยู่ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมคนตื่นเต้นที่สุดถึงเป็นพวกผู้ชายวัยกลางคนไปเสียได้ ทั้งกลุ่มจึงดูเหมือนกลุ่มของพวกลุงๆ ไปโดยปริยาย
?คนที่ไปถึงก่อนต้องเป็นข้า!?
?อย่าพูดบ้าๆ ต้องข้าต่างหาก! ดูความว่องไวของฝีเท้าข้าเสียก่อน!?
?โดนแซงไปได้แล้วยังจะพูดอีก!?
หึ....เมื่อได้ยินการโต้ตอบเพื่อแย่งชิงความเป็นที่หนึ่งเหล่านั้น ชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา
?ให้ตายสิพวกเจ้านี่มันช่าง....?
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำนั้น พวกผู้ชายที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงตัวตนของเขา แล้วก็พากันผวา
?ยะ โยชีฟ!??
?คงไม่ได้ตามมาบ่นถึงนี่หรอกใช่ไหม....?
เป็นไปได้ ขณะที่ทุกคนกำลังคิดอยู่นั้นเอง วินาทีถัดมา ส้นเท้าของโยชีฟก็ไฟลุกพึ่บ
?เป็นเด็กน้อยหรือยังไงกันหา พวกเจ้าน่ะ....!!?
?เหวอออ!??
ไม่ทันไรโยชีฟซึ่งแซงหน้าไปได้ถึงยี่สิบคนก็ขึ้นมานำเป็นอันดับหนึ่ง และยังคงใช้ความเร็วอันยอดเยี่ยมวิ่งต่อไปบนผืนดินรกร้าง เสื้อคลุมยาวสีเขียวที่ลู่ลมไปด้านหลังส่องประกายสดใส
?การแข่งขันของผู้ใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องดึงความเร็วออกมาให้ได้ประมาณนี้ซี่!?
?เร็วมาก!?
?โยชีฟอย่างเร็ว?
?หึๆ ฮ่าๆ เห็นอย่างนี้ข้าก็สามารถผ่านเข้าไปแข่งในรอบก่อนรองชนะเลิศแปดคนสุดท้าย ในการแข่งขันวิ่งบนทรายของคาวุลได้ทุกปีเลยนะ จะบอกให้?
?มันอะไรกันล่ะเนี่ย!?
ไม่ทันรู้ตัว พวกเขาซึ่งได้ผู้ดูแลสวนที่เผยด้านใหม่ๆ ออกมาให้เห็นเป็นคนนำขบวน ก็เหยียบเข้ามาถึงพื้นที่รกร้างด้านตะวันออกที่มีฝนตกลงมา ที่นั่นคือ หุบเขาแล้งน้ำซึ่งเป็นจุดแบ่งดินแดนชายขอบระหว่างทะเลทรายกลางฝั่งตะวันออกกับทะเลทรายรอบนอก มันเปิดทางอ้ากว้างและทอดตัวเหยียดยาวคดเคี้ยวออกเป็นหลายสาย
ฝนที่แรกเริ่มตกเปาะแปะแค่ปรอยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น จนตอนนี้ห่อหุ้มร่างกายของพวกผู้ชายทั่วทั้งตัว หูของทุกคนเต็มไปด้วยเสียง ซ่า ซ่า ที่ไม่คุ้นเคย
ในตอนแรกพวกเขาเดินเข้าไปในเขตทะเลทรายที่มีฝนตกลงมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ พลางมองไปรอบๆ ด้วยความกังวล
?อะไรกันเนี่ย เสียงนี่?
?ทะเลทรายกำลังร้องเพลง....?
น่าแปลกเหลือเกินที่เมฆซึ่งเคยเห็นเป็นสีดำกลับเป็นสีขาวปนเทาเมื่อเงยหน้ามองจากด้านล่าง พวกเขาอ้าปากค้างมองเหม่อ ขณะที่เดินลงไปยังทางลาดที่ไม่ชันนัก ค่อยๆ ตรงไปยังก้นหุบเขา
ทุกคนแหงนมองฟ้าแล้วก็ต้องพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่แล้ววินาทีต่อมาก็กุมท้องหัวเราะ
?ฮ่าๆ ....เฮ้ย....มีน้ำตกลงมาจากท้องฟ้าล่ะ....!?
?บอกว่าดวงอาทิตย์ตกลงมายังจะน่าเชื่อกว่าเลย....!?
ทุกคนพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น คำพูดพรั่งพรูออกมาราวเขื่อนแตก
แน่นอนว่าจิเซ็ตที่เอาแต่ใช้ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องฟ้า ไม่สามารถปิดซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้เช่นกัน
(ต้องเป็นเพราะอิฟรีทแห่งลมออกจากดินแดนแห่งนี้ไปแล้วแน่ๆ)
เมื่อเห็นภาพอันหายาก อย่างการที่ญินของน้ำซึ่งกำลังร่ายรำอย่างมีชีวิตชีวามีจำนวนมากกว่าญินของลม ใจของจิเซ็ตก็ยิ่งเต้นรัวเร็ว
(จากนี้ไปฝนอาจจะตกลงมาอีกก็ได้ รวมถึงที่ทารัสฟาลด้วย!)
ตอนนั้นเอง สีของพระอาทิตย์ที่เป็นประกายวูบไหวก็มาปรากฏอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
?สุดยอดไปเลย มีน้ำตกลงมาจากฟ้าจริงๆ ด้วย นี่สินะฝน!?
จิเซ็ตได้ยินน้ำเสียงอันสดใสนั้นก็สะดุ้งโหยงรีบหันไปด้านข้าง เมื่อได้เห็นคนที่คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ที่นี่ด้วยก็ส่งเสียงร้องเหมือนคนใกล้เสียสติออกมา
?ราบิซา!? นี่เจ้า....ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?
?ทำไมน่ะเหรอ?
ราบิซาปัดผมหน้าที่เปียกน้ำจนหนักออกอย่างรำคาญ พลางส่งสายตาประหลาดใจให้จิเซ็ต
?ก็ต้องมาดูฝนแหงอยู่แล้วสิ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน?
?นี่เจ้าตามพวกผู้ชายมาเหรอ??
?ก็แล้ว....มีกฎที่ว่าห้ามตามมาด้วยหรือไง??
?มีใครเขาตามผู้ชายมาอาบน้ำกันบ้าง!?
?ถึงจะบอกว่าอาบน้ำ แต่ก็น้ำฝนใช่ไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่าจะไปลงอ่างอาบน้ำอะไรแบบนี้สักหน่อย?
ราบิซาจับความรู้สึกติเตียนในน้ำเสียงของจิเซ็ตได้ จึงเอียงศีรษะมองเพราะทำอะไรไม่ถูก
หยดน้ำที่เลาะลงมาตามเส้นผม ไหลลงบนลำคอเรียวบาง และรวมเข้ากับเสื้อผ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากผ้าที่ทั้งบางและเปียกชุ่มนั้นแนบติดกับผิวกาย จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไหล่ของเธอบอบบางขนาดไหน
ราบิซามองตามสายตาจิเซ็ตที่จู่ๆ ก็เงียบไป เมื่อสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างกายของตนเอง เธอถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนห้อยจี้ที่มีหินสีน้ำเงินเข้มเอาไว้ จึงรีบคว้ามันมากุมไว้ในกำมือ
?อ๊า ขอโทษนะ! หรือว่าเจ้านี่ ถ้าถูกน้ำแล้วจะขึ้นสนิมเหรอ? อา....รู้งี้น่าจะรีบถอด....หวา?
พูดไม่ทันจบ เสื้อนอกตัวหนึ่งก็คลุมตัวราบิซาเอาไว้ตั้งแต่ศีรษะ เป็นเสื้อที่จิเซ็ตใส่อยู่นั่นเอง
?ทำอะ....?
?ใส่ไอ้นั่นไว้ซะ ห้ามถอดออกมานะ?
?ทำไมล่ะ เสื้อนอกของจิเซ็ตหนักจะตาย แถมยังใหญ่อีก....?
?ใส่-เอา-ไว้ ห้ามถอดออกมาเด็ดขาด!?
?งือ....ข่มเหงกันชัดๆ....?
เมื่อถูกเขาว่าพลางคว้าศีรษะเอาไว้ ราบิซาก็บ่นอุบและสอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อตัวใหญ่
?แต่จะว่าไป เป็นฝนที่ตกหนักจริงๆ เลยนะ ปกติฝนจะตกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ??
?ไม่หรอก ฝนที่ตกแถวนี้ส่วนใหญ่เดี๋ยวเดียวก็หยุดแล้ว?
ทั้งสองเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน แต่ก็โดนน้ำฝนเข้าตาอย่างจังจนต้องย่นคอ
?รู้สึกจะตกแรงขึ้นกว่าเมื่อกี้อีกนะ?
?นี่ เห็นว่าถ้าฝนตกมากๆ เข้ามันจะแย่เอานะ ข้าจำได้ว่าเคยฟังมาจากท่านพ่อ?
เมื่อได้ยินเสียงน้ำดังเฉอะแฉะมาจากปลายเท้า ราบิซาก็เคลื่อนสายตาลงไปยังด้านล่าง แล้วก็ต้องเบิกตาโต
?ดูสิ จิเซ็ต กลายเป็นแม่น้ำสายน้อยๆ แล้ว?
พอสังเกตดูดีๆ บนพื้นดินเริ่มมีน้ำสายเล็กๆ เกิดขึ้นอีกหลายสาย เพราะดินที่อิ่มน้ำเลิกดูดซับน้ำเข้าไปแล้ว
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็สังเกตเห็นน้ำสายเล็กๆ เหล่านั้นจึงพากันยกขาขึ้นหลบและเริ่มทำสีหน้าสงสัย ทุกคนรีบดึงเอาความรู้เกี่ยวกับฝนซึ่งฝุ่นจับไปหมดแล้วออกมาแทบจะพร้อมกัน แล้วความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีก็เริ่มเข้ามาเยือน
ฝนตกแรงและยาวนานยิ่งกว่าที่คิด พวกเขาจึงลองมองดูที่ที่พวกตนอยู่อีกครั้ง....
?....แย่แล้ว! ทุกคน รีบขึ้นไปอยู่บนที่สูงเร็วเข้า!?
จู่ๆ โยชีฟก็ตะโกนขึ้น
?ที่นี่เป็นหุบเขาแล้งน้ำ อีกไม่นานน้ำจะมารวมกันแล้วกลายเป็นแม่น้ำ!?
ทันทีที่ได้ยิน พวกผู้ชายก็รีบปีนขึ้นไปบนทางลาดของหน้าผาด้วยใบหน้าเหยเก
หุบเขาแล้งน้ำคือ หุบเขาแห้งเหือดที่จะกลายเป็นแม่น้ำเฉพาะเวลาที่มีฝนตกลงมากๆ เท่านั้น เนื่องจากเวลาปกตินักเดินทางจะใช้มันเป็นถนน ผู้คนจึงมักจะหลงลืมเรื่องนั้นไป แต่เวลาฝนตกหากไปอยู่บริเวณนั้นจะอันตราย
ผืนดินของทะเลทรายที่มีต้นไม้น้อยจะไม่ค่อยมีพลังในการดูดซับน้ำ น้ำที่ไหลผ่านพื้นผิวดินลงสู่ที่ต่ำจะไปรวมตัวกันที่หุบเขาแล้งน้ำแล้วเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นน้ำหลาก ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ
?เร็วมากเลย! ขึ้นมาถึงตาตุ่มแล้ว?
เค้าลางของอะไรบางอย่างถูกส่งมาจากท้องฟ้าห่างไกล พร้อมกับเสียงครืนๆ ที่สั่นสะเทือนบรรยากาศ พวกผู้ชายพากันคว้าดินโคลนอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วช่วยกันดันร่างของกันและกันจนสามารถออกมายังปากหุบเขาได้สำเร็จ
?ราบิซา!?
จิเซ็ตฉวยแขนเสื้อของราบิซาที่คว้าดินไว้ไม่อยู่จนต้องร่วงกลับไปทุกครั้งขึ้นมา
?อึก....หนัก?
?ครึ่งหนึ่งก็เป็นความผิดของเสื้อนอกเนี่ยแหละ?
ตอนที่คนสุดท้ายขึ้นมาอยู่บนปากหุบเขาได้อย่างปลอดภัย หุบเขาแล้งน้ำก็กลายสภาพเป็นแม่น้ำไปเสียแล้ว
?ปากหุบเขานี่ก็อันตรายเหมือนกัน เรารีบกลับไปที่เมืองกันดีกว่า!?
เมื่อได้ยินคำสั่งของโยชีฟ ทุกคนก็ค่อยเคลื่อนไหวโดยไม่โต้แย้ง
?นานๆ จะตกทีแล้วก็เป็นแบบนี้แหละน้า....?
?ช่วยมาแบบพอดีๆ หน่อยไม่ได้รึไงนะ?
?เอาน่า ก็ยังดีกว่าไม่ตกเลยนั่นล่ะ?
พวกผู้ชายจ้องมองแม่น้ำอย่างเสียดายพลางค่อยๆ หันหลังกลับไปทีละคน
?ไปกันเถอะ ราบิซา?
?อื้ม....?
ตอนที่ราบิซากำลังจะหันหน้ากลับไปทางทารัสฟาลตามที่จิเซ็ตเร่งนั้นเอง
(เอ๋....?)
เธอรู้สึกเหมือนจะเห็นสีสันบางอย่างที่ไม่เข้ากันภายในน้ำสีน้ำตาลอ่อนที่ไหลเชี่ยวกราก
สิ่งนั้นรบกวนใจเธอจนต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับไปมองทางแม่น้ำอีกครั้ง
....บุ๋ง....
?อ๊ะ....?
ใบหน้าของคนโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถูกกระแสน้ำดูดกลืนจนจมลงไปอีกครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อฝนตกกลางทะเลทรายในรอบหลายปี ผู้คนต่างพากันเพลิดเพลินกับการอาบน้ำฝนที่ตกลงมาโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน ทว่าไม่นานต่อมาฝนก็กลายเป็นน้ำหลากไหลท่วม ในขณะนั้นมีร่างของเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งไหลมากับแม่น้ำที่กลายสภาพมาจากหุบเขาแล้งน้ำ เด็กสาวดวงตาสีฟ้าคนนั้นชื่อว่าฟาตี เธอเล่าว่าตนเองเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าเผ่าหนึ่ง เธอเผชิญกับฝนที่ตกหนักระหว่างเดินทางไปแต่งงานและพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ราบิซากับจิเซ็ตจึงออกเดินทางไปส่งฟาตี แต่ทั้งคู่กลับต้องปวดหัวเพราะความลับที่เด็กสาวปกปิดไว้....!?
