ที่หัวอัน เมืองหลวงแห่งแคว้นหยวน เมื่อใกล้ถึงเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง จะมีร้านรวงมาเปิดขายของกระจุกกระจิกซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกเครื่องประดับ เช่น หวี ปิ่นปักผม ที่ถูกจริงๆ อาจจะหาซื้อได้ในราคาต่ำกว่าครึ่งเลยทีเดียว พวกผู้หญิงหรือผู้ชายที่คิดจะซื้อหาเป็นของกำนัลให้ผู้หญิงจะพากันออกไปเบียดเสียดบนถนนใหญ่ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งพลบค่ำ
?....เพราะแบบนี้แหละเพคะ พรุ่งนี้นางกำนัลทุกคนจึงจะออกไปข้างนอกกันหมด?
?ทุกคน? ทั้งหมดเลยหรือ??
?เพคะ?
ฮุ่ยจวิ้นกะพริบตาปริบๆ ให้อ้ายหลิงที่หัวเราะคิก
?จะออกไปข้างนอกกันก็ไม่ว่าหรอกนะ....แต่ไปกันหมดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?
?ทีแรกก็เห็นคุยตกลงกันว่าใครจะอยู่บ้าง?
อ้ายหลิงรินชาใส่ถ้วยแล้ววางลงตรงหน้าฮุ่ยจวิ้น
?แต่สุดท้ายทุกคนต่างก็อยากจะไปเหมือนกันหมด เลยตกลงกันไม่ได้เสียทีถึงขนาดทะเลาะกัน หม่อมฉันเลยบอกให้ไปกันให้หมดเลย?
?....เจ้าก็ลำบากแย่เลยสิ?
?ไม่เป็นไรหรอกเพคะ เรื่องดูแลฝ่าบาท หม่อมฉันก็ทำเองเหมือนทุกทีอยู่แล้ว ส่วนพระกระยาหารเช้า ทางห้องเครื่องจะจัดเตรียมไว้ให้เพคะ?
?อืม ข้าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก....?
ตื่นเช้ามาอ้ายหลิงก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวด้วยตัวเอง การเปลี่ยนเครื่องทรงและเตรียมอ่างน้ำสำหรับล้างหน้าของฮุ่ยจวิ้น อ้ายหลิงก็เป็นคนจัดการดูแล สรุปแล้วงานในช่วงเช้าของพวกนางกำนัลก็มีแค่เกล้าผมให้อ้ายหลิงและเตรียมสำรับอาหารเช้าเท่านั้นเอง อ้ายหลิงไม่คุ้นชินกับการให้ใครมาทำอะไรให้ ยิ่งกว่านั้น ฮุ่ยจวิ้นเอง ถ้าจะให้ใครต้องมาคอยดูแลล่ะก็ อยากจะให้อ้ายหลิงเป็นคนทำให้มากกว่า
?แล้วพรุ่งนี้จะมีใครมาพบเจ้าบ้างล่ะ?
ไม่ใช่ว่าอยู่คนเดียวแล้วอ้ายหลิงจะทำอะไรไม่ได้เลย ถึงจะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเป็นห่วง แต่ก็เกรงว่าตอนที่ไม่มีนางกำนัลอยู่ด้วย เกิดพวกฮูหยินขุนนางมาหาเรื่องกลั่นแกล้งพระมเหสีอีกล่ะ....
?อ้อ เรื่องนั้นก็ไม่เป็นไรเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันแจ้งไปยังกระทรวงเลขาธิการแล้ว ได้รับคำตอบกลับมาทันทีว่าพรุ่งนี้จะปฏิเสธการขอเข้าเฝ้าฯ ทุกกรณีเพคะ?
?....อย่างนี้นี่เอง?
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการตัดสินใจเฉียบขาดเช่นนี้มาจากเสนาบดีเวินหู่ยิ่วแน่นอน
ฮุ่ยจวิ้นเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มช้าๆ
?หอมดี นี่ชาซงหลงฉาเหรอ??
?เพคะ เพิ่งจะได้มาจากมณฑลโหย่วโจวเมื่อวานนี้เองเพคะ?
ขณะที่อ้ายหลิงกำลังตักเชอรี่เชื่อมใส่จานเล็กเพื่อให้ทานคู่กับน้ำชาที่มีรสขม ฮุ่ยจวิ้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางบนโต๊ะ
?ตลาดขายของจุกจิกที่ว่านั่น อ้ายหลิงเคยไปรึเปล่า?
?เพคะ แต่เพราะช่วงกลางวันมีงานต้องทำหลายอย่างเลยได้ไปแต่ตอนเย็นทุกที ถึงตอนนั้นของดีๆ ก็แทบจะหมดแล้วล่ะเพคะ....?
นางรำที่สำนักนาฏศิลป์เองก็รอคอยที่จะได้ออกไปซื้อของกัน ดังนั้นในวันนั้นจึงเป็นวันหยุดซ้อมรำ มีแต่พวกลูกสาวขุนนางที่พูดจาดูถูกทำนองว่าข้าไม่ไปซื้อของที่ตลาดของถูกแบบนั้นหรอกที่ไม่ได้ออกไปด้วย พวกนางจึงพากันใช้งานอ้ายหลิงสารพัด กว่าอ้ายหลิงจะถูกปล่อยตัวออกมาก็เป็นช่วงที่ทุกคนซื้อของเสร็จและกลับเข้ามากันแล้ว
?อ้อ แต่ว่าไปตอนท้ายๆ ก็จะยิ่งซื้อของได้ถูกเข้าไปใหญ่เลยนะเพคะ ก็เลยซื้อของฝากน้องสาวและเพื่อนที่บ้านเกิดในคราวเดียวกันไปเลย?
?ยังอยากจะไปอีกมั้ย??
ฮุ่ยจวิ้นลองถามดู แต่อ้ายหลิงยิ้มแล้วส่ายหน้า
?ตอนนี้ทั้งหวีทั้งปิ่นปักผม มีของดีกว่าให้หม่อมฉันใช้แล้วนี่เพคะ แล้วเจียเย่ก็เล่าให้ฟังว่าที่นั่นคนเยอะมากจริงๆ แทบจะขยับตัวไม่ได้เลยล่ะเพคะ?
?ถึงอย่างนั้นพวกนางกำนัลก็ยังจะออกไปกันหมดน่ะเหรอ....?
ฮุ่ยจวิ้นยิ้มเฝื่อนๆ แล้วยื่นมือไปดึงมืออ้ายหลิงเข้ามา อ้ายหลิงพยักหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ
?แล้วพวกนางจะกลับมากันเมื่อไหร่ล่ะ?
?เมื่อไหร่นะ.... ที่สำนักนาฏศิลป์ ถ้าไม่ถึงเย็นทุกคนก็ยังไม่กลับกันหรอกเพคะ?
ถ้าจะซื้อของให้ได้จนพอใจล่ะก็ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาทั้งวันเลยทีเดียว
?งั้นก็หมายความว่าพวกนางกำนัลไม่อยู่ เหล่านางรำก็ไม่อยู่เหมือนกันสินะ?
?ทีแรกหม่อมฉันคิดว่าจะขอไปซ้อมรำตอนที่พวกนางไม่อยู่ แต่ดูเหมือนจะมีการซ่อมแซมผนังสถานที่ซ้อมรำ ก็เลยยังเข้าไปไม่ได้เพคะ....?
?ไปซ้อมรำก็ไม่ได้ เพื่อนคุยก็ไม่มี เจ้าคงจะเบื่อ เรียกฮูหยินตระกูลเวินมามั้ย?
?เจียเย่เองก็คงจะไปที่ตลาดนั่นเหมือนกันเพคะ....?
ถึงจะบอกว่าคนเยอะไปลำบาก แต่ทุกปีก็จะต้องออกไปก่อนใครเพื่อนเลย
ฮุ่ยจวิ้นขมวดคิ้วแล้วโอบไหล่อ้ายหลิงดึงเข้ามาหาตัว
?อ้ายหลิงต้องอยู่คนเดียวเหรอ จะมาที่ตำหนักซวี่ยื่อมั้ยล่ะ?
?เช่นนั้นจะเป็นการรบกวนการทรงงานได้เพคะ?
?รบกวนงั้นเหรอ?
?เกรงจะเกิดเรื่องหลังจากนั้นสิเพคะ?
?......?
ให้พวกนางกำนัลออกไปเที่ยวข้างนอกกันหมด แล้วตัวเองก็มานั่งเฝ้าที่ห้องทรงงานของฮ่องเต้ คำพูดประชดประชันเช่นนี้ยังไม่ทันได้ฟังก็พอจะนึกออก
?อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น?
อ้ายหลิงหัวเราะฮุ่ยจวิ้นที่ถอนหายใจออกมา
?หม่อมฉันจะอยู่เฝ้าที่นี่เองเพคะ ระหว่างที่ทำความสะอาดห้องบรรทม แล้วก็ทำงานเย็บปักถักร้อยไป เดี๋ยวพวกนางก็คงจะกลับกันมาเอง?
?แน่ใจนะ??
?เพคะ?
อ้ายหลิงพยักหน้ารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่า....
?ว่างจังเลยน้า....?
ลองคิดๆ ดูแล้ว เมื่อวานซืนนี้ก็เพิ่งจะทำความสะอาดห้องบรรทมไปทุกซอกทุกมุมแล้ว งานเย็บปักร้อยเองก็เถอะ ชุดทรงฤดูหนาวของฮุ่ยจวิ้นก็เย็บไว้เสร็จหมดแล้ว
ดังนั้นหลังจากส่งฮุ่ยจวิ้นออกไปเมื่อเช้าแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็หมดลงอย่างรวดเร็ว
แต่ยังไงก็เข้าไปทำความสะอาดห้องบรรทมบ้างเล็กน้อย ถือโอกาสทำความสะอาดห้องที่ใช้เป็นประจำด้วย ขัดถูถ้วยชาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถึงเที่ยงวันเลย
อ้ายหลิงเปลี่ยนชุดและเกล้าผมใหม่ ชงชาดื่มเอง แล้วลองนั่งลงบนม้านั่งยาวข้างหน้าต่างที่ฮุ่ยจวิ้นมักจะนั่งพักผ่อนเป็นประจำ สุดท้ายก็ได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปที่สวนด้านนอกเท่านั้นเอง
มาอยู่ที่วังชุนอิงได้หลายเดือนแล้ว แต่ทัศนียภาพที่ไร้ผู้คนเช่นนี้อาจจะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ได้
ได้เป็นเจ้าของภาพที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าเพียงคนเดียวแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่อยู่คนเดียวแบบนี้ก็รู้สึกขาดอะไรไปเหมือนกัน ม้านั่งยาวนี่ก็เช่นกัน นั่งคนเดียวแบบนี้แล้วออกจะกว้างเกินไปหน่อย
?......?
คิดดูแล้ว แต่ละวันที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เจอกับคำว่าว่างหรือเบื่อสักเท่าไหร่ สมัยอยู่ที่บ้านเกิดต้องช่วยทำงานบ้านและดูแลน้องๆ ทุกวัน พอมาอยู่ที่นี่ก็ถูกใช้ทำงานสารพัด
เทียบกับตอนนั้นแล้ว ตั้งแต่เป็นพระมเหสีก็ไม่ได้มีงานยุ่งเหมือนแต่ก่อน....แต่รู้สึกว่าจะเหนื่อยใจเสียมากกว่า
?วันนี้ถือเป็นวันหยุด....ล่ะมั้งนะ?
ไม่มีใครอยู่เลยแบบนี้ก็รู้สึกเหงาบ้าง แต่พวกที่จะทำให้เหนื่อยใจก็ไม่มาเหมือนกัน
ทำตัวตามสบายบ้างก็คงจะไม่เป็นไรหรอก
?....เอาล่ะ?
อ้ายหลิงถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงนอนบนม้านั่งยาวเหยียดขาออกไปจนสุด
ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ลมสดชื่นพัดผ่านมาทำให้รู้สึกดี
รู้สึกเหมือนจะง่วงนอน
พอเอามือขึ้นมาหนุนแล้วหลับตาลงสักพักก็หาวออกมาจนได้
เงียบสงบแท้
ได้ยินเพียงเสียงนกร้องจิ๊บๆ แว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง
....มีวันแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน....
ถ้าจะให้ดีกว่านี้ล่ะก็ อยู่กันสองคนจะดีใจกว่าอยู่คนเดียวแบบนี้
ใช่แล้วล่ะ ถ้ามีไหล่ให้ซบและมือที่คอยลูบผมให้
หรือนิ้วอันอ่อนโยนที่มาสัมผัสแก้มแบบนี้....
?......?
ถ้าจะว่าเป็นความฝันตอนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ความรู้สึกนี้ช่างเหมือนจริงจนอ้ายหลิงต้องลืมตาขึ้นมา
?หือ? ตื่นแล้วเหรอ?
?ฝะ....?
ที่นั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วหันมองมาทางนี้ก็คือฮุ่ยจวิ้นที่เพิ่งออกไปส่งมาเมื่อเช้านี้เอง
?ฝ่าบาท!??
?ข้ามากวนรึเปล่า?
?เอ๊ะ? นี่....หม่อมฉันหลับไปนานอย่างนั้นเชียวหรือ!??
ตั้งใจแค่ว่าจะงีบสักพัก แต่กลับเผลอหลับไปจนกระทั่งถึงเวลาเย็นที่ฮุ่ยจวิ้นกลับมาเชียวหรือ อ้ายหลิงรีบร้อนลุกขึ้น แต่สภาพโดยรอบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครู่นี้เลย
?อะ....อ้าว??
ฮุ่ยจวิ้นหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาจับแก้มของอ้ายหลิงที่มองไปรอบตัว
?ยังไม่เที่ยงเลย เจ้าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
?ฝ่าบาท ทำไมถึงได้....?
?ข้ากลับมาก่อน เพราะสงสัยว่าอ้ายหลิงที่น่ารักของข้าที่ต้องอยู่คนเดียวจะเป็นยังไงบ้างน่ะสิ?
?ละ....แล้วงานล่ะเพคะ....?
?ข้าทำเสร็จหมดแล้วถึงกลับมา?
นั่นน่ะ ถ้าพูดว่าไปทำให้เสร็จมาน่าจะถูกต้องกว่า
อ้ายหลิงหน้าแดง รีบชักเท้าที่เหยียดยาวบนเก้าอี้กลับเข้ามา
?เอ่อ....เอ่อ....กลับมาแล้วเหรอเพคะ?
?อืม ข้ากลับมาแล้ว?
อ้ายหลิงเขินอายที่ปล่อยตัวตามสบายให้เห็นจึงก้มหน้าไม่กล้าสบตา แต่ฮุ่ยจวิ้นไม่ได้สนใจ กลับเชยคางของนางขึ้นมาแล้วจุมพิตที่ริมฝีปาก
?ง่วงนอนเหรอ?
?เปล่าเพคะ....เอ่อ....?
?อากาศดีแบบนี้เหมาะกับการงีบจริงๆ นั่นแหละ นานๆ ทีจะกลับแต่วันแบบนี้หรอกนะ ถึงได้เห็นใบหน้าตอนหลับที่น่ารักของเจ้าในที่สว่างแบบนี้?
?....ปกติไม่ได้นอนกลางวันหรอกนะเพคะ....?
บางทีอาจจะเป็นหน้าตาตอนสัปหงกที่ดูไม่ได้เอาเสียเลยก็ได้ ฮุ่ยจวิ้นอุตส่าห์กลับมาแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้รู้สึกอยากหนีไปเสียให้พ้นจากตรงนี้
?เอาล่ะ ทีนี้จะทำยังไงต่อ?
?เอ๊ะ??
ฮุ่ยจวิ้นถอดเสื้อคลุมพาดลงบนพนักเก้าอี้แล้วกระซิบเบาๆ
?งีบต่อไงล่ะ ถ้าแค่คนเดียวยังพอได้ แต่ถ้าจะนอนสองคน เก้าอี้ตัวนี้ออกจะแคบเกินไป?
?......?
ฮุ่ยจวิ้นก็อยากจะงีบหลับด้วยงั้นเหรอ
?เอ่อ ถ้าอย่างนั้นจะหนุนตักหม่อมฉันก็ได้นะเพคะ....?
?นอนหนุนตักเจ้าตรงนี้ก็ไม่เลวนะ แต่ถ้าทำแบบนั้นอ้ายหลิงก็ไม่ได้พักสบายๆ น่ะสิ?
?หม่อมฉัน....?
?หรือว่าไม่อยากให้ข้านอนด้วย....??
?เอ่อ....คือ....?
อ้ายหลิงไม่รู้จะตอบยังไง พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นฮุ่ยจวิ้นยิ้มอย่างร่าเริงมองมาทางนี้
?ใบหน้าตอนนอน....?
?หือ??
?โปรดอย่ามองมากนักนะเพคะ?
?ทำไมล่ะ ออกจะน่ารัก?
ฮุ่ยจวิ้นหัวเราะพลางอุ้มอ้ายหลิงขึ้นแล้วเดินตรงไปทางห้องบรรทม
?อ๊ะ รองเท้า....?
?ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวมีคนกลับมาก็เก็บเข้าที่ให้เองนั่นแหละ?
จริงสิ ทั้งที่ไม่รู้ว่าพวกนางกำนัลจะกลับกันมาเมื่อไหร่แท้ๆ
?ถ้าทุกคนกลับมากันแล้ว....เอ่อ ถ้าหม่อมฉันไม่อยู่ตรงนี้ล่ะก็....?
?ถ้ามีรองเท้าของอ้ายหลิงกับเสื้อคลุมของข้าวางอยู่ ทุกคนก็จะเข้าใจเองว่าเราอยู่ที่นี่ ไม่มีใครมองเข้ามาหรอก?
?แต่ว่า เอ่อ ฝ่าบาท?
ประตูห้องบรรทมปิดลง เสียงพูดของอ้ายหลิงก็ขาดหายไป
วันนั้นที่วังชุนอิงเงียบสงบลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง
วันแสนรัก
เจียเย่เพ่งมองริมฝีปากสีแดงของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาเบื้องหน้า
ทั้งชุดที่สวมอยู่ตอนนี้ รองเท้า และแม้แต่ดอกไม้ประดับเรือนผม ล้วนแต่เป็นสีแดงทั้งสิ้น เมื่อครู่นี้พี่สาวคนโตช่วยแต่งหน้าให้
ได้ยินเสียงเด็กๆ เล่นกันดังมาจากตรอกด้านหลังที่ติดกับห้อง อีกนานแค่ไหนจึงจะพลบค่ำนะ
เจียเย่ขยับหัวที่รู้สึกหนักกว่าปกติเพราะปิ่นปักผมและดอกไม้ประดับผม ค่อยๆ หันตัวกลับเข้ามาในห้อง ห้องนี้เป็นห้องที่เคยใช้ร่วมกับพี่สาวคนคนรองก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปเป็นนางรำในวังหลวงเมื่อตอนอายุสิบสาม พี่สาวคนรองแต่งงานออกไปนานแล้ว และวันนี้ตัวเองก็จะแต่งออกไปจากที่นี่เช่นกัน
....ยังไม่รู้สึกแบบนั้นเท่าไหร่เลย
เจียเย่ถอนหายใจเบาๆ ให้กับชุดเจ้าสาวที่ทำให้ขยับตัวลำบาก แล้วหันกลับมาทางกระจกอีกครั้ง แบบนี้สงสัยจะปวดไหล่แน่
แสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างอ่อนลง ภายในห้องมืดสลัวลงเล็กน้อย เมื่ออาทิตย์ตกก็ต้องขึ้นเกี้ยวออกเดินทางไปบ้างตระกูลเวิน
เมื่อครู่นี้ ทั้งพ่อ แม่ และพวกพี่สาวต่างชมว่าดูสวยมากในชุดเจ้าสาว พี่สาวคนโตพยักหน้าพอใจกับผลงานการแต่งหน้าของตัวเองอยู่หลายครั้ง พลางพูดว่าทำได้สมบูรณ์แบบ
ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจหรอกนะ ดีใจมากด้วย ....แต่ถ้าคนสำคัญที่สุดในวันนี้ไม่ได้คิดแบบนั้นด้วยล่ะก็ การแต่งตัวแบบนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร
....คงคาดหวังคำชมจากฉือหยุนไม่ได้หรอก
เผลอถอนหายใจออกมาอีกจนได้
เรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ น่าจะเป็นวันแต่งงานของพี่สาวคนโต ตอนนั้นข้าอายุแปดขวบ พี่สาวในชุดเจ้าสาวสวยมากจนน่าอิจฉา เลยอ้อนแม่ว่าอยากแต่งตัวสวยๆ บ้าง ขอใส่ชุดใหม่ ประดับดอกไม้มากมายบนมวยผมที่เกล้าขึ้น แล้วก็ไปบ้านตระกูลเวิน
ยังจำหน้าตาของฉือหยุนในตอนนั้นได้ เขาอ้าปากหวอ มองไปรอบตัวข้าแล้วนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง นึกว่าจะพูดอะไร แต่กลับหัวเราะออกมา
???ดอกไม้บานอยู่บนหัวเจ้าแน่ะ
โดนพูดแบบนั้นเข้าเลยถีบไปที่ขาของฉือหยุนที่กำลังหัวเราะจนตัวงอเข้าไปเต็มแรง แล้ววิ่งกลับมาที่บ้าน ตอนนั้นสัญญากับตัวเองเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่แต่งตัวสวยมาหาหมอนี่อีกแล้ว
....ยังรู้สึกแปลกใจอยู่เลยที่ดันมาเลือกข้าเป็นเจ้าสาว
เปลี่ยนใจตั้งแต่ตอนไหนกันนะ อยากจะลองถามดูเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้า
***
?อา....แทบจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว ในที่สุดเจียเย่ก็ยอมแต่งเข้าบ้านเราจนได้เนอะ?
ฉือหยุนนั่งเหยียดลงบนม้านั่งยาวด้วยสีหน้าเอือมระอา มองดูแม่ของตัวเองที่เดินไปเดินมาทั่วห้องแล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
?ท่านแม่....ข้าได้ยินประโยคนั้นมาเป็นพันๆ ครั้งแล้ว ช่วยนั่งลงทีได้มั้ย?
?แหม ฉือหยุน นั่งท่าอะไรของเจ้าเนี่ย! นั่งให้ดีๆ เลยนะ อุตส่าห์แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวยับไปจะว่ายังไงล่ะ?
?....ครับๆ?
ฉือหยุนเปลี่ยนท่านั่งใหม่อย่างเสียมิได้ หลิงเสียผู้เป็นแม่ยังคงมีท่าทีตื่นเต้นดีใจ เปิดฝากล่องใบชาบ้าง แกว่งผ้าพาดบ่าไปมาบ้าง
?ดีใจจริงๆ ข้าน่ะอยากได้นางมาเป็นสะใภ้ให้แต่งกับฉือหยุนตั้งแต่วันแรกที่เจียเย่มาที่บ้านนี้แล้วล่ะ?
?....นั่นน่ะตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ?
?ตอนที่เจ้าสี่ขวบ ส่วนเจียเย่ก็เพิ่งจะครบหนึ่งขวบพอดีน่ะสิ?
?......?
?จำไม่ได้เหรอ?
?ใครจะไปจำได้ล่ะครับ....?
หลิงเสียนั่งลงที่เก้าอี้ สายตาเหม่อมองไปไกลแล้วหัวเราะหุหุ
?ตอนที่ฮูหยินจางเอาน้ำมันมาส่งที่บ้านเรา นางอุ้มเจียเย่ตัวเล็กๆ มาด้วย แนะนำว่าเป็นลูกสาวคนที่สี่ น่ารักจริงๆ เลยตอนนั้น?
?....อ้อ?
?ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ด้วยนะ เจ้าน่ะยังไม่เคยเห็นเด็กที่ตัวเล็กกว่าตัวเองเลยรู้สึกว่าเป็นของแปลก ร้องอยากดู ฮูหยินจางที่อุ้มเจียเย่ที่กำลังหลับอยู่เลยย่อตัวลงเอาเจียเย่ให้เจ้าดู ตอนนั้นเองเจียเย่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี?
?....แล้ว??
?นางก็เอามือจับหมับเข้าที่แก้มของเจ้าที่กำลังก้มมองดูอยู่เข้าเต็มแรงน่ะสิ?
?......?
?ตอนนั้นวุ่นวายกันใหญ่เชียว เจ้าก็ร้องจ้าเสียงดัง ฮูหยินจางก็ตกใจจนหน้าซีด ขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ แต่เป็นเรื่องที่เด็กทารกทำนี่นา ไม่เห็นจะต้องขอโทษเลยก็ได้นี่เนอะ?
?นี่ข้าโดนทำให้ร้องไห้ตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกเลยเหรอ....?
ฉือหยุนเอามือกุมหัว ถึงจะจำได้ก็คงอยากจะลืมเรื่องนั้นไปแน่ๆ
?ใช่ๆ ตอนนั้นเจียเย่เองก็ทำหน้าตกใจ มองดูเจ้าที่ร้องไห้จ้าอยู่?
?ท่านแม่เองก็เถอะ ทำไมถึงอยากได้เด็กที่อยู่ๆ ก็ทำให้ลูกชายตัวเองร้องไห้มาเป็นสะใภ้นักล่ะ?
?ก็น่าสนุกดีนี่?
?......?
?ถ้าเด็กคนนี้มาเป็นเจ้าสาวของฉือหยุนก็คงจะไม่น่าเบื่อ แค่ความรู้สึกน่ะนะ แต่ก็ตรงเผงเลย ทุกครั้งที่เจียเย่มาเที่ยวที่บ้านก็จะมีเรื่องสนุกทุกที?
แม่ที่เห็นลูกชายตัวเองถูกเด็กผู้หญิงที่อ่อนกว่าตั้งสามปีถีบเข้าให้บ้าง เอาก้อนโคลนปาใส่บ้าง แล้วรู้สึกว่าตลกดีจะมีที่ไหนอีกเนี่ย....
ฉือหยุนถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเอามือเกาต้นคอ
?....ข้าเองก็ช่างเลือกยัยม้าดีดกะโหลกแบบนั้นมาเป็นเจ้าสาวได้นะ?
?เจ้าชอบนางมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่?
?อย่างงั้นเหรอครับ?
?ความรู้สึกของตัวเองแท้ๆ เจ้าน่ะถูกเจียเย่ทำให้ร้องไห้ แต่ก็ไม่เห็นเคยเหลียวมองสาวอื่นบ้างเลยไม่ใช่หรือไง?
?......?
ใช่แล้วล่ะ เพราะอะไรกัน
ตระกูลจางที่ขายน้ำมันมีลูกสาวสี่คน พวกพี่สาวของเจียเย่ก็เป็นสาวสวยกันทุกคน ดูอ่อนช้อยงดงามยิ่งกว่าเจียเย่เสียอีก แล้วข้าเองก็ไม่ได้เคยเห็นแต่ลูกสาวตระกูลจางเท่านั้นเสียเมื่อไหร่
แต่เพราะอะไรจึงมีแต่เจียเย่เท่านั้นที่พิเศษกว่าคนอื่น
?หลิงเสีย เจ้าอยู่นี่เองเหรอ?
เวินหู่ยิ่วผู้เป็นพ่อโผล่หน้าเข้ามา
?แขกเหรื่อเริ่มมากันแล้ว?
?อ้าวเหรอ สำรับกับข้าวเตรียมพร้อมรึยังเนี่ย?
?จะส่งคนออกไปรับก็ดูเหมือนจะยังเร็วไปหน่อย?
?เร็วไปงั้นเหรอ?
หลิงเสียยังคงตื่นเต้นอยู่เช่นเดิม มองหน้าลูกกับสามีสลับกันไปมา
?ดีจังเลยนะ ฉือหยุน ได้จัดพิธีใหญ่โตแบบนี้ สมัยพวกข้าเรียบง่ายกว่านี้เยอะ?
?ถ้าอิจฉาล่ะก็ จะจัดใหม่อีกครั้งมั้ยล่ะ?
?แหม ดีใจจัง แต่เสียดายนะ อายุขนาดนี้แล้ว ให้มาใส่ชุดเจ้าสาวแบบนั้นคงฉูดฉาดเกินไป?
?ถ้าเป็นหลิงเสียล่ะก็ ยังดูดีอยู่เลย?
?เหรอ? แหม จะเอาจริงดีมั้ยเนี่ย....?
ฉือหยุนได้แต่ถอนหายใจ มองตามแม่ที่ตื่นเต้นดีใจด้วยเรื่องอื่นกับพ่อที่เดินโอบไหล่แม่ออกไป
....นี่ข้าเป็นลูกชายของสองสามีภรรยาคู่นี้จริงๆ น่ะเหรอ
ถ้าหน้าตาไม่เหมือนพ่อเปี๊ยบล่ะก็ คงไม่อยากจะเชื่อแน่ๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังรักกันดีแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่มีพ่อแม่แบบนั้น ทำไมตัวเองถึงไม่มีบรรยากาศแบบนั้นกับเจียเย่บ้างสักครั้ง
....แต่นะ ข้ากับเจียเย่ก็เหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ
ต่างมีทิฐิไม่มีใครยอมใครเหมือนกันทั้งคู่
อยากจะเป็นเหมือนคู่พ่อแม่หรือไม่ก็คู่แต่งงานใหม่ในพระราชวังบ้างสักนิด
แต่ถ้าถามว่าอยากจะหวานจนเลี่ยนอย่างคู่ในวังนั่นรึเปล่า ขอปฏิเสธอย่างแรงเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องมีจุดที่พอดีกันบ้าง
?......?
ฉือหยุนยังคงนั่งอยู่บนม้านั่งยาว เอียงคอมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบของต้นบะโชที่ปลูกอยู่กลางสวนสั่นไหวเพราะแรงลม
อีกนานแค่ไหนจึงจะพลบค่ำนะ
ตั้งแต่จำความได้ เจียเย่น้อยก็วิ่งวนอยู่รอบตัวฉือหยุนแล้ว เพราะอย่างนั้นเลยอาจจะทำให้ลืมไปว่าเจียเย่เป็นเด็กผู้หญิง ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเล่นซนแบบไหน เจียเย่ก็ตามมาเล่นด้วยทุกครั้ง ปีนต้นไม้ด้วยกันบ้าง ถึงฝนจะตกก็ยังออกไปเล่นข้างนอก เล่นกันจนตัวเปื้อนโคลนไปหมดก็เคย อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ผู้ใหญ่เช่นขุนนางหนุ่มที่มาอาศัยอยู่ที่บ้าน เพื่อนเล่นวัยไล่เลี่ยกันไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยรู้จักใครอย่างฉือหยุน คนที่มาพาออกไปเล่นข้างนอกอาจจะเป็นเจียเย่เสียมากกว่า
ถึงตอนนี้ก็ยังจำได้ เสียงตะโกนเรียก ?ฉือหยุน ข้ามาเล่นด้วยแล้ว? ของเจียเย่ที่ใส่รองเท้าคู่ใหญ่กว่าเท้าตัวเองที่ได้รับต่อมาจากพี่สาวเดินเสียงดังเข้ามาในห้อง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถึงเด็กที่อายุน้อยกว่าถึงสามปีจะมาชวนไปเล่นแบบนั้น จะตอบรับแล้วออกไปด้วยก็คงไม่ได้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ดูเป็นเด็กผู้หญิงมากนัก แต่ก็ถึงวัยที่ในหัวรับรู้ได้แล้วว่าอย่างน้อยนั่นก็เป็นเด็กผู้หญิง เหนือสิ่งอื่นใด ฉือหยุนเป็นลูกชายขุนนาง เพื่ออนาคตแล้วจำเป็นต้องเรียนหนังสือ พอถึงวัยเช่นนั้นความต่างของอายุสามปีจึงนับเป็นเรื่องใหญ่
???ไปเล่นกับเจียเย่ไม่ได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้จะมีครูมาสอนหนังสือที่บ้าน
ตอนที่ตอบไปแบบนั้น เจียเย่อายุเท่าไหร่กันนะ ....อาจจะสักห้าหรือหกขวบ
ที่จริงแล้วฉือหยุนก็เรียนหนังสือมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่อายุได้สี่ห้าขวบก็เริ่มอ่านเขียน อาจจะไม่ต้องใช้ข้ออ้างเรื่องเรียนมาปฏิเสธคำชวนของเจียเย่ก็ได้ แต่อย่างไรเสีย การเล่นกับเด็กผู้หญิงที่อ่อนกว่าก็ทำให้รู้สึกอายเหมือนกัน
เจียเย่ไม่มาชวนเล่นด้วยเหมือนเดิมอีก แต่ก็ยังคงแวะมาที่บ้าน จ้องมองฉือหยุนที่กำลังเรียนหนังสือจากนอกหน้าต่าง
?ตอนนั้น....แย่เลยนะ?
ฉือหยุนเหม่อมองดูสวนพลางพึมพำออกมาคนเดียวแล้วหัวเราะขื่นๆ
เพราะเจียเย่มองอยู่ จะเผลอทำตัวตามสบายก็ไม่ได้ เพราะแบบนั้นเลยมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนจนอาจารย์ยังชม จะว่าไปแล้ว เด็กอายุห้าหกขวบก็มาเฝ้ามองได้อย่างไม่รู้จักเบื่อเลยนะ ....แต่ก็นั่นแหละ ทำอยู่ได้ไม่นานนางก็ไม่มาอีกเลย
มารู้ทีหลังว่า พอเจียเย่รู้ว่าฉือหยุนมาเล่นด้วยไม่ได้แล้วเลยเปลี่ยนไปเล่นกับเด็กผู้หญิงแถวบ้านแทน แต่ถึงอย่างนั้นความแก่นแก้วก็ยังไม่เปลี่ยน ได้ยินแม่ของเจียเย่บ่นบ่อยๆ ว่าอยากให้นางเรียบร้อยขึ้นกว่านี้หน่อย
?......?
ตอนนั้นก็....เป็นวันที่อากาศแจ่มใสเหมือนวันนี้แหละ
วันที่พี่สาวของเจียเย่แต่งงาน เจียเย่แวะมาที่นี่หลังจากที่หายหน้าไปนาน นางแต่งตัวสวยสมเป็นเด็กผู้หญิงจนน่าตกใจ ท่านแม่ชมว่าน่ารักไม่ขาดปาก แต่ข้าที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับพูดคำแบบนั้นออกมาไม่ได้ พูดได้แต่คำล้อเลียนเลยโดนถีบเข้าเต็มแรง ....รู้ซึ้งเลยว่าถึงจะน่ารักยังไง เจียเย่ก็ยังเป็นเจียเย่อยู่นั่นเอง
หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนที่พี่สาวของเจียเย่อีกคนแต่งงาน หรือตอนมาอวยพรปีใหม่ เจียเย่จะแต่งตัวสวยมาทุกครั้ง แต่ก็พูดคำชมออกไปไม่ได้เลยสักครั้ง ตรงข้าม กลับพูดแต่คำไม่น่าฟังออกไป เลยกลายเป็นการเพิ่มแผลเป็นที่ขาเข้าไปอีก
....จริงสิ เรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ
ฉือหยุนเท้าคางบนที่วางแขนของม้านั่งยาวแล้วหลับตาลง
ตอนนั้นเอวี้ยเจินมาอยู่ที่บ้านแล้วแน่ๆ เพราะเป็นตอนที่กำลังจะเข้าสอบระดับมณฑล ตอนที่ข้าอายุสิบห้า ส่วนเจียเย่อายุสิบสองล่ะมั้ง
เพราะมีงานมงคลของญาติ เจียเย่เลยแต่งตัวสวยมาที่นี่ ตอนนั้นเจียเย่คงไม่ได้คาดหวังคำชมจากฉือหยุนแล้วกระมัง นางจึงเข้าไปทักทายแต่พ่อแม่ของฉือหยุนและเอวี้ยเจินแล้วก็จะลากลับเลย
ดังนั้นที่เจอกันที่ระเบียงทางเดินก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เจียเย่ทำหน้าเฉยๆ พยักหน้าทักทายฉือหยุน ทำให้รู้สึกว่ายัยเด็กแก่นแก้วนั่นพออายุเลยสิบขวบแล้วก็ดูเรียบร้อยขึ้นมาบ้าง
???แต่งตัวไม่เข้ากับตัวเองอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะทีนี้
พูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปอีกแล้ว แต่ตอนนี้ไม่อยู่ในบรรยากาศที่จะให้พูดว่าน่ารักหรืออะไรออกไป ยังไงเสีย เดี๋ยวก็คงจะโดนถีบเข้าให้อีก เลยถอยหลังมาเตรียมตั้งรับ น่าแปลกใจที่เจียเย่เพียงแต่ทำหน้าบึ้ง ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไร
???ทั้งนายท่านและท่านเอวี้ยเจินชมว่าเหมาะกับข้ามาก ถึงจะแค่ชมไปตามมารยาทก็ยังดีกว่าฉือหยุนที่พูดได้แต่คำที่ไม่น่าฟังแหละนะ
หน็อย เจ้านั่น....เจ้านั่นที่ว่าน่ะหมายถึงพ่อหรือว่าเอวี้ยเจินกันแน่
เจียเย่เชิดหน้าขึ้น แล้วจับปิ่นที่เสียบอยู่บนผม ปิ่นปักผมรูปดอกล่าเหมยสีเหลืองดูเข้ากับเจียเย่มาก
???ปิ่นอันนี้น้าชายซื้อให้ บอกว่าจะต้องเหมาะกับข้าแน่
ทันทีที่ได้ฟังแบบนั้น สิ่งที่พลุ่งพล่านขึ้นมาก็คือความโกรธ
ฉือหยุนเดินเข้าไปใกล้เจียเย่แล้วดึงปิ่นปักผมออกมาขว้างไปทางสวน เจียเย่ทำหน้าตกใจ
???ทำอะไรเนี่ย!
เจียเย่ต้องโกรธแน่อยู่แล้ว แต่ในตอนนั้นกลับไม่ได้รู้สึกผิดเลย อดโมโหไม่ได้ที่ปิ่นปักผมนั่นประดับอยู่บนผมของเจียเย่
???ไม่เห็นจะเข้ากับเจ้าตรงไหนเลย
ความเย็นชาของน้ำเสียงที่พูดออกไปในตอนนั้น ถึงตอนนี้ฉือหยุนก็ยังจำได้ดี
นึกว่าคราวนี้ต้องโดนถีบแน่ แต่เจียเย่กลับเงยหน้าขึ้นมองฉือหยุนนิ่ง ก่อนที่จะปีนข้ามราวกั้นระเบียงวิ่งไปที่สวนเพื่อค้นหาปิ่นปักผมที่ถูกขว้างออกมา
ในสวนมีสระน้ำด้วย แต่ปิ่นปักผมตกลงมาบนหินที่อยู่บริเวณริมสระพอดี เจียเย่ที่จ้องมองบริเวณนั้นอยู่พักหนึ่งเม้มริมฝีปาก แล้วถอดรองเท้าก้าวข้ามราวกั้นระเบียงลงมา
ไม่ทันที่ฉือหยุนจะร้องเรียก เจียเย่ก็ลงไปถึงสวนแล้ว นางถลกชายชุดขึ้น เหยียบลงบนหินในสวนที่มีมอสส์ขึ้น
ถ้าลื่นล่ะก็ต้องตกลงไปในสระแน่ ในใจได้แต่ตะโกนร้องว่าอย่าทำบ้าๆ นะ กลับมา ข้าผิดเอง ขอร้องล่ะ กลับมาเถอะ
แต่ไม่อาจส่งเสียงพูดออกมาได้สักคำ
เจียเย่ค่อยๆ ก้าวไปบนหินทีละก้าว ทีละก้าว สายตาของฉือหยุนเผลอมองตามขาขาวๆ นั่น
ท่ามกลางสีเขียวเข้มของน้ำในสระและสีเทาดำของหินในสวน ความขาวนั่นดูเป็นสีที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเลยทีเดียว
ระหว่างที่ฉือหยุนยืนนิ่งไม่ขยับอยู่นั้น เจียเย่ก็เดินมาจนถึงที่ที่ปิ่นปักผมตกอยู่ เจียเย่หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย แล้วเสียบไว้ที่ผมเหมือนเดิม ค่อยๆ หันตัวกลับเดินไปบนหินที่เดินมาเมื่อครู่จนถึงระเบียงทางเดิน
นางจับราวระเบียงแล้วปีนข้ามกลับลงมาที่พื้นระเบียงทางเดินได้อย่างปลอดภัยด้วยท่าทางที่คุ้นชินสมกับเป็นยัยจอมแก่น ขาขาวของนางถูกคลุมอยู่ในชายชุดเรียบร้อยแล้ว
ฉือหยุนคิดว่าตัวเองในตอนนั้นคงจะทำหน้าเหวอมากแน่ๆ
เจียเย่สวมรองเท้า เหลือบมองฉือหยุนแวบหนึ่งแล้วเดินจากที่นั่นไป ตอนนั้นเองที่ฉือหยุนรู้สึกผิดเป็นครั้งแรก รู้สึกตัวแล้วว่าทำให้เจียเย่เสียใจ
....ยัยนั่นทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ไม่ยอมให้เห็นน้ำตา แต่ริมฝีปากที่เม้มแน่นและแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจมากกว่าความโกรธนั้นมีพลังพอที่จะทำให้ฉือหยุนรู้สึกแย่เอามากๆ จนหลังจากนั้นไม่รู้ว่าต้องฝันร้ายไปอีกกี่ครั้งกัน
ในที่สุด หลังจากนั้นเจียเย่ก็ไม่เคยแต่งตัวสวยมาที่บ้านตระกูลเวินอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่แม้แต่จะแวะมาหาเฉยๆ ฉือหยุนไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะขอโทษ
?ไม่สิ....ถ้าข้าจะไปขอโทษเองก็ได้นี่นา....?
นึกขึ้นมาทีไรก็รู้สึกทุเรศตัวเอง ฉือหยุนถอนหายใจ แสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในห้องมืดสลัวลง หรือข้างนอกจะมีเมฆนะ
ที่ไม่กล้าไปขอโทษอาจเพราะมีความรู้สึกผิดบางอย่างอยู่ในใจก็ได้ นอกจากจะฝันเห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเสียใจของเจียเย่แล้ว เป็นเพราะขาขาวๆ ที่เผลอมองเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจนั่น ทำให้ฝันถึงเรื่องอื่นที่ทำให้กลุ้มใจและไม่อาจจะบอกใครได้ ใจเย็นไว้ นั่นเป็นแค่เด็กอายุสิบสองเองนะ ต้องบอกกับตัวเองแบบนี้ทุกคืน นึกขึ้นมาแล้วก็ทุเรศตัวเอง
....ข้าเองก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกตอนที่ขว้างปิ่นปักผมของเจียเย่ทิ้งไปคือความอิจฉานั่นเอง
ตัวเองยังไม่ได้เข้าสอบทั้งระดับมณฑลและระดับประเทศ ถึงจะเป็นลูกขุนนางก็จริง แต่ก็ยังต้องให้พ่อแม่เลี้ยงอยู่ ก็เลยอิจฉา อิจฉาผู้ใหญ่คนนั้นที่ใช้เงินที่ตัวเองหามาซื้อปิ่นปักผมให้ผู้หญิงได้
ถึงจะไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร เป็นแค่ของฝากให้กับลูกของญาติก็ตาม แต่จะยังไงก็ช่าง ของที่ตัวเองอยากจะให้แต่ก็ให้ไม่ได้ไปประดับอยู่บนผมของเจียเย่ ความจริงข้อนั้นทำให้รู้สึกโกรธขึ้นมา
จะว่าไป ถึงจะทำให้เจียเย่เสียใจจนตัวเองก็รู้สึกแย่ แต่เพราะอย่างนั้นก็เลยฮึดเรียนจนสอบทีเดียวผ่านทั้งในระดับมณฑลและระดับประเทศ ถ้าเป็นลูกขุนนางอยู่แล้ว แค่สอบผ่านระดับมณฑลเดี๋ยวก็คงจะได้รับตำแหน่งที่สมกับระดับความสามารถเอง แต่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะใจเย็นแบบนั้น
ที่พยายามตั้งใจจะเป็นขุนนางให้ได้เร็วๆ เพราะอยากจะให้ของขวัญผู้หญิงด้วยกำลังของตัวเอง เรื่องแบบนี้ให้ตายก็พูดออกไปไม่ได้ แต่กับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่รักภรรยาขนาดนั้นล่ะก็ อาจจะพอเข้าใจความรู้สึกนี้ก็ได้
ฉือหยุนมองไปยังชั้นหนังสือที่อยู่มุมห้อง ที่นั่นมีกล่องสีดำใบหนึ่งวางปนอยู่กับหนังสือ
วันที่จะได้เปิดกล่องนั่น....ใกล้เข้ามาแล้วสินะ
ฉือหยุนมองออกไปที่สวน ใบของต้นบะโชถูกย้อมเป็นสีแดงอ่อนๆ ....อีกเดี๋ยวอาทิตย์ก็จะลับฟ้าแล้ว
?มาเร็วๆ นะ....เจียเย่?
พึมพำอย่างนั้นแล้วฉือหยุนก็ฟุบหน้าลงที่ข้างหน้าต่าง
********************************************************************************
ในภาคพิเศษนี้ นอกจากคู่เอกของเรื่องแล้ว ยังได้ถักทอร้อยเรียงเรื่องราวความรักโรแมนติกของตัวละครเด่นๆ อีกหลายคู่เอาไว้ด้วยทั้งหมด 8 เรื่อง เรื่องราวความรักของคู่รักที่ต่างฝ่ายต่างมีทิฐิใส่กันอย่าง ?ฉือหยุนกับเจียเย่? ตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งถึงวันแต่งงาน เรื่องราวความรักแสนประทับใจของ ?เซิงกุ้ยกับเหลียงจู? ที่ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าต่างฝ่ายต่างเป็น ?คนสำคัญเพียงหนึ่งเดียว? ของกันและกัน ความรักระหว่าง ?เอวี้ยเจินกับเซียงเฉวียน? ที่เต็มไปด้วยความห่วงหาเอื้ออาทรเล่าผ่านอดีตของเอวี้ยเจิน และเรื่องราวความรักแสนหวานและอบอุ่นของ ?ฮุ่ยจวิ้นกับอ้ายหลิง?
