?ฝ่าบาท กระหม่อมมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถวายแด่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ?
จู่ๆ เบอร์เน็ตก็กล่าวออกมาเช่นนั้น ทำให้พระราชินีทรงตกพระทัยไปนิดหน่อย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 12 ปีก่อน
ตอนนั้นเบอร์เน็ตยังเป็นเพียงแค่นักศึกษามหาวิทยาลัย ส่วนพระราชินีก็เพิ่งจะทรงสูญเสียพระคู่หมั้นไปได้ไม่นาน
พระองค์ทรงแย้มพระสรวลออกมาอย่างซึมเศร้า ขณะที่ประทับยืนในวิหารของพระตำหนักด้วยเครื่องอาภรณ์ในชุดไว้ทุกข์สีดำล้วน และตรัสออกมาว่า
?อุตส่าห์เดินมาถึงที่นี่โดยกะทันหัน มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ เบอร์เน็ต ก็อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละว่าฉันกำลังยุ่งอยู่ เพราะต้องจัดงานราชพิธีศพของเซซิลให้เสร็จสิ้นเสียก่อน?
?หมายถึงเซอร์อัลฟอนส์ เซซิล....ผู้เป็นพระภาดาของพระราชมารดาฝ่าบาทใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?
เบอร์เน็ตกล่าวพร้อมกับจ้องมองดูพระองค์ด้วยความตกตะลึงในความสง่างามและสูงศักดิ์
น้ำเสียงอันสงบนิ่งของเขาทำให้พระราชินีมีพระวรกายสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการที่ได้ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของเพื่อนสมัยเด็กจะทำให้ภาวะจิตใจที่ตึงเครียดมาโดยตลอดได้รับการปลดปล่อยออกมา
พระองค์พยายามกลั้นน้ำพระเนตรที่ทำท่าจะไหลรินเอาไว้อย่างเต็มที่ พร้อมกับแย้มพระสรวลออกมา
พระพักตร์ที่มองเห็นในยามนั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความสง่างามสูงส่งสมกับที่เป็นองค์ราชินี
?ถูกแล้ว เซซิลผู้เป็นบุคคลสำคัญของฉัน เซซิลที่อายุน้อยกว่าสองปี ถึงแม้เขาจะมีนิสัยประหม่าขาดความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็เป็นผู้ที่มีความเฉียวฉลาดและโปรดปรานสัตว์จำพวกม้าเป็นอย่างมาก....หากเป็นเขาล่ะก็ คงจะสามารถให้คำแนะนำอันดี รวมทั้งความอ่อนโยนและละเอียดอ่อนในตัวเขาก็คงจะช่วยเติมเต็มนิสัยอันแข็งกร้าวของฉันได้อย่างแน่นอน แต่ทว่าเจ้าตัวกลับมาด่วนจากไปเสียก่อนโดยทิ้งฉันไว้ข้างหลังเช่นนี้?
?ได้ยินมาว่าท่านเซอร์เป็นผู้ทำการปลิดชีพตนเองมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?
พอได้ยินเบอร์เน็ตกล่าวดังนั้น ความรู้สึกโกรธกริ้วที่อัดแน่นอยู่ในพระหฤทัยขององค์ราชินีก็เกิดการพลุ่งพล่านออกมาทันที
ทรงจับชายกระโปรงสีดำไว้แน่นพร้อมกับเปล่งพระสุรเสียงแหลมดังก้องขึ้น ในขณะที่น้ำพระเนตรยังคงปริ่มอยู่ในดวงพระเนตรทั้งสองข้างว่า
?จะเป็นการปลิดชีพตนเองไปเฉยๆ ได้อย่างไรกัน! ในเมื่อฉันได้ยินมาว่ามีการค้นพบรายงานลับภายในห้องของเขา โดยรายงานฉบับนั้นเพิ่งจะเขียนบรรยายเกี่ยวกับเรื่องที่ประเทศเซาส์แลนด์ของฉันได้กระทำกับประเทศอาณานิคมไว้แต่ในทางลบทั้งนั้น แสดงว่าต้องมีใครสักคนวางแผนเอาไว้แน่! ดังนั้นเซซิลถึงได้....เกิดความรู้สึกสิ้นหวังในตัวฉัน รวมทั้งสิ่งที่ประเทศของฉันได้กระทำเอาไว้ ทำให้เขาต้องจบชีวิตลง?
แม้พระราชินีตรัสกลับมาด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่านก็จริง แต่เบอร์เน็ตก็มิได้ท้อถอยแต่ประการใด
เขายังคงจ้องมองพระองค์อย่างสงบนิ่ง ด้วยแววตาของผู้เฉลียวฉลาดที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังแว่นตาคู่นั้นพร้อมกับกล่าวต่อไปว่า
?เรื่องนี้ฝ่าบาทมิได้ทรงเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นมาหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงแม้พระองค์จะเป็นประมุขของประเทศ แต่ก็มิได้ทรงใช้อำนาจในการบริหารปกครองแผ่นดินด้วยพระองค์เอง....ผู้ที่ทำให้อำนาจการเมืองในประเทศนี้เคลื่อนไหวคือประชาชนต่างหาก ดังนั้นความผิดใดๆ ก็ตามที่ประเทศนี้เป็นผู้ก่อขึ้น ก็สมควรที่ประชาชนแต่ละคนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเอง ดังนั้นขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงวิตกกังวลไปเลย?
?พูดอะไรบ้าๆ อย่างนั้น ฉันเป็นพระราชินีของประเทศนี้นะ เพราะความโง่เขลาเบาปัญหาของฉันเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาซะเลยทำให้เซซิลต้องตายจากไป ยิ่งกว่านั้น ประเทศแซคโซเนียอันเป็นบ้านเกิดของเซซิลยังมีลัทธิก็อดแอนด์เชอร์ชอันเก่าแก่ซึ่งเป็นที่นับถือกันอีกด้วย ลัทธินั้นสั่งห้ามจัดพิธีศพให้กับบุคคลที่ปลิดชีวิตของตนเอง! ถึงแม้ทางเราจะแจ้งไปว่าหากเป็นเช่นนั้น ขอให้ช่วยส่งศพกลับมาก็ตาม แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่อ้างว่ายังมิได้ทำพิธีสมรสกันเลย แล้วแบบนี้ดวงวิญญาณของเซซิลจะไปอยู่ที่แห่งหนใดกันเล่า!? ไปที่นรกอย่างนั้นน่ะหรือ? ดวงวิญญาณอันงดงามขนาดนั้นทำไมจะต้องไปสถานที่แบบนั้นด้วย ในเมื่อผู้ที่สมควรถูกสาปไม่ใช่เขาเลยแม้แต่น้อย!?
ระหว่างที่ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังกึกก้อง ภาพที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ก็เริ่มจะมองเห็นเบลอด้วยน้ำพระเนตรที่เอ่อล้นอยู่บนขอบพระจักษุ
ท่ามกลางภาพที่ทอดพระเนตรอยู่นั้น ก็ปรากฏว่าจู่ๆ เบอร์เน็ตได้กล่าวประกาศขึ้นมาอย่างกะทันหันด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า
?กระหม่อมจะไม่ให้ท่านเซอร์เซซิลต้องไปยังขุมนรกหรอกพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ ขุมนรกที่ว่าอะไรนั่นไม่มีหรอก?
?เบอร์เน็ต นี่เธอ....??
ฟังแล้วพระราชินีก็ทรงตกพระทัยจนกลั้นลมหายใจไปนิดหน่อยกับท่าทางอันมุ่งมั่นของอีกฝ่าย ปกติแล้วเบอร์เน็ตมักจะยิ้มอยู่เสมอ แต่ทว่าขณะนี้เขากำลังจ้องตรงมาด้วยดวงตาคู่สีเทาอันเย็นยะเยียบที่ราวกับจะทำให้ตัวแข็งทื่อไปหมด
แววตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ ขณะที่เจ้าตัวเอ่ยกระซิบแผ่วๆ ว่า
?กระหม่อมจะเป็นผู้ทำลายขุมนรกนั่นด้วยมือข้างนี้เอง จากนั้นจะสร้างดินแดนแห่งสวรรค์อันแท้จริงขึ้นมาใหม่ จะสร้างประเทศใหม่ให้บังเกิดขึ้น....แล้วถวายประเทศสาธารณรัฐเซาส์แลนด์ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์โดยปราศจากการต่อสู้รบราให้กับพระองค์?
ช่างน่าตกใจจริงๆ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก
พระราชินีทรงนิ่งอึ้งไปโดยมิรู้จะเอ่ยคำใดออกมาในระหว่างทอดพระเนตรไปที่เบอร์เน็ต
ประเทศซึ่งมีแต่ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการต่อสู้ ประเทศที่งดงามเปี่ยมด้วยความสุข จริงอยู่ว่านั่นคือสิ่งที่ตนปรารถนามากที่สุดในขณะนี้ แต่ขณะเดียวกันก็เคยคิดเอาไว้ว่าคงไม่มีทางจะได้มาครอบครองเป็นแน่
เบอร์เน็ตยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าที่กลับมาอมยิ้มอย่างไร้เดียงสาเหมือนเดิมว่า
?นับตั้งแต่ได้พบกับฝ่าบาท กระหม่อมก็พยายามค้นหามาโดยตลอดว่า ทำอย่างไรตนจึงจะสามารถสร้างสิ่งที่ควรถวายแด่พระองค์ด้วยมืออันสกปรกและร่างซึ่งปราศจากจิตวิญญาณร่างนี้ได้ ทั้งกลัดกลุ้ม ทั้งนอนพลิกตัวไปมาอยู่หลายรอบ จนในที่สุดทุกสิ่งก็ได้รับการเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว....ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงรับสิ่งนี้ไว้พร้อมกับชีวิตของกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ??
....คำพูดนั้นช่างเหมือนถ้อยคำอันเป็นแบบแผนที่ปรากฏอยู่ในบทละครเป็นอย่างมาก ใครก็ตามที่ได้ฟังโดยทั่วไปคงจะต้องหัวเราะเยาะออกมาอย่างแน่นอน
แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เบอร์เน็ตไม่เคยกราบทูลความเท็จกับพระราชินีเลยแม้แต่ครั้งเดียว จวบจนกระทั่งปัจจุบัน
ราชินีทรงดูธาตุแท้ของเขาออกตั้งแต่พบกันครั้งแรก เบอร์เน็ตจึงกลายมาเป็นบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้พระองค์โดยปราศจากเงื่อนไข
ตอนนี้เขากำลังกราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ใหม่อีกครั้งว่าจะอุทิศชีวิตของตนเองแด่พระองค์
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เรื่องนี้ก็คงเป็นความจริงสินะ
ทันทีที่ทรงพระราชดำริดังนั้น พระวรกายก็สั่นไปทั่วด้วยความรู้สึกหนาวเย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาด ช่างหนาวเหลือเกิน....ไม่สิ ต้องบอกว่าร้อนต่างหาก พระวรกายเริ่มเกิดอาการร้อนผ่าวจนรู้สึกวิงเวียนพระเศียร ดังนั้นพระราชินีจึงต้องพยายามประคองพระองค์ไว้มิให้ทรุดลงด้วยอาการหน้ามืดตาลายอย่างหนัก จากนั้นก็ทรงแย้มพระสรวลออกมา
ครั้นแย้มพระสรวลแล้วก็ทรงพยักหน้า
ความปลื้มปีติทำให้เกือบจะทรงกันแสงออกไปเดี๋ยวนั้น แต่ก็ยังต้องพยายามขบพระทนต์เอาไว้อย่างเต็มที่เพื่อมิให้เผลอตรัสถ้อยคำใดๆ อันไม่สมควรออกไป
?นับจากวันนั้นมา เวลาได้ผ่านไปสิบสองปีแล้วสินะ?
?ทรงตรัสว่ากระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท??
เมื่อได้ฟังที่พระราชเลขานุการฝ่ายราชการลับเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ราชินีจึงทรงยุติการหวนระลึกถึงภาพในอดีต พร้อมกับแย้มพระสรวลบางๆ ออกมา
?....เปล่าหรอก พูดถึงเรื่องของตัวฉันเองน่ะ?
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เวลาได้ผ่านไปสิบสองปีแล้ว
ปัจจุบันพระองค์ทรงดำเนินการควบคุมบริหารบ้านเมืองภายในประเทศรวมทั้งนโยบายกับต่างประเทศอยู่เบื้องหลังได้อย่างชาญฉลาด
ถึงแม้ในสายตาของประชาชนจะเห็นว่าทรงเป็นผู้ที่มีนิสัยแปลกประหลาด เนื่องมาจากการสวมฉลองพระองค์ในชุดไว้ทุกข์เสมอ รวมทั้งรัฐสภาเองก็มักจะกล่าวขานกันว่าทรงเป็นเด็กสาวที่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากเกินควร แต่ถึงกระนั้นพระราชินีก็มิได้ทรงใส่พระทัยกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
(เพราะเรามีสิ่งที่ควรนำมาไว้ในครอบครองยังไงล่ะ ดินแดนใหม่....อีกไม่ช้าเราก็จะได้สิ่งนั้นมาไว้ในครอบครองแล้ว ดินแดนในอุดมคติ)
?การทรงพระราชดำริในเรื่องต่างๆ นั้นก็ดีอยู่หรอก แต่หากไม่รีบเสด็จออกไปตอนนี้ล่ะก็ จะไม่ทันเวลาตรวจตรากองทหารนะพ่ะย่ะค่ะ เอาล่ะ โปรดรีบเสด็จไปเถิด แล้วก็....แถบผ้าที่ทรงกลัดเพื่อไว้ทุกข์นั่นไม่สามารถจะทำอะไรกับมันได้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะสิ่งนี้จะมีผลกับขวัญกำลังใจของพวกทหารไปด้วย?
เมื่อพระราชเลขานุการฝ่ายราชการลับเอ่ยทักขึ้นดังนั้น พระราชินีก็ทรงแย้มพระสรวลนิดๆ ก่อนจะขยับแถบผ้าที่ห้อยอยู่ตรงบริเวณพระอุระของชุดทหารสีแดงเข้มใหม่ให้เรียบร้อย
?สิ่งนี้คงไม่สามารถจะถอดออกได้หรอก จนกว่าทุกสิ่งจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยดีเสียก่อน?
หลังจากตรัสเช่นนั้นเบาๆ ก็ทรงสะบัดชายผ้าคลุม แล้วเสด็จพระราชดำเนินตรงไปยังรถม้าที่ประดับตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหรา
ทันทีที่ทุกคนในที่นั้นได้แลเห็นเส้นพระเกศาสีทองส่องประกายยาวเหยียดตรงอันงดงามของพระองค์ ไม่ว่าผู้ใดก็อดชำเลืองดูพระสิริโฉมขององค์ราชินีที่ทรงฉลองพระองค์เฉกเช่นสุภาพบุรุษมิได้ โดยหารู้ไม่ว่าอันที่จริงแล้วทรงมีพระประสงค์สิ่งใดอยู่ในใจกันแน่
ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาในครึ่งหลังของศตวรรษออโธดอกซ์เชอร์สที่ 19 ประเทศเซาส์แลนด์ยังคงมีความเจริญมั่งคั่งอยู่บนรากฐานที่รักษาความสมดุลเอาไว้ แต่ก็พร้อมจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมาได้เสมอ
เบอร์เน็ตผู้ถูกคุมขังอยู่ในคุก รวมทั้งพระราชินีซึ่งประทับอยู่ในโลกอันสดใสสวยงามยังคงมีความฝันที่เหมือนกันอยู่ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้
*
ระหว่างที่องค์ราชินีกำลังเสด็จพระราชดำเนินไปตรวจตรากองทหารอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งในเขตตัวเมืองใหม่ของกรุงเอลส์บาร่าอันเป็นเมืองหลวงของประเทศนอร์สแลนด์ ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนพื้นถนนที่ปูด้วยแผ่นหินวางเรียงตัวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีขุนนางสูงศักดิ์ผู้หนึ่งกำลังกลัดกลุ้มอย่างหนักด้วยความอับจนหนทางอยู่
?ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ....ให้ตายสิ ไม่น่าเชื่อเอาซะเลย! ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับฉันได้นะ?
เสียงพึมพำโอดครวญด้วยใบหน้าเคร่งเครียดนี้คือขุนนางแห่งประเทศนอร์สแลนด์ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์นั่นเอง
เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่า ศีรษะล้านเลี่ยน ขณะนี้กำลังยืนนิ่งๆ อยู่ในห้องนั่งเล่นซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์อันสวยงามตั้งวางอยู่อย่างครบครัน
ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เจ้าตัวยังคงกอดอกอยู่เหมือนเดิมด้วยสีหน้าอันกลัดกลุ้มไปด้วยความทุกข์
ตอนนั้นเองได้มีเสียงเคาะประตูจากพ่อบ้านดังขึ้นมา
?นายท่าน มีแขกต้องการมาขอเข้าพบขอรับ?
?แขกเหรอ? ฉันเคยบอกแล้วไงว่าให้ปฏิเสธเรื่องพวกนั้นไปให้หมด!?
?ขอรับ เอ้อ แต่ว่า....?
?ไม่ตงไม่แต่อะไรทั้งนั้น บอกปฏิเสธเขาไปซะ! ฉันไม่อยากพบใครทั้งนั้นล่ะ?
ขุนนางตวาดแว้ดเสียงดังเข้าใส่ประตู ก่อนจะหันกลับมายังห้องนั่งเล่นใหม่อีกครั้งด้วยใบหน้าอันฉุนเฉียว
ทันใดนั้นเอง ดูเหมือนว่าบรรยากาศรอบตัวจะเริ่มมึดครึ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน
?....อะไรกันเนี่ย ฝนตกลงมาอย่างนั้นเหรอ?
ระหว่างที่เจ้าตัวยังคงสับสนกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นปุบปับฉับพลันอยู่นั้น ความรู้สึกเสียวสันหลังวูบได้แล่นผ่านเข้ามาอย่างน่าประหลาด
หนาวจังเลย....ไม่สิ ต้องบอกว่าน่ากลัวต่างหาก
เพราะหากจะบอกว่าฝนกำลังตกอยู่ล่ะก็ ทำไมถึงไม่มีเสียงฝนเลยล่ะ อากาศภายนอกหน้าต่างยังคงแจ่มใสอยู่เหมือนเดิม แต่ทำไมบรรยากาศภายในห้องถึงค่อยๆ มืดมัวไปทุกขณะ มิหนำซ้ำไม่รู้เมื่อไหร่ที่ความมืดมิดซึ่งแฝงความเปียกชื้นนี้ได้ก่อตัวขึ้นมาอยู่ตรงบริเวณมุมห้องไปได้
บางสิ่งบางอย่างกำลังหัวเราะอยู่ เสียงหัวเราะคิกคัก คิกคัก! แว่วแผ่วๆ ไปทั่วห้อง
(อะไรกันเนี่ย? นี่มันเกิดอะไรขึ้น มีบางสิ่งอยู่ในห้องนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ!?)
เหงื่อเย็นๆ ไหลหยดผ่านขมับของขุนนางผู้นั้นที่กำลังหวาดกลัว เสียงที่จะตะโกนออกมาติดค้างอยู่ที่ลำคอ ทำให้ไม่สามารถจะเอ่ยเป็นคำพูดได้
และแล้วตรงปลายจมูกของเขาก็มีกลิ่นอันหอมหวนโชยเข้ามา
ขณะที่เจ้าตัวกำลังนึกสงสัยอยู่นั้นก็ปรากฏว่ามีบางอย่างสีแดงเข้มปลิวแผ่กระจายออกมาท่ามกลางความมืด
?....อะ....! อะไรกันเนี่ย!??
ขุนนางกล่าวพร้อมกับรีบใช้มือบังหน้าของตนไว้ในทันที สิ่งที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอยู่บนแขนของเขาก็คือกลีบดอกกุหลาบสีแดงเข้มนั่นเอง
ในไม่ช้ากลีบดอกกุหลาบจำนวนนับร้อยๆ ก็โปรยปรายลงมา ก่อนจะพลิ้วหล่นลงไปบนพรม
และแล้วก็ปรากฏว่ามีขาก้าวเหยียบลงบนกลีบดอกกุหลาบเหล่านั้น พร้อมกับเงาคนสองคนโผล่พ้นออกมาจากความมืด!
?นะ....นี่พวกเธอ....มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่....!?
ขุนนางพยายามตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดนิ่งไปเพียงแค่นั้น
(โอ....ช่างงดงามกระไรเช่นนี้)
เจ้าตัวถึงกับตะลึงอ้าปากค้างพร้อมกับนิ่งอึ้งไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว
เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าตนเองในขณะนี้ก็คือชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเฉียบขาด อยู่ในชุดของสุภาพบุรุษมาดเข้มสมบูรณ์แบบ ผิวของเขาขาวผ่องใสแจ๋วงดงามเสียจนน่าหวาดกลัว ผมยาวสีดำขลับ กับอีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาวผู้สวยงามราวกับนางฟ้า มือข้างหนึ่งวางอยู่บนฝ่ามือของชายหนุ่ม
ผมสีพลาทินั่มบลอนด์ของเธอนั้นทั้งละเอียดอ่อนและยาวสยายปรกบ่าอยู่บนชุดเสื้อสูทลายแถบสีเหลืองอ่อนกับสีเขียวอมเทา ขณะที่เจ้าตัวกำลังยืนตัวตรงอยู่อย่างสง่างาม ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดครึ้มชวนให้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้ การที่ยังสามารถรับรู้ถึงแสงสว่างที่สาดส่องของยามกลางวันได้ คงจะเป็นเพราะว่าในบรรดารูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนโยนของเธอนั้น มีดวงตาสีเขียวซึ่งส่องประกายอย่างเจิดจ้า ทำให้นึกถึงฤดูใบไม้ผลินั่นเอง
ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใสที่เกิดขึ้นมาอย่างประหลาดทำให้ขุนนางต้องหันไปมองชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างๆ แต่ทางนี้กลับให้ความรู้สึกที่ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว เพราะดูเหมือนกับเป็นกลางคืน ไม่ว่าจะเส้นผมหรือเสื้อผ้าของเขา ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นสีดำที่ลึกล้ำเสียจนน่าหวาดกลัว รวมทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความมืดมิดอีกด้วย
ดวงตาสีแดงยาวรีคู่นั้นงดงามไร้ที่ติก็จริง แต่หากจ้องมองเข้าไปข้างในแล้วก็จะพบว่าสีแดงนั้นช่างล้ำลึกเกินคำบรรยาย เป็นสีแดงแห่งความเงียบสงบซึ่งยากจะหยั่งรู้ถึงตัวตนอันแท้จริงได้ จนดูราวกับว่ามีโลกอีกแห่งหนึ่งอยู่ภายในนั้นด้วย
ระหว่างที่กำลังจ้องมองดวงตาของอีกฝ่าย ก็รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของตนแทบจะถูกดึงดูดเข้าไปโดยไม่ทันรู้ตัว ด้วยความงดงามอย่างปีศาจที่เหนือชั้นเกินคำพรรณนา
ขณะที่ขุนนางกำลังนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงอยู่นั้น เด็กสาวก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงอันสดใสร่าเริงว่า
?ขอประทานโทษด้วยค่ะ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ท่านไวเคานท์โอลคอตต์ บังเอิญธุระในครั้งนี้เป็นเรื่องด่วนมาก เราจึงต้องถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ทันได้รับอนุญาต?
วิธีการพูดของเด็กสาวค่อนข้างจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้ท่านไวเคานท์ค่อยเริ่มกลับมามีสติเหมือนเดิมเล็กน้อย
ถึงจะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงก็ตาม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ดูท่าทางว่าจะเป็นผู้ที่สามารถสนทนากันได้รู้เรื่อง
?ที่บอกว่าธุระด่วนนั่นมันเรื่องอะไรกัน สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือพวกเธอเป็นใครกันแน่?
พอท่านไวเคานท์โอลคอตต์เอ่ยถามขึ้น เด็กสาวก็ยิ้มหวานพร้อมกับทาบมือข้างหนึ่งลงไปบนอก ส่วนอีกข้างหนึ่งถือหนังสือปกสีแดงที่ดูท่าทางจะหนักอึ้ง พร้อมด้วยกระเป๋าเล็กๆ อีกใบหนึ่ง
?เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ ดิฉันชื่อจัสติน คาไรล์ ส่วนทางนี้ก็คือเร็กซ์ พวกเราเป็นนักสีบ (Detective) ผู้เชี่ยวชาญในคดีที่เกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณอันลึกลับ รวมทั้งเป็นนักวิจัยของ ?สมาคมวิจัยเรื่องลึกลับแห่งกรุงเอลส์บาร่า? ด้วยค่ะ?
?นักสืบเหรอ? คดีที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณอันลึกลับ....!??
ถ้อยคำอันแปลกประหลาดที่กล่าวออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้ใบหน้าของท่านไวเคานท์เริ่มจะบิดเบี้ยวไปทุกที
จริงอยู่ว่าในบรรดากลุ่มขุนนางผู้สูงศักดิ์มีบุคคลที่ชื่นชอบพวกสมาคมซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียกวิญญาณหรือการเข้าทรง รวมทั้งเรื่องประหลาดเร้นลับทั้งหลายรวมอยู่ด้วย ทุกวันนี้แม้แต่ในหนังสือพิมพ์เองก็ยังลงคอลัมน์เกี่ยวกับคดีปริศนาอันลึกลับที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันบ่อยครั้ง แต่ทว่าตัวของท่านไวเคานท์เองเกลียดเรื่องพวกนี้มาก และที่สำคัญ จัสตินก็ไม่ได้มีทีท่าว่ากำลังตื่นเต้นตกใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด
ต่อหน้าท่านไวเคานท์ที่กำลังงุนงงสับสนอยู่นั้น จัสตินได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสและใบหน้าซึ่งเปี่ยมด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเดินทางมาที่งานเลี้ยงน้ำชาซะอย่างนั้นว่า
?ถูกแล้วค่ะ! ท่านไวเคานท์ หมู่นี้รอบๆ ตัวของท่านมีเรื่องน่าสนุก....เอ้อ ไม่ใช่ เรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่าคะ อย่างเช่น ตอนถ่ายรูปที่ระลึกแล้วปรากฏว่ามีใบหน้าของหญิงสาวซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโผล่ออกมาอยู่เหนือศีรษะ หรือจู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยกันดังออกมาจากในตู้หนังสือ หรือมีคนแก่ที่ดูท่าทางประหลาดน่าสงสัยโผล่ออกมาจากไหที่ซื้อเอาไว้ หากว่ามีเหตุการณ์ที่ชวนให้หัวใจเต้นระทึกพวกนี้เกิดขึ้นมาล่ะก็ เชิญบอกกับพวกเราได้เลยนะคะ รับรองว่าพวกเราจะดำเนินการอย่างเต็มที่ให้ท่านรู้สึกสบายใจได้อย่างแน่นอนค่ะ!?
....น่าประหลาดจริงๆ
ไม่ว่าจะคิดยังไง เด็กสาวคนนี้ก็ช่างประหลาดเสียเหลือเกิน
หากตั้งใจจะมาหลอกลวงท่านไวเคานท์แล้วล่ะก็ น่าจะทำตัวให้เหมาะสมกว่านี้เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้หลงเชื่อเช่นนั้น แต่ถ้าหากไม่ใช่ล่ะก็ แสดงว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง พูดง่ายๆ ก็คือ คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเด็กคนนี้มีความตั้งใจจริง รวมทั้งยังเป็นบุคคลที่น่าอันตรายอีกด้วย
อันที่จริงแล้ว ถึงแม้สีหน้าของท่านไวเคานท์จะซีดเผือดไปก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ยังแกล้งทำเป็นกระแอมอะแฮ่มออกมา และกล่าวว่า
?เอ้อ....รอบๆ ตัวฉันไม่ได้มีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นหรอก จะว่าไปแล้ว วิธีที่พวกเธอเข้ามาถึงที่นี่นับว่าเสียมารยาทมาก หากยังมีสามัญสำนึกอยู่ล่ะก็ อย่างน้อยควรจะติดต่อผ่าน....เฮ้ นี่! เดี๋ยวก่อน กำลังทำอะไรน่ะ หยุดนะ?
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่นั้น จัสตินก็ตรงเข้ามาคว้าเสื้อนอกของท่านเอาไว้ ทำให้ท่านไวเคานท์ตกใจผงะถอยไปด้านหลัง
เด็กสาวเองก็สะดุ้งตกใจเช่นเดียวกัน แต่แล้วเธอก็กล่าวขัดขึ้นมาด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังว่า
?เอ้อ เปล่าหรอกค่ะ แค่เห็นว่าดูท่าทางเรื่องมันคงจะยาว หากเจ้าตัวไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ความผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้วล่ะก็ เราจึงเห็นว่าควรจะลงมือดำเนินการตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นช่วยถอดเสื้อหน่อยนะคะ?
?นะ....นี่เธอเสียสติไปแล้วรึไง! ฮึ่ม ยังไงก็ตาม ฉันไม่มีธุระอะไรกับพวกเธอทั้งนั้น รีบกลับไปได้แล้ว ไปซะ!?
?ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ พวกเรามักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนประหลาดเสียสติอยู่เป็นประจำ แต่พอเอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว อย่างไรก็ตาม จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ ถึงแม้ในคฤหาสน์จะดูเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรเป็นพิเศษเลยก็ตาม แต่หากบนร่างกายมีรอยตำหนิลึกลับหรือพวกผ้ายันต์ประหลาดอะไรติดอยู่ด้วยล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากแน่....การตรวจสอบคงต้องใช้เวลา อาจทำให้ต้องหงุดหงิดกันนิดหน่อย ดังนั้นถอดให้หมดเลยดีกว่านะคะ จะได้ตรวจสอบทั้งตัวและเสื้อผ้าพร้อมกันหมดทีเดียว วิธีนี้นับว่าเร็วที่สุดแล้วล่ะค่ะ?
?จะบ้ารึไง! ฉันกำลังบอกอยู่ว่าอย่ามาถอดเสื้อผ้ากันง่ายๆ แบบนี้ เจ้าพวกคนวิตถาร!?
ท่านไวเคานท์ตะโกนเสียงลั่นราวกับกรีดร้อง พร้อมกับทำท่าจะผลักจัสตินให้ห่างออกไป แต่แล้วเร็กซ์กลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน
ความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมผ่านเข้ามาจากถุงมือซึ่งทำด้วยผ้าเนื้อดีทำให้ตัวของท่านไวเคานท์ต้องสั่นสะท้านไปทั่ว
หยาดเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวาดกลัว ครั้นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก ดวงตาของท่านก็สบเข้าหาดวงตาคู่สีแดงอันเย็นยะเยียบของเร็กซ์ในทันที และแล้วใบหน้าอันหล่อเหลางดงามราวกับรูปปั้นแกะสลักของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม พร้อมกับที่เจ้าตัวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันหวานซึ้งออกจากริมฝีปากว่า
?อย่าแตะต้องตัวเจ้านายของฉันนะ เจ้ามนุษย์?
?....ตะ แต่ว่า?
ถึงพยายามจะขัดขืนยังไง ลิ้นของท่านก็ทั้งชาและแข็งทื่อไปหมด หนำซ้ำสมองยังเบลออีกด้วย
ท่ามกลางความมึนงงและสับสนที่เกิดขึ้นในหัวสมองนั้น ได้ยินแต่เพียงเสียงของเร็กซ์ที่ยังคงดังก้องอยู่
?การจะเปลี่ยนนายให้กลายเป็นกบสีหยกไปนั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายมาก แต่ฉันก็อุตส่าห์พยายามปฏิบัติกับนายในฐานะเท่าเทียมกันอย่างเต็มที่ถึงขนาดตั้งใจจะช่วยแล้วเชียวนะ ดังนั้นไม่มีทางที่นายจะเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองไปได้หรอก ตรงกันข้าม นายน่าจะดีใจถึงขนาดน้ำตาไหลซึมออกมาเสียด้วยซ้ำ....จริงรึเปล่าล่ะ??
....พอถูกอีกฝ่ายหนึ่งกล่าวเช่นนั้น บางทีคนที่ไม่รู้จักมารยาทอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ เมื่อคิดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วจิตใจก็เกิดความรู้สึกกระวนกระวายจนไม่สามารถยืนเฉยอยู่ได้อีกต่อไป อยากจะคุกเข่าน้อมศีรษะลงไปคำนับซะเดี๋ยวนั้น
ใช่แล้ว รีบคุกเข่าลงเถอะ....ตอนที่ท่านไวเคานท์เริ่มจะคิดเช่นนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังปึ้ก! เกิดขึ้นมาพร้อมกับตัวของเร็กซ์ที่เซออกไปด้านข้าง
(อะไรกันเนี่ย....!? ท่านผู้นี้ตัวเซไปอย่างนั้นเหรอ....? ทำไมล่ะ เป็นไปได้ยังไง....เป็นได้ยังไงกัน หากว่าสิ่งที่ฉันมองเห็นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปล่ะก็ แม่สาวน้อยผู้นี้ซัดท่านผู้นั้นไปอย่างนั้นเหรอ ใช้หนังสือซัดตุ้บเข้าไปที่ด้านข้างใบหน้าของท่านเนี่ยนะ ซัดเข้าไปที่ใบหน้านั่นเลยเหรอ!?)
ขณะที่หน้าท่านไวเคานท์กำลังนิ่งอึ้งตกตะลึงไปเพราะถูกเร็กซ์เข้าควบคุมจิตใจให้ตกอยู่ใต้อำนาจเข้าอย่างเต็มที่ จัสตินซึ่งเหวี่ยงหนังสือปกสีแดงท่าทางหนักอึ้งเล่มนั้นออกไปก็อมยิ้มเฝื่อนๆ พร้อมกับกล่าวว่า
?เร็กซ์....เธอนี่มีงานอดิเรกชอบถูกฉันซัดรึยังไง ใบหน้าที่เห็นแล้วชวนให้หน้ามืดตาลายของเธอเนี่ยเป็นอาวุธชนิดร้ายแรงต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือคนชรา รวมทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ต้องให้บอกกี่ครั้งถึงยอมจะเข้าใจนะ!??
เร็กซ์ค่อยๆ เอนตัวกลับมายืนตรงอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้าไปที่จัสตินใหม่และกล่าวว่า
?การโจมตีของวันนี้ดูท่าทางยังแข็งแกร่งอยู่เหมือนเดิม ดีแล้วล่ะ จัสติน แต่ทว่าจุดศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงนั้นค่อนข้างจะเอียงไปทางซ้ายสักหน่อยนะ แสดงว่าการเสริมตัวของกล้ามเนื้อยังไปไม่ทั่วถึงซะทีเดียว?
?มีคนบ้าที่ไหนเขาตรวจวัดสุขภาพของผู้คนด้วยวิธีการซัดเข้าจู่โจมกันบ้างนะ?
?ก็มีอยู่ตรงนี้ไงล่ะ?
?เรื่องบ้าๆ อะไรนั่นไม่ต้องยอมรับก็ได้ เธอนี่นะ ชอบเที่ยวไปหว่านเสน่ห์ล่อลวงคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉยอยู่เรื่อย เสร็จแล้วก็รับผิดชอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ สิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้นั้นห้ามทำโดยเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า!?
?....หืม ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ แต่ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่เที่ยวหว่านเสน่ห์ล่อลวงผู้อื่นนี่นา การกระทำซ้ำๆ หลายหนเป็นระยะอันเวลายาวนานทำให้ส่วนใหญ่พฤติกรรมและคำพูดของพวกเรากลายเป็นเช่นนั้นไปโดยอัตโนมัติ ก็เหมือนกับที่ปลาหายใจด้วยเหงือกนั่นแหละ แต่ทว่าผู้ที่ฉันตั้งใจจะหว่านเสน่ห์และล่อลวงออกมาจากใจจริงก็มีแต่เธอคนเดียว ในกรณีของเธอนั้นฉันตั้งใจจะรับผิดชอบแน่ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ?
เร็กซ์กล่าวขึ้นพร้อมกับแย้มรอยยิ้มอันงดงามออกมา จัสตินเห็นดังนั้นก็เริ่มหน้าแดงขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะส่งเสียงตะโกนกลับไปว่า
?ก็-เพราะ-แบบนี้-ไงล่ะ! ฉันถึงได้บอกว่า ไม่ว่าจะล้อเล่นหรือตั้งใจจริงก็ตาม มันเป็นการรบกวนอีกฝ่ายที่ถูกเธอหว่านเสน่ห์หรือล่อลวงเข้า เอาล่ะ เริ่มตรวจสอบกันได้แล้ว?
เร็กซ์จ้องมองดูเด็กสาวที่กำลังกล่าวอย่างฉุนๆ พร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางสิ่งด้วยท่าทางประหลาดใจอยู่นิดๆ และแล้วเขาก็กำมือทุบลงบนฝ่ามือเบาๆ
?หมายความว่าเธอกำลังหึงผู้ชายคนนี้อยู่อย่างนั้นเหรอ?
?ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ!!?
พอเห็นจัสตินยกหนังสือขึ้นใหม่อีกครั้ง ท่านไวเคานท์ก็รีบลนลานเข้าไปแทรกกลางระหว่างทั้งสองทันที
?เอาล่ะ เธอเองก็พอแค่นี้เถอะ....!?
(แย่แล้ว! ตอนนี้เราห้ามขยับเขยื้อนตัวนี่นา)
ทันทีที่นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาได้ ท่านก็พยายามจะกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ตนยืนอยู่....แต่ทว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว
ขาขวาสั้นๆ ของท่านไวเคานท์ยกสูงขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยลีลาแห่งท่วงท่าอันงดงาม
ท่าทางแบบนั้นราวกับนักเต้นรำไม่มีผิด แต่ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนรูปร่างไม่สูงมากนักแถมยังอวบอ้วน รวมทั้งผมบนศีรษะก็มีเพียงน้อยนิด ทำให้ดูแล้วรู้สึกเงียบเหงา
....ภาพที่ปรากฏออกมาจึงดูผิดธรรมชาติ นับว่าประหลาดอยู่พอสมควร
ภายในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จัสตินจะชี้นิ้วและตะโกนออกมาว่า
?นี่ไงคะ! นึกอยู่แล้วว่าท่านกำลังโดนคำสาปอย่างที่คิดไว้จริงๆ ซะด้วย?
?คำสาปอย่างนั้นเรอะ!? รึว่าจะเป็นอย่างที่เธอกล่าวไว้จริงๆ....อ๋า แย่ล่ะ ร่างกายมันเคลื่อนไหวไปเองอีกแล้ว?
ทันทีที่ท่านไวเคานท์ตะโกนร้องออกมาอย่างเศร้าสลด ร่างนั้นก็กระโดดขึ้นเบาๆ ด้วยลีลาอันอ่อนช้อย
ภายหลังจากที่หงายหลังและแอ่นตัวขึ้นมาพร้อมกับโชว์พุงอันกลมโตแล้ว ร่างนั้นก็หมุนตัวต่อไปสามรอบครึ่งอย่างงดงามก่อนจะกลับลงสู่พื้น แล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออกกว้างอย่างงามสง่า แสดงให้เห็นถึงท่วงท่าของการเต้นรำออกมา ทักษะที่โดดเด่นเช่นนี้นับได้ว่าแม้แต่มือโปรยังต้องเหนียมอายกันเลย มีเพียงสีหน้าของเจ้าตัวเท่านั้นที่เหมือนกับจะร้องไห้ ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ในเมื่อแต่เดิมร่างนี้ไม่ได้ฝึกฝนมาเพื่อการเต้นรำโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงทำให้รู้สึกเจ็บระบมไปหมดทั้งตัวเลยทีเดียว
?ฟังให้ดีนะ ที่ฉันกำลังเต้นรำอยู่นี่ไม่ได้เพราะอยากจะเต้นเลย โอ๊ย เจ็บ เจ็บ เจ็บ! เอ้อ เชื่อที่ฉันพูดเถอะ ร่างกายมันขยับเขยื้อนไปได้เอง ไม่ใช่ว่าฉันมีงานอดิเรกที่แปลกประหลาดอะไรเลยสักนิด!?
?ไม่ต้องห่วงหรอก นี่เป็นการแสดงโชว์ที่ดูท่าทางน่าสนุกมากเลยทีเดียว?
?เดี๋ยวก่อน เร็กซ์ เรื่องแบบนี้ห้ามพูดขึ้นมานะ! เอ้อ ท่านไวเคานท์ เรื่องที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นคำสาปซึ่งกำลังแพร่ระบาดอยู่ที่กรุงเอลส์บาร่าในขณะนี้ ไม่ทราบว่าหมู่นี้รอบๆ ตัวของท่านมีเรื่องประหลาดพิลึกพิลั่นอะไรเกิดขึ้นมาบ้างรึเปล่าคะ!??
จัสตินหันไปตะโกนพูดกับท่านไวเคานท์ก็จริง แต่ร่างกายของอีกฝ่ายยังคงขยับเขยื้อนต่อไม่ยอมหยุด
ท่านพยายามตอบกลับมาด้วยดวงตาซึ่งมีน้ำตาเอ่อล้น ขณะที่ยังคงเต้นรำอยู่อย่างต่อเนื่องว่า
?นี่เธอเห็นฉันอยู่ในสภาพที่สามารถจะเล่าเรื่องพวกนั้นให้ฟังกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นเลยเรอะ!? เพียงแค่คิดจะเดินหน่อยเดียว ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไปเสียแล้ว แถมเจ้าร่างนี้ยังไม่ยอมหยุดขยับจนกว่าฉันจะเหนื่อยใจแทบขาดแล้วล้มพับลงไปซะก่อนอีกด้วย! ไม่ว่าจะพยายามเคลื่อนตัวไปข้างหน้ายังไงก็ทำได้เฉพาะแต่ในแนวเฉียงเท่านั้น บอกกันตามตรงเลยนะว่าร่างของฉันมันฝืนรับสภาพแบบนี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว....โอ๊ย เจ็บ! ลิ้นของฉัน ดันเผลอพูดแล้วกัดลิ้นของตัวเองซะนี่?
?อืม ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่นคงต้องหยุดการเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรกเสียก่อน เข้าใจแล้วค่ะ กรุณารอสักครู่นะ?
หลังจากจ้องมองดูท่านไวเคานท์กระโดดหมุนตัวไปมารอบห้องด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังสักพัก จัสตินก็หยิบแท่งชอล์กสีขาวออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็พยายามดันโต๊ะกลมซึ่งสร้างขึ้นตามสไตล์ซีกโลกตะวันออกให้ห่างออกไปทางด้านข้างอย่างเต็มที่โดยใช้แขนอันเพรียวบาง ต่อมาเธอจับพรมผืนหนาทึบให้พลิกขึ้น แล้วเริ่มเขียนตัวอักษรเวทมนตร์ลงไปบนพื้นโดยตรงด้วยชอล์กแท่งนั้น หลังจากเสร็จแล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงเรียกท่านไวเคานท์ว่า
?ขอโทษนะคะ พอจะขยับตัวมาทางนี้ไหวไหม มาอยู่ตรงบริเวณเหนือตัวอักษรพวกนี้น่ะค่ะ?
?ตัวอักษรเหรอ? ....ฉันจะลองดูก็แล้วกัน ว่าแต่ทำอย่างนั้นแล้วจะเป็นยังไงเหรอ?
ท่านไวเคานท์ตะโกนถามกลับมา พร้อมกับพยายามเคลื่อนตัวเอียงเข้ามาใกล้ ในขณะที่ยังคงหมุนตัวไปรอบๆ อยู่เหมือนเดิมด้วยความรู้สึกหมดหวังถึงขนาดยอมพึ่งฟางเส้นสุดท้าย และแล้วก็สามารถขึ้นมาอยู่บนตัวอักษรที่จัสตินเขียนเอาไว้ได้ในที่สุด
ทันใดนั้นเอง ขาของเขาก็หยุดเคลื่อนไหวทันที
?โอ้....หยุดแล้วเรอะ....??
เจ้าตัวก้มมองขาของตนเองด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ จัสตินใช้แท่งชอล์กวาดรูปวงกลมสีขาวรอบตัวของท่านให้เพิ่มมากขึ้น จากนั้นก็วาดรูปสามเหลี่ยมกลับหัว พร้อมกับเขียนตัวอักษรอันน่าอัศจรรย์ลงไปอีกหลายตัวในวงกลมนั่น
อักษรที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ไม่ว่าตัวไหนท่านไวเคานท์ก็ไม่สามารถอ่านออกเลย
หลังจากเขียนเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้นมองท่านด้วยสีหน้าที่จริงจังและกล่าวว่า
?ฟังให้ดีนะคะ การที่ขาหยุดเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียงแค่การแก้ไขในเบื้องต้นเท่านั้น หากเผลอหลุดก้าวขาออกมาจากตัวอักษรเหล่านี้เมื่อไหร่ ร่างของท่านอาจจะขยับเคลื่อนตัวไปได้อีก ดังนั้นขอให้ระวังเอาไว้ด้วย กรุณาอย่าออกมาจากวงกลมนี้เป็นอันขาด! เพราะจากนี้ไปเราจะต้องทำในสิ่งที่เป็นอันตรายสักหน่อย แต่หากตัวท่านยังคงอยู่ในเขตวงกลมนี้ล่ะก็ รับรองว่าต้องปลอดภัยแน่?
ดวงตาสีเขียวที่จ้องตรงเข้ามาอย่างมุ่งมั่นของเธอทำให้ท่านไวเคานท์นิ่งอึ้งไปอย่างยอมจำนน ก่อนจะพยักหน้าซึ่งมีหยาดเหงื่อไหลหยดลงมาและเอ่ยว่า
?อะ อืม เข้าใจแล้วล่ะ ว่าแต่ว่าช่วยบอกละเอียดหน่อยได้ไหมว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?
?ก็จะถอนคำสาปให้ท่านยังไงล่ะคะ เพราะนั่นเป็นงานของหนู?
ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด จัสตินกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มให้เห็นนิดๆ ก่อนจะพลิกหน้าปกของหนังสือสีแดงเข้มที่ถือไว้โดยตลอด ครั้นกระดาษที่ทำมาจากแผ่นหนังแกะอันเก่าแก่ผืนนั้นพลิกเปิดต่อไปได้เอง เธอก็ยื่นฝ่ามือสีขาวของตนไปอยู่เหนือกระดาษแผ่นนั้นพร้อมกับกล่าวว่า
?แสงสว่างจากฟากฟ้าจะเป็นเสมือนดวงตาของเจ้า สายลมจะเป็นเสมือนใบหูของเจ้า แต่ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ห้ามเจ้าละเมิดเป็นอันขาด จงอย่าขัดขืนนักปราชญ์อันเป็นผู้รู้ เร็กซ์! จงปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ระบุไว้ในหนังสือเวทมนตร์เล่มนี้ ....ช่วยบอกสิ่งที่เธอเห็นออกมาให้ฉันได้รับรู้หน่อยสิ?
ครั้นเสียงใสๆ ของเด็กสาวซึ่งอ่านบทกลอนอันน่ามหัศจรรย์ออกมาส่วนหนึ่งดังก้องกังวานขึ้น บรรยากาศที่ห่อหุ้มรอบตัวของเร็กซ์ก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ภายในห้องเริ่มจะมืดสลัวขึ้นมาจนหมด และแล้วก็ปรากฏว่ามีแสงสว่างสีแดงอันเรืองรองเข้ามาห่อหุ้มตัวของเขาเอาไว้
เร็กซ์จ้องมองดูท่านไวเคานท์อยู่นิ่งๆ พร้อมกับเพ่งให้ทะลุผ่านเข้าไปยังร่างของอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีแดงอันเย็นยะเยือกที่น่าประหลาดคู่นั้น
ความรู้สึกพึงพอใจอย่างเหลือล้นกับความรู้สึกหนาวสั่นเสียจนน่าหวาดกลัวประดังเข้ามาพร้อมกัน ทำให้ท่านไวเคานท์เริ่มรู้สึกว่าสติของตนกำลังจะเลือนหายไป แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เจ้าตัวยังคงยืนหยัดอยู่บนขาข้างเดียวนั้นได้ก็คือ การนึกถึงคำพูดของจัสตินขึ้นมาได้นั่นเอง
???กรุณาอย่าออกมาจากวงกลมนี้เป็นอันขาด!
เสียงของจัสตินดังก้องวนเวียนอยู่ภายในหัว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จากข้อเรียกร้องของหน่วยปราบปีศาจ ทำให้จัสตินกับพวกเร็กซ์ต้องเริ่มต้นทำงานพิเศษกันด้วยการขับไล่พวกปีศาจโดยใช้ชื่อว่าตนเองเป็นนักสืบ ส่วนยูเรียนซึ่งคอยเฝ้าติดตามดูพวกเธออยู่นั้นก็มักจะตำหนิเธออยู่เสมอ แต่จัสตินก็พยายามจะต่อสู้เพื่อคลี่คลายคดีปริศนาลึกลับที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ในระหว่างนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับเร็กซ์ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งภายหลังเธอได้ค้นพบว่าคดีที่กำลังติดตามอยู่นั้นมีตัวการร้ายรายใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้พวกเธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันคับขัน....!? ในที่สุดผลงานเรื่องนี้ก็ใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว! ขอเชิญติดตามการผจญภัยแนวยุโรปแฟนตาซีที่เกี่ยวข้องกับปีศาจในเล่ม 4 กันได้เลย
