New Release: อัศวินสีเทา

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release: อัศวินสีเทา

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ

เสียงเครื่องยนต์ทุ้มต่ำและการปล่อยไอเสียงสม่ำเสมออันเป็นเอกลักษณะของรถลักษณะแนวยาวอย่างรถปอร์เช่ เสียงดังกล่าวกระตุกเล็กน้อยเมื่อรถคันงามเคลื่อนตัวขึ้นมาบนสะพานข้ามแม่น้ำอินธร ก่อนที่เสียงนั้นจะหายไปอย่างถาวรเมื่อรถจอดนิ่งสนิทใกล้ริมฟุตปาธกลางสะพาน
ทันทีที่เนธาน อมาวร ก้าวลงจากรถ สายลมเย็นยามรัตติกาลก็พัดวูบเข้าปะทะ แม้จะถูกฝึกฝนมาอย่างหนักในค่ายทหารตั้งแต่วัย 20 ปีบริบูรณ์ แต่เนธานก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บต่ออุณหภูมิติดลบอยู่ดี ฉะนั้นแจ็คเก็ตตัวหนาจึงกลายมาเป็นสิ่งที่เขารักและหวงแหนมากที่สุดในตอนนี้ ชนิดที่ว่าเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
เนธานรูดซิบแจ็คเก็ตขึ้นมาถึงต้นคอ ถูฝ่ามือใหญ่กร้านเข้าหากันเพื่อให้เกิดไออุ่นแก่ร่างกายแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม เขากอดตัวเองเบาๆ ลูบต้นแขนซ้ายและขวาสู้กับกระแสลมแรงที่พัดโชยขึ้นมาจากแม่น้ำอินธรด้านล่าง
พลทหารหนุ่มวัยใหญ่เดินอ้อมรถคันหรูขึ้นไปยืนบนฟุตปาธ จากความสูง 20 ฟุตของสะพานที่เขากำลังเหยียบยืนทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมอันงดงาม หากแต่นั่นก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประเทศเคียงซานอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงแสงไฟไม่มากนักที่ส่องสว่างมาจากตึกรามบ้านช่องเมื่อประชาชนส่วนใหญ่กำลังหลับใหลไปกับค่ำคืนเดือนดับ ต่างพักผ่อนกายใจเพื่อเตรียมพร้อมรบสู่สรภูมิชีวิตยามอรุณรุ่ง
ใช่ว่าเนธานไม่อยากจมดิ่งสู่ห้วงนิทราบ้าง แต่เพราะเขาได้รับโทรศัพท์จากสหายคนหนึ่งให้มาพบ อันเป็นสาเหตุให้เขาต้องมายืนตากลมกลางสะพานกว้างใหญ่ที่ร้างรถรา ผิดกับเมื่อตอนเช้าและตอนเย็นที่สะพานแห่งนี้จะแน่นขนัดไปด้วยการจราจรจนหลายคนเบื่อหน่ายเลยทีเดียว
เนธานยันฝ่ามือไว้กับระเบียงสะพานที่ทำให้ด้วยปูนแข็งแกร่ง แสงไฟสลัวจากเสาไฟบนฟุตปาธพอจะส่องให้เห็นถึงรอยแตกประปรายของระเบียงปูนซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 7 ริกเตอร์เมื่อปลายปีที่แล้ว ทว่ายังไร้วี่แววที่รัฐบาลจะเจียดงบมาซ่อมแซม
?เฮ้อ? พลทหารหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาแล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ
2.30 น.
นี่ก็เลยเวลานัดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาไม่อยากคิดเลยว่าบุรุษผู้นี้จะผิดนัด
ขณะที่เนธานกำลังชั่งใจว่าควรจะกลับดีหรือไม่ เสียงเครื่องยนต์ทุ้มต่ำของรถเก๋งก็ดังแว่วมาจากปลายสะพาน เนธานหันไปมองแล้วคลี่ยิ้มดีใจที่ไม่ต้องทนยืนหนาวสั่นจนถึงเช้า เขาก้าวลงจากฟุตปาธก่อนเดินไปใกล้ยานพาหนะสีกลมกลืนกับบรรยากาศอันน่าวังเวง
?ไง ฉันนึกว่านายจะมาพรุ่งนี้เสียอีก? พลทหารหนุ่มกล่าว
ชายร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากรถยนต์ ย่างเท้ามาหาคนที่เขานัดหมายตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ใบหน้าหล่อเหลาถูกฉาบด้วยความเยือกเย็นและดวงตาอำมหิตถูกปกปิดภายใต้แว่นสีดำ อันเป็นสีเดียวกับเสื้อไหมพรมยาวปิดแขนและต้นคอ
?มีอะไรไม่ดีงั้นเหรอ ว่าแต่ทำไมนายต้องนัดฉันมาคุยที่นี่ด้วย? เนธานโคลงศีรษะถามบุรุษที่เขารู้จักสนิทสนมมาตั้งแต่สมัยก้าวเข้ามาเป็นทหาร
?แต่ฉันก็ไม่ได้บอกใครเรื่องที่นายนัดมาหรอกนะ วางใจเถอะ?
ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากริมฝีปากสีแดงธรรมชาติของชายผู้มาใหม่ เนธานเองก็ไม่คาดคั้น เพราะสำหรับเขา ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล นี่ไม่ใช่คืนแรกที่เขาไม่ได้หลับนอน
ด้วยหน้าที่บอดี้การ์ดของบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทำให้เขามักถ่างตาจนถึงเช้า เนธานแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนฟากฟ้าที่สว่างสดใสเหมือนกับทุกค่ำคืน
?นานแล้วที่เราไม่ได้พบกัน สิบปีเห็นจะได้ ว่าไหม? เนธานรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่พวกเขายังเป็นพลทหารด้วยกัน ?นับจากเหตุการณ์วันนั้นฉันก็ไม่เจอนายอีกเลย ตกใจเหมือนกันที่นายติดต่อมา?
ชายคนเดิมยังคงเงียบงัน?และใบหน้าไร้อารมณ์ก็ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ไม่สะทกสะท้านแม้แต่ลมแรง
?แต่ฉันก็ได้ยินแว่วๆ มาว่านายกลับมาทำงานให้กับท่านผู้นั้นแล้ว? เนธานละสายตาจากการจ้องแสงของป้ายชื่อโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนไกลสุดลูกหูลูกตา เขาไม่เห็นว่ามันเขียนว่าอะไรแต่ว่าการที่เขาเกิดและอาศัยอยู่ที่นี่ตลอดสามสิบห้าปีทำให้เขารู้ว่ามันคือโรงแรมกูตาน
หนุ่มสูงใหญ่หันกลับมามองชายคนเดิมที่นัดเขามา ?นายเองก็ลืมๆ เรื่องเมื่อสิบปีก่อนไปเถอะนะ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก?
สองหนุ่มเพื่อนรักร่วมเส้นทางยืนรับลมเย็นที่เกิดขึ้นเป็นประจำของเดือนธันวาคม ยิ่งเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเดือนอากาศยิ่งรุนแรง ช่วงหน้าหนาวที่ใครหลายคนซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนาแต่เขากลับยืนนิ่งเป็นหุ่นสลัก
ปีใหม่ใกล้มาเยือน ชวนให้คิดถึงสภาพที่ทุกตึกรามบ้านช่องประดับประดาไปด้วยแสงสี ต้นคริสต์มาสสีเขียวผูกไฟสีแดงและมีกล่องของขวัญใบโตวางอยู่โคนต้น รอยยิ้มแย้มและความอบอุ่นของการกลับมารวมตัวกันของเหล่าครอบครัวที่ห่างหายไปนาน
ความคิดทอดยาวไปไกล เนธานรอจนกว่าชายตรงหน้าพร้อมที่จะพูดถึงสาเหตุที่นัดเขาออกมาพบ เขาเดินกลับไปบนฟุตปาธอีกครั้ง ส่งสายตาสีดำขลับลงไปยังแม่น้ำที่ขยับแผ่วด้านล่าง
?ปีใหม่นี้ฉันจะกลับหิรัสยา ฉันหวังว่ามันจะเป็นปีใหม่ที่วิเศษเหมือนกับปีที่แล้ว? เนธานพาตัวเองย้อนไปสู่ห้วงอดีตเมื่อ 365 วันที่ผ่านมา รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าของเขา
ภาพบิดามารดาวัยหกสิบที่นั่งทานไก่งวงตัวใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาหายวับไปเมื่อบางอย่างเย็นเฉียบยิ่งกว่าลมเย็นสัมผัสอยู่ที่หลังศีรษะ?
ความชาเข้าเล่นงานเนธาน เขาไม่อาจขยับตัว มือทั้งสองที่จับขอบสะพานแข็งทื่อ ลำคอแห้งผากดั่งคนที่รอนแรมกลางทะเลทรายร้อนระอุมาแรมปีและไร้ซึ่งน้ำสักหยด
ความกลัวมีไหม แน่นอนว่าเต็มเปี่ยมในดวงใจ หากแต่ว่าความสงสัยมีมากกว่า?
เนธานหันไปด้านหลังช้าๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นอาวุธร้ายที่ชายตรงหน้าจ่อกลางหน้าผากของเขา?
?ทำไม??
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถาม?
ไม่มีความปรานีให้กับเพื่อนรักที่รู้จักกันมาค่อนชีวิต?
ไม่มีแม้แต้เสียงยามที่กระสุนอำมหิตส่งออกจากรังปืน ลำเลียงด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสงเคลื่อนตัวเข้าสู่กลางหน้าผากของเนธาน
ดวงตาของเขาเบิกค้าง แรงอัดมหาศาลของกระสุนร้ายผลักให้เขาหงายหลังลงสู่แม่น้ำด้านล่างที่อ้าแขนรอรับ โอบอุ้มร่างกายของเขาด้วยสายน้ำเฉียบเย็น หล่อหลอมกลืนกินให้จมดิ่งสู่ใต้บาดาลอันแสนมืดมน

1

ณ ประเทศเคียงซานอันกว้างใหญ่ไพศาล ตั้งอยู่บริเวณซีกโลกเหนือในทวีปเอเชียตะวันออก ใกล้กับทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ลักษณะของภูมิประเทศคล้ายกับเรือใบ ส่วนเหนือของประเทศเต็มไปด้วยที่ราบสูงและเนินเขา ซึ่งกินไปถึงสองในสามของเนื้อที่ประเทศ ตอนกลางแลตอนใต้เป็นที่ราบเสียส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีแม่น้ำอินธรสายยาวที่สุดของประเทศไหลพาดผ่านแบ่งฝั่งเมืองหลวงพินธุออกเป็นสองส่วน สถานที่ท่องเที่ยวจะอยู่ในส่วนขวา ในส่วนซ้ายจะประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญระดับประเทศ อาทิ คฤหาสน์สีเทาที่ยามนี้กำลังอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้คนมีฐานะ
งานเลี้ยงฉลองจบการศึกษาของนริศรา มนตราได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และหรูหราสมกับเป็นลูกสาวคนเดียวของอัศวราช มนตรา หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์จอมเผด็จการของประเทศ คฤหาสน์สีเทาคือสถานที่รองรับแขกมากหน้าหลายตานับห้าร้อยชีวิต พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ คณะพรรคร่วมสนับสนุนแลฝ่ายค้านทั้งหลายแหล่ก็มาเยือน
ไม่เพียงแค่คนในประเทศเคียงซานที่มาร่วมงาน แต่ยังมีสมาชิกจากต่างแดนที่มาแสดงความยินดีกับบุตรสาวคนสำคัญ และอิวลา ซามาน ก็คือหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนเคียงซาน ทว่าเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งกว่าพวกรัฐมนตรีเสียอีก
หนุ่มจากประเทศเซวาเรียเดินถือแก้ววิสกี้รอบงาน ชื่นชมบรรยากาศรื่นเริงเพลินใจโดยการมองดูเหล่าคุณหญิงคุณนายที่ขนเพชรมาประดับบนเรืองร่างจนแสงแพรวพราวยิ่งกว่าโคมไฟที่ติดสอยห้อยตามพุ่มไม้รอบๆบริเวณ เหล่าคนมียศทั้งหลายก็หาได้น้อยหน้าเมื่อพวกเขาติดดาวประดับเกียรติกันอย่างเต็มที่เพื่ออวดโฉมบารมีให้น่าเคารพยำเกรง
อิวลาชะงักฝีเท้าแล้วเบี่ยงตัวไปทางขวาเพื่อเปิดทางให้บริกรเดินถือถาดอาหารเข้าไปเสิร์ฟตามโต๊ะกลมที่คลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบกับเหล่าบริกรแต่งกายชุดเดียวกันคือเสื้อยึดสีขาว กางเกงผ้าชั้นดีสีดำและผ้ากันเปื้อนคาดปกปิดตั้งแต่หน้าอกลงไปถึงเข่า อิวลาไม่สนใจว่าอาหารที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวนจะมีรสเลิศมากแค่ไหน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ใช้เวลาห้าชั่วโมงบินจากเซวาเรียมาที่เคียงซานเพื่อมานั่งชิมอาหาร
มีเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้ลูกชายท่านทูตผู้มีงานล้นมือยอมละทิ้งเวลาอันมีค่า?ก็เพื่อมายลโฉมสิ่งที่เลอค่ายิ่งกว่านั้น
?สวัสดีครับท่านอัศวราช? อิวลาเดินไปทักทายบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศเคียงซานอย่างนบนอบ
?สวัสดีอิวลา จาเมียงไม่มาด้วยเหรอ?
?ท่านพ่อเดินทางไปตกลงเรื่องสัญญาเปิดการค้าเสรีกับประเทศมาลาเดนครับ?
อัศวราชยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบเล็กน้อยหลังจากที่พยักหน้ารับคำ
อิวลายกจิบขึ้นตาม โดยที่สายตานั้นอดไม่ได้เลยที่จะกวาดมองไปรอบๆ เมื่อหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่ที่นี่ ฉะนั้นบุตรสาวของเขาก็น่าจะ?
?นริศรากำลังแต่งตัวอยู่ อีกประเดี๋ยวคงออกมา?
คนโดนอ่านใจออกชะงักเล็กน้อย ยิ้มเก้อเขิน ?ขอโทษครับ?
?ไม่เป็นไร? เขาตอบเสียงเรียบ ยกแก้วขึ้นจิบอีกเล็กน้อยก่อนจะว่าต่อ ?พวกเธอเป็นคู่หมั้นกัน เป็นห่วงเป็นใยก็ไม่แปลก?
อัศวราชขอตัวออกไปพูดคุยกับแขกคนอื่นๆ ซึ่งอิวลาก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด เขากวาดสายตามองไปทางประตูบ้านของคฤหาสน์หลังโตด้วยความหวังว่าคนที่เขาเฝ้ารอนานหลายชั่วโมงจะเดินออกมาเสียที

?สวัสดีครับท่านอัศวราช? หัสวร เหมะ ผู้คุมกองกำลังทหารและยังเป็นลูกน้องคนสนิทของอัศวราชกล่าวทักทาย
?สวัสดีหัสวร? ผู้นำประเทศยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบก่อนพูดต่อ ?คุณหายดีแล้วหรือ?
?ครับ? เขายิ้มรับ ตั้งแขนข้างขวาเป็นฉากเก้าสิบองศาพร้อมเบ่งกล้ามล่ำสันให้ดู ?หายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วครับ หมอบอกว่าแค่กระสุนเฉี่ยวเล็กน้อย พอดีบอดี้การ์ดของผมเป็นคนมีฝีมือ ช่วยไว้ได้ทัน เขาเป็นอดีตพลทหาร ผมเห็นว่ามีฝีมือเลยชวนให้เขากลับมาทำงานอีกครั้ง ถ้ายังไงท่านจะลองใช้บริการดูก็ได้นะครับ?
ทั้งสองหนุ่มเต่าสิงห์คุยกันต่อไปเรื่อยๆ บ้างพาบทสนทนาวกเข้าเรื่องของเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงถดถอย เรื่องประชาชนที่ชุมนุมคัดค้านการปกครองแบบระบบคอมมิวนิสต์ บ้างคุยเรื่องสัพเพเหระ
ไม่ช้าเสียงคุยระงมของเหล่าแขกเหรื่อก็จางลงเมื่อหญิงสาวคนสำคัญของงานในค่ำคืนนี้ปรากฏโฉมกาย ร่างสูงเพรียวในชุดราตรีคล้องคอสีชมพูอ่อน ปักด้วยลายลูกไม้เลื่อมเกล็ดเพชรเป็นประกายแพรวพราว ประกอบกับใบหน้าที่แสนงดงามยิ่งกว่านางสวรรค์องค์ใด
อัศวราชแย้มรอยยิ้มขณะเดินไปหาบุตรสาวคนเดียว วงแขนยื่นออกไปก่อนที่เธอจะจับหลวมๆ แล้วส่งยิ้มให้บิดา
นริศรากวาดสายตามองแขกนับห้าร้อยชีวิตที่จ้องมา เธอไม่มีอาการสั่นกลัวหรือเคอะเขินประหม่า เพราะชินชากับการตกเป็นเป้าสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไร งานสังคมทุกรูปแบบก็ผ่านมาหมดแล้ว อีกทั้งนี่ก็ไม่ใช่งานยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยเข้าร่วม
ทั้งสองคนตระกูลมนตราเดินมาหยุดอยู่ขั้นสุดท้ายของบันได หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประกาศกล่าวสิ่งที่คนที่นี่ต่างรู้กัน
?นี่คือลูกสาวของผม นริศรา มนตรา ที่เรามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็เพื่อจัดงานฉลองเนื่องในโอกาสที่เธอสำเร็จการศึกษาจากมหาลัยเซ็นต์ทอร์?
คำพูดมีพลังของอัศวราชก่อให้เกิดเสียงปรบมือแสดงความยินดี เขาขยับตัวออกห่างจากบุตรสาวเพียงนิดเพื่อให้เธอได้กล่าวคำ
?ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกท่านสละเวลามาร่วมงานในครั้งนี้ ดิฉันไม่รู้ว่าจะสามารถตอบแทนน้ำใจอันดีงามของพวกท่านได้อย่างไร นอกจากให้สัตย์สัญญาว่าดิฉันจะนำความรู้ทั้งหมดที่ได้รับจากการศึกษา มาพัฒนาประเทศเคียงซานให้ก้าวหน้าต่อไปค่ะ?
นริศรายิ้มรับให้กับเสียงปรบมือเกลียวกราวเมื่อเธอพูดจบ
อัศวราชมองสายตาชื่นชมของแขกที่มา แล้วหันมามองบุตรสาวด้วยความภูมิใจ เขาส่งมือให้กับนริศราแล้วพาเธอไปยังฟลอร์เต้นรำ
นริศราจับจีบกระโปรงขณะยอบตัวลง ก้มศีรษะให้กับบิดา ก่อนจะยึดแผ่นหลังตรงแล้วเกาะบ่าแกร่งของเขาด้วยมือซ้าย ขณะมือขวาประสานไว้กับฝ่ามืออบอุ่นของบิดา
วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงเป็นจังหวะวอลซ์อย่างอลังการ สองกายเคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนอง ทุกท่วงท่าช่างงดงามจนตรึงตราตรึงใจแก่ผู้ที่ได้ยล
ความสวยงามของนริศราเป็นที่ประจักษ์ เหมาะลงตัวกับอัศวราชที่แม้จะอายุย่างเข้า 55 ปี แต่ด้วยความที่รูปร่างสูงใหญ่ล่ำสันสมกับเป็นทหารและใบหน้าดุดัน ทำให้เขาดูไม่ต่างจากหนุ่มแรกรุ่นเท่าไหร่นัก
บารมีวาสนาแผ่ปกคลุมไปทั่วฟลอร์เต้นรำ นริศราส่งยิ้มให้บิดาตลอดเวลาที่เคลื่อนไหวร่างเพรียวของตน
เมื่อบทเพลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกระลอกก่อนที่นริศราจะยอบตัวและศีรษะลง แล้วเดินออกจากเวทีเพื่อไปคุยกับแขกคนอื่นๆ

ทุกย่างก้าวที่เธอเหยียบย่ำมีสายตาของอิวลามองตามอย่างไม่อาจปิดบังความปรารถนา เขาวางแก้ววิสกี้ลงบนถาดของบริกรคนหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหาหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเธอสิ้นสุดบทสนทนากับนักการเมืองคนหนึ่ง
?ยินดีด้วยนะครับน้องญา?
น้ำเสียงของเขาทำให้นริศราเซ็งมากกว่าจะตกใจ ทว่านั่นก็ถูกกักเก็บภายใต้ใบหน้างามได้อย่างหมดจด
?สวัสดีค่ะคุณอิวลา? นริศราหันไปทักทาย แม้จะเป็นคู่หมั้นกันแต่เธอก็ยังเรียกเขาด้วยชื่อจริง คนส่วนใหญ่เรียกด้วยวิธีนี้ก็เพื่อให้เกียรติและอีกสาเหตุซึ่งเป็นจุดประสงค์ของนริศรานั่นก็คือ?
ไม่ได้สนิทกันเป็นการส่วนตัว
?ทำไมไม่เรียกพี่อิวละครับ? เขาไม่ค่อยพอใจ ทั้งที่น่าจะคุ้นเคยดี
?คุณเป็นบุตรชายของท่านทูตแห่งเซวาเรีย ดิฉันจึงควรจะให้เกียรติคุณ?
?แต่เราเป็นคู่หมั้นกัน?
?ฉันยิ่งต้องให้เกียรติคุณค่ะ คุณอิวลา?
ทุกครั้งที่เขาถาม เธอมักจะตอบแบบนี้เสมอ นริศราก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วหันหลังหมายจะเดินออกห่าง ทว่าครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาเมื่ออิวลาสานต่อวาจา
?เอาเถอะ ตลอดช่วงชีวิตที่จะได้อยู่ด้วยกัน ต้องมีสักวันที่น้องญาเรียกว่าพี่อิว?
นริศราถึงกับตัวแข็ง น้ำเสียงอันน่าไพเราะกลับชวนให้เธอครามครั่นและขยะแขยงไปทั้งตัว
อิวลาก้าวเนิบช้ามาใกล้ชิด โน้มใบหน้าหล่อเหลาไปกระซิบเสียงแหบพร่าพร้อมแววตาสีดำที่พร่างพราวเป็นประกาย
?ตามสัญญา หลังจากหนึ่งเดือนที่น้องญาจบการศึกษา พิธีแต่งงานระหว่างเราก็จะเริ่มขึ้น?.?
บุตรสาวหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์หันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ เธอแทบอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้ได้เพราะใบหน้าที่เขายื่นมานั้นใกล้กับเธอมากจนริมฝีปากแตะกันผิวเผิน
นริศราเบิกตากว้างอย่างตกใจ รีบก้าวถอยห่าง ?คุณอิวลา!?
เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน หากแต่ว่ามีความปีติมากกว่า
เธอมองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเขาอย่างโกรธจัด แต่มิไม่อาจทำอะไรได้เพราะเป็นความผิดของเธอเองที่หันไปหาเขา
คำด่ามีไหม แน่นอนว่ามีเต็มเปี่ยมในใจ แต่คงไม่ดีแน่หากเธอจะชี้หน้าและด่าทอเขากลางงาน
?พี่จะถือว่านั่นเป็นการประทับตราสัญญานะครับ? อิวลาไม่รู้สึกหวาดกลัวสีหน้าเกรี้ยวโกรธของคนที่กำลังถูริมฝีปากรุนแรงเลยสักนิด
นริศรากำหมัด จ้องเขาอยู่สักพักก็หันหลังเดินหนีทันทีก่อนที่ความขยะแขยงในตัวเขาจะทำให้เธอขาดสติ
แม้บรรยากาศที่แสนเย็นสบาย ฟ้าโล่งโปร่งและดวงจันทร์กลมโตทอแสงนวลตา ขับกล่อมให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลสวยงามอย่างน่าหลงใหล โดยเฉพาะร่างบางที่นั่งอยู่บนชิงช้าใต้ต้นโอ๊คต้นใหญ่
จากมุมนี้นริศราสามารถเห็นภาพทุกอย่างภายในงานอย่างชัดเจน และได้ยินแม้กระทั่งเสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะแผ่วแว่วมา เธอมองเหล่าคนใหญ่คนโตที่คุยอวดโวบารมี คุณหญิงคุณนายที่พยายามจะโชว์เพชรนิลจินดาว่าราคามากโขเท่าไหร่
นริศรามองเห็นพวกเขาเหล่านั้นสวมใส่หน้ากากรอยยิ้มอันเสแสร้ง ต่างปกปิดความรู้สึกเบื้องลึกในใจ หลอกล่ออีกฝ่ายให้เข้าใจตนเองว่าเป็นคนดีคนวิเศษทั้งที่ใจนั้นร้ายลึกและคดเคี้ยวยิ่งกว่าเถาวัลย์
เบื่อเหลือเกินกับสังคมแบบนี้ แม้จะมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลังแต่เธอกลับอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวในดวงใจเสมือนว่าเธออยู่เพียงลำพังบนโลกอันโหดร้ายแสนกว้างใหญ่
ด้วยฐานะของครอบครัว ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหานริศราอย่างใจจริง นริศราเกลียดการเสแสร้ง เกลียดการโป้ปด เธอเกลียดแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำที่ต้องเกิดมาในสถานะแบบนี้
เงินทองและอำนาจในมือหาใช่สิ่งที่เธอปรารถนาเลย นริศราไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมคนมากมายต้องการมัน ถึงขนาดทำสิ่งผิดกฎหมายเพื่อมัน ทั้งๆ ที่มันหาใช่ความสุขอันถ่องแท้ไม่
แสงจันทร์ลูบไล้บนร่างของคนโล้ชิงช้าเบาๆ อย่างคนใจลอย เวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนนริศราไม่ทราบ แต่เธอคิดว่าควรจะลุกขึ้นแล้วไปจากที่นี่ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของลูกชายท่านทูตเซวาเรียที่เดินมาทางนี้จะเข้าถึงตัวเธอ
และในช่วงเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครคาดคิด กระบอกของอาวุธร้ายดำทมิฬได้เล็งมาทางหญิงสาว กระสุนอำมหิตพุ่งออกมาด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสง พลันร่างงามก็ล้มลงพร้อมกับเลือดที่เจิ่งนองไปทั่วพื้นหญ้า?

*************************************************************************************************************
ท่ามกลางหมอกควันแห่งความบาดหมางจากสงครามการปกครอง หากแต่บุตรสาวแห่งผู้นำพลพรรคคอมมิวนิสต์กลับอิ่มใจในความรัก ความรักที่นริศรา มนตราไม่เคยรู้จัก...ไม่เคยรู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร รักคือสิ่งใดกันเล่าหญิงสาวหาได้เคยสัมผัสสักครั้งสักคราไม่ ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่หล่อนกระจ่างชัดในคำคำนั้นจากชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นที่คว้าตัวนริศราไปกกกักในอ้อมแขนเพื่อให้หล่อนพ้นล่วงคมกระสุนร้าย แม้นริศราไม่แน่ใจว่าเคซอ ภูซานช่วยหล่อนเป็นเพราะนริศราคือผู้ที่เขาต้องให้ความนบน้อมหรือไม่ แต่สิ่งที่หญิงสาวรู้และมั่นใจนั่นคือ ณ บัดนี้หล่อนหลงรักเขาเข้าให้แล้ว และความหมองหม่นในความรู้สึกหล่อนกระจัดกระจายไปเพราะหัวใจเต้นเป็นจังหวะรัก ถึงแม้จะมีขวากหนามที่บั่นทอนเส้นทางรักและอุปสรรคที่ต้องร่วมฟันฝ่า นริศราจะใช้ความรักสีชมพูละเลงแต้มสีระบายวาดให้ความแค้นในใจเคซอหายไป หล่อนแน่ใจว่าความโกรธที่เขาสั่งสมไว้จะละลายหายไปด้วยรักเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้
รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”