New Release:สาปรัก ณ โฮยา

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release:สาปรัก ณ โฮยา

โพสต์ โดย Gals »

บทที่ 1

'โฮยา' เกาะใหญ่กลางทะเลอันดามัน เจ้าของรูปทรงดอกผกาแก้วสีเขียวแซมเหลืองส้มของทะเลดอกไม้ ซึ่งเคยร้างไร้ผู้คนเหลียวแลมาแต่อดีต กลับคึกคักและเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาชื่นชมความงามของทะเล ถ้ำใหญ่น้อยที่เนื้อหินกัดกร่อนตัวเองจนกลายเป็นโพรง ต้อนรับแสงจากภายนอกเข้ามาทำปฏิกิริยากับละอองน้ำคับคั่งจนบังเกิดประกายรุ้งพร่างพราว หินงอก หินย้อย ปล่องถ้ำรูปเรียวรีทอดนอนบ้าง ตะแคงบ้าง บางแห่งเป็นแท่งหินไขว้เป็นรูปกากบาท แลไปช่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์
ยอดสูงสุดของเกาะปรากฏศาลาใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม เจ้าของเกาะก่อบันไดหินทอดขึ้น เพื่อความสะดวกแก่บรรดานักท่องเที่ยวที่พิสมัยต่อการขึ้นไปชื่นชมทิวทัศน์ในมุมกว้าง แลเห็นผืนทะเลเวิ้งว้างจรดขอบฟ้าโค้ง เกาะแก่งไกลใกล้ซึ่งอยู่ห่างออกไปกลางทะเล หรือแม้แต่แอ่งน้ำตกกว้างเป็นวงเสี้ยวพระจันทร์ซ้อนกันลดหลั่นกันถึงสามชั้น โอบล้อมน้ำตกฉีกเส้นสีขาววาวเหมือนเงินยวง กรีดกระจายคล้ายนิ้วมือคนกำลังกางตึง ไอละอองของสายน้ำยักษ์สาดกระเซ็นแปดเปื้อนโขดหินระเกะระกะมากมาย ราวกับมันจะไม่มีวันได้เหือดแห้ง
พ้นแอ่งน้ำตกรูปทรงแปลก แลเลยเข้าไปในป่าโปร่ง ปรากฏร่องรอยซากหินประหลาด คล้ายดั่งว่า ตรงนั้นเมื่อในอดีต เคยเป็นดินแดนอันรุ่งเรืองและเนืองขนัดไปด้วยชุมชนใหญ่ รายรอบสี่ทิศคือหน้าผาสูงชัน มันเป็นดั่งเช่นพี่น้องที่ผูกยึดด้วยสะพานไม้ไผ่ โยงจากปลายยอดหนึ่งไปตรึงเชื่อมกับอีกยอด หากมองจากเบื้องล่างขึ้นไป ก็แลคล้ายเส้นด้ายสีน้ำตาลเข้มเส้นหนาใหญ่ตรึงไขว้เป็นรูปเครื่องหมายกากบาทกลางอากาศ นับเป็นร่องรอยในอดีตที่ดึงดูดความสนใจให้แก่เหล่านักท่องเที่ยวมากมาย จนต้องกระจายความประทับใจจากปากหนึ่งสู่ปากหนึ่ง
ประกายแดดจากเบื้องบนกำลังสะท้อนเป็นวงขาวจ้า บางส่วนของมันแผ่รัศมีเป็นผืนหนาบดบังเส้นด้ายกลางอากาศให้แลเห็นได้เพียงเลือนราง หากแต่เมื่อป้องท่อนแขนขึ้นตรงกับระดับหน้าผาก สายตาคมกล้าของ 'ชุมกริช' ก็พลันกระทบกับเงาเบาบางเป็นร่างอรชร ทุกคราที่กะพริบตา เงาเบาบางก็ค่อยทวีความเข้มคมขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งแลเห็นเป็นหญิงสาววงหน้าเรียวผุดผาด ผมดกดำยาวสยายคลุมสะโพก อาภรณ์สีเหลืองสดแลแปลกตาและน่าสนใจ จนชุมกริชไม่กล้ากะพริบตาครั้งหลังสุด ด้วยกริ่งเกรงว่าเงาเบาบางนั้นจะเลือนหาย
กระโปรงป้ายสั้นเหนือเข่าปักเลื่อมสีแพรวพราวเป็นรูปดอกไม้ ท่อนบนปกปิดด้วยผ้าแถบคาดเป็นผืนสีเดียวกัน รอบลำคอแลเป็นพวงหนาด้วยมวลสร้อยลูกปัดใหญ่เล็กสีสันแพรวพราวไม่ต่างไปจากเลื่อมบนกระโปรงป้าย ข้อมือสองข้างประดับด้วยพวงมาลัยดอกไม้ ในอ้อมอกอุ้มกระต่ายสีขาวอมเทาด้วยท่าทางหวงแหน เธอเอียงหน้ามองลงมา แล้วเคลื่อนไหวในอาการพยักพเยิด หากแต่ชุมกริชไม่แน่ใจว่า เธอทำเช่นนั้นกับเขาหรือกับใคร
"มีอะไรน่าสนใจหรือคะคุณชุมกริช"
คำถามจู่โจมกะทันหัน หากแต่เบาปานกระซิบอยู่ข้างหู ประหนึ่งคลื่นไร้เงาที่สาดกลบภาพรางเลือนกลางอากาศจนไม่เหลือแม้แต่ละออง ชุมกริชใจเต้นแรงด้วยความเสียดาย เขาเกือบจะส่งยิ้มให้เธอคนนั้นแล้วด้วยซ้ำ
"สนใจสะพานบนยอดหน้าผาสี่เส้นนั่นหรือคะ"
คำถามถัดมา จึงค่อยดึงใบหน้าขรึมคมของชายหนุ่มลงจากเป้าหมายที่หายวับ ร่างสูงเพรียวในชุดลำลองสีเข้มหมุนกลับมาเผชิญเจ้าของเสียงใสและคำถามสองข้อ หล่อนคือ 'เนตรนวล' เป็นน้องสาวของ 'น้ำเกียรติ' หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าของเกาะโฮยาแห่งนี้นั่นเอง
"เคยมีคนอยู่บนโน้นหรือเปล่า เอ้อ ผมหมายถึง ตอนนี้น่ะ ยังมีอยู่ไหม"
"ไม่มีหรอกค่ะ ใครจะขึ้นไปอยู่บนโน้นได้คะ อืม แต่จะว่าไปแล้ว มันก็มีตำนานเล่าขานกันมา เชื่อได้หรือไม่ได้นี่ เนตรไม่รับประกันนะคะ เพราะเนตรก็ฟังๆ จำๆ มาอีกที"
ชุมกริชพยักหน้า เขาสนใจและอยากฟังมาก บอกไม่ถูกว่า ทำไมใจรวนไปรวนมาอย่างประหลาด นับตั้งแต่ได้เห็นปรากฏการณ์กลางสะพานและบนอากาศ ขาเพรียวเดินถอยห่างตำแหน่งริมสุดของเสาหินต้นใหญ่ และเป็นหนึ่งในแปดต้นของศาลาแห่งนี้
น้ำเกียรติเคยบอกว่า ขณะมองจากเบื้องบนลงมา ศาลาแห่งนี้คือจุดโดดเด่นที่สุด ที่สามารถแลเห็นได้ก่อนจุดอื่นๆ ของเกาะ และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าตัวได้ค้นพบเกาะร้างแห่งนี้ ซึ่งเพียงแค่ได้เห็นศาลาจากที่ไกลๆ เท่านั้นก็ถึงกับติดใจหลงใหล ตัดสินใจแบบฉับพลันทันใดว่าต้องมาปักหลักบุกเบิกทำให้มันกลายเป็นเกาะที่น่าสนใจ โดยอาศัยรูปทรงดอกผกาแก้วของตัวเกาะนั่นเองมาตั้งเป็นชื่อ 'โฮยา'
เขาหย่อนร่างนั่งบนพื้นหิน บนศาลาปราศจากชุดเก้าอี้หรือม้านั่งรูปทรงสมัยใหม่มาตั้งกีดขวางความเก่าแก่ ทุกคนที่ขึ้นมาถึงบนนี้ หากเหนื่อยมากก็ต้องนั่งพักบนพื้นหินเช่นเดียวกับที่เขากำลังทำอยู่ หรืออาจจะแวะไปนั่งตามโขดหินสูงเตี้ยตามอัธยาศัย ซึ่งมันก็ผุดขึ้นเองตามธรรมชาติ แลระเกะระกะรายรอบทีเดียว
"ตอนที่เรามาถึงใหม่ๆ" เนตรนวลชี้ลงไปข้างล่าง มันคือบันไดหินหลายขั้นทีเดียว "กว่าจะขึ้นมาถึงที่นี่ได้ ต้องกินเวลาร่วมค่อนวันเลยค่ะ จำได้ว่าเนตรก็มาด้วย เพราะตื่นเต้นว่าพี่น้ำจะปรับปรุงเกาะร้างให้ดูสวย และดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวได้ยังไง"
"สภาพมันเป็นยังไงครับ" เขาชวนถามด้วยความใคร่รู้
"สภาพมันก็แย่ๆ ค่ะ" หล่อนตอบแล้วหัวเราะขำๆ "หญ้าปรกรกน่ากลัวมาก ทางขึ้นก็เป็นดินเหนียวค่ะ ลื่นเชียว บางแห่งก็เป็นดินโคลนดินทราย ยังมีหลุมมีบ่อด้วยนะคะ เนตรยังเผลอตกบ่อด้วย แต่ดีว่าคนงานที่ตามหลังมาด้วย คว้ามือไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงเป็นนางฟ้าเฝ้าศาลาไปแล้ว"
"อาจเป็นไปได้ว่า ในอดีตก็น่าจะมีคนพลัดตกลงไปหลายคนแล้ว" ชสายหนุ่มออกความเห็น
เนตรนวลยักไหล่ แต่ก็ลอบเมียงมองตาคมกล้าเป็นประกายของชายหนุ่มด้วยความประทับใจ ชุมกริชเป็นเจ้าของดวงตาเรียวใหญ่ แก้วตาดำสนิทแต่เปล่งประกายคมกล้าคล้ายประกายของเพชรยามสะท้อนกับแสงไฟหรือแสงแดด เขาไม่หล่อมากนัก ออกค่อนไปทางบึกบึนองอาจเสียมากกว่า รูปร่างเพรียวน่าอิจฉา หากให้สวมชุดนักรบโบราณ ก็ดูว่าน่าครั่นคร้ามไม่หยอกอยู่ แต่ชุมกริชก็ไม่ใช่นักรบ เพราะไม่ได้เกิดในยุคสมัยที่สงครามเรืองอำนาจ
เท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าของพี่ชาย ชุมกริชทำงานเป็นสถาปนิกในบริษัทรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร ซึ่งมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เขาไม่เคยใช้สิทธิ์ลาพักร้อนตลอดระยะเวลาการทำงานนานถึงสิบปี และการพักร้อนครั้งนี้ก็เกิดขึ้นอย่างจำใจ เพราะขัดความต้องการอันดื้อดึงของ 'คุณนายส่องศรี' ผู้เป็นมารดาไม่ได้
หล่อนจำได้ว่าตั้งแต่ไปรับเขามาจากท่าเรือจนเข้าห้องพักเรียบร้อย จนพาออกมาสมทบกับลูกค้ากลุ่มอื่นๆ จนต่างก็แยกย้ายกันชื่นชมมุมต่างๆ ตามแต่ความพอใจของตน และเขาก็ปลีกตัวมายืนโดดเดี่ยวและโดดเด่นอยู่บนศาลาแปดเหลี่ยมนานเป็นชั่วโมง ซึ่งหากหล่อนไม่ขึ้นมาตาม เขาก็อาจจะเผลอไผลดื่มด่ำกับทิวทัศน์บนนี้ จนไม่ยอมกลับลงไปก็เป็นได้
ก็เพิ่งจะนาทีนี้เอง ที่ได้ยลรอยยิ้มเพียงน้อยนิดบนปากหยักหนา เขาเป็นลูกค้าคนเดียวที่เคร่งขรึมและค่อนมาทางสันโดษ ซึ่งก็ยังดีว่าท่าทางไม่มีนิสัยเรื่องมาก เข้าทำนองว่า 'อะไรก็ได้' เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว หล่อนคงปวดหัวไม่น้อย ด้วยว่าคาดเดาความต้องการของผู้ชายขรึมเคร่งคนนี้ไม่ถูกเอาเสียเลย
"ไม่เล่าต่อแล้วหรือครับ"
"อ้อ เล่าค่ะ" คำถามของลูกค้าคนสำคัญ ทำให้หล่อนนึกขำจนเกือบจะเก็บภวังค์ตัวเองไม่ทัน "ก็อย่างที่บอกค่ะ ทางขึ้นมาบนนี้ออกจะทุลักทุเล และใช้เวลาค่อนวันทีเดียวกว่าจะถึง พี่น้ำก็เลยสั่งปรับปรุงทางขึ้น ทำบันไดหินทอดขึ้น แล้วก็อย่างที่เห็นน่ะค่ะ ตลอดแนวบันไดก็จะปลูกต้นไม้สวยๆ ขนาบมาติดๆ ระหว่างที่ลูกค้าเดินขึ้นมาจะได้ไม่รู้สึกไกลและเหนื่อยเร็วเกินไปนัก"
"นี่คือตำแหน่งที่สูงที่สุดของเกาะแล้วใช่ไหมครับ"
"ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่น่าจะเป็นจุดสำคัญที่คนในอดีตคงเล็งเห็นแล้วว่าเหมาะจะสร้างศาลาไว้ตรงนี้ เหมือนจะใช้มันเป็นจุดรวมตัวนัดพบเพื่อทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง"
"เช่นอะไรบ้างครับ"
"ก็ไม่ทราบอีกล่ะค่ะ มันก็เป็นแค่เรื่องที่เล่าต่อๆ กันมา ว่ากันว่า ก่อนจะมาเป็นเกาะร้าง มันเคยเป็นดินแดนใหญ่มาก่อน มีชุมชนอยู่รวมกันมากมาย แต่แบ่งเป็นเผ่าเป็นกลุ่ม พวกเขานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันด้วย จึงมักจะรบราฟาดฟันแย่งดินแดนกันอยู่บ่อยๆ "
"ถ้าอย่างนั้น ศาลาแห่งนี้ ก็อาจจะเป็นจุดแบ่งเขตแดนที่ยุติธรรมหรือเปล่า มันอาจเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่เป็นเอกเทศ ไม่เป็นของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง"
"ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ เพราะคนแก่ๆ ที่อยู่ละแวกท่าเรือกับเกาะใกล้เคียงก็เล่ามาอย่างนั้น"
ร่างสูงเพรียวลุกขึ้น แล้วหมุนตัวไปหาตัวศาลาใหญ่ เสาใหญ่แปดต้นเป็นหินธรรมชาติที่ถูกเกลากลึงจนผิวลื่นเงางาม บางต้นยังเหลือร่องรอยแกะสลักลึก แต่มองไม่ออกว่ารูปที่สลักเป็นอะไรกันแน่ ระหว่างดอกไม้ สายน้ำ และภูเขา
ชุมกริชกำลังพินิจพิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับข้อคะเนของตัวเอง หากตรงนี้เป็นตำแหน่งเอกเทศจริง มันก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นทางบันไดด้านนี้เพียงด้านเดียว น้ำเกียรติคงเลือกปรับปรุงเพียงด้านเดียวเองมากกว่า และด้านที่เหลือ มันจึงรกร้างเต็มไปด้วยพงหญ้าปรก คาดว่าใต้ความปรกรกก็น่าจะซ่องสุมอันตรายไว้มากมาย ทั้งดินเหนียว ดินโคลน หลุมบ่อ แต่สำหรับชุมชนในอดีต มันคงเป็นเส้นทางสัญจรที่ไร้ปัญหากระมัง
ขณะที่สายตาคมกล้ากำลังตรึงเสาหินใหญ่ต้นถัดเข้าไปฟากตรงข้าม ฉับพลันก็ปรากฏเงารางเลือนของศีรษะค่อยเคลื่อนโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่างทีละน้อย คิ้วดำเข้มเลิกสูงอย่างตื่นเต้นแกมลังเล สองขาก้าวขยับห่างร่างเนตรนวลไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะอยากให้ตนแน่ใจว่าเงารางเลือนนั้นมันปรากฏขึ้นจริง หาใช่แสงสะท้อนหรือเงาใดหักเหเล่นตลก
"เจ้าร้ายกาจและเจ้าเล่ห์มากเลย ที่กล้าข่มขู่จนข้าต้องยอมมาเจอตามนัด ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ เจ้าต้องถูกบูชายัญกลางกองไฟ หรือไม่ก็ต้องพลีร่างสังเวยให้กับสายลมศักดิ์สิทธิ์ที่พัดผ่านช่องเขาของผาเทพสี่ทิศ"
"ข้าไม่กลัวหรอก"
"ไม่กลัวหรือ มันไม่ใช่ความตายธรรมดานะจะบอกให้ กว่าที่เจ้าจะตาย เจ้าต้องทรมาน ต้อง.. "
"และหากในความทรมานนั้น สายตาของข้า มันยังประทับเงาของเจ้าได้ตลอดเวลา ข้าก็พร้อมและไม่เกี่ยงเลย"
"นี่เจ้า.. เจ้านี่.. เจ้าต้องบ้าไปแล้วล่ะ ไม่มีใครกล้าลบหลู่พิธีบูชายัญกลางกองไฟ หรือพลีร่างสังเวยให้กับสายลมศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้านโฮยาเราหรอกนะ"
"ข้าก็ไม่ได้ลบหลู่ แค่บอกว่าไม่กลัวเฉยๆ คนสองคนรักกัน ก็ต้องอยากมาเจอหน้า อยากหาเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังบ้าง มันแปลกตรงไหน"
"พูดให้ดีๆ นะ คนสองคนไหนที่รักกัน ข้าไม่ได้มาเจอเจ้าตามนัดเพราะความรัก แต่มาเพื่อจะเตือนสติให้สำนึกว่า อย่าบังอาจอวดความกล้าหาญจนเกินไปนัก สักวันหนึ่งเถอะ เจ้าจะเจอดี"
"ผมไม่กลัว"
เนตรนวลชะงักรอยยิ้มด้วยความแปลกใจ หล่อนเอียงหน้ามองใบหน้าขรึมคมให้แน่ใจ ไม่อยากให้ตนคิดไปเองว่าหูฝาดหรือหูแว่ว ที่ได้ยินชายหนุ่มพึมพำแผ่วออกมา ดวงตาเรียวคู่ที่หล่อนลอบประทับใจกำลังจดจ้องบางอย่าง ที่น่าจะปรากฏระหว่างเสาหินสองต้น แต่ว่าตรงนั้นมันก็ปราศจากภาพใดๆ นอกจากประกายแดดกับป่าละเมาะลงจากเนิน
"คุณชุมกริชคะ คุณชุมกริช"
"ครับ"
ชุมกริชขานรับในลำคอ หัวใจเต้นแรงอย่างแสนเสียดายอีกครั้ง เมื่อพบว่าภาพและเสียงที่อุบัติอยู่ตรงหน้าเลือนหายไปหมด เหมือนดวงไฟที่ดับวูบแล้วทิ้งความมืดไว้ให้เคว้งคว้าง เขาสืบเท้าไปใกล้ตำแหน่งประหลาด ยื่นมือออกไป ส่ายซ้ายขวาประหนึ่งจะควานจับเรือนร่างอรชรของเงาเบาบาง
"มีอะไรหรือคะ"
"ไม่ครับ" เขาตอบแผ่วเหมือนละเมอ หรืออยู่ในภาวะทำใจไม่ได้กับบางเหตุที่อุบัติแล้วจบทันควัน
"ถ้าอย่างนั้น เราก็กลับลงไปข้างล่างได้แล้วค่ะ นี่ก็เลยบ่ายสี่โมงไปแล้ว ป่านนี้เพื่อนทุกคนคงรอเราสองคนกันใหญ่แล้ว พี่น้ำก็คงกลับมาจากท่าเรือแล้ว เขาดีใจออกค่ะ ที่ทราบว่าเพื่อนรักของเขามาพักร้อนครั้งแรกที่เกาะโฮยาของเรา"
"ยังจะพูดแบบนี้อีกหรือครับ ใครเขาอยากจะมากัน"
ชุมกริชโคลงศีรษะ เปรยค่อนขอดด้วยน้ำเสียงเนิบเนือย เนตรนวลได้ยินเข้าก็อดหัวเราะไม่ได้ หล่อนพอจะมองออกว่า ชายหนุ่มกำลังสนุกกับชีวิตโสดและงานที่กำลังรุ่งเรือง วัยสามสิบเจ็ดต้นๆ มันคงทำให้เขารู้สึกหวงแหนอิสรภาพ จนไม่อยากสูญเสียไปด้วยเรื่องแต่งงาน ซึ่งเป็นความปรารถนาของผู้ใหญ่ หล่อนมองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ที่ผู้ใหญ่เมื่อย่างเข้าสู่วัยบั้นปลาย ก็มักจะอยากเห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา พี่ชายกับหล่อนก็ไม่ได้ต่างจากเขานัก เพราะบิดามารดาก็ขยันเคี่ยวเข็ญให้เหล่ตาหาเนื้อคู่ไม่เว้นแต่ละวัน
"อย่าเพิ่งรีบทำเสียงเอือมระอาแบบนั้นสิคะ ยังไม่เห็นหน้าว่าที่เจ้าสาวเลยไม่ใช่หรือ ไม่แน่นะคะ พอได้เห็นหน้าในวินาทีแรก ศรรักอาจจะพุ่งมาปักฉึกกลางอก เข้าทำนองทิ่มทะลุถอนไม่ออก คราวนี้แหละ แทนที่จะทำเฉื่อยๆ ดีไม่ดี จะกลายเป็นฝ่ายรี่เข้าหาเสียเอง"
"กรุณาลดแรงกดดันลงจะดีกว่านะครับ ผมต้องเดาด้วยไหมว่าคุณแม่จ้างคุณมาเท่าไหร่"
"อะไรกัน" เนตรนวลปิดปากหัวเราะ "ทำไมกล่าวหากันรุนแรงจังคะ เนตรไม่ใช่ผู้หญิงหน้าเงินสักหน่อย เพียงแค่ว่าเนตรน่ะเป็นสาวจิตใจงาม เข้าใจในความต้องการของผู้สูงอายุ อะไรที่รับปากแล้วทำให้ท่านสบายใจขึ้นได้ มันก็ไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหน"
"ยอมรับสั้นๆ ก็ได้นี่ครับ" ชุมกริชประชด สายตาหมั่นไส้เหลือบข้ามไหล่มนไปเล็กน้อย
"ยอมรับสั้นๆ ก็หาว่าจนมุมสิคะ เนตรไม่ชอบให้ตัวเองเจอเหตุการณ์แบบนั้นหรอก เนตรชอบหาเหตุผลมาแก้ต่างให้ตัวเองค่ะ"
รอยยิ้มกว้างของสาวสวยชะงักลงอย่างแปลกใจอีกครั้ง เมื่อสังเกตได้ว่าคู่สนทนาไม่ได้ใส่ใจฟัง สายตาคู่นั้นมองไปข้างหลัง วิถีเพ่งก็ดูจริงจังกระตือรือร้นมาก จนหล่อนต้องรีบเหลียวกลับไปมองบ้าง ซึ่งก็ยังคงเจอแต่ทิวทัศน์ทั่วไป
"มีอะไรหรือคะ"
"แถวนั้นเป็นลำธารหรือครับ"
"แถวไหนคะ"
ชุมกริชไม่ตอบ เขาได้ยินเสียงน้ำไหลเกรี้ยวกราดดังลอดพงไม้ใหญ่ออกมา หรือว่าตรงนั้น อาจจะเป็นแอ่งน้ำตกกว้างรูปเสี้ยวพระจันทร์ซ้อนที่เขามองเห็นจากศาลาแปดเหลี่ยมก็ได้
"อุ๊ย อย่าลงไปค่ะ ตรงนั้นมันเป็นดินเหนียวค่ะ นุ่มด้วยนะคะ เคยมีคนงานลื่นไหลลงไปตกบ่อโคลน แล้วโดนดูดช่วยชีวิตไม่ทันมาสองสามรายแล้ว เราปักป้ายห้ามไว้ชัดเจนแล้วนะคะ"
ชุมกริชเห็นป้ายห้ามแล้ว แต่หัวใจมันปั่นป่วนประหลาด กระแสน้ำที่ส่งเสียงไหลเกรี้ยวกราดเช่นนั้น ทำไมช่างคุ้นหูราวกับว่าเขาเพิ่งจะสัมผัสกับอานุภาพบ้าคลั่งของมันเมื่อไม่นานมานี่เอง
"โน่น อีกนิดเดียว เราจะถึงถ้ำอัคคีวายุแล้ว พ้นแอ่งมรณะตรงนี้ไป เราก็จะถึงแล้ว ประคองเรือไว้ ประคองไว้"
"ไม่ไหวแล้ว กระแสน้ำแรงมาก เรือของเราต้านมันไม่ไหวแล้ว"
"ไม่ เจ้าอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ข้าจะพาเจ้าไปให้ถึงถ้ำอัคคีวายุ ท่านเทพจะช่วยคุ้มครองเราจากคนพวกนั้น เจ้าอย่าหยุดพายนะ อย่าหยุดพาย"
เสียงรบเร้าร้อนรนเป็นเสียงเดียวกันกับผู้หญิงที่เขาสนทนาด้วยบนศาลาแปดเหลี่ยมเมื่อครู่ก่อน เธอกำลังจะไปไหนหรือ ถ้ำอัคคีวายุมันอยู่ตรงไหนบนเกาะโฮยา แล้วเขาเข้าไปเกี่ยวพันกับเธอได้ยังไง ทำไมต้องมีเขาอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่มีเธอไปเสียทุกที
"เป็นอะไรไปคะ สีหน้าแปลกจัง มีอะไรน่าสนใจหรือสงสัยแถวนี้หรือยังไงคะ ถามได้นะ อะไรที่เนตรทราบ เนตรก็ยินดีจะเล่าให้ฟังค่ะ"
"หมายถึงตำนานหรือครับ"
"อ้อ ถ้าหมายถึงเรื่องนั้น เราต้องมีเวลานั่งคุยกันยาวหน่อยค่ะ เพราะตำนานมันยาวมาก"
"ครับ แล้วตกลงว่าข้างล่างคือลำธารหรือเปล่า"
"ไม่แน่ใจค่ะ ถ้ามองจากบนศาลาก็จะเห็นว่ามีลำธารอยู่สายหนึ่งจริงๆ แต่เมื่อเราลงไปสำรวจ กลับไม่พบอะไรเลย นอกจากลานหินกว้างๆ รูปทรงแปลกๆ มันก็เป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดที่พี่น้ำเตรียมจะปรับปรุงไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ว่าช่วงนี้ยังมีหลายอย่างไม่ลงตัวค่ะ เลยพักไว้ก่อน"
"เป็นไปได้ไหมครับว่าพวกคุณยังสำรวจไปไม่ถึง"
"ก็เป็นไปได้ค่ะ ลำธารอาจจะอยู่ห่างจากลานหินนั้นไปอีก แต่ก็อย่างที่บอกนั่นละคะ เราต้องพักเรื่องการสำรวจตรงนั้นไว้ก่อน ไปกันเถอะค่ะ เย็นมากแล้ว"
ชุมกริชลอบถอนใจเสียดายไปพร้อมกับการตัดบทอ่อนหวานของเนตรนวล เขาหลีกทางให้หล่อนเดินไปก่อน ตัวเองคล้ายตัดใจจากตำแหน่งที่กังขาไม่ได้ พงหญ้าปรกรกท่วมศีรษะเกินกว่าจะชะเง้อมองหาต้นเสียง เขาชำเลืองไปมองหลังบางของสาวสวยแวบหนึ่ง ก่อนจะบอกตัวเองเงียบๆ ว่า 'ค่อยแอบมาสำรวจเองก็ได้'


**************************************************************
มันเป็นเพียงเรื่องเก่าที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในท้องถิ่นเล่าต่อๆ กันมา จึงไม่มีใครพิสูจน์หรือยืนยันได้ว่าดินแดนโบราณโฮยามีอยู่จริง แต่เมื่อ 'ชุมกริช' ได้เจอกับ 'โฮยา' สาวโบราณจอมซนที่ปรากฏในห้วงนิมิต เขาก็ค่อยๆ ถูกดึงให้ไหลย้อนข้ามกาลเวลาไปสู่ที่นั่น ที่ซึ่งความรักเบ่งบานอยู่ในหัวใจสองดวงอย่างหวานชื่น แต่จุดจบกลับต้องเผชิญกับความตายอันโหดร้าย คู่รักพลัดพราก ความรักขาดช่วง และคำทำนายก็ยังไม่สิ้นสุด บทสรุปอันน่าตื่นเต้นก็คือ ชุมกริชทราบว่าตนคือชายจากแดนไกลตามคำทำนายโบราณ เขาต้องทำลายซากที่เหลือของดินแดนโบราณให้อวสานตลอดกาล เขาต้องฟื้นคืนและสานต่อความรักที่ขาดช่วงให้กลับมาเป็นความรักที่งดงามดังเดิม แต่ว่าร่องรอยดินแดนโบราณโฮยาซ่อนอยู่ที่ไหนหรือ ต้องตามหาความรักที่ขาดช่วงได้จากใครบ้าง ชุมกริชจะไขปริศนาสองสิ่งนี้ได้อย่างไร จะมีใครช่วยเขาได้บ้างไหม หรือว่าเขาต้องค้นหาไปตามลำพัง

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”