New Release : ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~สายลมพัดพา~

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~สายลมพัดพา~

โพสต์ โดย Gals »

1. เมืองเนินเขาสีเหลือง

สีน้ำเงินเข้มเหมือนท้องฟ้า สีแดงสดดั่งเปลวเพลิงลุกโชติช่วง
สีเหลืองอย่างผืนดิน สีเขียวของซิมซิมที่ลู่เอน
และสีขาวสว่างจ้าที่สาดส่องโลก
ไหมพรมจากขนตัวเมอูซึ่งย้อมเป็นสีสันสดใสถูกถักสลับไปมา และถูกทอออกมาเป็นลวดลายงดงามห้าสี ผืนผ้านั้นยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีการหยุดชะงักและตกลงสู่พื้น
ฮ้า....
เหล่าเด็กสาวในวัยพร้อมจะออกเรือนที่ถูกเรียกมารวมตัวที่กระโจมเฝ้ามองดูภาพนั้น พลางหลุดเสียงออกมาด้วยความชื่นชม
ตรงปลายทางที่เหล่าเด็กสาวจ้องมองอยู่นั้น นิ้วหยาบกร้านของคุณป้ากำลังให้กำเนิดผ้าทอราวกับใช้เวทมนตร์
?....เอาล่ะ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย ความยาวน่าจะพอสำหรับทำผ้าคาดเอวของเด็กแล้ว?
หลังจากขมวดปมด้ายก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย คุณป้ามองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจ พวกเด็กสาวที่กำลังห้อมล้อมบริเวณที่เธอทำงานอยู่พากันโห่ร้องยินดี แล้วมาออกันตรงผ้าคาดเอวที่ทำเสร็จแล้ว
พวกเธอทำตาโตสัมผัสและตรวจดูลายถัก บ้างก็ชูผ้าขึ้นจ้องดูลวดลายด้านหลัง
?สุดยอด! เก่งจัง ทำผ้าคาดเอวได้สวยขนาดนี้แน่ะ!?
?ข้าไม่เคยเห็นสีสันสดใสขนาดนี้มาก่อนเลย!?
?ถูกใจไหม? พวกเจ้าก็ลองใช้ด้ายสีที่ชอบถักตามที่เห็นเมื่อกี้ดูสิ?
เหล่าเด็กสาวส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวพร้อมกับเริ่มเลือกเส้นด้ายอย่างสนุกสนาน คุณป้ายิ้มมองสภาพนั้นพลางพูดเนิบๆ ในทำนองเล่าเรื่องราวในอดีต
?การทอแบบเมื่อกี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นนะ ถ้าเอาวิธีการทอนี้ไปประยุกต์ใช้เป็นก็จะสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทอผ้าผืนใหญ่ๆ หรือว่าจะทำเป็นของชิ้นเล็กๆ อย่างสายเชือกสำหรับประดับคอกับแขน ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เวลาที่จะทอเป็นของขวัญให้คนสำคัญ ก็ให้เอาเส้นผมทอรวมไปในผลงานแล้วมอบให้ใช้เป็นเครื่องราง ที่คาวุลนิยมทำแบบนั้นเป็นพิเศษ....?
?เส้นผม??
เด็กสาวคนหนึ่งหันกลับมามองคุณป้าด้วยแววตาเป็นประกาย
?วิเศษไปเลย! นึกอะไรดีๆ ออกแล้ว!?
ทันทีที่กล่าวจบ เธอก็วิ่งออกจากกระโจมไปที่ไหนสักแห่ง ส่วนเด็กสาวหลายคนที่อยู่ข้างหลังคุณป้าก็มองตามอย่างงุนงง แล้วอุทานออกมาว่า ?อ๊ะ!?
?สงสัยต้องไปหาราบิซาแหงเลย เห็นชอบพูดว่าอิจฉาเรื่องผมสีพระอาทิตย์อยู่เรื่อย!?
?จริงด้วยแฮะ ผมของราบิซาดูเหมือนด้ายสีทอง ถ้าเอามาใช้ถักก็คงจะสวยดีเนอะ?
?ดีจัง งั้นข้าไปขอบ้างดีกว่า!?
พอคนหนึ่งขยับลุก ทุกคนก็ออกปากว่า ข้าด้วยๆ แล้วก็ขยับลุกตามกันหมด คุณป้ารีบร้องทัก
?เดี๋ยวก่อนสิ พวกเจ้า! เวลาจะถัก ถ้าไม่ใส่เส้นผมของตัวเองลงไปด้วย ถึงจะมอบให้คนสำคัญไปก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก!?
ทว่า เธอไม่สามารถหยุดการเคลื่อนย้ายอันรวดเร็วของเหล่าเด็กสาวที่แม้แต่มูฝูงใหญ่ก็ยังพ่ายแพ้ได้
?เฮ้อ....ในระหว่างนี้ สงสัยต้องทำหมวกให้ราบิซาเสียหน่อยแล้ว....?
ขณะที่คุณป้าได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดแหลมดังอยู่ไกลๆ ในเวลาชั่วพริบตา เธอเอามือทาบแก้มพร้อมพึมพำด้วยความเป็นห่วง

***************************************

ท่ามกลางอากาศยามเช้าซึ่งถูกขนาบด้วยท้องฟ้าโปร่งสีครามกับผืนดินสีเหลือง ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อน
วันนั้น บริเวณด้านหลังคอกสัตว์ที่สร้างขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้กำลังจัดฝึกสอนการขี่ริกู
บุคคลที่กำลังขี่ริกูต่อหน้าผู้เข้ารับการฝึกที่มารวมตัวกันคือ....ราบิซา ผู้เป็นเจ้าของเส้นผมสีทองตามที่เล่าลือกัน ถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กจากรูปลักษณ์ภายนอกและเสื้อผ้า แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงเต็มตัว
ขณะถูกรายล้อมไปด้วยบรรดาเด็กหนุ่มที่ตัวโตกว่าตนเอง เธอกำลังย่นคิ้วท่าทางลำบากใจ
?ในการขี่ริกู ความเคยชินสำคัญกว่าการเรียนนะ มาฟูตัวนี้เป็นริกูที่ใจดีและฉลาดเป็นพิเศษ แค่ทำพลาดนิดหน่อย มันไม่โกรธหรอก มีใครสักคนอยากลองขี่บ้างไหม??
ทว่าพอทำท่าจะสบตากับราบิซา เด็กหนุ่มทุกคนต่างก็รีบเบนสายตาหนีทันที
วันนี้คนที่ถูกเรียกมารวมตัวกันคือเหล่าเด็กหนุ่มที่หวาดกลัวริกู และไม่คิดจะเข้าร่วมการฝึกแม้แต่หนเดียว เธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าคงต้องเหนื่อยหนักเอาการ
(แย่จัง แบบนี้การฝึกก็ไม่คืบหน้าเสียทีน่ะสิ)
จังหวะที่ราบิซาขมวดคิ้วต่อหน้าพวกเด็กหนุ่มขี้ขลาด พลางคิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาอยากขี่ริกูอยู่นั้น เงาคนตัวเล็กก็โผล่มาอยู่ตรงหน้า แล้วชูมือข้างหนึ่งอย่างร่าเริงพร้อมกับเริ่มแนะนำตัวเอง
?ครับ! ข้าจะขี่เอง! ข้าเองๆ!?
?นาดี? เจ้ามาอีกแล้วเหรอ?
?นี่ ได้ไหม ราบิซา ข้าอยากขี่ริกูน่ะ?
เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกว่านาดีส่ายหัวที่มีผมสีน้ำตาลแก่ซึ่งชี้โด่เด่เกาะขาราบิซาแล้วเริ่มงอแง พวกเด็กหนุ่มด้านหลังที่กำลังทำตัวลีบส่งเสียงทักเขาที่อยู่ในสภาพนั้น
?ไม่ได้หรอก นาดี เจ้าเพิ่งจะห้าขวบเองไม่ใช่เหรอ! ริกูมันอันตรายนะ!?
?ฮึ ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนพวกพี่ชายเสียหน่อย สบายมาก! นะ ราบิซา??
?อืม....?
เมื่อมีเรื่องกลุ้มใจเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง ราบิซาก็ครางออกมา พูดอะไรไม่ออก
ความจริงแล้ว ราบิซาเองก็เริ่มคุ้นเคยกับริกูตั้งแต่ตอนราวๆ ห้าขวบได้ ดังนั้นเธอจึงไม่คิดว่าเร็วเกินไปแม้แต่น้อย แต่แนวทางของเมืองนี้มีอยู่ว่าให้เริ่มฝึกขี่ริกูตั้งแต่อายุเจ็ดขวบขึ้นไป
?นี่ ราบิซา ข้าอยากลองขี่ริกูแบบจริงๆ จังๆ ดูบ้างน่ะ?
สงสัยว่าเรื่องที่จิเซ็ตบังเอิญให้เขาขี่ริกูเมื่อวันก่อนจะเป็นแรงจูงใจให้เด็กหนุ่มนาดีคนนี้หลงเสน่ห์ริกูเข้าอย่างจัง ถ้าเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ได้ความคลั่งไคล้จากเขามาแม้เพียงเศษเสี้ยวล่ะก็....ราบิซาเผลอฝันเฟื่อง แล้วนึกเรื่องบางอย่างออก
?เข้าใจแล้ว แต่เจ้าขี่คนเดียวไม่ได้ ฉะนั้นข้าจะขี่ริกูด้วย มานี่สิ นาดี?
นาดีโห่ร้องด้วยความดีใจ พอราบิซากระโดดขี่หลังมาฟูพร้อมกับยื่นมือลงมา เขาก็สวมกอดเธอ
พอได้รับสัญญาณ มาฟูก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง สายลมที่ไร้ความชื้นพัดผ่านต้นคอราบิซาที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าฝูงคน เด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ พากันร้องตกใจ และเฝ้ามองดูนาดีที่ส่งเสียงโหวกเหวกกับราบิซาด้วยแววตาสงสัยว่าทำไมถึงได้สนุกสนานกันขนาดนั้น
?สุดยอดๆ! สูงแล้วก็รู้สึกสบายด้วย! ออกวิ่งสิ ราบิซา!?
?ไว้ทีหลังนะ ว่าแต่ลองดูนั่นสิ นาดี?
ราบิซาชูมือข้างที่ไม่ได้ประคองนาดีชี้ให้ดูทางข้างหน้าที่อยู่ไกลออกไปจากตัวริกู
?....มองเห็นรึเปล่า? ท้องฟ้ากับพื้นดินยืดยาวไปไกลลิบเลย?
พอโดนนัยน์ตาสีพระอาทิตย์คะยั้นคะยอให้มองตาม ดวงตาสีชาของนาดีก็จ้องตรงไปยังทิศทางเดียวกัน
?....เห็นแล้ว! เจ๋งไปเลย เห็นไกลลิบถึงขนาดนั้น!?
?เจ้าคงจะมองเห็นพื้นขรุขระสีเหลืองยาวต่อเนื่องไปไกล และโขดหินที่มีอยู่ประปรายสินะ แล้วเจ้าเห็นโขดหินที่อยู่ไกลสุด ภูเขาหินสีกุหลาบรึเปล่า? ที่รูปร่างเหมือนเมอูนอนหมอบอยู่น่ะ?
?อืม เห็นแล้ว! สวยดีเนอะ สีแรกของทะเลทรายยามเช้า!?
?เจ้าคิดว่าจะใช้เวลาสักเท่าไหร่กว่าจะไปถึงที่นั่น??
?เอ๋? อืม ไม่รู้สิ ถ้าเดินคงเหนื่อยแย่?
?ถ้าริกูตัวนี้วิ่งเต็มฝีเท้าล่ะก็ ไม่เกินห้านาทีก็ไปถึงที่นั่นแล้ว?
?จะ จริงเหรอ? เยี่ยมเลย แป๊บเดียวก็ไปถึงที่ที่ไกลขนาดนั้นได้แล้วเหรอ??
?ไปได้สิ ถ้าขี่ริกูเป็น สถานที่ที่ไปได้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ?
?ถ้างั้นๆ ภูเขาคริสตัล เนินทรายที่มีดาวตก หรือหินผาที่ให้กำเนิดลมก็ไปได้สินะ??
?อื้อ ถ้าเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริงล่ะก็ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ?
ยอดเลย! ราบิซาลอบสังเกตท่าทางของพวกเด็กหนุ่มจากเหนือศีรษะนาดีที่ตื่นเต้นส่งเสียงดัง
เด็กหนุ่มหลายคนต่างเหลียวมอง ยืดตัวบ้างกระโดดบ้าง พยายามจะหาดูว่าโขดหินสีกุหลาบอยู่ตรงไหน ราบิซาทักเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังชำเลืองมองริกูจากกลุ่มเด็กเหล่านั้น
?ว่าไง ลองขี่ริกูดูไหม??
?เอ๊ะ? ....อะ อืม?
ราบิซาโล่งอกที่เขาพยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มเขินกลับมา ขณะเห็นโอกาสดีที่จะให้เด็กหนุ่มลองขี่และกำลังจะให้มาฟูนั่งลงอีกรอบอยู่นั้นเอง
?ราบิซา!?
เด็กสาวที่มีน้ำเสียงออดอ้อนเป็นเอกลักษณ์ส่งเสียงมาจากด้านหลังกะทันหัน
พอกะพริบตาปริบๆ สงสัยว่ามีเรื่องอะไร แล้วหันหลังกลับไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของราบิซาก็คือ เหล่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับราบิซาที่น่าจะกำลังเรียนทอผ้าอยู่ที่กระโจม
ระหว่างที่กำลังนึกประหลาดใจ พวกเด็กสาวที่เข้ามารุมล้อมริกูก็ส่งสายตาเป็นประกายพร้อมกับยื่นมือสองข้างออกมาแล้วเริ่มอ้อนขออะไรแปลกๆ
?นี่ ราบิซา ขอเส้นผมหน่อยได้ไหม!?
?เอ๊ะ? เส้นผม??
?ใช่ เส้นผม?
?ให้พวกข้าได้ไหม?
?เหวอ มะ มันเรื่องอะไรกันน่ะ....??
เหล่าเด็กสาวยิ้มและยื่นมือขอด้วยท่าทีไร้เดียงสา พูดตามตรงว่าน่ากลัวเอาเรื่อง
?เฮ้ ทางนี้กำลังอยู่ระหว่างการฝึกขี่ริกูนะ ไว้ทีหลังได้ไหม?
พวกเด็กหนุ่มที่กลับใจได้พูดจาเป็นการเป็นงานขึ้นมา เหล่าเด็กสาวก็เริ่มพร้อมใจกันโต้กลับ
?ว่าไงนะยะ กลัวริกูจนไม่คิดจะขี่ริกูแท้ๆ!?
?ใช่แล้วล่ะ ข้ารู้นะว่าพวกเจ้ามันไม่เอาไหน?
?ไม่เท่เลย?
?วะ ว่าไงนะ! เมื่อกี้ข้ากำลังจะขี่แล้วแท้ๆ แต่พวกเจ้าดันเข้ามาขัดจังหวะนี่นา!?
?พวกข้าก็จำเป็นต้องใช้ผมของราบิซาในการทอผ้าเหมือนกัน!?
?นั่นสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย ถึงยังไงก็ไม่ได้ฝึกอะไรเลยอยู่ดีนี่นา?
?ฝึกอยู่สิ! พวกเจ้านั่นแหละ ไม่ใช่ว่าโดดมาหรอกนะ??
?ไม่ได้โดดมาเสียหน่อย ใจร้าย! ข้าจะไม่ให้ผ้าทอกับคนอย่างเจ้าเด็ดขาด!?
พอรู้สึกตัวอีกที เรื่องที่โต้เถียงกันก็เปลี่ยนเป็นเรื่องว่าเด็กสาวจะมอบผ้าทอให้ใครแทนเสียแล้ว ราบิซากับนาดีมองเด็กหนุ่มเด็กสาววัยรุ่นที่ส่งเสียงกันครึกครื้นสนุกสนานจากบนตัวริกู แล้วก็หันมามองหน้ากันเองพร้อมกัน
ราบิซาห่อไหล่ ตีสีหน้าเป็นผู้ใหญ่ที่คล้ายกับเอือมระอา แต่พอเห็นใบหน้าของนาดีที่เปี่ยมด้วยความคาดหวังแล้ว เธอก็ตีหน้าขรึมอยู่ได้ไม่นานและเผยสีหน้ายิ้มแย้ม
?นาดี ออกวิ่งไหม!?
?อื้ม!?
มาฟูที่ได้รับสัญญาณให้ออกวิ่งใช้อุ้งเล็บเตะพื้นสีเหลืองแตกระแหงไปด้านหลังหนักๆ
เกิดกระแสลมมาจากทิศทางที่มุ่งไป มันโอบล้อมสองคนบนอานและริกูที่เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งแข่งกับแสงอาทิตย์ เสียงร้องแหลมสูงด้วยความยินดีที่ไม่ได้อดกลั้นไว้ของเด็กชายอ่อนเยาว์ดังไปถึงท้องฟ้าคราม
ทั้งสองคนถือโอกาสตอนที่การฝึกตกอยู่ในสภาพที่ยังทำอะไรไม่ได้ทำตาเป็นประกายพลางมุ่งไปที่โขดหินสีกุหลาบ เบื้องหลังของทั้งสองคนมีเมืองเล็กๆ เรียบง่ายที่เพิ่งจะถือกำเนิดแผ่กว้างอยู่
ไม่หลงเหลือเค้าเมืองน่าเศร้าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกจองจำในพายุทรายและถูกลบออกจากความทรงจำของทะเลทรายอีกแล้ว
ขณะนี้เมืองกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และจารึกประวัติศาสตร์ใหม่ในทะเลทรายด้วยตัวเอง

*********************************

ทารัสฟาล....ชื่อซึ่งเป็นคำโบราณและมีความหมายว่า ?เนินเขาสีเหลือง? คือชื่อเมืองอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ตั้งให้เมืองนี้ซึ่งเคยถูกเรียกว่า ?เมืองพายุทราย?
นับจากราบิซาออกเดินทางจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์คาวุลในฐานะทูต และฝากฝังเมล็ดพันธุ์ซิมซิมไว้กับเมืองนี้ เวลาก็ผ่านไปได้สามเดือนแล้ว ย้อนกลับจากตอนนี้ไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ชื่อเมืองอย่างเป็นทางการถูกกำหนดขึ้น พร้อมกันนั้นทารัสฟาลก็ได้รับการประกาศไปทั่วทะเลทรายตอนกลางว่าเป็นเมืองแห่งซิมซิม
ทว่าไม่ได้เปิดเผยเรื่องจริงทั้งหมด
ครั้งหนึ่ง คาวุลเคยทำเรื่องผิดพลาดคือ เพื่อรักษาซิมซิมที่พอสัมผัสความรู้สึกที่ไม่ดีของคนแล้วจะเหี่ยวเฉาลง คาวุลได้ขับไล่คนที่คิดว่าไม่เหมาะสมออกไป แล้วใช้พลังของญินกักขังพวกเขาไว้ในพายุทราย และสิ่งที่กำเนิดขึ้นในพายุทรายก็คือสภาพดั้งเดิมของทารัสฟาล ?เมืองพายุทราย? นั่นเอง
พวกเด็กๆ ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวที่สามารถออกมาจากพายุทรายได้แย่งชิงเสบียงของชาวทะเลทรายเพื่อครอบครัวที่ถูกทิ้งไว้ภายในพายุทราย และสร้างกองโจร กองกำลังพายุทราย ซึ่งกลายมาเป็นตำนานในภายหลัง
ในขั้นตอนนี้ยังไม่สามารถประกาศความสัมพันธ์ระหว่างคาวุลกับทารัสฟาล และความสัมพันธ์กับกองกำลังพายุทรายดังที่กล่าวมาตามความเป็นจริงต่อหน้าสาธารณชนได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างพากันคาดการณ์ถึงความสิ้นหวังและความสับสนของชาวทะเลทรายที่สูญเสียภาพของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเชื่อถือมาตลอด และก่อนที่จะเห็นรูปร่างแท้จริงของทารัสฟาล เมืองจะถูกประทับตราว่าเป็นเมือง ?เมืองพายุทราย? เสียก่อน
ตอนนั้นเอง กลุ่มผู้นำของทั้งสองเมืองได้วางแผนไว้ว่า
?ทารัสฟาลเป็นเมืองของชนเผ่าที่อนุรักษ์ชีวิตความเป็นอยู่แบบพึ่งพาตนเอง ที่ผ่านมาแทบไม่เคยติดต่อกับเมืองอื่น? ....มันคือคำแถลงอย่างเป็นทางการประโยคหนึ่งของคาวุล หลังจากอธิบายเรื่องราวของเมืองที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ก็มีข้อความเขียนต่อไว้ดังนี้
?คาวุลทำสนธิสัญญาเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับทารัสฟาล และให้ความช่วยเหลือในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ พร้อมกับให้การสนับสนุนในการดูแลเลี้ยงดูซิมซิมในทุกด้าน การประชุมร่วมกันของทั้งสองเมืองมีมติเห็นพ้องกันว่า ต้องการให้ระงับการบุกเบิกเส้นทางการค้าไว้ก่อนจนกว่าซิมซิมจะโตขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว?
คำแถลงนี้ได้รับการคัดเลือกให้นำมาพูดในสภาความร่วมมือเรื่องชลประทานแห่งคาวุล ซึ่งสวนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้จัดขึ้น คาวุลและทารัสฟาลได้รับระยะเวลาผัดผ่อนหลายปีจนกว่าซิมซิมจะเติบโตขึ้น ในระหว่างนั้น คาวุลต้องเตรียมตัวเปิดเผยประวัติศาสตร์ที่แท้จริงสู่โลกภายนอก ส่วนทารัสฟาลก็ต้องเรียนรู้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทะเลทราย วัฒนธรรม งานช่างและแนวคิดทางเศรษฐกิจ และเตรียมตัววางแผนเป็นเมืองที่อยู่ได้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะปรากฏตัวเบื้องหน้าในฐานะเป็นเมืองแห่งซิมซิม
คาวุลทำตามที่สัญญาไว้ในแถลงการณ์ โดยส่งผู้ดูแลสวนกับเจ้าหน้าที่พยาบาล ตามด้วยช่างฝีมือในแต่ละสาขาไปประจำการที่ทารัสฟาล คุณป้าที่สอนทอผ้าให้พวกเด็กผู้หญิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับทารัสฟาลที่ไม่มีผลผลิตจากการทำสวนหรือการทำปศุสัตว์แม้แต่อย่างเดียวแล้ว การสร้างอุตสาหกรรมอะไรบางอย่างเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ถือเป็นงานเร่งด่วน และสิ่งที่ถูกหมายตาให้เป็นว่าที่ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือสิ่งทอ


*********************************************

ราบิซา สาวน้อยผู้แต่งกายเป็นชายปลดปล่อย ?เมืองพายุทราย? ด้วยฐานะทูตแห่งซิมซิม ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่นำพาน้ำมาสู่ทะเลทราย ส่วนจิเซ็ตช่วยบ้านเกิด ?เมืองพายุทราย? ไว้ด้วยวิถีทางที่ตนเองเชื่อ ขณะทั้งคู่กำลังขมักเขม้นอยู่กับการสร้างเมืองใหม่ ก็มีแผนการร้ายของคายัล หัวหน้า ?กองโจรพายุทราย? มาขัดขวางไว้ ท่ามกลางฉากท้องฟ้าครามและทะเลทรายร้อนระอุ ในที่สุดราบิซา จิเซ็ต และคายัลก็มาถึงจุดตัดสินชะตา....! เรื่องราวแฟนตาซีผจญภัยเนื้อหาเข้มข้นที่มีความรู้สึกของแต่ละคนคละเคล้ารวมกันเปิดฉากแล้ว! พบกับผลงานภาคต่อจาก ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~เมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์~ กันได้เลย! .... (อ่านรายละเอียดคลิกที่ปก)

รูปภาพ

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”