New Release : ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~เมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์~

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~เมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์~

โพสต์ โดย Gals »

1. ทูตแห่งซิมซิม

ผลของต้นไม้หล่นตุบลงมาสู่มือ
ผลร่วงลงมาในฝ่ามือสองข้างที่ห่อเป็นรูปถ้วยโดยไม่ทันรู้ตัว
ราบิซาเบิกตาโตเรียกพี่ชายที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ตัว
?ท่านพี่....?
เสียงแหบ ต้องรายงานเรื่องนี้เดี๋ยวนี้แท้ๆ แต่เสียงกลับแหบแห้งเสียนี่
?ท่านพี่ เมล็ดพันธุ์....?
ราบิซาตาโตจดจ้องต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมหนาทึบและสูงเลยเหนือศีรษะ ราวกับจะมองทะลุไปจนถึงภายใน
ดอกไม้ที่บานจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ตรงไหนน้อ
ดอกไม้ที่บานเพียงดอกเดียวของปีนี้อยู่ที่ไหนน้า

*****

ใกล้ถึงวันเดินทางแล้ว ราบิซาผู้ได้รับเลือกเป็นทูตแห่งซิมซิมประจำปีนี้นับนิ้วรอให้ถึงวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าฮาดิคผู้เป็นพี่ชายกลับไม่อาจซ่อนสีหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นท่าทางดีใจของน้องสาว
?มันอันตรายนะ ราบิซา?
?ข้าไม่เป็นไรหรอก ท่านพี่?
ฮาดิคถอนหายใจยาว แล้วปรับอารมณ์ทำหน้าเครียดใส่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของน้องสาว เขาเกร็งท้องขมวดคิ้วจ้องเธอ แต่ราบิซากลับกอดอก พยักหน้าทีสองทีด้วยสีหน้าชื่นชมพร้อมกับเอ่ยว่า
?หน้าท่านพี่เวลาโกรธก็สวยอยู่นา! จนบางทีข้าอยากจะเรียกว่าพี่สาวดูบ้าง!?
ผมเปียที่ถักไว้หลวมๆ เลื่อนไถลลงมาจากไหล่ของฮาดิคผู้สิ้นหวัง
?เอาน่า ท่านพี่ ในเมื่อข้าถูกเลือกแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่?
?พี่รู้ แต่.... ตอนนี้พี่อยากจะต่อว่าซิมซิมเสียจริง?
?ท่านพี่! เรื่องแบบนี้เอามาพูดล้อเล่นไม่ได้นะ!?
?ให้ตายสิ ราบิซาอยู่ข้างพี่หรือซิมซิมกันแน่?
ราบิซามีอาการอึกอักเมื่อถูกมองด้วยสายตาขุ่นเคือง
?เอ๊ะ? มันแหงอยู่แล้ว ก็....?
พอเห็นท่าทีลำบากใจของน้องสาวที่ปกติเป็นคนพูดจาฉะฉาน ฝ่ายพี่ชายก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
?โทษที พี่ไม่ได้คิดจะให้เอาไปเปรียบเทียบกันจริงๆ หรอก?
?....นิสัยไม่ดี!?
?ก็ยังดีกว่านิสัยเสียของเจ้านั่นแหละ?
ฮาดิคผู้มีแผงขนตายาวหลุบตาลง พลางเอนกายลงบนพนักพิงอ่อนนุ่มของเก้าอี้นอน
?ทำไมถึงไม่พอใจเรื่องที่ขอให้มีผู้ติดตามไปด้วยนัก??
?ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าพอใจหรือไม่พอใจ แต่ธรรมเนียมมีอยู่ว่าทูตแห่งซิมซิมต้องเดินทางด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ?
?แต่สถานการณ์คราวนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงอายุยังน้อย ยังไม่เคยออกจากเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ?
?เลิกพูดแบบนั้นเสียที?
ราบิซาทำหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีชวนให้นึกถึงพระอาทิตย์ตอนกลางวันคู่นั้นวาวโรจน์ชั่วขณะ
?เป็นผู้หญิงอายุยังน้อย แล้วยังไงล่ะ ถ้าไม่เคยออกนอกเมืองแล้วมัวแต่อยู่เฉยๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่ก้าวหน้าไปไหนสักทีน่ะสิ อันที่จริง ท่านพี่ รวมถึงท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูข้าให้โตมาอย่างเด็กผู้ชายแท้ๆ แต่มาพูดแบบนั้นเอาป่านนี้ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ??
?มันเป็นการถือเคล็ดต่างหาก ราบิซา เคล็ดที่ทำให้เจ้าเติบโตแข็งแรง?
ฮาดิคเคลื่อนปลายนิ้วมือที่ใช้เท้าคางมากดหน้าผากแทน พร้อมกับผ่อนลมหายใจออก
?ทำจนถึงห้าขวบหกขวบก็พอแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมถอดผ้าโพกหัวเสียนี่?
?กะ ก็จู่ๆ มาบอกให้เปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำมาตลอด มันเป็นไปไม่ได้หรอก?
ราบิซาทำปากยื่น ยกมือขึ้นพาดศีรษะอย่างลืมตัว ผมลื่นสลวยไม่พันกันของเธอมีสีราวถอดแบบมาจากประกายแสงอาทิตย์เช่นเดียวกับดวงตา ปลายผมยาวประบ่ากวัดแกว่งไปมา
?....แต่ว่า เพราะข้าเติบโตมาอย่างเด็กผู้ชาย ทำให้วิ่งบนผืนทรายได้เร็ว ใช้ดาบเป็น การบังคับริกูก็ได้ท่านพี่สอนให้ จนตอนนี้ข้ายังไม่เคยแพ้ใครเลย!?
ราบิซาค้นพบข้อมูลที่นำมาใช้ตอบโต้ได้เป็นอย่างดีจึงเริ่มปริปากพูดอีกครั้ง ปกติแล้วดวงตารูปผลวอลนัทให้ความรู้สึกหยิ่งทะนงองอาจ แต่ทันทีที่ยิ้ม ความละมุนละไมก็เพิ่มสูงขึ้น เจือด้วยความน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าฮาดิคกลับจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของน้องสาวอย่างเศร้าๆ พลางดื้อดึงส่ายหน้า
?ถึงยังไงมันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้พี่เปลี่ยนความคิดได้อยู่ดี ราบิซา?
?ยังจะพูดแบบนั้นอยู่อีก....?
ขณะราบิซาขมวดหัวคิ้ว จนคำพูดกับความหัวรั้นของพี่ชาย พลันแว่วเสียงเคาะผนังห้องอย่างกริ่งเกรง ผ้าม่านประตูที่แขวนไว้ตรงทางเข้าพลิ้วไหว
?ฮาดิค ขอเวลาสักประเดี๋ยวได้ไหม? ราบิซาอยู่ตรงนั้นด้วยสินะ?
คนส่งเสียงทักเลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเข้ามาในห้อง เขาเป็นชายชราเลี้ยงเครายาวสีเทา มีผู้ชายสองคนตามหลังเข้ามาในห้องด้วย ชายผู้มาเยือนทั้งสามและฮาดิค....พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนนอกเหนือจากราบิซาพร้อมใจกันสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียว
ชายชราผุดยิ้มแบบคนแก่ใจดี แล้วเอ่ยทักราบิซา
?ราบิซา สัมภาระสำหรับการเดินทางกับริกูได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นไปข้างบนแล้วตรวจดูให้แน่ใจเสียสิ?
?จริงเหรอคะ??
สีหน้าราบิซาสดใสขึ้นมาทันควัน เธอแทบอยากจะออกวิ่งไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่ฮาดิคเอ่ยขัดขึ้นมา
?ท่านหัวหน้าสวน ชะลอการเดินทางของทูตออกไปก่อนไม่ได้หรือครับ??
?ท่านพี่! พูดอะไรออกมาน่ะ!?
ทว่า ฮาดิคจดจ้องชายชรามีเครา....หัวหน้าสวน โดยไม่แยแสน้องสาวที่ขึ้นเสียง
?นี่เป็นเรื่องที่ข้าเคยขอร้องให้พิจารณามาก่อนแล้ว ได้โปรดส่งผู้ติดตามทูตไปด้วย หรือไม่ก็เลื่อนช่วงเวลาการเดินทางออกไปก่อน?
?อย่าพูดให้ท่านหัวหน้าสวนลำบากใจสิ ปกติท่านพี่ไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา!?
?เจ้าน่ะเงียบไปเลย นี่ไม่ใช่เรื่องเอาแต่ใจ แต่เป็นข้อเสนอที่สมเหตุสมผลต่างหาก?
ราบิซารู้สึกได้ถึงความแน่วแน่ไม่หวั่นไหวในดวงตาสีเดียวกับตนเอง จนเผลอตัวกำหมัด
?ทำไมล่ะ....ทำไมถึงได้คัดค้านขนาดนั้น ท่านพี่....?
เธอบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด แล้วหมุนร่างที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับมายืนประจันหน้าพี่ชาย
สายตาแข็งกร้าวสบกัน บรรยากาศในห้องที่เคยเงียบสงบแปรเปลี่ยนเป็นความตึงเครียด
?ข้าภูมิใจที่ได้รับเลือกให้เป็นทูต อย่ามาดูถูกข้าโดยการผ่อนปรนให้ได้ไหม?
ราบิซาพูดเด็ดขาดชัดเจนด้วยน้ำเสียงกังวานใส เสียงสายน้ำเย็นไหลเอื่อยดังแทรกระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีทีท่าจะคลายสีหน้าตึงเครียดลง
?....อืม ทั้งคู่ เอาเป็นว่า สงบสติอารมณ์ก่อนดีไหม?
สองพี่น้องพร้อมใจกันตอบรับเสียงหัวหน้าสวนที่เอ่ยทักอย่างหวาดๆ ทั้งคู่สะบัดผมสีพระอาทิตย์ ดวงตาสีเดียวกันมองตรงมา
?ท่านหัวหน้าสวนช่วยบอกท่านพี่ทีสิว่าให้ปฏิบัติตามธรรมเนียมแต่โบราณ?
พอราบิซาเอ่ย ฮาดิคเองก็ไม่ยอมแพ้กัน
?ราบิซา เจ้าไม่ได้เป็นผู้ดูแลสวน ซ้ำยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ถ้าจะว่ากันตามธรรมเนียมโบราณล่ะก็ น่าจะสนใจปัญหานี้ก่อนนะ จริงไหมครับ ท่านหัวหน้าสวน?
แม้พี่น้องจะมีความเห็นไม่ลงรอยกัน แต่ความหัวรั้นนั้นไม่ต่างกัน หัวหน้าสวนแสดงสีหน้าเอือมระอาชั่วขณะ ก่อนที่ใบหน้าเหี่ยวย่นเป็นร่องลึกจะก้มลงเอ่ยราวกับพูดให้ตัวเองฟัง
(ภาพหน้า 15)
?....แต่ซิมซิมเลือกราบิซาให้เป็นทูต นั่นเป็นข้อเท็จจริงนะฮาดิค?
ฮาดิคเบิกตาโตรับคำตอบของหัวหน้าสวน เขาหน้าซีดขณะทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าร่างกายส่วนบนกลับเอนล้มลงกับพื้น
?อ๊ะ ท่านพี่!?
ราบิซารีบยื่นมือเข้าไปช่วย ไม้เท้าสองอันกระเด็นกลิ้งบนพื้นแถวๆ นั้น ก่อให้เกิดเสียงดังสะท้อนขึ้น
?ดันลุกพรวดพราดน่ะสิ ถึงได้เป็นอย่างนี้....?
?ราบิซา อย่าไปนะ!?
ฮาดิคใช้มือสองข้างออกแรงกดไหล่น้องสาวที่ช่วยประคองตัวเขา พลางส่งสายตาวิงวอนอย่างสุดกำลัง
?เจ้ายังไม่รู้อะไร การเป็นทูตมันอันตรายขนาดไหน จริงๆ แล้วเมืองนี้....?
?ฮาดิค!?
พอได้ยินเสียงเข้มดุของหัวหน้าสวน ราบิซากับฮาดิคก็ถูกชายสองคนที่เฝ้าลุ้นดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นเข้ามาจับแยกออกจากกัน
ใบหน้าสวยได้รูปของฮาดิคบิดเบี้ยวขณะยื่นมือไปหาน้องสาว เส้นผมยาวที่ถูกถักไว้หลวมๆ มีสีเข้มกว่าผมของราบิซาเล็กน้อย มันเลื่อนตกลงจากบ่ากวัดแกว่งไปมา
?ท่านพี่....?
ราบิซายืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าซีดไม่แพ้พี่ชาย
ไม่เข้าใจเลย ทำไมฮาดิคถึงไม่เห็นด้วยขนาดนี้ นึกว่าจะยินดีและเอาใจช่วยเสียอีก เราอุตส่าห์ตั้งปณิธานว่าจะเป็นทูตที่ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของฮาดิคผู้เป็นพี่ชาย และปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จลุล่วง ให้สมกับที่ชาวเมืองคาดหวังว่าน้องสาวของวีรบุรุษก็ย่อมเป็นวีรสตรีเช่นกัน....
ชายชราวางมือผอมแห้งลงบนบ่าราบิซา
?ราบิซา เรื่องทางนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง เจ้าไปจัดการเรื่องริกูกับเรื่องสัมภาระเถอะ?
?ท่านหัวหน้าสวน....?
?ฮาดิคเป็นห่วงเจ้าน่ะ รู้ใช่ไหม?
เธอหยุดคิดก่อนจะพยักหน้าหงึก
เมื่อห้าปีก่อน ฮาดิคซึ่งได้รับเลือกเป็นทูตคนก่อนหน้าราบิซาถูกกองโจรโจมตีระหว่างเดินทางจนขาใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ยังปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จลุล่วงกลับมาได้ ผู้คนพากันยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษ และต้อนรับด้วยเสียงโห่ร้องยินดี คนที่รู้ซึ้งถึงความยากลำบากในการเดินทางของทูตดีกว่าใครอย่างเขาย่อมจะห่วงใยราบิซาเป็นธรรมดา
?เพราะพวกเราต่างเป็นญาติเพียงคนเดียวของกันและกัน ไม่สามารถหาใครมาแทนที่ได้....?
แม่เคยอยู่เคียงข้างราบิซาในวัยเด็กขณะรอการกลับมาของพี่ชาย ทว่าคราวนี้พี่ชายอยู่ตัวคนเดียว
?ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านพี่ เข้าใจ แต่....?
เราอยากให้ท่านพี่ยิ้มให้แล้วบอกว่า เก่งมากที่ได้รับเลือก น้องพี่ซะอย่าง สบายมาก....
ราบิซาก้มหน้ากัดริมฝีปากก่อนเงยหน้าขึ้นมองตรงมาที่พี่ชาย
?แต่ข้าเป็นคนเมืองคาวุล ชาวคาวุลจะเมินเฉยความปรารถนาของซิมซิมไม่ได้! ต่อให้ท่านพี่คัดค้าน พรุ่งนี้เช้าข้าก็จะออกเดินทางคนเดียวอยู่ดี นี่เป็นธรรมเนียมมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว!?
ราบิซาพูดจบก็หมุนตัวออกวิ่งไป เธอถลาออกจากห้อง วิ่งเสียงดังผ่านโถงทางเดินหินมืด ปลายทางที่กำลังมุ่งไปโดยไม่รู้ตัวคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวที่สุดของที่นี่....ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งซิมซิม
พ้นแนวกำแพงหินขรุขระที่พาดตัวโค้งไปตามทางได้ไม่ทันไร จู่ๆ บรรยากาศจากแสงธรรมชาติอ่อนๆ ก็ปกคลุมไปทั่ว ราบิซาหรี่ตาที่ยังชินกับความมืดอยู่พลางก้าวเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งตระหง่าน กลิ่นน้ำเย็นสดชื่นลอยเข้าไปในโพรงจมูก
ต้นซิมซิมที่แผ่กิ่งก้านใหญ่โตปักหลักอยู่ตรงนั้นรับประกายแสงนวล
ที่ดินตรงนี้มีหินจำนวนมากที่มีความโปร่งใสสูงและมีแก้วปนอยู่มาก เหนือต้นซิมซิมขึ้นไปมีการใช้ก้อนหินบางแต่แข็งสร้างเป็นช่องว่างทรงโดมทับซ้อนกันหลายชั้นจากใต้ดินจนสูงถึงพื้นโลก แสงร้อนแรงของพระอาทิตย์จึงผ่านการหักเหของแสงกลับไปกลับมาจนได้แสงรำไรส่องมายังต้นซิมซิม น้ำพุที่กระจายตัวอยู่บริเวณรากพลอยได้รับอานิสงส์จากแสงช่วยให้ส่องประกายระยิบระยับ
สถานที่แห่งนี้คือสรวงสวรรค์ที่แวดล้อมไปด้วยน้ำและอากาศบริสุทธิ์ แม้แต่ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดเผาบนพื้นโลกก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาที่นี่ได้
ราบิซารู้สึกคล้ายว่าต้นไม้งามที่เธอเคารพรักกำลังถามอะไรบางอย่างจึงพยักหน้าตอบ
?ไม่ต้องเป็นห่วง ซิมซิม เดี๋ยวท่านพี่ก็เข้าใจเองแหละ ท่านคิดถูกแล้วที่เลือกให้ข้าเป็นทูต ข้าเป็นถึงน้องสาวของวีรบุรุษฮาดิคเชียวนะ ข้าจะดูแลลูกของท่านและพาไปส่งให้เอง รับประกันได้!?
ราบิซากำหมัดพลางยืดตัวตรง เธอสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะราวกับจะสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง ต่อให้ไม่ได้สวมใส่ชุดผู้ชาย ใบหน้าจริงจังนั้นก็คงดูไม่เหมือนใบหน้าของเด็กสาวอยู่ดี นั่นเป็นใบหน้าของหนุ่มสาวที่งามสง่าเปี่ยมด้วยความแน่วแน่และความภาคภูมิใจ
....ทว่า เพียงอึดใจเดียว สีหน้ากลับหวั่นไหว สายตากังวลของเด็กสาวฉายบนใบหน้า
?เพราะฉะนั้นซิมซิม....ได้โปรด อย่าทอดทิ้งทะเลทรายผืนนี้นะ....!?
ราบิซานึกเห็นภาพดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่บานเพียงดอกเดียวในปีนี้แวบผ่านเข้ามาในสมอง
....ที่นี่ตั้งอยู่ใต้ผืนทรายแห้งแล้ง เป็นทั้งสวรรค์เพียงแห่งเดียว และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว
ณ เมืองที่ได้รับมอบหมายภารกิจให้คุ้มครอง ดูแล และนำต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ซิมซิมไปส่งมอบต่อ
ทูตแห่งซิมซิมกำลังจะเริ่มต้นการเดินทาง

เหตุผลสำคัญที่ซิมซิมได้รับการเทิดทูนให้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คือ ผืนดินที่ซิมซิมเติบโตขึ้นจะได้รับอานิสงส์เรื่องน้ำด้วยเสมอ
เวลาแตกหน่อ ซิมซิมจะปล่อยให้รากหยั่งลึกลงไปในดินเพียงเพราะต้องการน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อประคองลำต้นหรือช่วยในการดูดซึมสารอาหารแต่อย่างใด ต่อมาซิมซิมที่เจริญเติบโตจนสูงขนาดต้นไม้ใหญ่ทั่วไปแล้วจะเริ่มสูบน้ำจากตาน้ำที่หาเจอขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้นน้ำพุขนาดย่อมจะผุดขึ้นมาแถวๆ ราก และในไม่ช้าบริเวณโดยรอบก็จะแปรสภาพเป็นทะเลสาบงดงาม
ผู้คนที่อาศัยในทะเลทรายแห่งนี้ใช้ประโยชน์จากน้ำพุของซิมซิมอย่างการปันน้ำส่วนที่เหลือเกินมาสร้างทางน้ำมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ใช่ว่าซิมซิมจะขึ้นได้ดีทุกที่เสมอไป
เป็นที่รู้กันดีว่าพืชมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความรู้สึกของคน แต่ในบรรดาพืชด้วยกัน ซิมซิมเป็นพืชที่รับรู้ความรู้สึกได้ดีมาก และถูกความรู้สึกของคนครอบงำได้ง่ายเป็นพิเศษ
ซิมซิมผู้ขี้กลัวและขี้เหงา หากรับรู้ได้ถึงความรู้สึกด้านที่ไม่ดีของมนุษย์มากๆ เข้า ต้นจะเหี่ยวเฉาลงแม้ความรู้สึกนั้นจะไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อซิมซิม แต่อย่างไรก็ตาม ในสถานที่ที่ไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่ ต้นไม้จะไม่โตพอจนสามารถสร้างน้ำพุได้ ชาวทะเลทรายที่รู้เรื่องนี้เคยลองผิดลองถูกในการสร้างเมืองสำหรับซิมซิมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในอดีตหลายๆ เมืองเคยลองปลูกซิมซิม แต่เมืองที่ปลูกสำเร็จจนถึงเดี๋ยวนี้มีเพียงเมืองที่ราบิซาอาศัยอยู่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คาวุล
การที่ซิมซิมโตขึ้นได้แสดงว่าเมืองเมืองนั้นมีผู้คนที่จิตใจดีงามและอ่อนโยนรวมตัวอยู่ ด้วยเหตุผลง่ายๆ นี้ คาวุลจึงกลายเป็นเมืองในฝันของคนที่อาศัยในทะเลทราย เป็นสรวงสวรรค์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนพากันเคารพยำเกรงและเทิดทูนพืชชนิดนี้ที่สะท้อนจิตใจของมนุษย์ได้เหมือนกระจก

?เชิญจ้า....อ้าว ราบิซา ธุระที่สวนศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้วรึ??
ผู้หญิงผมดำยาวร้องทักด้วยความแปลกใจขณะหันไปยังประตูทางเข้าที่ถูกกระชากเปิดออกรุนแรงเล็กน้อย ลูกสาวคนเดียวของสามีภรรยาที่เปิดร้านขายอาหารจำพวกสามารถทานเสร็จรวดเร็วเคยเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กของสองพี่น้อง สำหรับราบิซาแล้ว เธอเสมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ เลยทีเดียว ราบิซาเดินเข้าไปใกล้เธอ แล้วทำหน้างอเหมือนเด็กเล็กๆ
?ช่างเถอะ ไอเช ท่านพี่ไม่ยอมรับฟังข้าบ้างเลย?
ไอเชเอียงคอสงสัย ราบิซาจึงเล่าเหตุการณ์ที่สวนศักดิ์สิทธิ์ให้ฟังไม่หยุดปาก
สวนศักดิ์สิทธิ์หมายถึงสวนใต้ดินที่มีต้นซิมซิมขึ้นอยู่ อีกทั้งยังเป็นชื่อขององค์กรด้วย
?สวนศักดิ์สิทธิ์? เป็นทั้งองค์กรที่เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับซิมซิม และเป็นหัวใจสำคัญของคาวุลด้วย คนที่ประจำการในองค์กรและดูแลวิจัยซิมซิมจะถูกเรียกว่า ?ผู้ดูแลสวน? บรรดาคนที่รวมตัวกันอยู่ในห้องใต้ดินเมื่อครู่รวมถึงฮาดิคเป็นผู้ดูแลสวน เสื้อคลุมยาวสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา
ไอเชฟังเรื่องราวคร่าวๆ จบแล้วขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยหน่ายใจพลางลูบผมของราบิซา
?ราบิซา ฮาดิคเป็นคนที่เข้าใจความยากลำบากของงานทูตดีกว่าใคร เขาคงเป็นห่วงเจ้ามากน่ะ จริงอยู่ว่าเจ้าแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก แต่เจ้าก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงอยู่ดี ต้องมาแบกรับความคาดหวังของทะเลทราย....มันหนักเกินไปหน่อย ไหนจะอันตรายจากการถูกพวกโจรทำร้ายอีก....?
น้ำเสียงนุ่มนวลของไอเชทำให้ราบิซาตระหนักถึงภาระหนักของงานทูตมากขึ้น
ทูตแห่งซิมซิม....เปรียบเสมือนกับความหวังของทะเลทราย
ซิมซิมจะออกดอกหนึ่งครั้งในรอบห้าปีและให้กำเนิดเมล็ดพันธุ์ ภารกิจของทูตก็คือการนำเมล็ดพันธุ์ไปส่งยังเมืองที่เหมาะจะปลูกซิมซิม
ทูตคือผู้ดูแลต้นซิมซิม....ซึ่งก็หมายความว่าทูตจะถูกเลือกจากบรรดาผู้ดูแลสวนโดยต้นซิมซิมเอง เมื่อคนที่คู่ควรเป็นทูตเข้าใกล้ ซิมซิมจะปล่อยผลที่สุกแล้วให้ตกลงมาในมือคนนั้น ซึ่งคราวนี้คือราบิซานั่นเอง ราบิซาไม่ได้เป็นผู้ดูแลสวนแต่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยดูแลพี่ชายที่ขาพิการ แต่แล้วเธอกลับถูกเลือก
คนเป็นทูตโดดเดี่ยว ต้องตระเวนเดินทางกลางทะเลทรายเพียงลำพังเพื่อค้นหาเมืองที่เหมาะสมและไม่ได้รับผลกระทบต่างๆ
ราบิซาพยายามข่มความกังวลที่ผุดขึ้นในใจ ฝืนยิ้มร่าเริง
?คนที่เห็นข้าเป็นเด็กผู้หญิงก็มีแต่ไอเชเท่านั้นแหละ ตอนเด็กๆ ตัวเองยังคิดว่าเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ! ทั้งท่านพี่กับไอเชเป็นห่วงเกินเหตุไปแล้ว ให้ตายสิ....?
ราบิซาเคลื่อนปากเข้าใกล้ข้างหูไอเชแล้วรีบกระซิบว่า ?ต้องเป็นสามีภรรยาที่เหมาะสมกันแน่ๆ?
?หา....? ใบหน้าไอเชแดงก่ำขึ้นมาทันที ?ราบิซา!?
?ท่านหัวหน้าบอกให้ข้าไปจัดการเรื่องริกูกับสัมภาระน่ะ ไปก่อนนะ!?
ราบิซาพลิกตัว เผยรอยยิ้มสดใสไม่แพ้สีผม ก่อนจะทะยานออกไป
ริกูเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายตั้งแต่ครั้งบรรพกาล มันใช้ขาอ้วนสองข้างที่มีเล็บแหลมคมวิ่งบนทะเลทรายอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเดินทางในทะเลทราย เพศผู้มีเขาสองข้างงอกข้างหลังใบหู ส่วนเพศเมียมีโหนกอันใหญ่บนหลังแทน
ราบิซาเลือกมาฟูกับคุกขุเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง มาฟูเป็นสามี ส่วนคุกขุเป็นภรรยา ริกูเป็นสิ่งมีชีวิตที่มักอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ดังนั้นเวลาเดินทางจึงต้องพาไปเป็นคู่
?ข้าขอฝากตัวด้วยนะ มาฟู คุกขุ?
พอลูบบริเวณริมฝีปากซึ่งแข็งติดเป็นเนื้อเดียวกับจมูก มาฟูหรี่ตาพลางทำเสียงครางในลำคอ ทางฝ่ายภรรยาดมกลิ่นราบิซาฟุดฟิดไปมา ราบิซาชอบบรรยากาศสบายๆ ของสามีภรรยาคู่นี้ ตอนนี้มันยังเป็นทรัพย์สินส่วนกลางอยู่ แต่เธอตั้งใจไว้ว่าเมื่ออายุครบสิบแปดปีซึ่งนับเป็นผู้ใหญ่แล้วจะต้องเอาริกูสองตัวนี้มาครอบครองให้ได้ ที่คาวุลมีธรรมเนียมอยู่ว่า ทางเมืองจะมอบของขวัญให้แก่ผู้ที่บรรลุนิติภาวะ
?จะเอาเจ้าสองตัวนี้จริงๆ รึ? ยังมีริกูตัวอื่นที่ชินกับการเดินทางมากกว่านี้อีกนะ?
?ขอบคุณ แต่ข้าถูกใจสามีภรรยาคู่นี้?
ราบิซาขอบคุณเจ้าของคอกผู้อารีก่อนรั้งบังเหียนออกเดินไป บนหลังของริกูถูกกองถมไปด้วยข้าวของกองพะเนินที่จำเป็นในการเดินทาง....อาทิ ถุงใส่น้ำ หญ้าแห้ง ถุงเสบียงที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อแห้งกับผลอินทผลัม และหม้อโลหะแบบเรียบๆ การเตรียมการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นและพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เหลือก็แต่พิธีแต่งตั้ง....ที่จะทำให้ราบิซากลายเป็นทูตเต็มตัวเท่านั้น
(หลังพิธีเสร็จสิ้น ท่านพี่คงไม่ต่อต้านเท่าไหร่แล้วมั้ง....)
พอคิดแบบนั้นแล้วเธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา ราบิซาเคารพนับถือฮาดิคจากใจจริง เท่าที่นึกออก ที่ผ่านมาเธอไม่เคยขัดใจพี่ชายเลย
เมื่อล่ามริกูไว้ที่คอกส่วนกลางใกล้บ้านเสร็จแล้ว ราบิซากลับมาที่ร้านอาหารของไอเช เห็นผู้คนมากมายส่งเสียงดังจ้อกแจ้ก และได้กลิ่นอาหารโชยมา บรรดาคนที่อาศัยในเมืองมารวมตัวกันเพื่อราบิซาผู้ที่จะออกเดินทางแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น
?โอ๊ะ ทูตผู้น่ารักของเรามาแล้ว!?
ราบิซาถูกรายล้อมให้การต้อนรับระหว่างเดินไปยังที่นั่ง พอถึงที่ เหล้ากับอาหารก็ถูกยกนำมาเสิร์ฟทันที เป็นอันว่างานเลี้ยงส่งเริ่มต้นขึ้นอย่างครึกครื้นแล้ว กลิ่นหอมเครื่องเทศและกลิ่นผลมะเดื่อต้มหอมฉุนช่วยกระตุ้นจมูกและกระเพาะของผู้คน ไก่แบบย่างทั้งตัวที่เพิ่งยกลงจากเตาใหม่ๆ ถูกแล่ด้วยมีด น้ำจากเนื้อไก่ไหลเยิ้มออกมาพร้อมผักและถั่ว ทุกคนพากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี
?รักษาตัวด้วยนะ ราบิซา?
?อย่าเข้าใกล้เมืองพายุทรายล่ะ!?
?ขอให้ญินคุ้มครองนะ?
ผู้คนพากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาที่โต๊ะของราบิซาเพื่อให้กำลังใจ ระหว่างกำลังง่วนอยู่กับการโปรยยิ้ม มีใครบางคนเข้ามาตบบ่าราบิซาอย่างแรง
?ไง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถูกเลือกนะเนี่ย ไว้กลับมาเมื่อไหร่เรามาแข่งกันต่อนะ ห้ามชนะแล้วชิ่งหนีล่ะ!?
ราบิซายิ้มรับคำบรรดาเด็กผู้ชายที่พ่ายแพ้แก่เธอมาตลอดในเกมแข่งบังคับริกู
?ตกลง ข้าจะถือโอกาสฝึกปรือฝีมือระหว่างการเดินทางครั้งนี้ด้วย จะทำให้ไม่กล้าคิดเอาชนะข้าอีก!?
?อ๊ะ ช่างกล้าพูด! หน็อย ข้าจะฝึกหนักเอาให้ฮาดิคแปลกใจไปเลย!?
?ไม่ใช่ราบิซาหรอกเรอะ!?
?เปล่า ข้ากะว่าจะทำให้ฮาดิคแปลกใจตอนฝึกก่อนน่ะ....?
บรรดาเด็กตัวเล็กๆ วิ่งวนอยู่ใกล้กับเด็กชายที่ถูกพรรคพวกถามซักไซ้
?นี่ๆ ท่านทูต อวดเมล็ดพันธุ์ให้ดูบ้างสิ!?
?หนูก็อยากดูเมล็ดพันธุ์เหมือนกัน!?
สายตาคาดหวังเป็นประกายส่งมา ราบิซายิ้มฝืดพลางส่ายหน้า
?เสียใจด้วยนะ ตอนนี้ยังไม่มีหรอก ข้าจะได้รับเมล็ดพันธุ์หลังผ่านพิธีแต่งตั้งแล้ว?
?แล้วกัน งั้นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นทูตล่ะ??
?แกจะบ้ารึไง หลักฐานเขาจะได้รับกันตอนพิธีแต่งตั้งโน่น?
?ข้ารู้ หลักฐานที่ว่าต้องใช้วิธีสักสินะ?
?อึ๋ย แล้วมันไม่เจ็บเหรอ?
?ได้ยินว่าเขาจะจุดกำยานที่ช่วยระงับความเจ็บให้ ก็คงยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้างแหละ แต่ไม่น่ากลัวหรอก!?
แถวๆ นั้นมีพวกเด็กสาวที่โตขึ้นมาหน่อยฟังอยู่ พวกเธอส่งเสียงแหลมเมื่อได้ยินคำพูดของราบิซา
?สมแล้วที่เป็นราบิซา ไม่เคยกลัวอะไรเอาซะเล้ย!?
?ถ้ามีแผลเป็นล่ะก็น่าสงสารแย่ อุตส่าห์มีผิวสวยทั้งที?
?สีที่ใช้ประมาณหนึ่งปีก็ลอกออกแล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ได้สักลึกขนาดนั้นหรอก....?
หลังกระแสฝูงคนอันสับสนวุ่นวายสงบลงแล้ว เธอค่อยเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับทะเลทรายระยะนี้ แผนที่พิเศษของทูตถูกกางลงบนพื้นพรม พวกผู้ใหญ่ที่เชี่ยวชาญเรื่องทะเลทรายถกเถียงกลับไปกลับมาเกี่ยวกับกำหนดการเดินทางของทูตที่จะไปทำธุระให้สวนศักดิ์สิทธิ์
?ถ้าตรงไปตามทางเส้นนี้ ถึงไปคนเดียวก็คงไม่ต้องห่วงอันตรายอะไร?
บรรดาลุงๆ พยักหน้าให้กัน ในท้ายที่สุดก็หาข้อยุติได้
?เพียงแต่ ยังไงๆ ก็ต้องระวังพวกโจรอยู่ดีนั่นล่ะ?
?แต่ช่วงนี้เขาลือกันว่าโจรน้อยลงนะ?
?ก็จริงอยู่ แต่นั่นเป็นเพราะอิทธิพลจากกองกำลังพายุทรายต่างหาก ตอนนี้ทะเลทรายตอนกลางรอบๆ คาวุลเป็นอาณาเขตของพวกมัน ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเคลื่อนไหวจะโดนเพ่งเล็งเสียเปล่าๆ ได้ยินว่าหลายปีมานี้วิธีการของพวกมันป่าเถื่อนมากขึ้น เขาลือกันด้วยว่ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าแล้ว....?
?ระวังตัวด้วยล่ะ โจรพวกอื่นถึงจะเลวยังไงก็เป็นชาวทะเลทราย คงไม่คิดทำร้ายทูตหรอก แต่พวกมันนี่สิ....?
?....อื้อ มันทำร้ายทูตคนก่อนด้วยนี่นะ....?
....กองกำลังพายุทราย กลางทะเลทรายมีโจรมากมาย แต่โจรที่มีประวัติและชื่อเสียงกระฉ่อนขนาดนี้คงมีแต่พวกเขาเท่านั้น มีเรื่องเล่าขานกึ่งตำนานว่า พวกเขาพิเศษอยู่เหนือใครๆ เพราะอาศัยความร่วมแรงร่วมใจผนวกกับกำลังการต่อสู้ปราบกองโจรอื่นๆ เสียราบคาบ
ว่ากันว่าพวกเขาไม่ใช่กองโจรธรรมดา แต่เป็นชนเผ่าโจร
ที่เรียกอย่างนั้นเพราะฐานที่มั่นของพวกเขาคือเมืองทั้งเมือง มีชื่อว่า ?เมืองพายุทราย? ผู้คนที่เกิดในเมืองนี้ใช้ชีวิตเป็นโจรสืบเนื่องนานมาตั้งแต่สมัยก่อนมีการจารึกในประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าชื่อกองกำลังมีที่มาจากชื่อเมือง บ้างก็ว่ามาจากการเคลื่อนย้ายที่ในเวลาเกิดพายุทราย
รอบๆ เมืองมีพายุทรายรุนแรงพัดผ่านช่วยป้องกันการบุกรุกจากคนภายนอก ส่วนตัวเมืองตั้งอยู่บนแผ่นดินแห้งแล้งผืนใหญ่บริเวณชายขอบทะเลทรายตอนกลางห่างออกไปทางด้านทิศตะวันออกของคาวุล
ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้เมืองนั้นเพราะกลัวถูกช่วงชิงทรัพย์สิน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ตำแหน่งเมืองที่แน่ชัด ทุกคนรู้เพียงว่ามีเมืองนั้นอยู่จริงเท่านั้น
?ได้ยินว่าถ้าถูกโจมตีล่ะก็ หมดหนทางสู้เชียวแหละ?
?เราคงไม่มีเงินกับกำลังคนพอปราบกองโจรใหญ่ๆ หรอก แย่ชะมัด?
พวกผู้ใหญ่ขมวดคิ้วพูดคุย ทว่าน้ำเสียงฟังดูเหมือนพูดเรื่องสบายๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองมากกว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในทะเลทรายตอนกลางมีเมืองและหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นและอยู่ได้จากน้ำที่คาวุลแบ่งปันให้ ถ้าคาวุลหายไปจากทะเลทรายแห่งนี้ พวกโจรก็เดือดร้อนเช่นกัน ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่ในคาวุลจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องโจรเลยแม้แต่น้อย
สมัยก่อนต้นซิมซิมไม่ใช่ของแปลกประหลาด แต่บัดนี้คาวุลเป็นเมืองเดียวที่มีต้นซิมซิมและน้ำพุไว้ในครอบครอง ในทะเลทรายผืนนี้คงไม่มีใครหน้าไหนที่จะโง่พอโจมตีเมืองนี้
นอกจากนี้คาวุลยังมีกองกำลังป้องกันตนเองด้วย ในกองกำลังป้องกันตนเองประกอบไปด้วยพวกผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งจากเมืองหรือหมู่บ้านที่ร่วมทำสนธิสัญญาชลประทาน ฝ่ายคาวุลจะแบ่งปันน้ำให้เมืองที่ร่วมทำสัญญาและส่งคนดูแลสวนไปจัดตั้งสวนศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยเพื่อตอบแทนที่ส่งพวกผู้ชายมาทำหน้าที่
ที่สวนศักดิ์สิทธิ์สาขาย่อยจัดสอนการขุดบ่อ การเพาะปลูกธัญพืช ฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถดูแลเลี้ยงดูซิมซิมได้ในอนาคต และจัดบริการทางการแพทย์ เป็นต้น เปลือกไม้และใบของซิมซิมมีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง ดังนั้นสวนศักดิ์สิทธิ์จึงมีบทบาทสำคัญในสาขาการแพทย์ด้วย
ผืนดินศักดิ์สิทธิ์ได้รับการคุ้มครองผ่านวันเวลาอันยาวนานด้วยกระบวนการนี้ ผู้คนต่างถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
?เอาเป็นว่าข้าจะระวังพวกโจรให้มากๆ ละกัน ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าฝึกฝนการใช้ดาบมาแล้ว การบังคับริกูก็ชำนาญรองลงมาจากท่านพี่ ถ้าพวกกองกำลังพายุทรายโผล่มาล่ะก็ ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพี่เอง!?
ราบิซาชูกำปั้นหวังให้พวกผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ สบายใจ เสียงเชียร์ดังลั่นภายในร้าน ส่งผลให้งานเลี้ยงยิ่งคึกคักมากขึ้น
ตะวันตกดินแล้ว แต่ราบิซายังคงร่วมในงานเลี้ยงรอจนถึงเวลาเข้าพิธีแต่งตั้ง

*****

สายลมที่เสมือนกับลางร้ายก่อตัวขึ้นที่เมืองซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปจากคาวุล
อาทิตย์ยามอัสดงย้อมสีผืนทรายให้กลายเป็นสีแดง เมืองนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงสดดูสวยงาม ทว่าไม่อาจปกปิดกลิ่นเลือดที่ลอยคลุ้งอยู่ได้
ในกระท่อมอิฐดินเหนียวตากแห้งนอกเมือง ชายคนหนึ่งปล่อยผมสีเทายาวถึงเอวเงียบมองแผ่นหนังสัตว์ที่อยู่ในมือ เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่สวมผ้าโพกหัวสีดำและปกปิดใบหน้า ที่พื้นใกล้ๆ กับบริเวณที่เขายืนอยู่มีชายหนุ่มคนหนึ่งนอนราบทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่ เสื้อคลุมยาวสีเขียวที่ห่อหุ้มตัวเขาบางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นสีดำจากโลหิตที่ทะลักออกจากบาดแผล
พอผู้ชายผมสีเทาไล่สายตาอ่านข้อความบนแผ่นหนังจบ ริมฝีปากบางก็เผยอยิ้ม
?อืม คิดถูกแล้วที่ชิงลงมือก่อน นี่เป็นจดหมายจากคาวุล ดูเหมือนที่นี่จะเป็นเมืองที่สามที่ทูตจะผ่านมา?
บรรดาคนที่ใช้ผ้าโพกหัวสีดำคลุมปกปิดใบหน้าขยับตัวหันมาสบสายตากัน ทูตกำลังจะออกเดินทาง หมายความว่าโอกาสแก้ตัวจากความล้มเหลวเมื่อห้าปีก่อนเวียนมาถึงแล้ว
?หัวหน้า ในเมื่อรู้วันออกเดินทางแล้ว เราน่าจะพอมีวิธีไปดักรอได้นะ?
?ฮึ ดักรอ ข้าไม่ชอบใช้วิธีอ้อมโลกแบบนั้นหรอก?
ชายคนนั้นมองคนที่ออกความเห็น เขาพ่นลมหายใจ ดวงตาเปล่งประกายท้าทาย
?คราวนี้เราจะชิงลงมือก่อน ....เราจะบุกคาวุลกัน?
เสียงแตกฮือดังขึ้น หัวหน้าผมสีเทายกมือปรามพวกลูกน้องที่เกิดอาการหวั่นไหวก่อนจะเอ่ยต่อ
?ข้ารู้ การโจมตีคาวุลให้ราบเป็นหน้ากลองนั้นไม่สามารถทำจริงๆ ได้ มันช่างน่าโมโหนักที่พวกเรามีกำลังคนน้อยกว่าพวกโง่คาวุล และถึงโจมตีให้พังพินาศได้แต่ถ้าน้ำเหือดแห้งไปก็พังกันทั้งคู่ ที่บอกว่าจะโจมตี ข้าหมายถึงเราจะเล็งเป้าไปที่ทูตซึ่งมีเมล็ดพันธุ์เท่านั้น?
บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เขาค่อยๆ ยืดอก ท่ามกลางบรรยากาศความลังเล
?เรื่องรูปร่างหน้าตากับที่อยู่ของทูตไว้ค่อยสืบทีหลัง ลุยซึ่งๆ หน้าเข้าไปแสดงพลังให้พวกมันเห็นกัน?
?แต่....ตรงประตูใหญ่มีพวกกองกำลังป้องกันตนเองอยู่กันยุ่บยั่บ ยิ่งใกล้ช่วงทูตจะออกเดินทางแล้วด้วย?
?ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิถึงยิ่งต้องลงมือ ถ้าแสดงให้เห็นว่าเราโจมตีพวกขยะกองกำลังป้องกันตนเองให้แตกกระเจิงได้อย่างง่ายดาย พวกเคยชินกับความสงบสุขอย่างคาวุลเองก็ต้องหวาดกลัวขึ้นมาบ้างล่ะ ต่อไปเราจะได้ได้เปรียบในการเจรจาต่อรอง สถานการณ์ตอนนี้ต่างกับสมัยหัวหน้ารุ่นก่อนเมื่อห้าปีที่แล้ว พวกเราในตอนนี้สามารถทำได้ จริงไหม??
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ในแววตาของกลุ่มคนที่ใช้ผ้าโพกหัวดำคลุมหน้าเจือไปด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชังขณะมองชายผู้เป็นหัวหน้า
หนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นปลดผ้าโพกหัวส่วนที่คลุมใบหน้าออกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
?คายัล จะใช้พลังของอมนุษย์ตนนั้น....อย่างนั้นหรือ??
ชายผมสีเทา....คายัลหันไปหาต้นเสียง เขาตีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย ความน่าเกรงขามของคนเป็นหัวหน้าทำให้ดวงตาดูดุดัน
?แล้วยังไงล่ะ? ถ้าไม่ใช้พลังก็ไร้ความหมาย เราจะโจมตีกันคืนนี้ ไปเตรียมตัวได้แล้ว?
คายัลโยนจดหมายหนังสัตว์ในมือทิ้งไปเบื้องหลังโดยไม่ไยดี เขากวาดตามองพวกผู้ชายในห้องราวกับจะสำแดงอำนาจของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์
?มีอีกเรื่องที่จะบอกไว้ก่อน ถ้าไอ้หมอนั่นโผล่มาล่ะก็ ฆ่ามันซะ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้านั่นมันก็รังแต่จะขัดขวางพวกเราเท่านั้น ใครที่นึกสงสารมันขึ้นมา จะถือว่าคนคนนั้นเป็นคนทรยศ?
ความตึงเครียดครั้งใหม่เกิดขึ้นในห้อง ชายที่เอ่ยทักคายัลเมื่อครู่ถามอีกครั้ง
?หมอนั่นที่ว่า.... หมายถึง ?คืนจันทร์ฉาย? สินะ?
?นอกจากมันแล้วจะเป็นใครได้อีก?
คายัลหัวเราะหยันก่อนเดินลิ่วออกจากกระท่อมไป พวกผู้ชายที่ปิดหน้าปิดตาด้วยผ้าโพกหัวสีดำต่างมองหน้ากันไปมาก่อนจะเดินตามออกไป
ช่วงกลางวันที่ปกคลุมไปด้วยแสงสว่างและความร้อนกำลังจากไป ส่งต่อให้กลางคืนอันมืดมิดและหนาวเหน็บที่กำลังเข้ามาโอบล้อมทะเลทรายแทน

ในเวลาเดียวกัน บริเวณแถวๆ ประตูเมืองคาวุลซึ่งทำจากหินแข็งแรงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย
?ก็บอกไปแล้วไง! นะ ขอร้องล่ะ?
ชายหนุ่มคนหนึ่งโค้งตัวลงต่ำพยายามขอร้องเรื่องบางอย่างกับคนเฝ้าประตูที่ทำสีหน้าลำบากใจ
?แค่แป๊บเดียวเอง! ท่านผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านวานให้ข้าเอาของพวกนี้มามอบให้ท่านทูตน่ะ อ๊ะ ข้าไม่ได้จะติดสินบนหรอกนะ! หมู่บ้านของข้าอธิษฐานจากก้นบึ้งของหัวใจ ขอให้ท่านทูตเดินทางโดยสวัสดิภาพจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก!?
?ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ....?
คนเฝ้าประตูทั้งสองมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความรู้สึกสองอย่าง อันได้แก่ ความสงสารและรำคาญผสมปนเปกัน
?ขอร้องล่ะ! ข้าถูกสั่งมาว่าห้ามกลับจนกว่าจะส่งของให้ท่านทูตด้วยตัวเองน่ะ! คิดดู จะมีใครเอาของแบบนี้มาล้อเล่นกัน??
ชายหนุ่มโชว์ห่อผ้าสีขาวที่เก็บไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม เมื่อหยิบห่อผ้าที่เหมือนมีของบางอย่างบรรจุอยู่ภายในออกมาตรงหน้าแล้ว เขาก็เริ่มบรรจงคลี่ผ้าออก คนเฝ้าประตูหลงมองตามด้วยความสนใจใคร่รู้ พอเห็นของที่อยู่ข้างใน พวกเขาถึงกับลืมตัวส่งเสียงกลืนน้ำลาย
ฝักและด้ามทองคำล้อมกรอบด้วยเงิน มีการฝังอัญมณีหลากหลายชนิด อาทิ คริสตัล เบริล และไข่มุกที่เล่นเอาตาพร่ามัว ของสิ่งนี้คือดาบล้ำค่านั่นเอง พอลองสังเกตดูดีๆ ผ้าสีขาวที่ใช้ห่อดาบเองก็ทำมาจากผ้าไหม เป็นของดีมีราคาเช่นกัน
?ดาบเล่มนี้เป็นสมบัติที่มีประวัติเล่าสืบต่อกันมาในหมู่บ้านของข้า ผู้ที่มีไว้ในครอบครองจะได้รับการคุ้มครองจากญิน....เป็นของที่คู่ควรกับท่านทูตจริงไหม? อ๊ะ ถ้ายังไงข้ายกอัญมณีสักเม็ดสองเม็ดให้พวกท่านเป็นการตอบแทนก็ได้....?
คนเฝ้าประตูเกือบลืมตัวพยักหน้ารับ ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้
?มะ ไม่ได้ๆ! วันนี้ไม่ว่าจะมีธุระอะไรก็ให้คนนอกเข้ามาในเมืองไม่ได้ โทษทีนะ ก็เห็นใจอยู่หรอก แต่เรื่องนี้พวกข้าช่วยไม่ได้จริงๆ....?
หลังจากนั้นไม่ว่าจะต่อรองหรือตื๊อเท่าไหร่ก็ไร้ผล ชายหนุ่มจำต้องถอยฉากไปอย่างหงอยๆ ขณะกอดดาบสวยหรูไว้กับอกเสื้อ
ชายหนุ่มหันหลังให้คนเฝ้าประตูด้วยอาการเศร้าซึม ทว่าประกายตากลับลุกวาว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับสีท้องฟ้าทิศตะวันออกยามดาวเริ่มเปล่งประกายของเขากลอกไปมารวดเร็วเพื่อจับตาดูสภาพการณ์โดยรอบ ผมที่โผล่พ้นผ้าโพกหัวสีขาวที่พันไว้ลวกๆ มีสีกลมกลืนไปกับท้องฟ้ายามราตรีเช่นเดียวกับดวงตา
?เฮอะ ฝึกไว้ซะเชื่องเชียวนะ ไม่เลวนี่?
ชายหนุ่มพึมพำในทำนองเหน็บแนม แล้วหยุดเท้าหันหลังกลับไปทางประตูที่อยู่เบื้องหลัง
ประตูใหญ่คาวุลเป็นทางเข้าเพียงทางเดียวที่เชื่อมโลกภายนอกกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วยกัน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ?ประตูยักษ์? ตรงขอบประตูมีรูปปั้นสีขาวขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ตามชื่อเรียก
รูปปั้นบุรุษผู้น่าเกรงขามจ้องตรงไปทางทิศตะวันออก เขาคือผู้ใช้ญินที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรซึ่งถูกเล่าขานสืบต่อกันมาในบันทึกยุคสร้างคาวุล
ครั้งหนึ่งเมื่อเมืองตกอยู่ในอันตราย เขาถวายลิ้นของตัวเองให้แด่ทะเลทราย และขับไล่ภัยพิบัติให้ไปทางทิศตะวันออก คาวุลจึงกลับมาสงบสุขดังเดิม ดูเหมือนว่ารูปปั้นที่อ้าปากกว้างก็ไม่มีลิ้นเช่นกัน
?รสนิยมไม่ได้เรื่องเอาซะเล้ย?
ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายกับผู้พิทักษ์แห่งคาวุล ก่อนเริ่มออกเดินมุ่งตรงไปยังบริเวณรอบๆ ประตูซึ่งมีดวงไฟสว่างกระจายเป็นจุดๆ บริเวณนั้นพวกผู้ชายที่ทำงานสังกัดกองกำลังป้องกันตนเองกางกระโจมสร้างเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมๆ
เขาตัดสินใจปลอมตัวเป็นกองกำลังป้องกันตนเอง หลังจากเดินวนหาคนตามกระโจมต่างๆ สักพัก ในที่สุดเขาก็เล็งผู้ชายท่าทางอัธยาศัยดีที่กำลังเตรียมจุดไฟสำหรับทำอาหาร
?ลุงๆ ข้าเพิ่งมาใหม่วันนี้เลยยังไม่ค่อยรู้ที่รู้ทางน่ะ จะให้ข้านอนตรงไหนได้บ้าง??
?ส่วนใหญ่กระโจมจะสร้างเป็นเหมือนอาณาเขตของคนที่มาจากถิ่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้กำหนดตายตัวหรอก เลือกเอาตามใจชอบเถอะ ยังหนุ่มอยู่แท้ๆ กล้าหาญซะจริง ชื่ออะไรล่ะเรา? มาจากที่ไหน?
?ข้าชื่อจิเซ็ต บ้านเกิดอยู่ทางตะวันออกโน่นแน่ะ?
จิเซ็ตเขยิบเข้าใกล้กองไฟด้วยท่าทางเป็นมิตร แล้วแหงนมองท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ท่าทางเหมือนคิดถึงบ้านเกิด
?ถ้ายังไม่ได้กินข้าวก็รีบกินซะล่ะ คืนนี้ยังอีกนาน กินให้อิ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้?
?อีกนาน มีเรื่องอะไรงั้นรึ??
?หืม มันเพิ่งมาใหม่จริงๆ แฮะ ท่านทูตจะออกเดินทางก่อนฟ้าสางไงล่ะ?
?อ๋อ....พรุ่งนี้จริงๆ ด้วยสินะ?
ดวงตาสีรัตติกาลแฝงแววเจ้าเล่ห์หรี่ลงเล็กน้อย
?ท่านทูตปีนี้เป็นคนแบบไหนเหรอ? ทูตคราวก่อนดูท่าทางเป็นคนน่าเลื่อมใสดีนะ?
พอถูกถามเข้า ผู้ชายคนนั้นก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งพลางเอียงคอสงสัย
?ไม่รู้สิ ถ้าไม่โดดงาน ตอนเช้ามืดก็คงได้เห็นตัวหรอก?
จิเซ็ตมองผู้ชายที่เริ่มแล่เนื้อตากแห้งลงไปในหม้ออยู่สักพัก จากนั้นไม่นานเขาก็ทำท่ายักไหล่
(ดูเหมือนเราจะไม่ถูกสงสัยสินะ ไม่รู้จริงๆ หรือนี่ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ข้อมูลของทูตก่อนอยู่หรอก แต่....เอาเถอะ รีบร้อนไปก็เท่านั้น)
จิเซ็ตนั่งล้อมรอบหม้อกับพวกผู้ชายที่เริ่มทยอยมารวมตัว เขาตักซุปเนื้อกับถั่วพลางลองถามโดยระวังไม่ให้ผิดสังเกต
?กองกำลังป้องกันตนเองดูแลแค่ประตูยักษ์เท่านั้นพอเหรอ? แล้วประตูอื่นล่ะ??
?แกนี่มันบ้านนอกจริงๆ เลย?
ชายวัยกลางคนที่นั่งหันหลังให้หัวเราะลั่น ก่อนบอกด้วยภาษาถิ่น
?ถ้าพูดถึงคาวุล มันก็ต้องประตูยักษ์ทิศตะวันออกสิ ด้านอื่นมีประตูฉุกเฉินก็จริง แต่ก็ใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้นแหละ?
?งั้นถ้าเกิดเหตุร้าย ประตูตรงนั้นถูกโจมตีขึ้นมาก็แย่น่ะสิ?
?เอาน่า ช่างมันก่อนเถอะ ไว้เกิดเหตุฉุกเฉินแล้วค่อยว่ากันอีกที?
พวกผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆ พากันเอ่ยว่า ?ช่ายๆ? เห็นด้วยกับชายที่ส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
สายตาจิเซ็ตแหงนดูท้องฟ้า เขาแอบถอนหายใจสั้นๆ ใต้เงาของผ้าโพกหัว
ไม่ทันไรดวงจันทร์ที่เปล่งประกายสีเงินก็ผุดขึ้นบนท้องฟ้าที่มีสีฟ้าเข้ม

*****

พิธีแต่งตั้งจะเสร็จสมบูรณ์ลงได้ก็ต่อเมื่อมีการสักตราสัญลักษณ์ทูตไว้ที่หลังมือ
ตราสัญลักษณ์ทูตใช้เมล็ดพันธุ์ซิมซิมเป็นภาพต้นแบบ เมื่อตราสัญลักษณ์ทูตปรากฏบนหลังมือขวาแล้ว ราบิซาก็กลายเป็นผู้คุ้มครองเมล็ดพันธุ์อย่างเต็มตัว ขณะกำลังนั่งบนเตียงในห้องส่วนตัว เหม่อมองแผนที่ทะเลทราย เธอแขวนถุงสีเขียวเข้มใบจิ๋วซึ่งบรรจุเมล็ดพันธุ์ซิมซิมไว้ที่คอ แต่มันซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าจึงมองไม่เห็น
หลังจากเข้ารับการแต่งตั้งและรับฝากเมล็ดพันธุ์แล้ว ทูตจะถูกห้ามออกไปภายนอก ไม่สามารถพบปะใครได้ทั้งสิ้นจนกว่าจะถึงเช้าวันออกเดินทาง ราบิซาไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษ อันที่จริง หนทางที่ดีที่สุดคือ ตระเตรียมความพร้อมสำหรับวันข้างหน้าเสร็จแล้วค่อยนอน แต่เธอยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเลยด้วยซ้ำ
เฮ้อ ค่ำคืนนี้ราบิซาทอดถอนใจหลายต่อหลายหน
?อยากคืนดีกับท่านพี่ก่อนออกเดินทางจัง....?
คนที่อยู่เป็นสักขีพยานในพิธีแต่งตั้งได้มีเพียงหัวหน้าสวนและนักสักเท่านั้น หากออกเดินทางแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่นี่อีก
....แค่ไปพบคนในครอบครัว ขอแวบออกไปแป๊บเดียว คงไม่ว่าอะไรล่ะมั้ง
ขณะอดรนทนไม่ได้จนผุดความคิดเข้าข้างตนเองขึ้นมาในหัว ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ จากนั้นเสียงคุ้นเคยก็เอ่ยเรียกอย่างเกรงใจ
?ราบิซา พี่เอง?
?อ๊ะ....!? พอเด้งตัวขึ้นจากเตียงไปเปิดประตู ราบิซาก็เห็นฮาดิคยืนอยู่ตรงนั้น เขาใช้ไม้เท้าสองอันพยุงร่างตัวเอง สีหน้าดูทรมานเหมือนจะล้มพับไปเสียให้ได้
?ท่านพี่! มาที่นี่คนเดียวรึ? ประตูสวนศักดิ์สิทธิ์ยังเปิดอยู่เหรอ??
?เพื่อนร่วมงานที่อยู่เวรกลางคืนช่วยเปิดให้น่ะ พี่บอกเขาไปว่ามันโหดร้ายเกินไปถ้าไม่ได้พบกันอีกทั้งๆ ยังทะเลาะกันอยู่อย่างนี้?
พอฮาดิคเข้ามาในห้องโดยมีน้องสาวคอยช่วยพยุงแล้ว เขาเกริ่นเข้าเรื่องทันที
?ราบิซา พี่ขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกลางวัน พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจเจ้าหรอก พี่อยากให้เข้าใจว่า พี่ไม่ได้คัดค้านหรือเป็นห่วงเจ้าโดยไร้เหตุผลหรอกนะ?
ราบิซารีบพยักหน้าหงึก แล้วพาพี่ชายไปนั่งบนเตียงหิน
?ข้ารู้ ก็ท่านพี่เป็นคนที่รู้รสความทรมานจากการเดินทางของทูตดีที่สุดนี่นา ช่วงที่ท่านพี่อยู่ระหว่างการเดินทาง ข้าเองก็เป็นห่วงมาก ข้า ท่านแม่และไอเชเลยอธิษฐานกับญินทุกวันขอให้ท่านพี่ปลอดภัย!?
ภาพมารดาผุดขึ้นมาในสมองแวบหนึ่ง บัดนี้ภาพนั้นกลายเป็นความทรงจำที่ชวนให้ระลึกถึง
ญิน คือ สิ่งที่กินพลังชีวิตของมนุษย์และคอยทำนุบำรุงธรรมชาติ มันสิงสถิตอยู่ในแหล่งกำเนิดชีวิต อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ สัตว์ที่เลี้ยงไว้กินหญ้า คนกินสัตว์ที่เลี้ยงไว้ ญินกินพลังชีวิตคน ญินทำนุบำรุงธรรมชาติ หญ้าเติบโตท่ามกลางธรรมชาติ โลกดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยวงจรเช่นนี้ สิ่งที่ไม่ได้แทรกรวมอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของวงจรนี้เลย และแยกตัวออกไปต่างหากก็มีเหมือนกัน แต่ตราบใดที่ดำเนินชีวิตตามปกติก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
ว่ากันว่าคำอธิษฐานอันแรงกล้าจะดึงดูดญิน ซึ่งน่าจะมีสาเหตุจากยามตั้งจิตอธิษฐานอย่างมุ่งมั่น พลังชีวิตของคนจะเอ่อล้นออกมา ญินจะตอบสนองต่อคำอธิษฐานของมนุษย์เพื่อแลกเปลี่ยนกับการกินพลังชีวิต สรุปก็คือ ยิ่งอธิษฐานอย่างแรงกล้ามากเท่าไหร่ โอกาสที่ญินจะช่วยก็เพิ่มสูงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ เวลาชาวทะเลทรายมีความปรารถนาอะไรสักอย่างจะเริ่มจากการอธิษฐานกับญินเป็นอันดับแรก
?ที่พี่รอดชีวิตมาได้ คงเพราะพวกเจ้านั่นแหละ ขอบใจนะ?
?เห็นไหมล่ะ? เพราะงั้น ถ้าท่านพี่กับไอเชช่วยกันอธิษฐาน ข้าเองก็ต้องปลอดภัยเหมือนกัน!?
คำพูดของราบิซาฟังดูฮึกเหิม ทว่ารอยยิ้มของฮาดิคแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าหมอง
?....ความอ่อนโยนและความอ่อนแอ ความสุขและความโง่เขลา บางครั้งก็มีความหมายเดียวกันนะ ราบิซา?
ราบิซาทำท่าเอียงคอสงสัย ไม่เข้าใจว่าพี่ชายต้องการจะพูดอะไร
ฮาดิคลูบขาตนเองที่มีเสื้อผ้าคลุมทับอยู่ พลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
?เมื่อออกเดินทางในฐานะทูต ภัยอันตรายคงมาเยือนเจ้าเป็นแน่แท้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะทำยังไง? จะแก้ไขสถานการณ์ในฐานะทูต ฐานะน้องสาวของพี่ หรือว่าในฐานะราบิซาตัวคนเดียว....สักวันเจ้าจะต้องนึกลังเล เจ้าอ่อนโยนและมีความสุขกว่าที่ตัวเองคิดไว้?
ราบิซาไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก รู้สึกเหมือนพี่ชายเป็นห่วงจนเกินเหตุ
?ข้าไม่หวั่นกับภัยอันตรายหรอก ถ้าเจอพวกโจร ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพี่เอง! ข้าฝึกปรือฝีมือมาก็เพื่อการนั้น!?
ฮาดิคกลับมายิ้มน้อยๆ อีกครั้ง ทว่าเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ
?พอออกเดินทาง เจ้าจะได้เห็นโลกกว้าง คงได้รู้ว่าแมงป่องก็มีวิถีของแมงป่อง ริกูก็มีวิถีของริกู ....เจ้าเฉลียวฉลาดแต่ยังอ่อนต่อโลกนัก แล้วอีกอย่าง....?
ฮาดิคเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเรียบเรียงคำพูดออกมา
?....ราบิซา เจ้าชอบคาวุลหรือเปล่า??
?มันแน่อยู่แล้ว ที่นี่เป็นเมืองที่ข้าเกิดและเติบโตมานี่นา?
แม้จะงุนงงกับคำถามที่ไม่คาดคิด แต่ราบิซาก็พยักหน้ารับแข็งขัน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คาวุลเป็นจุดศูนย์รวมความเคารพเทิดทูนและความหลงใหลใฝ่ฝันของท้องทะเลทราย ไม่มีวันใดเลยที่เธอจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เกิดในเมืองซึ่งมีซิมซิมไว้ในครอบครองแห่งนี้
ฮาดิคมองตรงมาที่ราบิซา ยังคงถามคำถามต่อเนื่อง
?ต่อให้ซิมซิมเฉาตายงั้นรึ??
?หา....? เธอเบิกตาโต พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
?พูดอะไรน่ะท่านพี่! ต้นซิมซิมแห่งคาวุลไม่มีทางเหี่ยวเฉาได้หรอก....?
แต่ฮาดิคเป็นผู้ชายที่มีนิสัยจริงจัง เขาไม่มีวันยกตัวอย่างเรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้ และไม่พูดเกินจริงเป็นอันขาด
ราบิซารู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้นมากะทันหัน หวั่นวิตกกับเรื่องที่คุยมากยิ่งขึ้น
?อ๊ะ หรือว่า เป็นห่วงเพราะจำนวนเมล็ดพันธุ์ลดลงทุกๆ ปี ท่านพี่คิดว่านี่อาจเป็นเมล็ดพันธุ์สุดท้ายเลยเป็นห่วงสินะว่าข้าจะทำสำเร็จไหม จะปกป้องเมล็ดพันธุ์ได้รึเปล่า....?
ระหว่างที่พูดหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัว รู้สึกคล้ายถูกพี่ชายมองทะลุปรุโปร่งเห็นความกังวลที่แอบซ่อนไว้แนบเนียนใต้ก้นบึ้งของจิตใจ
เมืองที่แล้งฝนจนบ่อน้ำแห้งขอดและถูกทิ้งร้างมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ราบิซาได้ยินข่าวลือลอยมาตามลมว่า พลเมืองส่วนใหญ่ที่กระจัดกระจายกันไปเพื่อแสวงหาผืนดินสำหรับลงหลักปักฐาน บัดนี้ก็ยังคงร่อนเร่อยู่กลางทะเลทราย
(หากมีต้นซิมซิมอยู่ล่ะก็....) เมื่อได้ยินข่าวลือชวนหดหู่ที่ว่า ชาวทะเลทรายย่อมเกิดความคิดเช่นนั้นแทบจะเหมือนกันหมด ซิมซิมคือความหวังอันยิ่งใหญ่ของทะเลทราย ภาระหน้าที่ของราบิซาใหญ่หลวงนัก
ระหว่างที่ราบิซากุมกระชับเมล็ดพันธุ์อย่างลืมตัวพลางก้มหน้าคอตก ฮาดิคส่งสายตาลังเลไปยังน้องสาวชั่วครู่ แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เลิกปากหนักยอมปริปากพูด
?ราบิซา พี่มีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าให้รู้ไว้?
ทันใดนั้น เสียงไม่คุ้นหูฟังคล้ายสัตว์คำรามทุ้มต่ำแว่วดังมาจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ บานหน้าต่างปิดไว้เพียงครึ่งเดียวเพื่อรับแสงจากภายนอก
?อะไรน่ะ??
ชั่วขณะที่ราบิซาเขยิบเข้าใกล้หน้าต่างแล้วเอื้อมมือไปจับบานหน้าต่าง ด้วยหมายจะตรวจสอบหาว่าเสียงต่ำชวนให้หวั่นวิตกนั้นมาจากแห่งหนใด สายลมอุ่นก็พัดแทรกเข้ามาในห้องวูบหนึ่ง....
กระแสลมแรงที่มาเยือนกะทันหันพัดโหมกระหน่ำ

ภายในกระโจมของกองกำลังป้องกันตนเอง ดวงตาสีรัตติกาลมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุอาเพศโดยฉับพลัน
....หรือว่า!
จิเซ็ตดีดตัวลุกจากผืนทรายที่ใช้ล้มตัวลงนอนอยู่เมื่อครู่ จดจ้องจับตามองท้องฟ้าทิศตะวันออก ภาพขณะเขากลอกตาไปมาเพื่อสังเกตการณ์บรรยากาศรอบตัวและสภาพของสิ่งอื่นๆ ราวกับถอดแบบจากพฤติกรรมสัตว์ป่ายามล่าเหยื่อที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจพบได้
พอจิเซ็ตเปลี่ยนท่าทีชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากท่าทางเซื่องๆ ก่อนหน้านี้ เปลี่ยนมาลุกขึ้นอย่างว่องไว และเริ่มจ้องมองท้องฟ้าทิศตะวันออก พวกผู้ชายที่อยู่แถวนั้นก็มองเขาด้วยสายตาสงสัย
?มีอะไรรึ เจ้าหนุ่ม ฝันหรือยังไง??
?พายุทรายกำลังมา?
จิเซ็ตตอบสั้นๆ ก่อนจะวิ่งกระโจนมุ่งตรงไปยังประตูเมืองคาวุลในทันใด โดยมีพวกผู้ชายมองตามอย่างงุนงงชั่วขณะ ต่อมาไม่นาน ชายคนหนึ่งเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า แล้วทำหน้าเหวอด้วยความตกตะลึง
?เฮ้ย! นั่นมันกำแพงอะไรน่ะ!?
บนท้องฟ้าสีดำมืดมิดมีเหล่าดวงดาวประดับประดา ความมืดบนท้องฟ้านั้นกำลังดูดกลืนดวงดาวที่ส่องประกาย โดยไล่เรียงจากทิศตะวันออก ราวกับเมฆดำขนาดยักษ์ลอยลงมาสู่พื้นโลก แล้วกลายสภาพเป็นกำแพงเชื่อมระหว่างผืนดินกับท้องฟ้า กำลังทำท่าจะบดขยี้ผืนทะเลทรายทั้งหมด เขาไม่มีทางตาฝาด....
?พะ พายุทราย! พายุทรายยักษ์!?
?ตอนกลางดึกอย่างนี้เนี่ยนะ? ตอนกลางคืนญินจะสงบลงนี่นา....หรือว่า?
ฉับพลัน ริกูที่ล่ามรวมกันไว้ตรงบริเวณห่างจากกระโจมเล็กน้อยเริ่มตื่นอาละวาดราวบ้าคลั่ง กระแสความร้อนที่ชวนให้หงุดหงิดแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทรายเม็ดละเอียดยากต่อการป้องกันเริ่มเข้าโจมตีโดยถือว่าข้าวของทุกอย่างเป็นสิ่งกีดขวาง
?หรือว่า มันไม่ใช่พายุทรายตามธรรมชาติ....??
โชคร้ายที่คำพูดที่ใครบางคนพึมพำขึ้นมานั้นถูกเผงตามความเป็นจริง
หลังจากจิเซ็ตวิ่งบนผืนทรายเร็วรี่อย่างน่าประหลาดใจจนมาถึงประตูเมือง เขาตะโกนด่าว่ายามรักษาการณ์ที่เยี่ยมหน้าออกมาถามธุระอย่างสบายอารมณ์
?มองไม่เห็นไอ้นั่นเหรอ! รีบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ชาวเมืองรู้เร็วเข้า!?
ยามรักษาการณ์เพ่งตามองด้วยใบหน้าฉงน จนในที่สุดก็ค้นพบกำแพงมืดทะมึนแผ่กว้างบนท้องฟ้ายามราตรี แล้วอ้าปากหวอเต็มที่ ต่อจากนั้น เขามองไปรอบๆ ป้อมยาม สีหน้าเหมือนตื่นขึ้นมาทันใด ท้ายที่สุดก็หาแตรเขาสัตว์สำหรับใช้ส่งสัญญาณเตือนภัยพบ มันกลายสภาพเป็นของประดับฝาผนัง ไม่ได้ใช้งานมานานหลายปีดีดัก เขากระชากมันออกมาถือไว้ แล้วสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด

ราบิซาจะสามารถหลบการโจมตีจากกองโจร "พายุทราย" และตามหาเมืองที่เหมาะแก่การปลูกเมล็ดพันธ์ุซิมซิมได้หรือไม่ ติดตามอ่านใน ตำนานอาณาจักรทะเลทราย ~เมล็ดพันธุ์แห่งสวรรค์~ ฉบับเต็ม หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=7862

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”