New Release : Ki(ss)dnapper สะดุดรักร้าย พลิกหัวใจให้ลงล็อค

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : Ki(ss)dnapper สะดุดรักร้าย พลิกหัวใจให้ลงล็อค

โพสต์ โดย Gals »

1

ออดดด!!
?หมดเวลาแล้ว นักศึกษาทุกคนวางปากกาลงได้?
อ๊าย เสียงนรกชัดๆ ฉันยังทำข้อสอบไม่เสร็จเลย อะไรกันนี่ แล้วคนอื่นๆ จะรีบเดินไปส่งข้อสอบทำไม ถ่วงเวลาให้ฉันบ้างสักนิดซี่ เอาไงเนี่ย A B C D เหอะๆ มั่วอีกละงานนี้
?ปาลิตา?
?แป๊บนะ ขอมั่วอีกสองข้อ จะเสร็จแล้ว? ฉันตอบส่งๆ ไปงั้น โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง ในใจก็คิดคำตอบอย่างเร่งรีบ ถึงจะต้องกามั่ว อย่างน้อยฉันขออ่านโจทย์บ้างก็ยังดี T^T
?ปาลิตา?
?เฮ้ย! แป๊บนึง? ฉันตอบแบบกระซิบกระซาบอีกรอบ อะไรนักหนา คนยิ่งรีบๆ ถ้าเสร็จแล้วก็เดินออกไปก่อนก็ได้นี่ จะมาเซ้าซี้เอาอะไร ?เออ เสร็จแล้ว...น่า?
ฉันลุกพรวดหวังจะเดินไปส่งข้อสอบเหมือนที่เพื่อนคนอื่นทำกัน แต่ทว่า...
?ยัยปาลิตา เธอโดนหักห้าคหะแนน โทษฐานทำข้อสอบเกินเวลา?
O_O เฮือก! นี่แสดงว่าคนที่ยืนเร่งฉันยิกๆ อยู่นี่ไม่ใช่ยัยมิ้นท์แต่เป็นอาจารย์หรอกเหรอ โอ้ มายก็อด~
?อาจารย์อุ่นเรือนขา นี่มันเพิ่งเกินเวลาไปแค่ห้านาทีเองนะคะ? ฉันทำหน้าสลด กะพริบตาปริบๆ ประดุจดั่งลูกแมวเพื่อขอความเห็นเห็นใจจากอาจารย์คุมสอบที่เป็นเจ้าของรายวิชาภาษาศาสตร์ที่ฉันเพิ่งจะมั่วข้อสอบไปเมื่อครู่นี้
?ห้านาทีของหล่อน ฉันก็ตรวจข้อสอบได้ห้าคนแล้วย่ะ ปล่อยแขนฉันได้แล้ว? อาจารย์อุ่นเรือนตวาด พลางสะบัดแขนเบาๆ ให้หลุดจากอุ้งมือแมวน้อยอย่างฉัน แต่อย่างว่าล่ะนะ ฉันยังออดอ้อนไม่เสร็จเลย ถ้าปล่อยไปแบบนี้ ห้าคะแนนที่ฉันอาจจะทำได้ในข้อสอบนั่นมีหวังสูญสลายแน่ๆ
ไม่ได้! ยังไงฉันก็ยังไม่ปล่อยหรอก
?โธ่! อาจารย์ขา หนูน่ะเรียนหนักม้าก...มาก แล้วไหนจะต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนอีก หนูยังไม่อยากติด F ในรายวิชาสุดท้ายก่อนไปฝึกงานหรอกนะคะ ส่งข้อสอบช้าไปนิดเดียว อาจารย์จะใจร้ายทำลายอนาคตของชาติได้ลงคอเชียวหรือคะ? แน้...ฉันนี่ทำน้ำตาคลอได้ด้วย น่าไปเป็นนางเอกละครนะเนี่ย
?ปล่อยฉัน ปาลิตา?
แต่แหม อาจารย์ก็ยังไม่ยอมฉันเสียที
?อาจารย์ขา...T^T?
?ปล่อย!?
?อาจารย์รับปากสิคะว่าจะไม่หักคะแนนหนู ถึงมันจะเป็นเพียงห้าคะแนน แต่มันก็อาจทำให้อนาคตของหนูต้องพังพินาศเลยนะคะ? ฉันยังคงออดอ้อนต่อไป พร้อมกับจ้องตาอาจารย์ผ่านเลนส์แว่นที่คาดว่าอาจจะหนาเกิน 2 เซนติเมตรนั่น หูย น่ากลัวชะมัด
?ก็ได้ ปล่อยฉันเสียที? อาจารย์อุ่นเรือนพูดแล้วก็กระชากแขนตัวเองออก ส่วนฉันเมื่อเห็นว่าอาจารย์ท่านรับปากแล้วก็เลยเผลอปล่อยมือในจังหวะนั้นพอดี เป็นผลให้ร่างท้วมที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันล้มโครมลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว
?ยัยปาลิด๊าาา...สิบคะแนน!?
พุทโธ ธัมโม สังโฆ อาจารย์ขา หนูไม่ได้ตั้งใจ ฮือ...TOT

พอออกจากห้องสอบมหาโหดนั่นได้ อาจารย์อุ่นเรือนก็เรียกฉันไปเทศน์ยกใหญ่ พร้อมกับสั่งให้ทำรายงานมาส่งก่อนประกาศผลสอบถ้าไม่อยากโดนหักคะแนน
เฮ้อ! แล้วปิดเทอมที่รอคอยของฉันก็ต้องยืดเวลาออกไปอีกใช่ไหมเนี่ย ปีสุดท้ายแล้วแท้ๆ แถมเทอมหน้าฉันก็ยังต้องฝึกงาน ไม่อยากจะคิดเล้ย ถ้าวิชานี้ฉันไม่ผ่านมันจะเกิดอะไรขึ้น
?ถุงแป้ง ทางนี้? มิ้นท์ หรือ มินตรา เพื่อนสาวคนสนิทของฉันตะโกนเรียกออกมาจากซุ้มคณะ พอเห็นร่างเล็กนั่นโบกมือหย็อยๆ ฉันก็ตรงดิ่งไปหาแบบไม่รีรอ ?เป็นไงบ้าง?
?จะเป็นไงล่ะ ก็โดนเทศน์ยาวน่ะสิ แถมยังโดนทำรายงานเพิ่มด้วย ซวยโคตร? ซวยจริงๆ แป้งเอ๊ย!
อ้าว...ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวสินะคะ ฉันชื่อถุงแป้งค่ะ หรือที่อาจารย์อุ่นเรือนแกตะคอกใส่ฉันอยู่ตลอดเวลาเมื่อครู่นี้ว่า ปาลิตา นั่นแหละ ฉันเรียนคณะอักษรศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่จริงๆ แล้วฉันกับมิ้นท์เป็นคนเชียงใหม่ เราสองคนจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน เราก็เลยค่อนข้างสนิทกันมาก แถมปิดเทอมนี้ฉันกับมิ้นท์ก็มีแพลนว่าจะปิ๊กบ้านด้วยกันแท้ๆ แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเพราะอาจารย์อุ่นเรือน!
?สิ้นเดือนนี้มิ้นท์ก็กลับบ้านไปก่อนเลยนะ พอแป้งส่งรายงานเสร็จจะตามไปทีหลัง?
?เอางั้นเหรอ? มิ้นท์ถามเสียงเบา สีหน้าดูเป็นกังวลมากกว่าฉันเสียอีก
?อื้อ เอางั้นแหละ ซื้อตั๋วไปแล้วนี่ อย่างน้อยจะได้ไม่เสียเปล่า? ฉันตอบแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ฟุบหน้าลงกับโต๊ะหินอ่อนอย่างเหนื่อยใจ ทำไมฉันต้องมีปัญหาด้วยนะ
?ปกติแล้วแป้งไม่เคยส่งข้อสอบช้านี่นา อีกอย่าง...วิชานี้ก็ไม่ได้ยากด้วย? มิ้นท์เอ่ยถามฉันพลางทำสีหน้าสงสัย นั่นสิ ฉันเองก็สงสัย ทำไมฉันถึงทำข้อสอบวิชานี้ช้านักล่ะ?
แชะ...แชะ...
เอ๋ เสียงกดชัตเตอร์?
?ใช่แล้ว เพราะเรื่องนี้นี่เอง? ฉันที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็ลุกพรวดตะโกนเสียงดังจนมิ้นท์ที่นั่งข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง แต่ช่างเถอะ ฉันต้องจัดการกับเสียงชัตเตอร์ปริศนานั่นก่อน
พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็แทบกระโดดออกจากม้านั่งแล้วเริ่มเดินสำรวจไปทางซ้ายที ขวาที หวังจะเห็นไอ้คนโรคจิตที่ตามถ่ายรูปฉัน แต่ก็ไม่มีวี่แววอะไรเลย นอกจากนักศึกษาที่รวมตัวกันอ่านหนังสือสอบกับนักการภารโรงที่กวาดใบไม้อยู่ข้างสนามหญ้าตามปกติ
นี่มันอะไรกัน ฉันหลอนไปเองอีกแล้วเหรอ?
?อะไรเหรอแป้ง? มิ้นท์ที่คงจะสงสัยในท่าทีของฉัน ถึงกับลุกออกมาแล้วเขย่าตัวฉันเพื่อให้ได้สติ
?มิ้นท์จำได้มั้ย ที่แป้งบอกว่าพักนี้มีคนแอบตามถ่ายรูปแป้งน่ะ แป้งรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ เมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์อีกแล้วด้วย?
ฉันตอบเสียงเบาคล้ายจะกระซิบ แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น
?แป้งน่ะเอาแต่คิดเรื่องนี้ แป้งเครียด เครียดมากจนอ่านหนังสือไม่ได้เลย พอแป้งไม่ได้อ่านหนังสือ แป้งก็เลยทำข้อสอบไม่ได้ พอแป้งทำข้อสอบไม่ได้ แป้งก็เลยง่วง แล้วแป้งก็เลยเผลอหลับในชั่วโมงสอบของอาจารย์อุ่นเรือนเมื่อกี้นี้ไง?
นี่แหละ ทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผลกัน ถ้าฉันไม่เจอกับเสียงชัตเตอร์หลอนนั่น ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
?คอยดูนะ แป้งจะต้องจับไอ้คนถ่ายรูปนั่นให้ได้เลย มันทำให้แป้งเสียสมาธิ แล้วไหนจะ...?
?ยัยแป้ง!!!?
?หือ? ฉันครางรับอย่างไม่รู้ชะตาตัวเอง เมื่อเพื่อนสาวคนสนิทกำลังจะเปลี่ยนร่างจากนางฟ้าเป็นนางมารในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
?ที่แท้ก็หลับในห้องสอบ จะอ้างนู่นอ้างนี่ทำไม สมควรแล้วที่ถูกลงโทษ มานี่เลย ขอเขกกะโหลกสักทีเหอะ ยัยบ้า?
แล้วพูดเปล่าที่ไหน สองมือเล็กๆ นั่นเงื้อขึ้นมาแล้วก็ทุบฉันเอา ทุบฉันเอา ถึงมันจะไม่เจ็บแต่ว่าเรื่องอะไรฉันจะอยู่เฉยๆ ให้ยัยมิ้นท์ตีอยู่ได้ แบร่!
?อย่าหนีนะแป้ง เธอนี่มัน?
?มิ้นท์ก็...อย่าโมโหสิ แป้งไม่ได้ตั้งใจหลับ แป้งแค่เหนื่อย เข้าใจเปล่า??
ฉันพยายามหาข้อแก้ตัว ที่ฟังแล้วอาจจะทำให้รูปการณ์ดูดีขึ้น มิ้นท์เป็นแบบนี้ตลอดแหละ ทุกครั้งที่ฉันเกเรียนหรือไม่ตั้งใจ เธอก็มักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสมอ อาจจะเพราะมิ้นท์เป็นคนรักเรียน แล้วก็อยากให้เราสองคนเรียนจบพร้อมๆ กันนั่นแหละ แต่แหม! ถึงฉันจะขี้เกียจหรือหัวทึบยังไง แต่ไอ้เรื่องที่มีคนคอยตามแอบถ่ายรูปฉันตลอดสัปดาห์นี่ ฉันพูดจริงนะ
ฉันกับมิ้นท์ยังคงวิ่งไล่ตีกันอยู่อย่างนั้น ยัยนี่ยังไม่ได้เขกหัวฉัน หล่อนก็คงยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ฉันเองก็เถอะ สำเหนียกตัวเองบ้างหรือเปล่าเนี่ย จะจบปริญญาตรีกันอยู่แล้วแท้ๆ แต่ยังมาวิ่งไล่จับกันอย่างกับเด็กอนุบาล
?ยัยแป้ง!!!?
?เฮ้ย!? ฉันมัวแต่เหม่อเลยไม่ทันมอง มิ้นท์ที่แต่แรกดูเหมือนจะสงบลงแล้ว จู่ๆ ก็กลับไปเอาหนังสือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะมาเป็นอาวุธ ก่อนจะถลามาที่ฉันแบบเต็มสตรีม ว้ากกก...ตรงแน่วมาเลย เผ่นเหอะงานนี้
โครม!!!
แต่แล้วก็เกิดเหตุอีกจนได้ เมื่อฉันที่มัวแต่วิ่งหนียัยเพื่อนตัวแสบโผล่พรวดออกไปบนฟุตปาธจนชนกับผู้ชายที่บังเอิญเดินผ่านมาเข้า ข้าวของตกกระจายเต็มไปหมด โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่งั้นฉันได้เสียเงินค่าทำขวัญอีกแน่
?ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวังก็เลย...แหะๆ? หัวเราะกลบเกลื่อน
?ไม่เป็นไรครับ? คู่กรณีพูดแค่นั้น แล้วก็รีบก้มลงเก็บข้าวของที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้น ฉันที่เพิ่งนึกได้จึงรีบไปช่วย มิ้นท์รีบเก็บสัมภาระอาวุธแล้ววิ่งเข้ามาช่วยฉันอีกแรง
?หล่อนะยะ? มิ้นท์ที่ก้มลงเก็บดินสออยู่ข้างๆ ได้ทีหันมากระซิบใส่พลางหัวเราะคิก เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่ตกหล่นอยู่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่น ดินสอ ยางลบ แล้วก็บัตรต่างๆ ทำให้เราใช้เวลาเก็บค่อนข้างนาน และพอมิ้นท์พูดแบบนั้น ฉันก็เลยลอบสังเกตเขาดูบ้าง
อืม หล่อจริงแฮะ หน้างี้ขาวจั๊วะเลย แล้วยิ่งย้อมผมสีทองแบบนี้ทำให้เขาดูดีขึ้นไปอีก จมูกก็โด่ง ปากงี้เรียวบาง แถมยังเป็นสีชมพูอีกแน่ะ ผู้ชายอาไร้ ดูสำอางกว่าผู้หญิงอย่างฉันอีก ไหนดูซิ ไอ้ที่หล่นๆ อยู่นี่มีพวกเครื่องประทินโฉมมั่งป่ะเนี่ย อิอิ
อ้อ โชคดี ไม่มี มีแต่ไอ้เนี่ย อะไรหว่า...สีดำกลมๆ ไม่มีรูตรงกลาง ไม่ใช่ห่วงยาง แล้วก็ไม่มีคนห่วงใย เย้ย ไม่ใช่ละ แต่เอ๊ะ! นี่มันฝาครอบเลนส์กล้องนี่นา o_O!
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคู่กรณีอีกรอบ ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เขาเก็บข้าวของเสร็จหมดแล้ว จะเหลือก็แต่ฝาครอบที่ยังอยู่ในมือฉัน ในมืออีกข้างของเขาก็ถือกล้องเอาไว้ด้วย
ประมวลผลเร็วเท่าความไวแสง...
เสียงชัตเตอร์ดังมาจากแถวนี้ แล้วหมอนี่ก็โผล่มา แถมเขายังมีกล้องมาด้วย ชัดเลย! ชัดเจน! แบบนี้แสดงว่าต้องเป็นนายนี่แน่ๆ ที่แอบถ่ายรูปฉัน
?นาย...พวกโรคจิตแอบถ่ายรูปคนอื่น? ฉันโพล่งออกไป เห็นหมอนั่นกระตุกยิ้มเล็กๆ ให้ตายสิ โรคจิตอะไร ยิ้มแล้วยังดูดี
?อะไรของเธอ มาว่าคนอื่นเขาเป็นโรคจิต บ้าหรือเปล่า?
?บ้าที่ไหน ฉันได้ยินเสียงคนถ่ายรูปอยู่แถวนี้ แล้วนายก็โผล่มาพอดี ที่สำคัญนายก็มีกล้องด้วย นายแน่ๆ ใช่มั้ย? ฉันยืนเท้าเอวถามเขาแบบเอาจริงเอาจัง ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามีจุดประสงค์อะไรถึงได้ตามถ่ายรูปฉันเป็นอาทิตย์ๆ แบบนี้
?ฉันเรียนเอกโฟโต้ พกกล้องมันผิดตรงไหน -_-^? หมอนั่นตอบเสียงเรียบ แล้วก็คว้าเอาฝาครอบเลนส์กล้องในมือฉันไปอย่างง่ายดาย
อ้าว เออ เรียนถ่ายภาพก็ต้องมีกล้องสินะ แต่เอ๊ะ! เด็กนิเทศฯ มาทำอะไรแถวนี้
?รถฉันจอดอยู่นี่ ไปละ?
พูดจบเขาก็จากไป ทิ้งให้ฉันยืนงงแล้วก็ยังคงสงสัยไม่เลิก มิ้นท์หันมามองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่ม้านั่งตามเดิมด้วยความละเหี่ยใจ
?ไม่จริงอ่ะ ฉันไม่เชื่อ แน่จริงเอาฟิล์มมาให้ดูสิว่านายไม่ได้แอบถ่ายรูปฉันน่ะ โธ่!?

2

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก เวลาก็ล่วงเลยมาจนป่านฉะนี้แล้ว ฉันยังทำรายงานไม่เสร็จเลย โฮๆ...อุ่นเรือนใจร้าย TOT และไม่ใช่ว่าไม่เสร็จธรรมดานะ ต้องเรียกว่ายังไม่ได้เริ่มเลยดีกว่า วิเคราะห์อะไรนี่ทำไมหัวสมองฉันมันไม่ทำงานเลย มิ้นท์ก็ไม่อยู่ ฉันจะพึ่งใครได้ล่ะนี่ อยากเอาหัวโขกสันหนังสือให้วิชาความรู้หลั่งไหลเข้ามาในสมองเสียจริง ถ้าวันไหนฉันฉลาดขึ้นมานะ จะจัดปาฐกถาแข่งกะอาจารย์อุ่นเรือนเลยคอยดู!
แชะ...แชะ
เสียงนี้อีกแล้ว!
จะว่าไปพักหลังนี้ฉันไม่ค่อยรู้สึกว่ามีคนตามแล้วนะ ทำไมวันนี้ถึงได้ยินเสียงชัตเตอร์อีกล่ะ อ๋อ อาจจะเป็นเพราะว่าตั้งแต่วันนั้นฉันก็นั่งทำรายงานอยู่ที่หอพักตลอดเลย เพิ่งจะมีวันนี้เนี่ยแหละที่ฉันทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่ไหว ถึงได้ออกมานั่งทำรายงานในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแบบนี้
ดีเลย กำลังเบื่อๆ ฉันว่าฉันพักทำรายงานแล้วหันมาเล่นเกมตามล่าไอ้โรคจิตก่อนดีกว่า ห้องสมุดในวันปิดเทอมแบบนี้คนน้อยจะตาย คราวนี้แกเสร็จฉันแน่ ไอ้โรคจิตเอกโฟโต้! (มั่นใจมากเลย?)
แชะ...
นั่นไง ฉันได้ยินเสียงกดชัตเตอร์อีกแล้ว ดังอยู่ใกล้ๆ นี่เอง โอ๊ย! ฉันตื่นเต้นชะมัดเลย แต่ไม่ได้ๆ ฉันต้องนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวเอาไว้ ว่าแล้วก็หันไปหยิบหูฟังจากเครื่องเล่น MP3 มาเสียบไว้ที่หูทั้งสองข้าง และทำท่าราวกับว่าฉันกำลังนั่งฟังเพลงอันแสนไพเราะ แต่ความจริงแล้วฉันไม่ได้เปิดเพลงหรอก แค่หลอกตามันไปงั้นแหละ เป็นความคิดที่ดีใช่ไหมล่ะ ไอ้โรคจิตนั่นจะได้คิดว่าฉันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับบทเพลงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง บางทีมันอาจจะทำอะไรที่มากกว่าการแอบถ่ายก็ได้ (นี่ฉันหวังอะไรอยู่เนี่ย?) เถอะน่า มันต้องสำเร็จสิ >_<
แชะ...แชะ...แชะ...แชะ
โห คราวนี้มันกดรัวเลย ตกหลุมพรางฉันเข้าแล้วล่ะสิ หึๆ ไม่ได้การละ ฉันอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เสียงนั่นดังมาจากชั้นหนังสือหมวดวรรณคดีที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองล็อก แถวนั้นค่อนข้างเงียบแล้วก็ไม่มีผู้คนพลุกพล่านด้วยสิ ไม่แปลกเลย ถ้าไอ้โรคจิตจะไปแอบอยู่ตรงนั้นน่ะ
ฉันนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิมพักหนึ่ง เสียงกดชัตเตอร์ยังคงดังอยู่เป็นระยะ โชคดีที่มันยังดังมาจากที่เดิม แต่ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป ฉันควรต้องทำอะไรสักอย่างเสียที!
ฉันลุกออกจากเก้าอี้ด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น จากนั้นก็ลัดเลาะไปยังชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรมฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ถัดจากจุดที่คาดว่าคนร้ายแอบอยู่ ด้านหน้าสุดเป็นทางเปิดโล่ง แต่ตรงนั้นมีเสาตึกที่ยื่นออกมา ทำให้สามารถใช้เป็นที่กำบังกายได้อย่างดี ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ พลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาออกไปยังปลายทางของชั้นหนังสือ และเมื่อไปถึง ฉันก็ได้พบ...
ใช่แล้ว ตรงนั้นแหละ! ที่มุมเสาข้างหน้าต่างปรากฏร่างของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ เป็นผู้ชายร่างสูงโปร่งสวมชุดนักศึกษาไม่ค่อยเรียบร้อยนักยืนพิงกำแพงอยู่ในท่าทีสบายใจ ในมือมีกล้องถ่ายรูปสีดำสนิทอยู่ในท่าพร้อมถ่าย ถึงแม้ว่าจุดโฟกัสของกล้องจะไม่ได้หันไปในทิศทางที่ฉันนั่งอยู่เมื่อครู่นี้ก็เถอะ นั่นเป็นเพราะว่าฉันลุกออกมาแล้วใช่ไหมล่ะ นายถึงใช้กล้องเพื่อซูมตามหาฉัน!
ฉันเดินย่างกรายไปอย่างช้าๆ ในมือข้างหนึ่งถือสเปรย์พริกไทย อาวุธคู่กายที่มิ้นท์ทิ้งไว้ให้ใช้ยามฉุกเฉิน โชคดีที่เขายืนหันหลังอยู่ และก็เป็นอีกโชคของฉันที่เดินได้เบาราวกับลูกแมวเช่นนี้ เขาจึงไม่เอะใจอะไรเลย หึ แกเสร็จฉันแน่
?หยุดพฤติกรรมโรคจิตของแกเดี๋ยวนี้นะ ไอ้โรคจิต! นี่แน่ะๆ?
นั่นคือคำพูดของฉัน หลังจากที่ย่องเบาเข้าไปใกล้ พร้อมกับกระชากกล้องในมือของเขาให้ลดระดับลง ก่อนจะจัดการพ่นสเปรย์พริกไทยใส่หน้ามันทันที ฮ่าๆ เจ๋งใช่ไหมล่ะ
?เฮ้ย! อะไรวะ?
โจรโรคจิตดิ้นพราด สองมือป่ายสะเปะสะปะไปมาจนกล้องที่อยู่ในมือของเขาตกลงไปที่พื้น เลนส์แตกกระจาย และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาพอดี
?ช่วยด้วยค่า ไอ้นี่มันเป็นโรคจิตแอบถ่ายรูปฉัน!?
พอเห็นคนเข้ามาใกล้ ฉันก็รีบตะโกนบอกพร้อมกับคว้าข้อมือไอ้โจรนั่นไว้ หมายจะให้มันอยู่นิ่งไม่สามารถหนีไปไหนได้ แต่กลายเป็นว่ามือหนาคู่นั้นกลับกระชากฉันเข้าไปแทน
อ๋อ...คิดจะเอาฉันเป็นตัวประกันล่ะซี้ ไม่ง่ายหรอกย่ะ!
ปึ้ก!!!
?โอ๊ยยย!?
หึๆ แกไม่รอดแน่ อ๊ะ ไม่ต้องงงค่ะ ก็หลังจากที่หมอนี่พยายามจะจับฉันเป็นตัวประกัน ฉันก็อาศัยช่วงที่มันยังแสบตาและมองอะไรไม่ถนัดตีเข่าเข้ากลางเป้ามันพอดีน่ะสิ ฮ่าๆ สุดยอด! o(^_^)b
?ไอ้ต้า!? เสียงหนึ่งในกลุ่มคนที่วิ่งมาดูเหตุการณ์เอ่ยร้องขึ้น พร้อมกับกรูเข้าไปหาโจรโรคจิตนั่น อะไร...รู้จักกันเหรอ แสดงว่ามาด้วยกันสินะ
?เกิดอะไรขึ้นวะ? อีกหนึ่งเสียงตามมา
?ไหวมั้ย? และก็อีกหนึ่ง
เหวอ! มากันตั้งสี่ แล้วฉันคนเดียว ไม่แฟร์นะเนี่ย
ฉันมองตามไปยังสถานที่ที่ทั้งสามหน่อนั้นวิ่งมา ที่ตรงนั้นเป็นมุมอ่านหนังสือปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือมีโมเดลบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่บนโต๊ะ ซึ่งถ้ามองจากมุมนี้ก็จะเห็นว่าเป็นมุมเดียวกับที่ตาโจรโรคจิตยืนถ่ายรูปอยู่พอดี เอ่อ เหมือนฉันจะเข้าใจอะไรผิดไป
?เวนิส แกพาต้าไปล้างหน้าล้างตาเหอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง?
?อืม ฝากด้วยแล้วกัน?
แล้วผู้ชายคนนั้นก็พาอดีตโจรโรคจิตของฉันออกไป อีตาที่บอกว่าจะจัดการเองก็หันกลับมายืนจ้องฉันเขม็ง ทำเป็นวางท่าน่าหมั่นไส้ จนฉันนี้เกือบจะยกสเปรย์ขึ้นมาพ่นใส่หน้าหมอนี่ให้ดิ้นแด่วๆ ไปอีกราย ส่วนผู้ชายอีกคนก็นั่งอยู่ที่พื้น ทำท่าหมดอาลัยตายอยาก
?ฮืออ...กล้องของฉัน NIKON D90 ลูกรักของช้านนน...TOT?
เอ่อ...คือ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ยยย!

สิบนาทีก่อนหน้า ฉันยังมั่นใจอยู่เลยว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือพวกโรคจิตที่แอบถ่ายรูปฉันตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานภาพของฉันในตอนนั้นคือผู้กุมชัยชนะ และพวกเขาคือนักโทษ แต่ทว่า...ทำไมตอนนี้มันถึงกลับตาลปัตรนักล่ะ
?ไหนลองอธิบายมาซิ เธอมีเหตุผลอะไรถึงทำแบบนี้?
ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับฉันเอ่ยขึ้น หมอนี่สวมชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ แถมยังจัดทรงผมซะเรียบแปล้ มาดยังกะผู้พิพากษา ส่วนอีกคนน่ะเหรอ...
?ฮือ กล้องของฉัน ม่ายยยนะ T[]T? ก็ยังคงฟูมฟายถึงกล้องลูกรักอะไรนั่นไม่เลิกเลยน่ะสิ แหม แต่จะว่าไป กล้องหล่นลงมาแรงขนาดนั้น สภาพยังไม่ค่อยเยินเท่าไหร่เลยนะ แค่เลนส์แตก ตัวกล้องถลอกนิดหน่อย ส่วนหน้าจอทัชสกรีนดับอนาถ รวมๆ แล้วฉันว่านี่ยังเบาะๆ นะ
ฉันจ้องหน้าสองคนนี้ไปมา อาจเพราะไม่รู้จะทำอะไรที่มันดีกว่านี้ได้ เพราะหลังจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ ฉันก็ถูกจับกุมโดยให้มานั่งรอคำตัดสินจากศาลเตี้ยอยู่หน้าห้องสมุดกับชายสองคนนี้ทันที
ส่วนคู่กรณีที่ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายร่างกายนั้นไปห้องพยาบาลกับเพื่อนอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตานั่นก็ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ฉันหนีรอดไปได้ โดยการสั่งงานผ่านโทรศัพท์มือถือนี่
[ยัยบ้า! คอยดูนะ ฉันกลับไปเธอตายแน่] เขาตะโกนเสียงดังลั่น ลำโพงโทรศัพท์สั่นสะเทือนจนปากกาที่วางอยู่ข้างๆ ถึงกับกลิ้งออกมาด้วยทนฟังไม่ไหว โห ขนาดตัวไม่อยู่นะเนี่ย ยังโหดซะ
?ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษน้าาา...? ฉันตอบกลับโทรศัพท์ระบบ 3G นั่น ไม่รู้เขาจะเห็นหรือเปล่า ฉันยกมือพนมไหว้เหนือหัวเลยนะเนี่ย ?แค่สถานการณ์มันพาไป ไม่ได้ตั้งใจจริงจริ๊ง >_<?
[เหอะ หยุดพูดเลย โชกุน แกดูยัยนี่ไว้ให้ดีนะ อย่าให้หนีไปได้ ไอ้ฟิล์ม เฝ้าโมเดลบ้านให้ด้วย เดี๋ยวจะมีบางคนหมั่นไส้มาลอบทำร้ายของของฉันอีก แค่นี้แหละ เดี๋ยวไป]
หมอนั่นสั่งแล้วก็ตัดสายไปเลย อา...แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกว่าสั่งงานผ่านโฟนอิน
?เธอตายแน่!? เจ้าของกล้องคนนั้น หรือที่รู้จักดีในนาม นายเอกโฟโต้ เงยหน้าขึ้นมาพูดกับฉัน พร้อมกับทำท่าเอานิ้วปาดคอตัวเอง เฮือก! น่ากลัวชะมัด
?ก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด ฉันเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แหม อะไรกันนักกันหนา? ฉันสบถเบาๆ ไม่หวังให้ใครได้ยินหรอก แต่ลืมนึกไปว่ามันเงียบขนาดนี้ พวกเขาคงได้ยินมันชัดเจน
?คำว่าไม่ได้ตั้งใจ มันใช้ไม่ได้ในศาลหรอกนะ ถ้าเธอถือมีดวิ่งไล่แทงคนจนตาย แล้วสุดท้ายมาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ก็ใช่ว่าเธอจะพ้นผิด?
แหมะ ฟังไอ้หมอนี่มันพูด ช่างเปรียบเปรยซะจนฉันไปต่อไม่เป็นเลย
?แล้วฉันทำใครตายหรือไง?
?ไม่ตายก็โดนข้อหาพยายามฆ่าได้ ยิ่งในสถานที่ราชการแบบนี้ด้วยแล้ว...?
?เออๆ ฉันผิด จบละ โอเคป้ะ? ฉันลุกขึ้นตอบพลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นนัยว่ายอมแพ้แล้ว ให้ตายสิ ฉันจะเอาอะไรไปเถียงไอ้หมอนี่ได้เนี่ย -_-;
?โชกุน ดูนี่ให้หน่อย? นายเอกโฟโต้นั่นยื่นอะไรไม่รู้ สีดำๆ ให้ผู้พิพากษาของฉันดู ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของกล้องตัวนั้น แล้วทั้งสองก็สุมหัวดูอุปกรณ์อย่างไม่คิดจะสนใจอะไรฉันอีก เหอะๆ ดี
ฉันคิดว่าตัวเองต้องหนี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ ยังไงซะงานนี้ฉันก็ผิดเต็มประตู ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปกล่าวหาว่าคนที่ถ่ายรูปในห้องสมุดเป็นพวกโรคจิต แถมยังทำร้ายเขาซะขนาดนั้น ฉันคงไม่รอดแน่ (ทำไมเพิ่งคิดได้นะ) โชคดีที่สองคนนี้เอาแต่ซ่อมกล้องโดยที่ไม่ได้หันมาสนใจฉันอีกเลย ช่วงเวลานี้คงเหมาะสมที่สุดหากว่าฉันจะหนี เพราะถ้าหากว่าอีกสองคนตามมาสมทบเมื่อไหร่ ฉันคงตายแน่ๆ
ฉันนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ครู่หนึ่ง จนมั่นใจแล้วว่าฉันคงหนีรอดออกไปได้ หากวิ่งอ้อมไปทางด้านหลัง แล้วลัดเลาะผ่านตึกครุศาสตร์ พอพ้นแยกนั่นก็จะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดรอรับคนอยู่ แค่นี้ฉันก็รอดแล้ว
พอคิดได้แบบนั้น ฉันที่นั่งอยู่กลางลำของม้าหินอ่อนก็เริ่มกระเถิบชิดริมไปข้างหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองเดินออกไปได้สะดวกมากกว่าการก้าวข้ามม้านั่งแบบนั้น พอถอยร่นมาจนถึงริมสุด ในจังหวะที่ยังไม่มีคนสนใจ ฉันก็ทำการลุกพรวดและเตรียมวิ่งหนีทันที
แต่ว่า...ฉันไม่ได้ดูถนนหนทางด้านหลัง แล้วยิ่งอยู่ดีๆ ก็พรวดพราดออกมาแบบนั้น มันก็เลยเกิดการปะทะกับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาพอดี
?กรี๊ดดด? ฉันกำลังจะล้มแล้ว โอว ไม่นะ >_<;
โครม!!
สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก T^T ฮือๆ กรรมตามสนองจริงๆ เลยฉัน แค่คิดจะหนี แค่วิ่งออกมาได้ก้าวเดียว ฉันก็ชนกับใครบางคนจนล้มไม่เป็นท่าทีเดียว
เจ็บชะมัด...แต่เอ...ไม่เจ็บมากอย่างที่คิดแฮะ
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า เวลาจวนตัวทีไรหลับตาหนีไว้ก่อนทุกที แล้วพอฉันลืมตามอง ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏ
กรี๊ด! นี่มันนายโรคจิตของฉันนี่นา ซวยอีกแล้วมั้ยล่ะตู!

3

แหะๆ ฉันไม่ได้ล้มลงคนเดียวสินะ ก็แหม มันตกใจนี่นา คนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ คว้าอะไรไว้ได้ก็คว้าไว้หมดแหละ แล้วบังเอิ๊ญไอ้ที่ฉันคว้าไว้ได้ก็ดันเป็นชายเสื้อของคู่กรณีฉันพอดี งานนี้เราสองคนก็เลยล้มลงทั้งคู่
ร่างของฉันลงไปนอนหงายเงิบอยู่บนพื้น ส่วนหมอนี่ก็นอนทับร่างฉันไว้อีกที และที่ฉันบอกว่าไม่เจ็บอย่างที่คิด นั่นก็เพราะว่าเขาเอามือมารองรับศีรษะของฉันไว้ สงสัยจะกันกระแทกมั้ง แหม เป็นคนดีจัง แต่เอ...เมื่อไหร่จะลุกล่ะเนี่ย เอาแต่จ้องฉันอยู่ได้ เขินเป็นนะว้อย!
?พลอย...?
เขาเอ่ยเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน ฉันที่ได้สติก่อนเพราะเสียงคร่ำครวญนั่นก็เลยใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเขาออก แล้วรู้อะไรมั้ย? ไอ้หมอนี่ พอลุกออกไปได้ก็ดึงมือออกไปซะอย่างนั้น หัวฉันที่เคยหนุนอยู่บนมือเขาก็เลยกระแทกกับพื้นอีกรอบ โธ่เอ๊ย! ว่าจะไม่เจ็บตัวแล้วเชียว
?เป็นไงบ้าง? ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาถาม แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาถามใครกันแน่ ระหว่างสาวน้อยร่างบอบบางอย่างฉัน กับอีตามหาโหดโจรโรคจิตนั่น ฉันก็เลยไม่ได้ตอบอะไร ที่ทำก็คือลุกขึ้นมาปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าตัวเองเบาๆ แล้วยอมจำนนกลับไปนั่งแท่นสู้คดีตามเดิม

เวลา : 16.00 น.
สถานที่ : หน้าห้องสมุดในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
นักศึกษาชายสี่คนได้เปิดศาลเตี้ย และทำการสอบสวนผู้ต้องหานางหนึ่ง ในคดีทำร้ายร่างกายบุคคลซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นโจรโรคจิตแอบถ่ายรูปนักศึกษาสาวในห้องสมุด
?เจ้าจะยอมรับผิดในข้อกล่าวหานี้หรือไม่?
?ข้าน้อยยอมรับผิดทุกข้อกล่าวหา ท่านเปาได้โปรดประทานอภัยด้วย?
?ดี จั่นเจา นำแม่นางคนนี้ไปประหาร!?
เฮ้อ! ฉันก็เว่อร์ไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็คลับคล้ายคลับคลากันนั่นแหละ แตกต่างกันก็ตรงที่...ฉันไม่ยอมรับเสียอย่าง ใครจะทำไม!
?ตกลงเธอจะเอายังไง? ท่านเปา เอ๊ย! ไม่ใช่ ผู้ชายที่ดูคล้ายผู้พิพากษาคนนั้นเอ่ยถามฉันเป็นรอบที่ร้อยแปด แหม พูดซะยังกะฉันเลือกได้เลยเนอะ เอาไงๆ โธ่
?เธอทำร้ายร่างกายฉัน เอาสเปรย์นั่นฉีดใส่หน้าฉัน ถ้าตาฉันบอดไปจะทำไง?
คู่กรณีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉันตะคอกขึ้นมา บทจะพูดก็พูดซะเสียงดังเลยนะยะ ก่อนหน้านี้ยังเห็นนั่งจ้องหน้าฉัน ส่งสายตาชวนฝันอยู่เลย ชิ!
?นี่มันสเปรย์พริกไทย ไม่ใช่ไบกอน ตาไม่บอดหรอกย่ะ แล้วก็...ที่ฉันตีใส่น้องชายนายอ่ะ อย่างมากก็แค่จุก ไม่ถึงกับเป็นหมันหรอก ฉันรับรองได้ ^_^?
ฉันลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่อยากใส่ใจ คิดเหรอว่าถึงจะมีผู้ชายมาห้อมล้อมฉันไว้ตั้งสี่คนแบบนี้แล้วฉันจะกลัว ก็แค่...แต่ละคนตัวสูงยังกะเสาไฟฟ้า ถึงแม้ผิวพรรณหน้าตาจะดูดีมีชาติตระกูลเสียหน่อย จนอาจทำให้คิดว่าเป็นพวกผู้ดีไม่ทำร้ายประชาชนก็เถอะ แต่ภาพลักษณ์ที่ดูดีนั่น มันก็หมดไปตั้งแต่ตอนที่นายคู่กรณีของฉันแหกปากด่าแว้ดๆ นั่นแล้ว
เขาบอกว่าเขาชื่อ ?พาสต้า? ชื่อฟังดูแล้วอาจจะเท่ แต่ก็...เออนั่นแหละ เขาก็เท่เหมือนชื่อนั่นแหละ (ยังไง?) ร่างสูงโปร่งดูบอบบางแต่ว่าก็แข็งแรง ผิวขาวเนียนละเอียด ผมยาวสีดำสนิทระต้นคอจัดแต่งทรงอย่างเป็นธรรมชาติ คิ้วดกดำได้รูป จมูกโด่งเรียวรับกับริมฝีปากสีชมพูที่ดูคล้ายกุหลาบวัยแรกแย้ม ดวงตากลมโตนั่นถึงแม้จะดูแดงระเรื่อเพราะสเปรย์พริกไทยของฉัน แต่มันก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความสุกสกาวและก็ดุดันไปในตัว
หมอนี่ดูดี ฉันไม่เถียง แต่ถ้าไม่ดูจะดีกว่ามาก เพราะคำพูดคำจาของเขามันช่างขัดกับภาพลักษณ์เทพบุตรนี่เหลือเกิน -_-^
ที่นั่งถัดมาจากฉันนี่ก็ดูดีไม่แพ้กันหรอก หมอนี่ชื่อ ?เวนิส? ฟังดูแล้วหรูเป็นบ้า ถึงจะดูสุขุมที่สุดในกลุ่ม แต่เขาก็ยังคงเหน็บแนมฉันได้อย่างเจ็บแสบอยู่ดี ชิ ถือว่าหล่อ!
ส่วนผู้พิพากษาของฉันชื่อ ?โชกุน? แค่ได้ยินชื่อก็หนาวแล้ว หมอนี่นะ ถ้ามีแฟนคงเลิกกันภายในสามวันเจ็ดวัน เพราะอะไรๆ ของเขามันช่างเป็นเหตุเป็นผลไปเสียหมด และที่สำคัญ เขาคงไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนเถียงชนะเขาได้หรอก อี๋! แค่คิดก็เซ็งแทนแล้วล่ะ
คนสุดท้าย นายเอกโฟโต้ เขาชื่อ ?ฟิล์ม? ดูจะง้องแง้งที่สุดแต่ก็ยังถือว่าหล่อ หน้าขาวๆ กับผมสีทองจนเกือบขาวนั่นทำให้เขาดูเด่น นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องมีราวกันอยู่นะ ฉันอาจจะแอบกรีดร้องอยู่ในใจเลยก็ได้ แหม ผู้ชายหน้าตาดีมาห้อมล้อมคล้ายกับขอความรักกันอยู่แบบนี้ ฮิๆ
?แล้วกล้องฉันล่ะ พังจนไม่มีชิ้นดีแล้ว เธอจะชดใช้ยังไง? นายเอกโฟโต้นั่นพูดขึ้นมาอีกรอบ น้ำตาคลอเบ้า โถ น่าสงสาร
?ก็เอามาสิ เดี๋ยวฉันเอาไปซ่อมเอง?
?เชอะ กล้องนี่ราคาเท่าไหร่ อย่างเธอน่ะไม่มีปัญญาซ่อมหรอกจะบอกให้? อ้าว ดูถูกกันอีก
?เออ รู้ก็ดีแล้วนี่ งั้นคงไม่มีอะไรแล้วใช่มะ ขอตัวล่ะ บาย?
พูดจบฉันก็ลุกขึ้นยืน หวังจะเดินออกจากตรงนี้ให้มันพ้นๆ ไป แต่แค่ฉันลุกขึ้นได้แป๊บเดียว นายเวนิสที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอื้อมมือมาจับหัวฉัน แล้วบังอาจออกแรงกดให้ฉันนั่งลงที่เดิม อ๊าย! นี่มันกดขี่ทางเพศชัดๆ ไอ้...ไอ้พวกสี่ยอดกุมาร!
?โชกุน เก็บนี่ไว้? ฟิล์มที่นั่งงัดแงะส่วนประกอบของกล้องไม่เลิก อยู่ดีๆ ก็ส่งอะไรบางอย่างให้เขา ฉันมองไม่ถนัดหรอกว่ามันคืออะไร แล้วก็ไม่สนใจจะรู้ด้วย หากว่าไอ้ของนี่มันไม่หล่นจากมือโชกุน แล้วร่วงลงสู่พื้น จนกระเด็นมาอยู่ที่ปลายเท้าฉัน
?เมมโมรี่การ์ดนี่?
ฉันก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน ใช่สิ ถึงกล้องจะพังแต่เมมโมรี่การ์ดยังอยู่ อย่างน้อยถ้าฉันดูนี่ก็จะได้รู้ให้มันเคลียร์ๆ ไปเลยว่าคนพวกนี้ไม่ได้แอบถ่ายฉันจริงๆ อย่างที่เขาพูดเอาไว้
?เอามา!? พาสต้าที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยปากขึ้น หมอนี่เอะอะก็ตะคอก ฉันไม่ได้หูตึงนะยะ
?ฉันบอกให้เอามา? เขาพูดขึ้นอีกรอบ เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่มีทีท่าว่าจะคืนของชิ้นนั้นให้แก่เขา
?พิสูจน์มั้ยล่ะ?
?พิสูจน์อะไร พูดอะไรของเธอ?
?ก็ถ้าพวกนายบอกว่าไม่ได้ถ่ายรูปฉันจริง นายก็เปิดนี่ให้ฉันดูสิ? ฉันตอบพลางชูเมมโมรี่การ์ดนั่นขึ้นมา ก่อนจะรีบกำมันไว้ในมือ เมื่อฟิล์มที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำท่าจะแย่งมันกลับคืนไป
?ไม่เอา? และก็เป็นฟิล์มที่พูดประโยคนี้ออกมา
?ทำไมล่ะ หรือว่าแท้จริงแล้วหลักฐานมันก็อยู่ในนี้?
?พูดบ้าๆ นี่เธอคิดว่าเธอเป็นใคร พวกฉันถึงต้องมาตามถ่ายรูปเธอเนี่ย?
?อ๊าว ว่าไม่ได้นะท่านโช ใครจะไปรู้ล่ะคะ อย่างน้อยเราก็ต้องเปิดมันดูก่อน เราจะได้เคลียร์กันทั้งสองฝ่าย?
ฉันลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินไปมาอยู่รอบโต๊ะ ฟิล์มและโชกุนดูท่าว่าจะมีปฏิกิริยากับเมมโมรี่การ์ดนี่มากที่สุด เพราะทั้งคู่ดูร้อนรนและก็พยายามแย่งมันกลับคืนไปตลอดเวลา
เหอะๆ ฉันว่า งานนี้ฉันมาวินแน่ๆ
?ว่าไงล่ะ!? ฉันวกกลับมาที่เดิมและเอ่ยคำถามนั้นออกไป ก่อนจะทรุดนั่งพร้อมๆ กับกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสี่อย่างผู้มีชัย ฮ่าๆ
?ได้? พาสต้าเป็นคนตอบและมองฉันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบนั่นแย้มยิ้มเล็กน้อยดูมีเลศนัย จนฉันเริ่มวิตก ?แต่ถ้าในนั้นไม่มีรูปเธอล่ะก็...เธอต้องตกเป็นของพวกฉัน?
หา...อะไรนะ ใช้คำว่า ?พวก? เลยเหรอ งั้นก็หมายความว่า หนึ่ง สอง สาม สี่ เอ่อ...หมดนี่เลยเหรอ แล้วดูแต่ละคนทำหน้าทำตา หืม หื่นซะ!
?กรี๊ดดด! อยู่ไม่ได้ละค่า >O<?
ฉันพูดแค่นั้นแล้วก็กระโจนออกมาจากจุดเกิดเหตุทันที โดยไม่ลืมวางเมมโมรี่การ์ดเจ้าปัญหาคืนพวกสี่ยอดกุมารนั่นด้วย ตายๆ อกอีแป้นจะแตก หล่อแต่เลว ถุงแป้งก็รับไม่ไหวนะค้าาา...

4

โบราณกล่าวไว้ว่า ในความโชคร้ายก็มักจะมีความโชคดีมาด้วยเสมอ ถึงแม้จะเป็นเพียงโชคดีอันน้อยนิด แต่โชคดีก็คือโชคดี อย่างในกรณีของฉันเป็นต้น เพราะว่าในช่วงเวลาแห่งความชุลมุนวุ่นวายนั่น เมมโมรี่การ์ดที่ทุกคนต่างก็ต้องการได้ตกอยู่ในมือฉันเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ
แท่น...แท้น นี่ไงล่ะเมมโมรี่การ์ดของพวกนั้น โชคดีนะที่ฉันเองก็มีเมมโมรี่การ์ดแบบเดียวกันนี่พกเอาไว้ด้วย ฉันก็เลยถือโอกาสสับเปลี่ยนมันมาแบบที่ไม่มีใครรู้ นี่ฉันยอมสูญเสียความทรงจำกึ่งหนึ่งกับนิชคุณที่อยู่ในเมมโมรี่การ์ดนั่นเลยนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะรูปภาพนิชคุณและ 2PM นักร้องเกาหลีที่ฉันชื่นชอบในนั้นได้ถูกบรรจุลงในคอมพิวเตอร์ของฉันเรียบร้อยแล้ว กร๊าก สะใจจริงโว้ย! งานนี้มีแต่ได้กับได้
?ไหนดูซิ ในนี้จะมีรูปอะไรบ้าง? ฉันพูดคนเดียวด้วยความตื่นเต้น คิดแล้วก็ขำไม่หาย ป่านนี้ไอ้พวกนั้นจะรู้หรือยังนะว่าเมมโมรี่การ์ดที่ได้ไปมีแต่รูปนักร้องเกาหลี ฮ่าๆ ?หวังว่าคงไม่มีไวรัสนะ?
ฉันพูดพลางเสียบเมมโมรี่การ์ดของพวกสี่ยอดกุมารลงกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเอง โปรแกรมสแกนไวรัสเด้งขึ้นมาจนน่าตกใจ แต่ฉันกำลังรีบก็เลยมองข้ามมันไปอย่างไม่สนใจนัก แล้วหันกลับมาตื่นเต้นกับข้อมูลที่อยู่ในการ์ดนี่แทน โห! รูปถ่ายเป็นพันๆ รูปแบบนี้ ถ่ายอะไรกันนักหนาเนี่ย
ฉันไล่ดูภาพของนายพวกนั้นทีละรูปโดยไม่มีอาการเบื่อหน่าย เพราะว่ารูปถ่ายทุกใบสามารถสะกดสายตาฉันได้เป็นอย่างดีจนไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นรูปวิวทิวทัศน์ ภูเขา น้ำตก หรือทะเลนี่ก็ดูมีชีวิตชีวาไปหมด อ๊ะ! มีรูปพวกเขาด้วย ถ่ายที่ทะเลในยามพระอาทิตย์ตก อยู่กันสี่คนครบเลย แล้วใครถ่าย?
ฉันนั่งดูภาพของพวกไปเรื่อยๆ ดูไปก็ยิ้มไป จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังเหมือนคนโรคจิตเข้าไปทุกที อะไรเนี่ย ฉันไปยิ้มให้กับรูปไอ้สี่ลิงนี่ได้ยังไง ดูไอ้พวกนี้ สู้นั่งดูนิชคุณของฉันยังแจ่มกว่าตั้งเยอะ ชิ ว่าแต่...นั่งดูจนครบแล้วเนี่ย สรุปว่าไม่มีรูปฉันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?
ฉันเกือบจะถอดใจอยู่แล้ว หากไม่สังเกตเห็นอีกหนึ่งโฟลเดอร์ที่แฝงตัวอยู่ในหมู่รูปภาพนับพันนี่ โฟลเดอร์ที่ชื่อว่า ?P?
ฉันเลื่อนเม้าส์ไปยังโฟลเดอร์นั้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อนี่เป็นเพียงความหวังสุดท้ายในการตามหาร่องรอยคนร้ายของฉัน ฮึ่ย! คอยดูนะ ถ้าในนี้มีรูปฉันล่ะก็ แม่จะวีนให้บ้านแตกเลย
ทันทีที่ฉันดับเบิ้ลคลิกเม้าส์ ข้อมูลที่อยู่ในนั้นก็ปรากฏ และพอได้เห็นรูปถ่ายที่อยู่ในนั้น ฉันก็สะดุ้งโหยง
?O_O นี่มันฉันนี่?
หรือเปล่า?...
ออกจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะผู้หญิงที่ยิ้มหวานให้กับกล้องนี่ค่อนข้างจะ...เอ่อ...สวย และก็ดูดีกว่าฉันอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ทั้งรูปร่าง หน้าตาและทรงผมบ่งบอกว่าเป็นฉันชัดๆ
ภาพของฉันที่ไม่รู้ว่าถูกถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็เริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ บางภาพก็ดูเหมือนจะนานแล้ว ตั้งแต่สมัยผมสั้น จนยาวไล่ระดับมาเท่าปัจจุบัน บางรูปก็อยู่ในชุดไปรเวท ที่ฉันไม่รู้ว่าเคยใส่ชุดพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกลง...นี่มันใช่ฉันจริงๆ หรือเปล่านะ
แต่แล้วความไม่มั่นใจก็ขาดตอนไปทันที เมื่อภาพที่ปรากฏในตอนหลังๆ ล้วนแล้วแต่เป็นรูปฉันในชุดนักศึกษากับสถานที่ที่คุ้นเคยทั้งสิ้น มีรูปตอนที่ฉันลงจากรถรับจ้างเมื่ออาทิตย์ก่อน รูปนี่ก็ถ่ายตอนหกล้มหน้าตึกคณะ นี่ก็ฉันในห้องสอบวิชาอาจารย์อุ่นเรือน และนี่ก็ฉันที่นั่งทำรายงานอยู่ในห้องสมุดเมื่อวานนี้!
เพราะฉะนั้น รูปผู้หญิงที่อยู่ในโฟลเดอร์นี้ต้องเป็นฉันแน่ๆ คอนเฟิร์ม!!
ฉันเตรียมก๊อบปี้โฟลเดอร์ดังกล่าวลงโน้ตบุ๊คของฉันทันที แต่เพียงแค่ฉันขยับเม้าส์เบาๆ ตัวสแกนไวรัสก็เด้งขึ้นมาอีกครั้ง และยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ โปรแกรมก็จัดการลบข้อมูลที่เป็นปัญหาทันที ก่อนที่โน้ตบุ๊คเจ้ากรรมจะดับลงไป
?กรี๊ดดด ไวรัสกินไปแล้ววว TOT?

เพราะโบราณไม่ได้กล่าวต่อไปว่า หากโชคดีแล้ว เราก็จะเข้าสู่วังวนของความโชคร้ายอีกครั้ง T^T ฮือๆ ชีวิตของฉันมันช่างบัดซบ พอโน้ตบุ๊คดับ มันก็เปิดไม่ติดอีกเลย เดือดร้อนฉันต้องหอบหิ้วมันลงมาซ่อมที่ด้านล่างหอพักนี่
?ต้องลงวินโดว์ใหม่นะน้อง ฟอร์แมตเครื่องใหม่หมดด้วย เพราะว่าไวรัสแพร่หมดแล้ว?
ง่ะ ลงวินโดว์ใหม่ ฟอร์แมตใหม่อีกต่างหาก อย่างนี้รายงานของฉันก็หายไปหมดเลยน่ะสิ ฮือๆ TOT ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยไม่บันยะบันยังจริงๆ
?เอาเหอะพี่ พี่จะต้มยำทำแกงยังไงกับมันก็แล้วแต่จะกรุณาเลย เสร็จแล้วโทรมาตามด้วยนะคะ? ฉันบอกพี่โป่งช่างซ่อมคอมฯ แค่นั้น แล้วเดินจากมาด้วยความเหนื่อยใจ คุ้มไหมเนี่ยกับสิ่งที่ฉันทำลงไป รู้ว่าใครแอบถ่าย แต่รายงานและโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้สำรองไฟล์เอาไว้ก็หายวับไปด้วย แต่จะว่าไป ที่ฉันต้องมาเจอกับอะไรซวยๆ แบบนี้ ทั้งหมดทั้งปวงนั่นมันก็มาจากไอ้เรื่องบ้าๆ นี่แท้ๆ คอยดูนะ ถ้าเจอกันอีกที ฉันจะเล่นงานให้ถึงที่สุดเลย!
พอกลับถึงห้อง ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำบวกกับความหงุดหงิดใจที่มี ฉันก็เลยผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย มาสะดุ้งตื่นเอาอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์ดังเนี่ยแหละ
?ค่ะ จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ?
เป็นพี่โป่งนั่นเองที่โทรมาตาม เขาบอกว่าลงวินโดว์และโปรแกรมต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว และจะไม่คิดเงินฉันสักบาท ฮ่าๆ นี่จะนับว่าเป็นโชคดีได้ไหม แต่อ๊ะ ไม่เอาดีกว่า พอโชคดีแล้วเดี๋ยวต้องกลับมาซวยหนักอีก

ฉันเดินออกจากห้องโดยที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนอกจากกุญแจห้องกับคีย์การ์ด ปกติแล้วฉันแทบไม่จำเป็นต้องใช้หรอกไอ้คีย์การ์ดผ่านประตูเนี่ย เพราะผู้คนในนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน และประตูหอพักก็เปิดเอาไว้ตลอดเวลา แต่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม หลายคนก็พากันกลับบ้าน จะเหลือก็แต่คนที่ลงเรียนซัมเมอร์กับพวกที่มีปัญหาในการสอบอย่างฉัน เฮ้อ คิดแล้วเศร้า
พอเดินมาถึงชั้นหนึ่งผู้คนก็บางเบาอย่างที่คิด ที่หน้าประตูห้องส่วนใหญ่ต่างก็ล็อกกุญแจแน่นหนาจนน่ากลัว พอเห็นแบบนี้แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวในหอพักนี้อย่างนั้นแหละ ขนาดพี่ยามหน้าประตูยังหายเลยคิดดู เงียบจนวังเวงแบบนี้ฉันชักกลัวผีขึ้นมาแล้วสิ
ฉันเดินทอดน่องไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน แดดร่มลมตกอากาศกำลังดี ฉันก็ควรเดินชมวิวให้สบายอุราซะบ้าง หลังจากที่เครียดสะสมกันมาตลอดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ฮือ...แม่จ๋า หนูอยากกลับบ้าน T^T
อ้าว! ฉันกลับสู่โหมดเครียดอีกได้ไงเนี่ย ไม่เอาๆ ห้ามเครียด พอแล้ว สต็อป!
ฉันห้ามความคิดตัวเองด้วยการส่ายหัวแรงๆ เพื่อไล่อารมณ์ขุ่นมัวออกไป แต่ฉันอาจจะสะบัดแรงไปเสียหน่อย ร่างกายอันบอบบางที่ยังไม่ได้ทานข้าวสักมื้อในวันนี้ก็เลยเซถลาไปชนกับคนที่เดินสวนมาโดยบังเอิญ
?ขอโทษค่ะ? ฉันกล่าวเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาดู
O_O แต่เฮ้ย! นี่มันไม่บังเอิญแล้วเนี่ย
จะให้เรียกว่าบังเอิญได้จริงๆ เหรอ ในเมื่อคนที่ฉันเดินชนเมื่อครู่นี้คือไอ้โจรโรคจิตพาสต้า!
?นะ...นายมาทำอะไรที่นี่? ฉันชี้หน้าถามด้วยอาการสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าพาสต้าเอาแต่ยิ้ม แล้วก็พยายามเดินหน้าเข้ามาชนฉัน จนต้องถอยหนีกันแบบนี้
?ก็มารับไงจ๊ะ ^_^?
?มารับบ้าบออะไรกัน ฉันรู้หมดแล้วนะ พวกนายน่ะแอบถ่ายรูปฉันจริงๆ ด้วย ออกไปให้พ้นเลยไป๊? ฉันผลักร่างสูงโปร่งนั่นให้ออกห่างแต่ก็ไม่เป็นผลเลย เพราะยิ่งฉันออกแรงดันมากเท่าไหร่ นายนั่นก็ยิ่งขืนตัวแล้วก็ดาหน้ากลับมามากเท่านั้น ไอ้หล่อเอ๊ย! แกมันโรคจิต!!
?พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไปกับฉัน?
?ปะ...ไปไหน อะไร อ๊ายย ปล่อยนะ >O<?
อยู่ดีๆ นายพาสต้าก็ทำเสียงเข้ม แล้วก็ถือวิสาสะจับข้อมือฉัน พร้อมกับฉุดกระชากให้เดินไปตามแรงดึงของเขา แล้วอย่างฉันน่ะเหรอจะยอมง่ายๆ นี่มันปี 2011 แล้วนะโว้ย ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ ที่พอรักใครชอบใครแล้วก็ตีหัวลากเข้าถ้ำน่ะ
?ช่วยด้วยค่า ช่วยด้วย โจรบ้ากามมันฉัดหนูแล้ว ช่วยด้วยค่าาา...อุ๊บส์ OxO? ฉันตะโกนแหกปากร้องไปตามเรื่องตามราว แต่ก็ไม่มีใครสนใจเลย ฮือ มนุษย์โลกใจร้าย แถมหมอนี่ยังเอามือมาปิดปากฉันไว้อีก ?อ่อยอั๊นอ๊ะ ไอ้อ้า? (ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า)
เฮ้ย! เอาเข้าจริงฉันก็กลัวนะนี่ ถึงนายพาสต้าอะไรนี่จะหล่อเหลาราวเทพบุตรเกาหลีก็เถอะ แต่การมาฉุดฉันไปแบบนี้มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ คิดจะแก้แค้นกันเหรอ หรือจะฆ่าปิดปากฉันที่บังอาจไปล่วงรู้ความลับของพวกมันว่าเป็นโรคจิต อ๊าย คราวนี้ฉันตายแน่ ฮือๆ T^T
พาสต้าฉุดฉันที่ยังดิ้นพราดๆ ไปถึงหน้าร้านขายของชำหน้าหอพัก อาม่าเจ้าของร้านที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายก็วิ่งออกมาดูตามประสา ฉันกะจะตะโกนให้อาม่าช่วย แต่ก็ติดตรงที่ว่านายนี่ยังคงปิดปากฉันไว้ไม่เลิก จึงได้แต่ส่งสายตาวิงวอนขอร้องให้อาม่าช่วย
?อ่อ อาถุงแป้งทะเลาะกะแฟงอ่า อั๊วไม่ลูเลี้ยว >_<? แล้วชีก็เดินเข้าบ้านไป
ไอ้หยา อาม่าาา...แฟนเฟินอาร้าย ไอ้นี่มันโรคจิต ฮือ ใครจะมาเข้าใจหนู!
แล้วฉันว่ามันจะโคตรซวยมากเข้าไปอีก เมื่ออยู่ๆ พาสต้าก็เปิดประตูรถเก๋งสีบรอนซ์ที่จอดรออยู่ ก่อนจะทำการประทุษร้ายโดยการผลักร่างอันบอบบางน่าทะนุถนอมของฉันเข้าไปในตัวรถเสียเต็มแรง
?โอ๊ย เจ็บนะว้อย รองเท้าหลุดแล้วไอ้บ้า T^T?
ฮือ คิตตี้ซานริโอ้ของแท้เชียวนะยะ คู่ตั้ง 99 บาท (นั่นคือแท้?) หลุดออกไปนอกตัวรถแล้ว ยังดีที่เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าตั้งข้างหนึ่ง จากนั้นนายพาสต้าก็ผลุบเข้ามาในรถ แล้วก็นั่งลงข้างๆ ฉันพอดี
('_')~ ชิ้ง~ ตาประสานตา
ด้วยความอาฆาตแค้น ฉันเลยไม่ทันดูบุคคลที่อยู่รอบข้าง จนกระทั่งรถทำการเคลื่อนตัวออกนั่นแหละ ถึงได้เห็นบุรุษที่ไม่พึงปรารถนาที่สุดในโลก
จ๊ากกก~ สี่ยอดกุมาร มันมาอีกแล้ว!
เมื่อถุงแป้งถูกสียอดกุมารลักพาตัวไป สุดท้ายแล้วเธอจะทำเช่นไร ติดตามอ่านได้ใน Ki(ss)napper สะดุดรักร้าย พลิกหัวใจให้ลงล็อค ฉบับเต็ม หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=7380

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”