New Release :การผจญภัยของท่านเคานท์กำมะลอ

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1072
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release :การผจญภัยของท่านเคานท์กำมะลอ

โพสต์ โดย Gals »

บทนำ
จดหมายจากพี่ชาย

ถึงน้องสาวที่รัก
ไงมิเรย์ ไม่ได้เขียนถึงกันนานเลยนะ
คงไม่ต้องถามหรอกมั้งนะว่า สบายดีไหม? เพราะยังไงเสียเธอก็คงจะหวดแป้งทำขนมปังอย่างแข็งขันทุกวันอยู่แล้ว การที่น้องสาวผู้น่ารักอย่างเธอมีชีวิตที่ราบรื่นนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีหาใดเปรียบสำหรับพี่ชายอย่างผมล่ะนะ แล้วก็ต่อให้เธอจะกลายเป็นเด็กสาวที่มีกล้ามแขนอันแสนบึกบึนไปก็ตาม แต่ผมก็จะไม่ทอดทิ้งเธอเป็นอันขาด วางใจได้เลยนะ
แต่ว่านะมิเรย์ ในตอนนี้จิตใจของผมช่างดำดิ่ง ตรงกันข้ามกับเธอที่เจิดจ้าสว่างไสวเหลือเกิน ชีวิตทุกวันของผมในตอนนี้ช่างเหมือนกับพบเจอกาลอวสานของโลกนี้ก็ไม่ปาน
อา ขอโทษด้วยนะที่จู่ๆ ผมก็พูดเรื่องแบบนี้ออกมา เธอคงจะตกใจสินะ แต่ว่าผมไม่มีใครเลยที่จะสามารถพูดคุยถึงความทรมานนี้ได้ ไม่มีใครเลยสักคนนอกจากเธอ
นี่ก็ผ่านมาได้ 16 ปีแล้วนับตั้งแต่ที่เราทั้งคู่ได้ลืมตาดูโลกขึ้นมาในวันเดียวกัน ทั้งผมและเธอก็อยู่ในวัยที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่กันแล้วทั้งคู่ และถึงแม้เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ห่างกันยังไง แต่ผมก็คิดว่าเราทั้งสองคนที่เป็นฝาแฝดกันนั้นยังเชื่อมต่อถึงกันอยู่เสมอนะ
ผมเชื่อว่าถ้าเป็นเธอล่ะก็จะต้องเข้าใจความทรมานนี้ได้อย่างแน่นอน ผมจะรวบรวมความกล้าเพื่อบอกมันกับเธอเดี๋ยวนี้ล่ะ เธอช่วยฟังเสียงคร่ำครวญของพี่ชายผู้โง่เง่าคนนี้หน่อยจะได้ไหม
ผมน่ะนะมิเรย์ ผมกำลังมีความรักล่ะ ผมได้พบกับหญิงสาวแห่งโชคชะตาที่ผมคิดว่าต่อให้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อเธอผมก็ทำได้แล้วล่ะ ผมรู้สึกรักเธอมากเสียจนนึกแค้นที่เราได้มาพานพบกันเลยทีเดียว และแม้แต่ตอนนี้ในอกผมก็แทบจะแหลกสลายเพราะต้องแบกรับเอาความรู้สึกบ้าคลั่งเช่นนี้ไว้ภายใน
อา เหมือนกับว่าผมจะสามารถเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของเธอได้เลยล่ะ นั่นสินะ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยคุยเรื่องแบบนี้กันมาก่อนเลยนี่
เมื่อได้พบกับเธอคนนั้น ผมก็ได้กลายเป็นผู้ใหญ่ ได้รู้ว่าการรักใครสักคนนั้นย่อมมีความเจ็บปวดตามมาด้วย และผมไม่สามารถที่จะกลับไปเป็นเด็กซึ่งไม่รู้อะไรเลยได้อีกแล้ว และสักวันหนึ่งผมคิดว่าเธอเองก็อาจจะได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้มีแค่เธอเท่านั้นที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยไปตลอดก็ตามที
อา ตอนนี้ผมสับสนเสียจนไม่รู้แล้วว่าตัวเองเขียนอะไรลงไปบ้าง ผมแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ทำยังไงดีล่ะเนี่ย
อีกไม่นานเธอที่ผมรักคนนั้นจะต้องแต่งงานไปกับชายอื่น และผมเองก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปหยุดยั้งเรื่องนั้นได้ ผมทำได้แค่ยืนมองอยู่เงียบๆ เท่านั้นเอง
ชะตาชีวิตแบบนี้ผมทนไม่ได้หรอก ถ้าหากไม่ได้ผูกสัมพันธ์กับเธอคนนั้นล่ะก็ มันก็ไม่มีความหมายอะไรที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ผมอยากตายไปเสียจริงๆ!
ผมแค้นเทพเจ้านัก แค้นเทพแห่งดวงชะตาที่ทำให้เราได้มาพบกันแล้วก็กลั่นแกล้งโดยแยกเราออกจากกันไป
ผมยินดีที่จะขายวิญญาณให้ปีศาจเลยล่ะ ถ้าหากว่ามันจะสามารถช่วยผมให้หลุดพ้นจากทะเลแห่งความสิ้นหวังนี้ไปได้
ผมรู้ดีนะว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องน่ากลัวอยู่ และผมก็รู้ดีด้วยว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันเป็นแค่คำพร่ำบ่นของสุนัขขี้แพ้ที่ขี้ขลาดตัวหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้ผมหมดสิ้นหนทางทุกอย่างแล้ว ผมคงไม่อาจจะยืนหยัดได้อีก และบางทีอีกไม่นานผมอาจจะกลายเป็นบ้าไปจริงๆ ก็ได้ แถมที่ใดสักแห่งภายในใจของผมก็หวังที่จะให้มันเป็นเช่นนั้นด้วย
น้องสาวที่รัก ช่วยผมด้วยเถอะ
ตอนนี้ผมตัวสั่นสะท้านอยู่เพียงลำพังที่มุมเมืองกรีนฮิลเด้ และไม่มีใครอื่นอีกแล้วในโลกนี้ที่คอยค้ำจุนผม นอกเสียจากเธอเท่านั้น

บทที่ 1

ผู้มาเยือนอย่างกะทันหันและการเปิดฉากอย่างเกรี้ยวกราด

ช่วงเวลาบ่าย 3 โมง ถือเป็นช่วงเวลาที่เหล่าร้านรวงขายอาหารซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ในเขตซีจิสม่อน ช่วงตึกที่ 5 จะได้ตักตวงเวลาพักอันแสนสั้นของวันได้อย่างเต็มที่
และสำหรับร้านขายขนมปังที่ชื่อ ?ออลเซ็น? ก็เช่นกัน จูเลียผู้เป็นแม่ถือโอกาสในช่วงที่ลูกค้าไม่เข้าร้านออกไปซื้อของเพื่อมาทำอาหารเย็น ส่วนคุณตานามว่าดานิเอลซึ่งเป็นช่างทำขนมปังก็กำลังทานอาหารว่างอยู่ทางด้านในของร้าน
และผู้ได้รับการไหว้วานให้ช่วยเฝ้าร้านในช่วงที่ลูกค้าไม่เข้านั้นก็คือมิเรย์ เด็กสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นหน้าเป็นตาของร้านนี้นั่นเอง ในวันนี้เธอก็นั่งเฝ้าร้านเหมือนทุกวัน เมื่อถึงเวลาเธอก็หยุดงานต่างๆ ที่ทำอยู่จนถึงเมื่อครู่นี้ลงเสียและเริ่มเปิดจดหมายที่เพิ่งจะถูกส่งมาถึงหมาดๆ
?....จดหมายรึ มิเรย์?
ดานิเอลโผล่หน้าออกมาจากทางเดินที่เชื่อมระหว่างในร้านกับโรงครัว มิเรย์หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าพลางทำไหล่ตกอย่างผิดหวัง
?อืม มีจดหมายจากคุณปิแอร์ส่งมาหาคุณตา แล้วก็จดหมายถึงแม่จากคุณป้าเชอรี่?
?แล้วนอกนั้นล่ะ??
?มีแค่นั้นล่ะค่ะ?
ดานิเอลหัวเราะเบาๆ
?อย่างนี้นี่เอง วันนี้ก็ไม่มีจดหมายจากเฟร็ดส่งมาสินะ เธอถึงได้หน้าตาบูดแบบนั้น?
มิเรย์ทำหน้างอเมื่อโดนทายถูกเข้าอย่างจัง เธอจับผมซึ่งถักรวบเป็นเปียสองข้างของตัวเองเล่น ก่อนจะพึมพำออกมาว่า
?นี่มันก็ 2 เดือนแล้วนะคะ ไม่มีจดหมายตอบกลับเลยแบบนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามัวทำอะไรอยู่?
?เขาก็คงจะมีเรื่องยุ่งๆ หลายอย่างนั่นแหละ อย่าบ่นแบบนั้นสิ ใจเย็นๆ รอเขาหน่อยเถอะ?
ดานิเอลปลอบหลานสาวก่อนจะรับเอาจดหมาย 2 ฉบับนั้นและเดินหายเข้าไปหลังร้าน
มิเรย์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองสมุดจดที่เปิดค้างเอาไว้ตรงหน้า การนั่งจ้องสมุดจดในช่วงเวลานี้พร้อมกับนั่งคิดวางแผนงานต่างๆ พลางงึมงำว่านั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่เชิงนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นชีวิตประจำวันของเธอไปเสียแล้ว
?....นี่ ระฆังตอนสี่โมงมันดังรึยังน่ะ!??
ในระหว่างที่มิเรย์กำลังจับปากกาด้ามหรูที่ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับหญิงชาวบ้านธรรมดาเขียนปราดๆ ลงไปบนกระดาษอยู่นั้น ก็มีเสียงของจูเลียดังขึ้นจากทางด้านหลัง
มิเรย์ไม่ยอมเงยหน้า เธอตอบแม่ที่เดินออกมาโดยคาบขนมปังชิ้นที่ทำผิดพลาดและมือกำลังดึงแขนเสื้อที่พับขึ้นไว้ลงมาด้วยใบหน้าที่ยังยู่ยี่เหมือนเดิมว่า
?ระฆังตอนบ่าย 3 โมงเพิ่งจะดังไปเอง?
?อ้าวเหรอ....อะไรเนี่ย เอาอีกแล้วเหรอ?
เมื่อเห็นลูกสาวตั้งอกตั้งใจเขียนอะไรบางอย่างอยู่ จูเลียก็ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายและเอื้อมมือไปคว้าเอาสมุดจดขึ้นมา
? ?โค่นบรันซีล สู่หนทางอันดับหนึ่งแห่งซานเจอร์เวย์?....ปัดโธ่เอ๊ย นี่ยังนั่งคิดอะไรที่มันไร้เสน่ห์แบบนี้ทุกวันโดยไม่เบื่อเหรอเนี่ย เป็นแบบนี้ดูท่าว่าอีกนานล่ะนะกว่าจะได้แต่งงาน?
?อะ....ขอโทษก็แล้วกันนะคะที่หนูมันไม่ได้เป็นที่นิยมของหนุ่มๆ!?
คำพูดของผู้เป็นแม่เสียดแทงเข้าสู่กลางใจของหญิงสาวผู้ไม่เคยมีแฟนเลยตลอด 16 ปีเข้าอย่างจัง มิเรย์รู้สึกเจ็บปวด เธอแย่งเอาสมุดจดกลับมา ก่อนจะพูดกลับไปอย่างโมโห
?อย่ามายุ่งได้ไหม ตอนนี้หนูกำลังยุ่งกับการวางแผนเกี่ยวกับสินค้าใหม่ของร้านอยู่?
?สินค้าใหม่เนี่ยนะ....นี่คิดจะทำอีกแล้วเหรอ? ไอ้แผนงานผลลัพธ์ติดลบนั่นน่ะ?
?ก็แน่สิคะ ถ้ามัวแต่ทำเรื่องเดิมๆ วนไปวนมาอยู่ล่ะก็ ไม่มีทางได้ขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดหรอก ต้องออกสินค้าใหม่มาให้เยอะๆ แล้วก็สร้างยุคสมัยใหม่ให้กับซีจิสม่อนด้วยมือของพวกเรานี่ล่ะ!?
มิเรย์กำหมัดแน่นก่อนจะกล่าววาจาเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้มันก็เกี่ยวข้องกับการคงอยู่ของธุรกิจที่บ้านซึ่งกำลังเข้าขั้นวิกฤติ แถมอาจจะส่งผลกระทบไปจนกลายเป็นปัญหาใหญ่เกี่ยวกับเรื่องปากท้องในวันพรุ่งนี้ด้วย
เนื่องจากตอนนี้มีร้านขนมปังร้านใหม่ชื่อ ?บรันซีล? มาเปิดอยู่ที่หน้าปากทางเข้าช่วงตึกที่ 5 ร้านนี้มีจุดขายตรงการแต่งร้านสไตล์เรียบง่ายและขนมปังต่างประเทศซึ่งเจ้าของร้านได้ไปร่ำเรียนวิชามาจากเซียรันประเทศเพื่อนบ้าน และความแปลกใหม่นี้เองที่ดูเหมือนจะทำให้กิจการของร้านเปิดใหม่นั้นเป็นไปได้สวยทีเดียว
ตอนที่ร้านนี้เปิดใหม่นั้นมิเรย์ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ทว่าเมื่อเธอไปได้ยินข่าวเรื่องนี้มาจากเพื่อนมันก็ทำให้เธอนั่งไม่ติดที่อีกต่อไป เธอออกปฏิบัติการลอบสำรวจคู่แข่งในทันที และเมื่อได้เห็นว่าการค้าของคู่แข่งนั้นกำลังไปได้ดีอย่างที่ได้ยินมา เธอจึงตั้งปณิธานเอาไว้อย่างแม่นมั่น ณ ที่ตรงนั้นเลยว่า
(บรันซีลอะไรกันยะ มาทำเป็นตั้งชื่อซะหรูเว่อร์แบบนั้น เรื่องอะไรเราจะยอมแพ้ไอ้ร้านน่ารังเกียจพรรค์นั้นกันล่ะ จะต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดไปเลยว่าร้านขนมปังอันดับหนึ่งของซีจิสม่อนนั้นก็คือ ?ออลเซ็น? ของเรานี่ล่ะ!)
ครึ่งปีนับตั้งแต่ที่นิสัยเกลียดชังความพ่ายแพ้ถูกเติมเชื้อไฟ เด็กสาวที่อยู่ในวัยอันสมควรอย่างเธอก็ทิ้งความคิดที่จะแต่งงานมีเหย้ามีเรือนออกไปจากหัวสมอง และเริ่มทุ่มเทให้กับการคิดค้นขนมปังสูตรใหม่ๆ รวมถึงประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกค้าเข้าร้าน แต่ทั้งที่เธอสู้อุตส่าห์อดออมเก็บเงินทีละเล็กละน้อยเพื่อเตรียมการปรับรูปโฉมร้านที่ไม่มีจุดเด่นอะไรนี้แท้ๆ แต่....
?แม่คิดว่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีนะ เพราะเราก็ขายได้ไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่ด้วย?
เมื่อเห็นจูเลียพึมพำออกมาด้วยสีหน้าไม่สนใจอย่างเต็มที่ มิเรย์ก็ได้แต่ถอนหายใจหนักๆ
น่าอับอายเสียจริง ทั้งที่ร้าน ?ออลเซ็น? เป็นร้านเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นที่ 5 แถมยังตั้งอยู่ในย่านการค้าที่มีการแข่งขันสูงอย่างย่านซีจิสม่อนแห่งเมืองซานเจอร์เวย์ซึ่งเปี่ยมไปด้วยศิลปะวัฒนธรรมแท้ๆ แต่คำพูดเมื่อครู่นี้ช่างไม่น่าเชื่อเลยว่าจะหลุดออกมาจากปากของผู้สืบทอดร้านรุ่นต่อไปแบบนี้
?นี่ หม่าม้า เรื่องนี้น่ะถือเป็นปัญหาเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของช่างทำขนมปังและคนค้าขายเลยนะ การเป็นร้านขนมปังอันดับหนึ่งของซีจิสม่อนน่ะมันหมายถึงการเป็นร้านขายขนมปังอันดับหนึ่งของซานเจอร์เวย์ด้วยเหมือนกันนะ มันเป็นเรื่องที่วิเศษไปเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ จะมีลูกค้าที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจากที่ไกลๆ เพื่อมาซื้อขนมปังจากร้านเราด้วยนะ ไม่คิดเหรอว่ามันถือเป็นโชคดีอย่างยิ่งสำหรับช่างทำขนมปังเชียวนะ? ทั้งที่ถ้าแม่แล้วก็คุณตาเอาจริงล่ะก็ เรื่องนั้นไม่มีทางใช่แค่ฝันแน่ แต่ทำไมถึงไม่สนใจเอาเสียเลยนะ ก็เพราะทั้งสองคนเป็นซะแบบนี้ไง พรสวรรค์ทางด้านการค้าขายที่หนูมีมันก็เลยสูญเปล่าแบบนี้?
?พรสวรรค์การค้าขาย....เหรอ....?
?เพื่อที่จะดันให้ร้านเราไปสู่จุดสูงสุดแล้ว ไม่ว่าจะต้องลงทุนลงแรงสักแค่ไหนหนูก็จะทำทั้งนั้นล่ะ แม้จะต้องอดข้าวเย็นก็จะทนมันให้ได้ หรือแม้แต่ถ้าต้องไปโฆษณาหรือตะโกนเรียกลูกค้าให้มาทดลองชิมสินค้าใหม่ที่ถนนลูมินาร์ หนูก็จะทำ....เห็นไหม ดูนี่สิ สินค้าใหม่ชิ้นต่อไปหนูกะจะลองเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ แล้วทดลองทำเป็นขนมปังยัดไส้ซุปผักดูล่ะ ถ้าเป็นเจ้านี่ล่ะก็ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาทำซุป แถมยังสามารถจัดการให้มื้ออาหารเสร็จสิ้นไปอย่างง่ายดาย โดยก่อนอื่นหนูกะจะเริ่มต้นจากซุปหัวเทอร์นิปดูก่อนน่ะ เป็นไงคะ??
คราวนี้จูเลียต้องเป็นฝ่ายยกมือขึ้นกุมขมับอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเห็นผู้เป็นลูกสาวภูมิใจนำเสนอแผนงานนั้นอย่างจริงจัง
อันที่จริงการที่ลูกสาวทุ่มเทให้กับเรื่องกิจการที่บ้านมันก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพียงแต่น่าเสียดายที่ความพยายามนั้นส่วนใหญ่จะมุ่งไปผิดทางแถมยังวนเวียนอยู่กับที่เดิมไม่พัฒนาไปไหน อีกอย่างการตัดสินใจเอาหัวเทอร์นิปมาทดลองเป็นอันดับแรกก็ยิ่งทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามิเรย์นั้นช่างไร้เซนส์ในด้านการทำอาหารสิ้นดี
?....ก็ทำไปจนกว่าลูกจะพอใจก็แล้วกัน เพียงแต่ห้ามไปรบกวนคุณตาล่ะ แล้วก็ในตอนที่จะทำสินค้าแจกเพื่อให้คนทดลองชิมน่ะ อย่างน้อยก็ช่วยทำออกมาให้มนุษย์สามารถกินมันได้หน่อยนะ?
?เสียมารยาทจังเลย เรื่องนั้นหนูรู้อยู่แล้วล่ะน่า?
มิเรย์ตอบอย่างโมโห ท่าทีเช่นนั้นทำให้ทราบได้เลยว่า ผลงานในอดีตซึ่งมีคุณภาพระดับสังหารผู้คนได้อย่างขนมปังที่แข็งราวกับหินผา หรือขนมปังที่มีกลิ่นรุนแรงเสียจนใครที่ได้ดมก็มักจะน้ำหูน้ำตาไหลไปเสียทุกรายนั้นไม่ได้ทำให้เธอตระหนักถึงฝีมือของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่แล้วจูเลียก็หยุดชะงัก เธอกะพริบตาเหมือนได้สติกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งก่อนจะร้องขึ้นว่า
?ตายแล้ว ไม่มีเวลามามัวพูดอยู่แบบนี้นี่นา มีของต้องไปส่งตอน 4 โมงเย็นนี่?
?อ๊ะ หนูไปเอง! ที่ไหนเหรอ??
มิเรย์ปิดสมุดจดพร้อมกับทำดวงตาวิบวับในทันที
แยมที่จูเลียทำนั้นเป็นที่นิยมมากในย่านนี้ แต่เดิมทีเจ้าตัวทำเหมือนเป็นงานอดิเรกเล่นๆ จึงมีขายจำนวนไม่มากและไม่ได้โฆษณาอย่างแพร่หลาย แต่เนื่องจากความอร่อยทำให้ผู้คนบอกกันต่อแบบปากต่อปาก และไม่นานก็มีรายการสั่งซื้อมาจากทั่วทุกสารทิศของซีจิสม่อน เวลาในช่วงเช้าแทบทั้งหมดของมิเรย์จึงหมดไปกับการออกไปส่งของ แต่เมื่อมิเรย์คิดว่ายังไงซะนี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มยอดขายและเป็นหนทางสู่การไต่เต้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เธอจึงไม่รู้สึกลำบากกับมันเลยสักนิดเดียว
?เอ่อ ตรงช่วงตึกที่ 12 ....อ๋อ ถ้าตรงนี้ล่ะก็ ก่อนหน้านี้เคยไปมาแล้วล่ะ แถมถ้าออกซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึง 4 โมงเย็นด้วย เรื่องนี้ให้หนูจัดการเองก็แล้วกันนะ ส่วนหม่าม้าก็ออกไปซื้อของสบายๆ เถอะค่ะ?
มิเรย์พลิกปึกกระดาษใบสั่งซื้ออย่างรวดเร็ว ทว่าก็ถูกจูเลียตบหัวเข้าให้ป้าบหนึ่ง
?ไม่ต้องมาทำเหมือนแม่เป็นคนแก่หรอกย่ะ เธอน่ะตั้งใจเฝ้าร้านไปเถอะ?
?อึ่ม?
จูเลียยัดขนมปังที่ตนกัดทิ้งค้างเอาไว้ใส่ปากลูกสาว ก่อนจะเปิดประตูร้านเตรียมจะออกไป แต่แล้วเธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ก่อนจะหันมาบอกกับมิเรย์ว่า
?จริงสิ บางทีอาจจะมีแขกมาหาคุณตานะ ตอนนี้คุณตาแกพักอยู่ด้านหลัง ถ้าแขกมาเมื่อไหร่ก็ช่วยไปตามด้วยล่ะ?
?....อึ่ม....ระวังตัวด้วยนะคะ?
ทว่าจูเลียก็ออกไปก่อนที่ผู้เป็นลูกสาวจะทันพูดจบ พร้อมกับมีเสียงปิดประตูดังปังตามหลัง
มิเรย์มองแผ่นหลังแข็งขันของแม่พลางถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอรู้ดีโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าแม่ทำงานหนักกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัวเสมอ เพราะตั้งแต่เด็กเธอก็เห็นแม่ยืนทำงานวุ่นวายอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเธอถึงได้รู้สึกไม่ชอบใจกับนิสัยไร้ความทะเยอทะยานของผู้เป็นแม่
(ทั้งที่แม่น่าจะได้ไปทานของอร่อยๆ หรือออกไปเที่ยวได้มากกว่านี้แท้ๆ ....นี่ก็คงเป็นเพราะบ้านเรามันเป็นแค่ร้านขายขนมปังจนๆ น่ะสิ....)
มิเรย์กำหมัดแน่น
(รอก่อนนะคะ หม่าม้า คุณตา หนูจะทำให้ ?ออลเซ็น? ของเรากลายเป็นร้านอันดับหนึ่งของซีจิสม่อนนี้ให้ได้เลย ด้วยความสามารถทางการค้าที่ได้มาจากพ่อนี่ล่ะ!)
มิเรย์กล่าวสิ่งที่คิดอยู่ในใจเสมอออกมาอย่างหนักแน่น ก่อนจะคว้าปากกาขึ้นมาอีกครั้ง
อันที่จริงแล้วเพื่อนร่วมอาชีพที่รู้จักกันนั้นก็มีอยู่มาก ไม่เพียงแต่เฉพาะในช่วงตึกที่ 5 นี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงร้านขายขนมปังในย่านอื่นๆ ด้วย ซึ่งบรรดาคุณลุงที่รู้จักกับแม่เป็นอย่างดีก็มักจะเอ็นดูมิเรย์ด้วยเสมอ แต่การที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้จำเป็นต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งไม่แคร์ต่อสิ่งใด รวมถึงไม่จำเป็นต้องปรานีใครด้วย
(ถึงแม้ทั้งสองคนจะบอกว่าเป็นแบบเดิมก็ดีแล้ว แต่การค้าขายน่ะมันต้องมุ่งสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นสิ เมื่อไหร่ที่เราคุมซีจิสม่อนได้แล้ว ต่อไปก็จะขยับขยายสาขาร้านไปสู่เมืองใหญ่ จากนั้นก็จะขยายสาขา ?ออลเซ็น? ไปทั่วประเทศ และในที่สุดเราก็จะกลายเป็นตระกูลกลุ่มธุรกิจใหญ่เหมือนอย่างลากุนฮิลด์ แล้วจากนั้นก็....)
มิเรย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะฝันถึงอนาคตอันกว้างไกล ก่อนจะก้มหน้าตั้งท่าจะจดมันลงไปบนกระดาษ แต่เมื่อสายตาของเธอปะทะเข้ากับปากกาที่อยู่ในมือ เธอก็ถูกดึงกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
ปากกาสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่ประดับประดาด้วยทองคำแกะสลักนี้ มีแค่เพียง 2 ด้ามเท่านั้นในโลก
เจ้าของปากกาอีกด้ามซึ่งเป็นผู้ที่ส่งของชิ้นนี้มาให้นั้นได้บอกกับเธอด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริงที่ไม่รู้ว่าล้อกันเล่นหรือเปล่าว่า ในประเทศที่เขาอาศัยอยู่มีธรรมเนียมเรื่องการส่งของขวัญ โดยจะส่งของที่มีสีเดียวกันกับดวงตาของคนที่ตัวเองคิดถึงอยู่เสมอ....
(....ไม่ได้การแล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมามัวเพ้อฝันแบบนี้หรอกนะ)
ครอบครัวของมิเรย์มีแค่คุณตาและแม่เท่านั้น ส่วนบิดาที่เป็นพ่อค้าจากต่างแดน มิเรย์ได้ยินมาว่าเสียชีวิตไปแล้วด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ตอนที่เธอยังอยู่ในท้องแม่
และนอกจากนี้มิเรย์ยังมีพี่ชายฝาแฝด ผู้สืบทอดลักษณะเด่นอย่างเรือนผมสีน้ำตาลทองที่เหมือนกับผู้เป็นแม่และดวงตาสีฟ้าอมเทาที่เหมือนกับบิดาผู้ล่วงลับเช่นเดียวกันกับเธออยู่อีกคนหนึ่งด้วย
พี่ชายที่มีชื่อว่าเฟรเดอริคนั้นได้ไปเป็นบุตรบุญธรรมของผู้มีชื่อเสียงแห่งประเทศข้างเคียงที่ชื่ออัลเทมาริส
แต่ถึงกระนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องก็ไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด แต่กลับเชื่อมโยงกันอยู่อย่างแน่นแฟ้นเสียด้วยซ้ำ สองพี่น้องเขียนจดหมายติดต่อกันอยู่เสมอ และบางครั้งพี่ชายของเธอก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับของฝากจำนวนมาก แม้ว่าระยะห่างขนาดเดินทางด้วยรถม้า 6 วันนั้นจะเป็นอุปสรรคทำให้พี่น้องไม่สามารถพบกันได้บ่อยครั้งนักก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ทดแทนด้วยการเขียนจดหมายติดต่อกันตลอด และปากกาสีน้ำเงินที่ถูกส่งมาพร้อมกับคำพูดว่าเขียนจดหมายถึงผมด้วยนะ...ก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของมิเรย์
จดหมายฉบับสุดท้ายที่พี่ชายคนนี้ของเธอเขียนมาหาเมื่อ 2 เดือนก่อน...เต็มไปด้วยเนื้อหาของความรักที่ไม่สมหวังและประโยคสาปแช่งพระเจ้าพร้อมกับบอกว่าจะขายวิญญาณให้กับซาตาน รวมถึงบรรยายถึงความรู้สึกที่กำลังจะบ้าคลั่งของเขาพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ
ตอนที่มิเรย์ได้อ่านมัน เธอช็อกมากเสียจนสมองขาวโพลนไปหมดและกินอะไรแทบไม่ลง จนเกือบจะโดนแม่ต่อว่าเรื่องเธอคิดมากจนเกินไป
แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่มิเรย์จะตกใจจนถึงขนาดนี้ เพราะพี่ชายที่เธอรู้จักนั้นแม้ว่าจะเป็นพวกมองโลกในแง่ดีจนถึงขั้นน่ากลุ้ม แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดจาอ่อนแอเช่นนี้ออกมาอย่างง่ายๆ อย่างเด็ดขาด ที่จริงเขาเป็นคนที่ร่าเริงและมั่นใจในตัวเองสูงมากจนผิดปกติ เรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยเห็นเวลาที่เขาแสดงท่าทางซึมเศร้าออกมาเลยสักครั้ง....
แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น
(แสดงว่าเขาต้องไปเจอเรื่องลำบากในตระกูลที่รับเข้าไปเป็นบุตรบุญธรรมจริงๆ ด้วย)
นี่คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองของมิเรย์
หลังจากที่พี่ชายของเธอไปเป็นบุตรบุญธรรม เขาก็ย้อมผมตัวเองให้กลายเป็นสีทองโดยให้เหตุผลกับเธอว่า ?เพราะท่านพ่อมีผมสีทอง? ซึ่งแม้ว่าในตอนนั้นมิเรย์ยังเด็ก แต่เธอก็นึกไม่พอใจกับเหตุผลนั้นพร้อมกับคาดเดาไปว่าบางทีพี่ชายของเธออาจถูกบังคับให้ย้อมผมก็เป็นได้ และตั้งแต่นั้นมามิเรย์ก็มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพ่อบุญธรรมของพี่ชายเธอสักเท่าไหร่นัก
และในตอนนี้พี่ชายของเธอซึ่งเจ็บปวดกับความรักก็มาร้องขอความช่วยเหลือจากเธอที่เป็นน้องสาว โดยบอกว่าเขาไม่มีใครที่จะสามารถพึ่งพาได้ และตอนนี้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ทั้งที่พี่ชายของเธอก็ไปเป็นบุตรบุญธรรมที่บ้านนั้นมาตั้ง 10 ปีแล้ว แต่นี่แสดงว่าครอบครัวใหม่ของเขานั้นไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้เขาได้เลย
(น่าสงสารจริงๆ....!)
ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าปกติแล้วพี่ชายของเธอร่าเริงเพียงใด มิเรย์ก็รู้สึกเจ็บปวดใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เธอคิดถึงขั้นว่าจะไปรับตัวพี่ชายกลับมาเลยเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ถ้าทำเช่นนั้นล่ะก็ แม่กับคุณตาจะต้องรู้เรื่องเข้าแน่ๆ ซึ่งไม่ว่ายังไงเธอก็ยังไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะเธอได้ให้สัญญากับพี่ชายเอาไว้อย่างหนักแน่นแล้วว่าจะไม่ทำให้ทั้งสองคนต้องเป็นห่วงโดยเด็ดขาด
หลังจากที่มิเรย์สับสนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจปิดบังเนื้อหาในจดหมายเอาไว้ไม่ให้คนในบ้านรู้ และกระตุ้นพี่ชายที่กำลังอยู่ในภาวะอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยการส่งจดหมายตอบกลับไปในทันทีว่า ?คิดจะตัดใจจากคนที่รักมากถึงขนาดนั้นเนี่ยนะ เป็นผู้ชายรึเปล่าเนี่ย? กล้าๆ หน่อยสิ? ....แต่พี่ชายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก
มิเรย์ไม่เคยรู้สึกว่าวันเวลาที่ต้องรอจดหมายตอบจากพี่ชายมันยาวนานมากถึงขนาดนี้มาก่อน แถมยังเป็นตอนหลังจากที่ได้รับจดหมายซึ่งมีเนื้อหาแบบนั้นอีกต่างหาก เป็นผลให้ 2 เดือนที่ผ่านมานี้ใจเธอมีแต่เผลอคิดไปในทางร้ายๆ เสียจนบางทีก็หน้าซีดหรือไม่ก็ผุดลุกผุดนั่งอยู่ไม่เป็นสุขแทบตลอดเวลา เรียกได้ว่าอยู่แทบไม่สงบเลยก็ว่าได้
(จริงๆ เลย....เฟร็ดนี่ล่ะก็....เป็นอะไรไปกันนะ....)
ถ้าอย่างน้อยได้รู้ว่าเขายังปลอดภัยดี มันก็อาจทำให้เธอสบายใจได้มากกว่านี้
ในระหว่างที่มิเรย์กำลังคิดเช่นนั้น ประตูของร้านก็เปิดพร้อมด้วยเสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงทางเข้าดังขึ้นเบาๆ
?อ๊ะ ยินดีต้อนรั.....?
มิเรย์รีบจุดรอยยิ้มและหันไปทันที ทว่าเมื่อเธอได้เห็นแขกที่มาเยือนร้าน คำพูดก็พลันค้างอยู่ในลำคอ
ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่วงท่านุ่มนวลนั้นสวมเสื้อโค้ทหนาหนักที่ดูเหมาะกับสภาพอากาศในฤดูหนาว เขาสวมหมวกปีกกว้างสีดำอยู่บนศีรษะ การแต่งกายของเขานั้นดูไม่เหมาะสมกับการมาเดินในเมืองบุปผาอย่างซานเจอร์เวย์ที่ตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิสักเท่าไหร่นัก
(คนเดินทางเหรอ ไม่ค่อยได้เจอเลยแฮะ....)
เด็กสาวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เนื่องจากช่วงตึกที่ 5 นี้อยู่ห่างไกลจากย่านที่พักอาศัย ทำให้แทบจะไม่มีคนเดินทางคนไหนแวะเข้ามาที่นี่นัก ดังนั้นเลยอาจจะเป็นเหตุให้เธอรู้สึกเห็นเขาเป็นของแปลกมากยิ่งขึ้นไปอีก
จริงสิ เห็นแม่บอกว่าจะมีแขกมาหาคุณตานี่นา หรือว่าจะเป็นคนคนนี้ ในระหว่างที่มิเรย์นึกเช่นนั้น...
?ขอประทานโทษ....?
คนเดินทางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนวัยผิดคาด
?ที่นี่คือบ้านของคุณออลเซ็นใช่ไหมครับ?
เขาถอดหมวก สะบัดผมเบาๆ และมองตรงมาทางนี้ ส่วนมิเรย์ก็ได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ใบหน้าของคนเดินทางผู้นี้ดูดีโดดเด่นแตกต่างจากการแต่งกายของเขาอย่างสิ้นเชิง
เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูสวยงามนั้นกำลังพอดีไม่ยาวไม่สั้นจนเกินไปและให้ความรู้สึกสง่างามหมดจด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นทอประกายสงบและอ่อนโยนที่สุดเท่าที่มิเรย์เคยเห็น อายุเขาคงจะประมาณ 20 ปีหรืออาจจะอ่อนแก่กว่านั้นนิดหน่อย และเป็นคนที่มีบรรยากาศสงบนิ่งอยู่รายรอบตัว
?....เอ่อ??
อีกฝ่ายมองเธออย่างสงสัย และนั่นทำให้มิเรย์รู้สึกตัวและกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

?อ้อค่ะ ใช่แล้ว ออลเซ็นก็บ้านนี้ล่ะค่ะ คุณเป็นใครหรือคะ??
เธอรีบถามออกไปด้วยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบว่า
?คุณคือคุณมิเรย์สินะครับ เหมือนเฟร็ดจริงๆ ด้วยนะเนี่ย?
น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความสนิทสนมของเขากับผู้ที่ถูกกล่าวถึง เมื่อเห็นมิเรย์เบิกตากว้าง ชายหนุ่มจึงรีบกล่าวต่ออย่างสุภาพ
?ต้องขออภัยที่แนะนำตัวช้าไปนะครับ ผมทำงานให้กับตระกูลเบลุนฮัลท์ ชื่อว่าริฮาร์ท รัดฟอร์ดครับ?
ตระกูลเบลุนฮัลท์ก็คือตระกูลที่รับเอาเฟร็ดไปเป็นบุตรบุญธรรมนั่นเอง แถมชื่อของชายหนุ่มตรงหน้าที่แนะนำตัวว่าทำงานให้กับตระกูลนี้ก็ฟังดูเป็นชื่อของทางประเทศอัลเทมาริสด้วย ดังนั้นมันก็ไม่น่าที่จะมีอะไรผิดพลาดแน่ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนจากตระกูลนั้นมาเยือนถึงที่นี่
มิเรย์ตกตะลึงพร้อมกับเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาพร้อมๆ กัน เธอนึกเป็นห่วงเฟร็ดขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาหรือเปล่า
ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวออกมากลับเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธออย่างสิ้นเชิง
?ผมมารับคุณครับ คุณมิเรย์?
?....ฉันเหรอ??
?ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างยิ่งนะครับ แต่เราจำเป็นที่จะต้องให้คุณไปที่อัลเทมาริสเป็นการด่วน ผมได้ให้รถม้ารออยู่ทางด้านนอกนี่แล้ว เชิญครับ?
มิเรย์ได้แต่อ้าปากค้างในขณะที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญเธอด้วยท่าทีแสนจะเป็นมิตร
เด็กสาวไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มที่ทำงานให้กับตระกูลซึ่งรับเอาเฟร็ดไปเป็นบุตรบุญธรรมถึงได้มาเชิญตัวเธอไปแบบนี้ เธอเขยิบตัวถอยไปทางด้านหลังอย่างงุนงง
?เอ่อ รอแป๊บหนึ่งนะคะ คุณตาของฉันอยู่ข้างใน เดี๋ยวฉันจะไปเรียก....?
?ไม่ต้องหรอกครับ?
ทันใดนั้นแขนของมิเรย์ก็ถูกอีกฝ่ายคว้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว เธอชะงักเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็พบว่าชายหนุ่มที่ชื่อริฮาร์ทนั้นกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่เด็ดขาดในที
?ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ ทางเราได้ติดต่อบอกเรื่องนี้กับคุณดานิเอลเอาไว้แล้ว?
?......?
มิเรย์มองหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
(บอกแล้ว....บอกเรื่องอะไรล่ะ....?)
ชายหนุ่มที่ทำงานให้กับตระกูลเบลุนฮัลท์ผู้นี้ได้บอกอะไรกับคุณตาของเธอกันแน่ แล้วนี่เขาคิดจะพาเธอไปไหนกัน
....ว่าแต่เขาเป็นคนจากตระกูลเบลุนฮัลท์จริงๆ น่ะเหรอ?
?คุณตา!?
มิเรย์ร้องขึ้นด้วยความหวาดหวั่นในทันที
คุณตาที่ทำงานอยู่ทางด้านในของร้านจะต้องได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกันเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะออกมาดูเลยแม้แต่น้อย ทางด้านในร้านเงียบสงบอย่างผิดปกติ
?คุณตาคะ! นี่....?
แต่แล้วเสียงร้องตะโกนของมิเรย์ก็หยุดชะงัก เมื่อชายหนุ่มดึงแขนเธอเข้าไปหา
เด็กสาวสะดุ้งเฮือกพร้อมกับกลั้นหายใจและค้อมตัวลง ฝ่ายริฮาร์ทที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเธอก็ดูมีสีหน้าลังเลอยู่บ้าง
แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ทำท่าเหมือนตัดสินใจบางอย่างได้และล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
?....ช่วยไม่ได้นะ เนื่องจากผมเองก็ถูกกำชับมาว่าต้องพาตัวคุณไปให้ได้?
ชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับจับบ่ามิเรย์เอาไว้แน่นและผลักไปชิดติดผนังไม่ยอมให้เธอหนี ก่อนจะหยิบขวดแก้วขนาดเล็กออกมาใช้นิ้วมือสะกิดเปิดจุกของมันออก
?เอาไว้หลังจากนี้ผมยินดีรับคำบริภาษของคุณทุกอย่างเลยล่ะครับ?
การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วฉับไวนั้นทำให้มิเรย์ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย เธอได้แต่แหงนมองใบหน้าของเขาที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อยู่อย่างนั้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองมาอย่างเอาจริงเอาจังทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว
?เดี๋ยว....จะทำอะ....?
?อ้าปากสิ?
?ปาก??
มิเรย์ถามกลับไปอย่างมึนงง ริฮาร์ทจุดรอยยิ้มปนถอนหายใจนิดๆ พลางพูดว่า
?ริมฝีปากน่ารักจังนะครับ?
?....หา....??
ประโยคคำพูดนั้นเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเด็กสาวผู้ไม่ประสีประสาสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ริฮาร์ทสามารถกดปากขวดแก้วใบเล็กลงบนริมฝีปากที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของมิเรย์ที่ยืนแข็งทื่ออยู่ พร้อมกับเทของเหลวในขวดเข้าปากเธอไปอย่างง่ายดาย
?....อึก!!?
มิเรย์กระโดดผลุงและแผดเสียงกรีดร้องในทันทีเมื่อเผลอกลืนของเหลวรสหวานอมเปรี้ยวลงคอไป
?ไม่น้า??!! อะไรเนี่ย ยาพิษเหรอ!? นี่ให้ฉันกินอะไรไปเนี่ย!?
?ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ยานอนหลับธรรมดาเท่านั้น?
?ยานอนหลับ!??
?เป็นยาที่ขึ้นชื่อในเรื่องออกฤทธิ์เร็วและได้ผลแน่นอน ปรุงด้วยฝีมือแม่มดแห่งอัลเทมาริสครับ มันไม่มีผลข้างเคียงอะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะครับ?
?อะ....?
จู่ๆ ก็เอายามากรอกปากคน แล้วยังจะอธิบายสรรพคุณหน้าตาเฉยอย่างนี้อีกเนี่ยนะ
มิเรย์ตกตะลึงจ้องมองริฮาร์ทก่อนจะค่อยๆ รู้สึกว่าใบหน้าอ่อนโยนนั้นค่อยๆ รางเลือนลงทุกที
(???เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ ไม่จริง....!)
โลกเบื้องหน้าส่ายไหวและตีลังกากลับ มิเรย์รู้สึกเวียนหัวเสียจนไม่อาจจะทนยืนอยู่ได้อีกต่อไป ร่างของเธอเซไปมา
(ออกฤทธิ์เร็วอะไรขนาดนี้เนี่ย!?)
เธอตะโกนออกมาในใจ ก่อนที่สติจะตกดิ่งลงสู่ความมืด

*****

มิเรย์รู้สึกว่าเสียงที่เธอได้ยินอยู่ตลอดในห้วงฝันนั้นเป็นเสียงที่คุ้นหูเธออย่างมาก
เสียงนั้นเรียกชื่อเธออย่างรักใคร่ สลับกับเสียงสูดจมูกเป็นระยะๆ แถมยังรู้สึกเหมือนว่ากำลังบ่นงึมงำอะไรบางอย่างให้เธอฟังอีกด้วย
นั่นมันใครกันนะ?
มิเรย์มองไปยังเพดานห้องด้วยสติที่ยังคงรางเลือน ก่อนจะนิ่วหน้าอย่างประหลาดใจ
เตียงที่เธอนอนอยู่ทุกคืนไม่ได้มีม่านลายปักละเอียดยิบหรือลูกไม้ประดับประดาแบบนี้ แถมสัมผัสอ่อนนุ่มผิดแผกไปจากเดิมที่รายรอบตัวอยู่มันก็ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ
(....เอ๊ะ!?)
มิเรย์ผุดลุกขึ้นในทันที การทำเช่นนั้นมันทำให้รู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ความรู้สึกแตกตื่นมีผลจู่โจมเธอมากกว่า
?นี่มันอะไรเนี่ย....!?
มิเรย์ได้แต่นั่งอ้าปากค้างเมื่อพบว่าตนกำลังอยู่บนเตียงนอนกว้างขวางที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติประมาณ 5 เท่าเห็นจะได้ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องก็พบสิ่งของราคาแพงหลายชิ้นถูกจัดวางตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ทั้งผ้าม่านและพรมก็ดูเหมือนจะเป็นของดีราคาสูง แต่มิเรย์กลับจำอะไรไม่ได้เลย ความรู้สึกของเธอในขณะนี้เหมือนกับตนกำลังหลงเข้ามาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งก็ไม่ปาน
และพอดูอีกทีเธอก็พบว่าชุดนอนที่ตนกำลังสวมใส่อยู่นั้นทำจากผ้าไหมเนื้อดีที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กสาวธรรมดาจากร้านขายขนมปังอย่างเธอไม่เคยมีแม้แต่ชุดดีๆ ที่เอาไว้สำหรับใส่ไปข้างนอก แล้วนับประสาอะไรกับชุดนอนผ้าไหมอย่างนี้กัน
(นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?)
มิเรย์ยกมือข้างหนึ่งกุมหัวที่ยังรู้สึกมึนๆ และค่อยๆ ลงมาจากเตียงทั้งที่ยังคงงุนงงกับสภาพของตัวเอง
เอาเป็นว่าก่อนอื่นเธอควรจะต้องทำความเข้าใจกับสภาพการณ์อันแปลกประหลาดที่กำลังเผชิญอยู่นี่เสียก่อน
?รู้สึกตัวแล้วหรือครับ??
?กรี๊ดดดด?
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลัง มิเรย์กระโดดผลุงด้วยความตกใจ เธอไม่รู้มาก่อนว่าทางด้านหลังของห้องนอนนี้จะเชื่อมต่ออยู่กับห้องอีกห้องหนึ่งและไม่คาดมาก่อนว่าที่ห้องนั้นจะมีคนอยู่ด้วย
?เป็นอะไรไหมครับ??
การกระโดดนั้นทำให้มิเรย์รู้สึกเวียนหัว ร่างของเธอโซเซไปมา แต่แล้วก็มีใครบางคนรีบเข้ามาพยุงเอาไว้ มิเรย์เงยหน้าขึ้นเพื่อจะกล่าวขอบคุณ แต่ทันทีที่เธอได้เห็นหน้าอีกฝ่าย อาการมึนงงและปวดหัวก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันที
ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของรูปลักษณ์สมชายชาตรีและท่าทีที่แจ่มใสอ่อนโยนกำลังก้มลงมองเธออย่างเป็นห่วง ชายผู้ที่จู่ๆ ก็จับเธอกรอกยาเมื่อตอนอยู่ที่ร้าน....ไอ้ผู้ร้ายลักพาตัวที่ชื่อว่าริฮาร์ทอะไรนั่น
ทันทีที่นึกได้เช่นนั้น มือขวาของหญิงสาวผู้ที่ได้ชื่อว่ากำปั้นเหล็กแห่งช่วงตึกที่ 5 ก็แทบจะปะทุเพลิงขึ้นมาในทันที
?....ไอ้คนใจยักษ์!!?
เสียงเพียะก้องกังวานไปทั่วห้องอย่างชัดเจน ริฮาร์ทที่รับเอาแรงปะทะจากฝ่ามือไปเต็มๆ รีบเอาขาข้างหนึ่งยันพื้นไว้พร้อมกับเซไปทางด้านหลังเล็กน้อย
?นายน่ะนะ ถึงแม้จะหน้าตาดีอยู่บ้าง แต่ก็ควรจะรู้ไม่ใช่เหรอว่ามันมีสิ่งที่ควรทำกับไม่ควรทำอยู่น่ะ! จับผู้หญิงกรอกยาแล้วลักพาตัวมาแบบนี้ไม่คิดว่ามันน่าอายบ้างรึไง!? เลวววววว....ที่สุดเลยนะเนี่ย!!?
ที่จริงเรื่องหน้าตาว่าดีหรือไม่ดีนั้นมันไม่ค่อยจะเกี่ยวกันสักเท่าไหร่นัก แต่เป็นเพราะมิเรย์โมโหตัวเองมากที่เกิดไปหลงใจเต้นกับคนที่ลักพาตัวเธอมานั่นเอง ร่างของเธอสั่นสะท้านไปหมดด้วยความโกรธในขณะที่จ้องมองไปทางชายหนุ่มอย่างแค้นเคือง
ข้างฝ่ายริฮาร์ทนั้นดูท่าทางจะผิดคาดมากทีเดียว ชายหนุ่มเบิกตากว้างในขณะที่มือข้างหนึ่งจับแก้มที่ถูกตบเอาไว้ ยิ่งมิเรย์ได้เห็นใบหน้าตื่นตะลึงอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดีของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอถึงกับร้องไห้ออกมา
?ใจร้ายที่สุด....ให้ฉันกลับบ้านเลยนะ ฮืออ?
?อะ....เอ่อ?
?อย่างฉันน่ะถึงเอาไปขายซ่องก็ไม่ได้ราคาดีอะไรหรอกนะ ฮืออ?
?....หา??
?ให้ฉันเป็นคนพูดเองมันก็ยังไงอยู่น่ะนะ แต่ฉันไม่ใช่พวกที่ช่างเอาใจ ปากก็เสีย แถมนิสัยก็หยาบกระด้าง ฉันว่านายคิดใหม่น่าจะดีกว่านะ ฮืออ?
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกตะลึงที่ได้เห็นมิเรย์ร้องไห้โฮออกมาหรืออย่างไร แต่ริฮาร์ทก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างปลอบประโลม
?เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แบบนั้นหรอกนะครับ?
?ถ้างั้นแล้วมันคือที่แบบไหนกันล่ะ ที่นี่มันที่ไหนกันล่ะ?
?ปราสาทโมริซซ์ของเบลุนฮัลท์ครับ?
?....เบลุนฮัลท์??
แล้วทำไมชื่อตระกูลที่รับเฟร็ดไปเลี้ยงถึงได้ถูกเอ่ยขึ้นมาในตอนนี้ด้วยล่ะ
มิเรย์หยุดร้องไห้และเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นดังนั้นริฮาร์ทจึงปรับท่าทีให้อ่อนลงก่อนจะกล่าวต่อ
?ที่นี่เป็นเขตที่ดินของดยุคที่อยู่ทางชายแดนตะวันตกของประเทศอัลเทมาริสครับ ห่างจากซานเจอร์เวย์โดยการโดยสารรถม้าประมาณ 1 วันครึ่งครับ?
?แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ล่ะ นี่คิดจะเอาฉันไปขายที่ซ่องสินะ??
?....เอ่อ คือคุณช่วยกรุณาคิดไปในทางที่ห่างจากเรื่องซ่องนั่นหน่อยจะได้ไหมครับ?
?ก็มันใช่ไม่ใช่เหรอ! นายบอกว่าไปคุยกับคุณตาฉันไว้แล้วนี่ แสดงว่าไปจ่ายเงินซื้อตัวฉันมาแล้วใช่ไหมล่ะ แม้แต่ฉันก็รู้หรอกน่าว่าชะตาชีวิตของเด็กผู้หญิงที่ถูกขายน่ะมันจะไปจบลงที่ตรงไหน!?
มิเรย์ร้องตวาดออกมาด้วยท่าทีคล้ายกำลังพาลด้วยอารมณ์โมโห อันที่จริงเธออยากจะซัดผู้ชายคนนี้ให้คว่ำแล้วหนีไปเสีย แต่ในเมื่อคุณตาของเธอได้ตัดสินใจขายเธอมาแบบนี้ก็แสดงว่าเธอไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว และในตอนนี้เธอกลับรู้สึกโมโหมากกว่าที่จะรู้สึกเคืองแค้นเสียอีก
?ไม่นึกเลยว่าที่บ้านเราจะขัดสนเรื่องเงินถึงขนาดนี้....แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะนะ ปกติใครเขาจะขายสาวน้อยผู้เป็นหน้าเป็นตาคนสำคัญของร้านกันล่ะ!? ไม่อยากเชื่อเลย! แล้วหลังจากนี้ใครจะเป็นคนทำหน้าที่อยู่เฝ้าหน้าร้านให้กันล่ะ!?
?....เอ่อ คือ คือว่านะครับ?
?โอ๊ย ช่างเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว ทำก็ได้! แต่ว่านะ ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่าตัวฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องอย่างว่าเลยสักนิด ไม่ได้คุยหรอกนะ แต่ร่างกายนี้น่ะเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงไร้ราคี แล้วก็ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะฉะนั้นถ้าหากต้องการที่จะเอาฉันออกขายในฐานะสินค้าล่ะก็ กรุณาแสดงความรับผิดชอบโดยช่วยสอนงานฉันด้วยล่ะ!?
มิเรย์พ่นคำพูดน่าอายออกมาอย่างเร็วปรื๋อ ในขณะที่ริฮาร์ทนิ่งอึ้งโดยสมบูรณ์ไปแล้ว รอยยิ้มงดงามที่เคยปรากฏอยู่บนหน้าบัดนี้บิดเบี้ยวและแข็งทื่อไปหมด
?ก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ คราวนี้ฉันจะต้องเป็นอันดับหนึ่งของวงการนี้ให้ได้เลย?
มิเรย์กลับมายืนหยัดใหม่อีกครั้งได้อย่างรวดเร็วพร้อมด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ แต่ทันใดนั้นเอง
มีเสียงปึงปังเอะอะดังมาจากตรงทางเดิน และจู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรงพร้อมกับมีร่างของใครคนหนึ่งกระโจนเข้ามา
?มิเรย์!?
มิเรย์หันขวับกลับไปมองผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้องและบังอาจเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงที่ดูตระหนกผิดธรรมดา และเมื่อได้เห็นเขาเข้า เธอก็รู้สึกแปลกๆ กับความทรงจำบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในหัวสมอง
(....เอ๊ะ? คนคนนี้ เราเคยเจอที่....)
ผู้เข้ามาใหม่นั้นเป็นชายที่อายุเลย 30 ปีไปไม่มาก เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ถ้าจะพูดในแง่ดีก็ต้องบอกว่าดูมีนิสัยละเอียดอ่อน แต่ถ้าจะให้พูดในแง่ร้ายก็คือดูท่าทางจะเป็นคนจู้จี้จุกจิกพอควร การแต่งกายและบรรยากาศที่รายล้อมรอบตัวของเขาบ่งบอกว่าท่าทางจะเป็นผู้ดีมีตระกูล ซึ่งเป็นคนประเภทที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับมิเรย์ที่เกิดในย่านค้าขายเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงได้รู้สึกติดใจสงสัยในตัวชายคนนี้นัก
เขาหอบหายใจอย่างหนักราวกับเพิ่งวิ่งมาที่นี่ จากนั้นก็ยืนนิ่งๆ โดยที่แก้มขึ้นสีเรื่อทั้งสองข้างพลางจ้องมองมิเรย์ที่ขยับตัวอย่างอึดอัด แต่แล้วก็น้ำตาปริ่มราวกับทนอัดอั้นตันใจต่อไปไม่ไหวและโผเข้ามากอดเธอไว้ในทันที
?มิเรย์!?
?กรี๊ดดดด! อะไรน่ะ นายเป็นใครน่ะ หัวหน้าแก๊งลักพาตัวรึไง!??
?นี่พ่อเองนะ มิเรย์!!?
?....คะ??
มิเรย์ทำตาปริบๆ ก่อนจะจ้องมองชายผู้น้ำหูน้ำตาไหลพรากขณะที่โผเข้ากอดเด็กสาวที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกอย่างเธออีกครั้งหนึ่ง

*****

สาธารณรัฐเซียรันเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกันกับราชอาณาจักรรีเซแลนด์และราชอาณาจักรอัลเทมาริส
บิดาของมิเรย์เป็นลูกชายคนที่ 4 แห่งตระกูลเจ้าของกิจการพาณิชย์ระหว่างประเทศแห่งเซียรัน เขามาเยือนที่ซานเจอร์เวย์ด้วยเรื่องงานและได้พบกับแม่ของเธอ จากนั้นก็ตกหลุมรักในทันที แต่ต่อมาก็โชคร้ายเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางเรือด้วยวัยเพียง 19-20 ปี เมื่อตอนครึ่งปีก่อนหน้าที่มิเรย์และเฟร็ดจะลืมตาดูโลก
ถ้าอย่างนั้นแล้วผู้ชายที่กำลังสูดน้ำมูกฟืดฟาดอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้คือใครกันเนี่ย
?ก็เป็นพ่อของลูกยังไงล่ะ เป็นพ่อของลูกกับเฟร็ดตัวจริงเสียงจริงเลยนะ?
ชายตรงหน้าร้องอุทธรณ์ขึ้นด้วยสภาพน้ำตาปริ่มตา ฝ่ายมิเรย์ได้แต่นิ่งอึ้ง
แม้เธอยังคงรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจเถียงได้ว่ารู้สึกคุ้นหน้าชายที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกคนนี้เหลือเกิน
ชายผู้มีเรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้าอมเทาผู้นี้มีเค้าหน้าและบรรยากาศที่ราวกับว่าเป็นเฟร็ดในตอนโตปรากฏกายขึ้นไม่มีผิด
(อีกอย่าง....)
มิเรย์นึกไปถึงรูปภาพที่มีผ้าและกระดาษพันเอาไว้หลายชั้นและถูกเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของที่บ้าน
รูปภาพนั้นเธอและเฟร็ดไปเจอมันเข้าเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็ก ชายหนุ่มที่อยู่ในรูปวาดนั้นมีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าอมเทา คุณตาเคยแอบบอกพวกเธอว่านั่นเป็นรูปที่พ่อซึ่งเสียไปตั้งนานแล้วส่งมาให้แม่ก่อนแต่งงาน และชายหนุ่มที่อยู่ในภาพซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพ่อกับสุภาพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเธอในเวลานี้นั้นก็เหมือนกันมากเสียจนน่ากลัว
แต่จู่ๆ ก็มาบอกว่า ?นี่พ่อเองนะ? แล้วจะให้ทำใจเชื่อเลยแบบนี้มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอก็ถูกบอกมาตลอด 16 ปีว่าพ่อนั้นตายไปตั้งนานแล้ว
?....หม่าม้าบอกว่าป๊ะป๋าของฉันกับเฟร็ดชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด โซลฟีลซ์ เป็นชาวเซียรัน....แล้วก็ตายไปตั้งแต่ก่อนที่พวกฉันจะเกิดแล้ว?
เมื่อมิเรย์กล่าวเช่นนั้น น้ำตาก็ยิ่งเอ่อท้นเต็มดวงตาของชายตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
?จูเลียบอกกับลูกอย่างนั้นสินะ ขอโทษด้วยนะมิเรย์ เพราะพ่อมีแต่โกหกเลยทำให้ลูกต้องมีสถานภาพที่ซับซ้อนแบบนี้?
?โกหก....เหรอ หมายความว่ายังไงกัน??
?พ่อจะเล่าทุกอย่างให้ฟังนะ มิเรย์?
ทั้งที่ก็เป็นชายอายุย่างเข้าวัยสามสิบที่ดูสง่างามแท้ๆ ทว่ากลับเอาแต่ร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ดูท่าทางคงจะเป็นคนที่บ่อน้ำตาตื้นเอามากๆ เลยทีเดียว
?ชื่อจริงๆ ของพ่อก็คือเอดูอัลท์ เป็นชาวอัลเทมาริสแท้ๆ เกิดและเติบโตที่นี่ และตอนนี้ถูกเรียกว่าดยุคเบลุนฮัลท์?
?ดยุค!??
มิเรย์ลืมตัวร้องเสียงหลงออกมาในทันที เพราะถ้าพูดถึงดยุคแล้วก็คือตำแหน่งขุนนางลำดับสูงสุดนั่นเอง แถมเธอยังเคยได้ยินมาด้วยว่าถ้าหากไม่ใช่คนที่มีเชื้อสายของราชวงศ์ด้วยแล้วก็ยากนักที่จะได้ครองตำแหน่งนี้
สุภาพบุรุษบ่อน้ำตาตื้นนามเอดูอัลท์ส่ายศีรษะน้อยๆ
?พ่อก็แค่ผู้ชายรักสงบที่ไม่ได้มีผลงานดีเด่นอะไร เพียงแต่จะเรียกว่าโชคดีคงได้กระมังที่พ่อมีสายเลือดของราชวงศ์กษัตริย์แห่งอัลเทมาริส ดังนั้นจึงมีทั้งฐานะทางสังคมและความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย?
(พระ...พระญาติของราชวงศ์ที่ปกครองประเทศ!?)
อย่างนี้ก็เป็นตระกูลเรืองนามอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้วน่ะสิ สำหรับคนที่เติบโตในย่านค้าขายอย่างเธอ ตระกูลพวกนั้นเรียกได้ว่าอย่างกับเป็นอีกโลกที่อยู่เหนือเมฆก็ไม่ปาน
?ถ้าอย่างนั้นคุณอาก็รู้จักกับพระราชาองค์ปัจจุบันด้วยน่ะสิ....??
มิเรย์ตกตะลึงเสียจนสติหล่นหายไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัวเธอจึงค่อยๆ ถามออกไปอย่างเกรงๆ แต่แล้วดวงตาของเอดูอัลท์ก็เต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
?คุณอางั้นเหรอ ถ้าหากว่าต้องโดนลูกเรียกเหมือนกับเป็นคนอื่นคนไกลอย่างนั้นล่ะก็สู้ตายไปซะจะดีกว่า!?
?อ๊ะ ขะ ขอโทษด้วยค่ะ ถ้างั้น เอ่อ คุณเอดูอัลท์?
?จะไม่เรียกว่าป๊ะป๋าเหรอ!??
?อึก....ขะ เข้าใจแล้วค่ะ แล้ว ตกลงว่ายังไงล่ะคะป๊ะป๋า??
อาจด้วยเพราะนึกพอใจกับการที่มิเรย์ตอบสนองคำขอที่เหมือนการข่มขู่อยู่กลายๆ แต่โดยดี เอดูอัลท์จึงใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมซับน้ำตาก่อนจะกล่าว
?แน่นอนว่าต้องรู้จักสิ สมเด็จพระเจ้าไฮริทที่ 4 นั้นทรงเป็นพระเชษฐาของพ่อนะ ถึงแม้ว่าพระมารดาจะเป็นคนละคนกันก็ตามที?
?พระอนุชาของกษัตริย์!?....ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าป๊ะป๋าคือเจ้าชายในรัชสมัยของราชาองค์ก่อน....??
?ใช่แล้วล่ะ สมเด็จพระเจ้าลุดวิทที่ 6 ท่านเป็นพระบิดาของพ่อเอง....และสำหรับลูกแล้ว ท่านก็คือพระอัยกานะ?
เอดูอัลท์กล่าวประโยคนั้นออกมาอย่างหน้าตาเฉย แต่ทันทีที่มิเรย์ได้ยินมัน เธอก็รู้สึกเหมือนเลือดระเหยหายออกไปจากทั่วทั้งร่าง
?ม่ายน้า??????!!?
?มิ มิเรย์??
?เป็นไปไม่ได้!! พูดก็พูดเถอะ มันต้องเกิดเหตุอีท่าไหนขึ้นถึงทำให้เจ้าชายไปรักกับเด็กสาวร้านขายขนมปังได้เนี่ย!? ไม่ใช่นิทานก่อนนอนสักหน่อย เรื่องเพ้อฝันพรรค์นั้นมันจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไง! ว่าแต่แล้วไอ้พรสวรรค์การค้าขายของฉันเนี่ยตกลงแล้วได้รับสืบทอดมาจากใครกันล่ะ? อย่าบอกนะว่ามันไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้วน่ะ....!? ม่ายน้า??????!!?
ข้อมูลความจริงที่ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้มิเรย์แทบจะเสียการควบคุมตัวเอง ที่ผ่านมาเป็นเพราะเธอเชื่อมั่นว่าได้รับพรสวรรค์นี้มาจากพ่อ เธอถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาดำเนิน ?แผนการมุ่งสู่ความเป็นหนึ่ง? ที่ไม่ค่อยจะเห็นผลสักทีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่กลายเป็นว่านอกจากบิดาจะไม่ใช่พ่อค้าแล้วยังเป็นถึงเจ้าชายของประเทศหนึ่งเลยเสียด้วยซ้ำ?....นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
เอดูอัลท์เบิกตากว้างจ้องมองลูกสาวที่จู่ๆ ก็หน้าซีดแล้วแผดเสียงร้องออกมา ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะนุ่มนวลลงพลางจับจ้องท่าทีนั้นอย่างรักใคร่
?....พอลูกทำแบบนี้แล้ว เหมือนกับจูเลียไม่มีผิดเลยนะ ความร่าเริงที่ลูกมีด้วย?
ผู้เป็นพ่อพึมพำด้วยท่าทีรำลึกถึงความหลัง
สายตานั้นทำให้ลมหายใจของมิเรย์สะดุด เพราะดวงตาทั้งสองข้างนั้นเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและความรักของพ่อที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยนั่นเอง
เอดูอัลท์เริ่มตั้งต้นเล่าเรื่องด้วยท่าทีเหมือนกลับไปเป็นชายหนุ่มในภาพวาด สายตาเขาเหม่อมองไปไกลขณะพูดขึ้น
?ครั้งแรกที่เราเจอกัน แม่ของลูกยังอายุแค่ 15 ปี....ส่วนพ่ออายุ 17 คุณแม่ของเธอน่ะนะมิเรย์ เป็นคนสวยแล้วก็มีชีวิตชีวา เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชายมากเลยล่ะ อย่างตัวพ่อเองตอนที่เจอกันครั้งแรกก็ถูกปาแอปเปิ้ลใส่หน้า และกลายเป็นทาสรักของแม่ไปนับตั้งแต่วินาทีนั้น?
?แอปเปิ้ล....?
นี่ไปเจอกันแบบไหนมาล่ะเนี่ย.....
?ลูกรู้จักป่าเกรกอลไหม??
?เอ๊ะ? ค่ะ เป็นที่ดินของพวกคฤหาสน์ที่อยู่นอกซานเจอร์เวย์ใช่ไหมล่ะ?
?พ่อกับจูเลียเจอกันที่นั่นแหละ?
และแล้วเอดูอัลท์ที่ใบหน้าแดงระเรื่อก็เริ่มเล่าเรื่องราวให้กับมิเรย์ได้ฟัง โดยที่จนป่านนี้เด็กสาวก็ยังไม่ค่อยเข้าใจรสนิยมความชอบของผู้เป็นพ่อเลยสักนิด

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในตอนที่เอดูอัลท์ไปพักที่คฤหาสน์แห่งหนึ่งในเกรกอลเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงที่อายุครบ 17 ปี แล้วได้เจอกับดานิเอลและจูเลียที่มาร่วมงานฉลองเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยบังเอิญ
เอดูอัลท์ตกหลุมรักจูเลียตั้งแต่แรกพบ และจูเลียเองก็มีใจตอบรับรักของเขาเช่นเดียวกัน ทั้งสองสนิทสนมและสานสัมพันธ์ฉันคนรักกันในเวลาต่อมา
แต่เอดูอัลท์ก็ไม่สามารถที่จะบอกความจริงกับหญิงที่เขารักได้ว่าตนเป็นพระอนุชาของกษัตริย์แห่งอัลเทมาริส เพราะการเที่ยวไปบอกสถานะของตนกับใครง่ายๆ นั้นคงเป็นเรื่องไม่เข้าทีนัก แถมยังกลัวว่าถ้าจูเลียรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตนจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ขึ้น
ดังนั้นเอดูอัลท์จึงสร้างตัวตนอีกคนหนึ่งที่มีนามว่า ?เอ็ดเวิร์ด โซลฟีลซ์? ผู้เป็นบุตรชายของตระกูลกิจการพาณิชย์ระหว่างประเทศ และเขาก็ทำความรู้จักกับจูเลียด้วยตัวตนนั้น
ทว่าจู่ๆ วันคืนแห่งความสุขก็ถูกทำลายลงในทันที เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับจูเลียล่วงรู้ไปถึงหูของผู้เป็นแม่นั่นเอง
ในเวลานั้นเอดูอัลท์ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นดยุคเบลุนฮัลท์เรียบร้อยแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีสถานะเป็นรัชทายาทอันดับ 2 รองจากมกุฎราชกุมารของกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่เป็นพระเชษฐาของเขา ทำให้สถานภาพของเอดูอัลท์นั้นค่อนข้างถือได้ว่าแปลกประหลาดพอควรทีเดียว แต่เนื่องจากเขาอายุยังน้อยและไม่มีผู้สืบสายเลือด เลยทำให้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นรัชทายาทอย่างเป็นทางการ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากมารดาของเอดูอัลท์จะวางแผนให้ลูกชายสมรสกับหญิงสาวจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเพื่อยกระดับฐานะให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ซึ่งการปรากฏตัวของจูเลียนั้นทำให้แม่ของเอดูอัลท์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอยื่นคำขาดแก่ลูกชายที่กล้าขัดคำสั่งเธอเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมาด้วยอารมณ์โกรธอย่างบ้าคลั่งว่า
ถ้าหากเอดูอัลท์ไม่เลิกกับจูเลียแล้วมาแต่งงานกับหญิงที่จัดหาให้ล่ะก็ เธอจะฆ่าจูเลียทิ้งเสีย....

?....ฆ่าทิ้ง....??
มิเรย์กลืนน้ำลายดังเอื้อก ทั้งที่เธอนึกว่ากำลังฟังเรื่องเรื่องราวความรักของพ่อกับแม่อยู่แท้ๆ แต่กลายเป็นว่าเนื้อหามันชักจะน่าพรั่นพรึงขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
?แม่ของพ่อเป็นพระมเหสีองค์ที่ 2 ของกษัตริย์องค์ก่อนน่ะ เป็นคนที่เคยชินกับการใช้อำนาจบันดาลทุกสิ่งและยึดติดกับความคิดที่จะให้พ่อขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างมากเสียจนผิดปกติ จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นโรคประสาทอ่อนๆ เลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อพ่อได้ฟังก็รู้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่เป็นสิ่งที่ท่านแม่เขาคิดจะทำจริงๆ?
เอดูอัลท์กล่าวเพิ่มต่อไปด้วยท่าทางเอือมระอาว่า อันที่จริงท่านแม่ก็ได้มีการสั่งให้ตรวจสอบและจับตาดูครอบครัวของจูเลียอยู่แล้วด้วย
มิเรย์ชักจะเริ่มสงสารสุภาพบุรุษตรงหน้าที่ดูเผินๆ เหมือนจะถูกเลี้ยงให้เติบโตมาโดยไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไรเลยเสียแล้ว ทั้งที่ถ้าหากเขาเป็นพ่อของเธอจริงๆ ล่ะก็ แสดงว่าต้องเป็นผู้ชายไร้ความรับผิดชอบที่ทิ้งแม่ของเธอไปแท้ๆ แต่เธอกลับทำใจคิดให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย เวลานี้เด็กสาวรู้สึกเหมือนอยากจะยื่นมือออกไปปลอบให้กำลังใจผู้ชายตรงหน้าเธอยิ่งนัก
?เอ่อ คือ....ร่าเริงขึ้นเถอะนะคะ?
?พ่อไม่เคยคิดแค้นเคืองกับชาติกำเนิดของตัวเองมากเท่าตอนนั้นมาก่อนเลย!?
มิเรย์ทำท่าจะปลอบ แต่เอดูอัลท์ก็เงยหน้าขึ้นมาในทันทีพร้อมกับร้องคร่ำครวญออกมาอย่างโศกเศร้า
?ในตอนที่พ่อพร่ำบอกกับตัวเองว่าทำไปเพื่อปกป้องจูเลียและขอเลิกกับเธอนั้น พ่อก็ได้บอกถึงฐานะที่แท้จริงของตนเองออกไปด้วย ซึ่งจูเลียเองก็รับฟังโดยไม่กล่าวว่าพ่อสักคำ ไม่ยอมบอกแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าเธอกำลังมีลูกและเฟร็ดอยู่ในท้อง....! อา มิเรย์ ลูกจงต่อว่าพ่อผู้ไม่ได้เรื่องที่ไม่อาจเอาชนะอำนาจคำสั่งแถมยังทอดทิ้งคนรักที่กำลังมีลูกแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่นทีเถอะ เชิญด่าว่าจนกว่าลูกจะสาแก่ใจเลยนะ จะทุบตีหรือจับแขวนห้อยหัวยังไงก็ได้ทั้งนั้น!?
?จะ ใจเย็นๆ ก่อนสิคุณลุ....ป๊ะป๋า! หนูไม่ต่อว่าอะไรหรอกน่า เล่าต่อเถอะค่ะ?
เมื่อลูกสาวห้ามปรามเอาไว้ ผู้เป็นพ่อที่ชักจะเริ่มสติแตกจึงสูดน้ำมูกพร้อมกับพูดว่าขอโทษนะ
?....พ่อแต่งงานก็จริง แต่ว่าไม่นานภรรยาก็ป่วยตายจากไป คนรอบข้างพากันเกลี้ยกล่อมให้พ่อรีบแต่งงานใหม่เสียจนพ่อรำคาญ และพ่อเองก็นึกสิ้นหวังกับการมีชีวิตอยู่จนไม่อาจทนเก็บความรู้สึกที่ปิดตายไปแล้วของตัวเองได้อีก พ่อจึงเดินทางไปยังซานเจอร์เวย์เพื่อพบจูเลีย....?

นี่เป็นเรื่องหลังจากที่เอดูอัลท์และจูเลียเลิกกันได้ 6 ปีแล้ว
เอดูอัลท์ที่เฝ้าแอบมองร้านขนมปังอยู่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่าที่ข้างกายของจูเลียซึ่งเติบโตเป็นหญิงสาวที่สวยงามมากขึ้นกว่าเดิมนั้นมีเด็กหญิงและเด็กชายตัวเล็กๆ อยู่ด้วย
เมื่อคิดว่าบางทีหญิงที่ตนยังรักอาจจะแต่งงานและมีลูกไปแล้วมันก็ทำให้เอดูอัลท์ไม่อาจทนยืนเฉยอยู่ได้อีกต่อไป เขาจึงหาโอกาสเหมาะๆ และเข้าไปคุยกับเด็กชายตัวน้อย....หรือก็คือเฟร็ด แล้วจัดการถามเกี่ยวกับพ่อของเด็กพวกนี้ในทันที และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่าจูเลียได้คลอดลูกของเธอกับเขาออกมา
หลังจากนั้นเอดูอัลท์ก็ได้เจอกับจูเลีย และแม้จะรู้ดีว่ามันออกจะเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่เขาก็ได้บอกแก่เธอว่าความรู้สึกที่เคยมีต่อเธอนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และขอเธอแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันหมายถึงว่าเขาตั้งใจที่จะขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหตุผลจริงๆ อีกอย่างก็คือเอดูอัลท์ไม่อยากจะมีชีวิตแต่งงานที่น่าเศร้าอีกเพียงเพราะเหตุผลว่าต้องการทายาทสืบสกุล ดังนั้นเขาจึงขอให้จูเลียมาเป็นภรรยาและต้องการที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสองคนด้วย ทว่าจูเลียกลับปฏิเสธคำขอทั้งหมดอย่างไร้เยื่อใย
แต่ฝ่ายเอดูอัลท์นั้นก็ตั้งใจมั่นแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยมือจากจูเลียและลูกๆ ทั้งสองของตนอีกโดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงร้องไห้พร้อมกับขอร้องหญิงสาวที่ตนรักว่าถ้าหากไม่มีทายาทไว้สืบสกุลล่ะก็ มีหวังตระกูลของเขาต้องสิ้นสุดเพียงเท่านี้เป็นแน่ และอ้อนวอนขอรับเอาตัวเฟร็ดไปเลี้ยง เพราะเชื่อว่าถ้าหากยังมีสายสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้ล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีทางตัดขาดกันได้อย่างแน่นอนนั่นเอง
ข้างฝ่ายดานิเอลและเฟร็ดที่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดในเวลาต่อมานั้นก็ได้แอบให้ความช่วยเหลือเอดูอัลท์อย่างลับๆ จนสามารถทำให้จูเลียที่เอาแต่หน้าหงิกไม่รับคำขอร้องยอมพยักหน้าตกลงได้ในที่สุด และด้วยเหตุนี้เฟร็ดจึงออกจากบ้านออลเซ็นมายังคฤหาสน์ของดยุคเบลุนฮัลท์ในฐานะของลูกบุญธรรม....

(......เอ่อ....คือ....)
มิเรย์พยายามสางปมความคิดในสมองที่บัดนี้มันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดอย่างสุดความสามารถ
?สรุปก็คือ....เฟร็ดที่น่าจะไปเป็นลูกบุญธรรมนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือไปอยู่กับป๊ะป๋าที่ไม่ได้ตาย แล้วก็มีหนูอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี่เลย ใช่ไหมคะ??
เมื่อเห็นมิเรย์ทำหน้าไม่ชอบใจว่าแล้วทำไมถึงมีหนูอยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนคนอื่นเขากันล่ะ? เอดูอัลท์ก็รีบละล่ำละลักตอบด้วยกลัวว่าลูกสาวจะเสียใจ
?อ๊ะ แน่นอนว่าพ่อเองก็คิดที่จะรับตัวลูกมาในทันทีเหมือนกันนะ!? พ่อส่งของขวัญไปตลอดเพื่อให้จูเลียยอมอนุญาต แต่ว่าจูเลียก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย แถมยังไม่ยอมให้เจอกับลูกด้วย....นี่แสดงว่าเขาไม่ยอมยกโทษให้พ่อหรือเปล่านะ ทั้งที่ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน คนที่พ่อรักก็มีแต่จูเลียแท้ๆ แต่ไม่ว่าจะขอความรักไปสักกี่ครั้งจูเลียก็ไม่ยอมยกโทษให้ นี่มิเรย์ ลูกคิดว่ายังไง? นี่พ่อถูกทิ้งจริงๆ แล้วใช่ไหม.....ฮืออออ....?
จะว่าไปแล้ว ทุกครั้งที่เฟร็ดกลับมาบ้านก็มักจะหอบเอาของฝากกลับมาเยอะแยะเต็มไปหมดเลยนี่นา แสดงว่านั่นเป็นของที่เอดูอัลท์ส่งมากำนัลแด่แม่สินะ
ว่าแต่ไอ้อาการเอะอะก็ร้องไห้หรือเอาแต่คิดมากแบบนี้นี่มันเหมือนจะคุ้นๆ จังเลยแฮะ
?เอ่อ เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับที่กำลังคุยกันอยู่หรอกนะคะ แต่ในระหว่างที่หนูหลับอยู่เนี่ย พ่อมาร้องไห้แล้วทำจมูกฟุดฟิดอยู่ข้างหัวเตียงด้วยรึเปล่า??
เด็กสาวนึกย้อนไปแล้วสงสัยเลยถามขึ้นมา ซึ่งเอดูอัลท์ก็พยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับที่หางตาไปด้วย
?พ่อทนรอไม่ไหวว่าเมื่อไหร่ลูกจะตื่น ก็เลยมาเฝ้าอยู่ข้างๆ หัวเตียงตลอดเลย แล้วพอได้เห็นใบหน้ายามหลับของลูก ความรู้สึกมันก็พุ่งสูงขึ้น....ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ คนนั้นจะเติบโตขึ้นมาได้ขนาดนี้แล้ว...แต่กลายเป็นว่าลูกกลับลืมตาตื่นขึ้นในตอนที่พ่อบังเอิญลุกไปเสียนี่ โชคไม่ดีเลยจริงๆ ทั้งที่พ่อกะว่าจะกอดรับขวัญลูกให้แน่นๆ สักหน่อย?
?....เอ่อ หนูว่ามันก็แน่นพอแล้วล่ะค่ะ กอดรับขวัญอันนั้นน่ะ?
มิเรย์เอ่ยตอบอย่างหมดแรงในขณะที่นึกย้อนไป จากนั้นเธอจึงถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง
?หนูเข้าใจสถานการณ์แล้วค่ะ เอ่อ แต่ที่จริงก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนักหรอก แต่เอาเป็นว่าเข้าใจก็แล้วกัน?
เนื่องจากเรื่องมันเกิดอย่างกะทันหันเกินไปจนเธอไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริงสักเท่าไหร่นัก แต่เธอในเวลานี้ก็เข้าใจทุกๆ เรื่องที่สุภาพบุรุษตรงหน้าเธอเล่าให้ฟังแล้ว แต่มีเพียงแค่เรื่องเดียวที่มิเรย์ยอมรับได้อย่างง่ายดายจนน่าแปลกใจก็คือเรื่องที่ว่าคนคนนี้คือพ่อของเธอนั่นเอง
?ว่าแต่แล้วทำไมถึงต้องพาตัวมาด้วยวิธีที่รุนแรงอย่างนั้นด้วยล่ะ คงไม่ใช่เพราะว่าอยากเจอหนูมากเลยหาโอกาสช่วงที่แม่ไม่อยู่เข้าไปลักพาตัวหนูมาหรอกใช่ไหม? ทั้งคุณตา....แล้วก็คนคนนี้ด้วย ไม่เห็นจะยอมบอกอะไรหนูสักอย่าง?
มิเรย์เหลือบมองริฮาร์ทที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ข้างฝ่ายเอดูอัลท์ก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมา
?คือมันมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นน่ะ....เป็นกรณีเร่งด่วนมาก ดังนั้นเราก็เลยจำใจต้องใช้วิธีที่รวบรัดรุนแรงแบบนั้น ต้องขอโทษด้วยนะลูก?
?เรื่องนั้นช่างเถอะค่ะ ที่สำคัญกว่านั้น มันมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?
?ที่จริงแล้ว....มันเป็นเรื่องของเฟร็ดน่ะ?
?เขาทำอะไรเหรอคะ??
จริงสิ แล้วทำไมถึงไม่เห็นเฟร็ดอยู่ที่นี่เลยล่ะ หรือว่าตอนนี้เขาออกไปข้างนอกกันนะ
ทั้งที่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนับตั้งแต่ที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอหน้าเฟร็ด แต่มิเรย์ก็กลับเพิ่งมารู้สึกไม่พอใจเอาในตอนนี้ ข้างฝ่ายเอดูอัลท์นั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
?สถานการณ์มันบานปลายจริงๆ น่ะ....ไม่ว่ายังไงเราก็อยากได้ความช่วยเหลือจากลูกนะ....?
?เอ๊ะ อะไรเหรอคะ หนูอ่านได้เหรอ??
มิเรย์เปิดจดหมายอ่านด้วยท่าทีที่ยังสับสนอยู่บ้าง ทว่ายังอ่านไปได้ไม่ทันจบเธอก็ต้องทำตาเหลือก

ถึงท่านพ่อและทุกๆ คนในเรือนแยกของตระกูลเบลุนฮัลท์
เคานท์เบลุนฮัลท์ เฟรเดอริค ลูกชายผู้ไม่ได้เรื่องคนนี้จะขอคืนบรรดาศักดิ์ที่ได้รับมาและไปจากประเทศนี้ครับ
สาเหตุเพราะผมได้รู้สึกตัวเข้าแล้วนั่นเองว่า ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ยังทัน ก่อนที่เธอผู้นั้นจะกลายเป็นมเหสีของฝ่าบาทไป
ผมขอขอบคุณมิเรย์ น้องสาวแสนรักของผมที่มอบคำพูดปลุกใจให้แก่พี่ชายผู้ขี้ขลาดของเธอว่า ?ถ้าหากมีเวลามานั่งเสียใจอยู่ล่ะก็ ไปแย่งเธอคนนั้นมาซะเลยสิ เป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอ!? ดังนั้นผมจะออกเดินทางสู่โลกกว้างไปกับเลดี้เอนน์เพื่อปกป้องความรักของเราครับ
ได้โปรดอภัยที่ผมกระทำการเนรคุณต่อผู้มีพระคุณของผมมาโดยตลอด และเลือกที่จะโยนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตทิ้งไปเพื่อความรักแห่งโชคชะตานี้ด้วย
จาก เฟรเดอริค

(อะรายน้า!?)
สังหรณ์ไม่ดีของมิเรย์นั้นถูกต้องเป๊ะเลยทีเดียว
?นะ นี่มันหมายความว่า ที่เขาเรียกกันว่า หนะ หนะ หนีตาม?
?หนีตามกันไป?

?ใช่ นั่นแหละ!?
เด็กสาวร้องพลางยกมือขึ้นชี้หน้าริฮาร์ทที่ทายถูกเข้าอย่างจัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยกมือขึ้นกุมขมับ
?เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว....เฟร็ดพาผู้หญิงหนีตามเหรอ? โกหกใช่ไหม? เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มเสียงยังไม่แตกเลยนะ!?
?เรื่องเสียงพูดคงไม่ค่อยเกี่ยวกันหรอกมังครั....?
?มันเป็นเพราะหนูงั้นเหรอ? เป็นเพราะหนูไปยุเขาเข้าก็เลยพาผู้หญิงหนีแบบนี้เหรอ? ม่ายยยยน้า! ว่าแต่แล้ว ?ฝ่าบาท? คนนี้นี่ใครเนี่ย!?
มิเรย์สติแตกอีกครั้ง ริฮาร์ทเห็นดังนั้นจึงตอบอย่างเกรงๆ ว่า
?หมายถึงมกุฎราชกุมารอัลเฟร็ทครับ?
?ละ แล้วทำไมในจดหมายของเฟร็ดต้องกล่าวถึงด้วยล่ะ?
?เรื่องนั้นก็คือว่า....เป็นเพราะสตรีที่เขาพาหนีไปด้วยนั้นเป็นพระคู่หมั้นของฝ่าบาทน่ะครับ?
?....ฮะ??
?ซึ่งก็หมายความว่าเฟร็ดพาคุณหนูผู้ซึ่งอีกไม่นานจะกลายเป็นพระมเหสีของมกุฎราชกุมารหนีหายไปแล้วน่ะครับ?
ทันใดนั้นความคิดของมิเรย์ก็ถูกแช่แข็งในทันที เธอจ้องเขม็งไปทางริฮาร์ทราวกับจะทำให้ตัวเขาทะลุเป็นรูพรุนด้วยสายตา สีหน้าในเวลานี้ของมิเรย์เหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่เชิง
....ก่อนที่โลกเบื้องหน้าของเธอจะตีลังกากลับหัว
?อ๋า มิเรย์!?
น้ำเสียงตกอกตกใจดังขึ้นเหนือศีรษะ
?น่าสงสารจริงๆ ลูกหน้าซีดจนถึงขนาดนี้! นี่ ริฮาร์ท เลิกแกล้งลูกของฉันได้แล้วนะ!?
ฝ่ายริฮาร์ทที่จำไม่ได้เลยว่าตนไปแกล้งอะไรมิเรย์ ก็กระแอมกระไอเพื่อกลบเกลื่อนข้อกล่าวหาอันไม่เป็นธรรมของเอดูอัลท์และปรับท่าทีของตนใหม่
?ท่านเอดูอัลท์ครับ ใจเย็นๆ นะครับ ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปจนคนภายนอกรับรู้เข้าล่ะก็ มีหวังคงโดนประหารทั้งตระกูล....หรือไม่ก็โดนเนรเทศออกนอกประเทศแน่?
?เอ๊ะ?
?เอ๋!?
เอดูอัลท์อ้าปากค้างไปชั่วขณะ ส่วนมิเรย์ที่เขากำลังพยุงตัวอยู่นั้นก็หน้าซีดทันที
?อะไรกัน ทำยังไงดีล่ะ! นะ นี่หนูต้อง ทะ ทะ ทะ ทำยังไงดีล่ะ?
แน่นอนว่าเธอไม่รู้อยู่แล้วว่าหญิงที่พี่รักเป็นถึงพระคู่หมั้นของมกุฎราชกุมาร แต่ถึงแม้เธอจะไม่ได้ยุเขาไปเล่นๆ แต่ยังไงเสีย เมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว มันก็เหมือนกับว่าเธอเป็นคนยุยงส่งเสริมให้เฟร็ดพาหนีนั่นแหละ แล้วนี่กลายเป็นว่าพ่อที่ในที่สุดเธอก็เพิ่งจะมีโอกาสได้พบหน้ากลับจะต้องมาถูกประหารชีวิตซะแล้วเหรอเนี่ย!?
?ใจเย็นๆ หน่อยสิมิเรย์ ไม่ต้องตกอกตกใจถึงขนาดนั้นก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก....อะ เอ่อ เอาเป็นว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ?
เอดูอัลท์เองก็พลอยเริ่มสติแตกไปด้วยเหมือนกัน แต่แล้วก็มีน้ำเสียงหนักแน่นใจเย็นดังขึ้นจากข้างๆ ตัวเขา
?เรื่องนี้ยังไม่ได้เผยแพร่ออกไปหรอกครับ ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ยังสามารถกลบเกลื่อนได้ทัน?
?....กลบเกลื่อน??
ริฮาร์ทพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง
?ทางผมได้จัดการติดตามหาตัวเฟร็ดเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าหากเราสามารถหาตัวเขาพบก่อนงานพิธีหมั้นซึ่งจะมีขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้าได้ล่ะก็ ไม่มีปัญหาหรอกครับ?
?ตะ แต่ว่า แล้วถ้าหาตัวไม่เจอล่ะจะทำยังไง?....คงไม่ใช่ว่าให้ฉันไปเป็นพระมเหสีของมกุฎราชกุมารแทนหรอกนะ!??
?พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องนั้นพ่อไม่ยอมเด็ดขาดเลยนะ! เรื่องอะไรจะยอมให้ลูกสาวคนสำคัญของพ่อไปเป็นมเหสีของเจ้ามกุฎราชกุมารนั่นกันล่ะ?
ริฮาร์ทยิ้มเจื่อนๆ เมื่อเห็นว่าเอดูอัลท์เปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาในบัดดล ก่อนจะเบนสายตาที่แฝงแววลำบากใจไว้นิดหน่อยมาทางมิเรย์
?แต่ยังไงเสีย เราก็ยังจำเป็นจะต้องมีตัวแทนนะครับ จนกว่าเราจะจัดการเรื่องนี้ให้จบลงอย่างเรียบร้อย?
?ตัวแทน....??
?ใช่ครับ คุณจะต้องเป็นตัวแทนครับ เป็นตัวแทนของเคานท์เบลุนฮัลท์
เมื่อมิเรย์ ต้องสวมบทบาทเป็นท่านเคานท์กำมะลอแทนพี่ชายพี่หายไป เรื่องราวจะเป็นเช่นไร ติดตามอ่านได้ใน "การผจญภัยของท่านเคาน์ทกำมะลอ" ฉบับเต็ม หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือเว็บไซต์ http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=7325

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”