New Release : บุปผาคู่บัลลังก์ ตอน ความคิดถึงสู่มณฑลซาที่ห่า

อัพเดทข่าวบงกชบุ๊คส์ ความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษ ตลอดจนร่วมสนุกชิงรางวัลพร้อมของรางวัลมากมาย

Moderator: P'Bly, Gals, พี่บี

ตอบกลับโพส
Gals
โพสต์: 1101
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ 13 ก.พ. 2009 3:47 pm

New Release : บุปผาคู่บัลลังก์ ตอน ความคิดถึงสู่มณฑลซาที่ห่า

โพสต์ โดย Gals »

เรื่องย่อ

หลังจากที่ฟันฝ่าอุปสรรคจนได้เป็นขุนนางสมความตั้งใจ ภารกิจแรกที่โคชูเรได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้คือ การเป็นผู้ว่าราชการมณฑลซาร่วมกับโทเอเงซึ แต่เมื่อเดินทางมาเกือบจะถึงมณฑลซา เอเงซึและผู้ติดตามที่มาด้วยอีกสามคนก็ถูกจับตัวไป ชูเรที่เหลือเพียงลำพังจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ถึงมณฑลซา และแสดงตัวในฐานะผู้ว่าฯ ให้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าทุกย่างก้าวของตัวเองถูกจับจ้องจากคนของตระกูลซา บททดสอบแรกสู่การเป็นขุนนางที่ดีอย่างที่ชูเรหวังไว้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!



ทั่วทั้งพื้นถูกย้อมเป็นสีแดง
ถ้าหากที่นั่นเป็นที่กลางแจ้งก็น่าจะคิดได้ว่ามีฝนสีแดงตกลงมาเป็นแน่แท้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็อยากจะเชื่อว่าเป็นเพราะวันนี้มีจิตรกรผู้มีชื่อเสียงมาวาดภาพครอบครัว แต่เผอิญทำสีหก....
(นี่มันอะไรกันนะ.....) เด็กชายคิด
สิ่งที่เหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกทำลายเป็นชิ้นๆ คือชิ้นส่วนของแขน ขา และศีรษะของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในครอบครัวที่เมื่อเช้าก็ยังยิ้มแย้มกันอยู่ แต่บัดนี้ชิ้นส่วนของพวกเขากลับลอยอยู่ในน้ำที่เป็นสีแดง ซึ่งเด็กชายไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
แม่บอกกับเด็กชายก่อนที่เขาจะออกไปเที่ยวว่า ?แล้วรีบกลับมานะ อย่าช้าล่ะ? เขาอุ้มน้องชายที่เพิ่งเกิดไว้ในอ้อมแขน นั่นเป็นพี่น้องคนที่ 7 และเป็นน้องชายคนแรกสำหรับเขา
เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น 1 คน พ่อจะให้จิตรกรมาวาดภาพแล้วประดับเอาไว้ เขาไม่ชอบที่จะต้องยืนนิ่งๆ เพราะความจริงแล้วชอบเล่นสนุกมากกว่า เขายังจำสัญญานั้นได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกละอายใจที่กลับมาช้าเพราะเล่นจนเพลิน
แม่ที่ใจดีแต่มักจะดุว่าเขาเพราะเขาชอบซนอยู่เสมอ บัดนี้นอนกลิ้งอยู่ในสภาพที่แทบจะไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ ในอ้อมแขนนั้นมีลูกชายคนที่ 7 อยู่ด้วย แต่ไม่มีศีรษะ เมื่อมองหาจึงพบว่าส่วนศีรษะนั้นลอยอยู่ในบ่อน้ำที่เป็นสีแดงซึ่งอยู่ไกลออกไป
ซู่.....ซู่....เขาได้ยินเสียงน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย เป็นเสียงของของเหลวสีแดงที่ไหลจากปลายโต๊ะที่ล้มอยู่
ภายในห้องร้อนยิ่งกว่าภายนอก
(เลือดอุ่นๆ แสดงว่านี่เป็นความจริงสินะ) เด็กชายคิดอย่างงุนงง
ทั้งที่...อยู่ในฤดูร้อน อากาศร้อนจัด แต่ทำไมถึงไม่มีเหงื่อสักหยดเลยนะ
ทันใดนั้นก็มีเงาปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
?....ในที่สุด คนสุดท้ายก็กลับมาแล้วเหรอ?
เสียงแหบห้าวนั้นทำให้เด็กชายหันกลับไป และกระโดดไปข้างหลังตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้นเขารู้สึกเจ็บแปลบที่ใต้ตาซ้าย แล้วภาพที่มองเห็นก็ถูกบดบังด้วยสีแดง
?เหอะ หนีเก่งนักเรอะ?
เด็กชายเข้าไปหลบในบ่อที่มีสีแดงอุ่น ของเหลวสีแดงไหลรินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแก้มของเด็กชายเต็มไปด้วยเลือด เด็กชายได้ยินเสียงดังกึง พร้อมกับก้อนอะไรบางอย่างที่หนักๆ ลอยมา
?เอ้า รางวัลไงล่ะ แม่ของเจ้าไง ส่วนพ่อก็ไปหาเอาเองแล้วกัน?
เด็กชายสบตากับนัยน์ตาที่ว่างเปล่า มือทั้งสองเกี่ยวกับเส้นผมดำสนิทที่มารดาเคยภาคภูมิใจ เด็กน้อยไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้ ไม่มีแม้ความรู้สึกตกตะลึงหรือขยะแขยง ได้แต่เพียงกอดส่วนที่เป็นศีรษะของมารดาที่เย็นชืดจนเหมือนกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักเอาไว้ แม้แต่จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาจ้องมอง ชายผู้นั้นเห็นแล้วกลับหัวเราะออกมา
?.....ข้าถือคติว่าจะต้องฆ่าครอบครัวที่เข้าปล้นให้หมดทุกคน เพราะฉะนั้นข้าถึงได้รอเจ้ากลับมา แต่ว่าข้าเปลี่ยนใจแล้ว เพราะเจ้าสามารถหลบการโจมตีครั้งแรกของข้าได้ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะทดสอบดวงของเจ้า?
ชายผู้นั้นคว้าคอเสื้อของเด็กชายด้วยมือข้างหนึ่ง ยกตัวเขาขึ้นมา แล้วหักแขนขวาของเขาอย่างง่ายดาย
....เสียงกรีดร้องดังลั่น เด็กชายที่ถูกหักแขนขาตามลำดับร้องไห้เสียงดัง
ชายผู้นั้นจับเด็กชายขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วทำให้มันวิ่งเข้าไปในป่า เพื่อทิ้งเขาไว้กลางป่า ในยามที่พระอาทิตย์กำลังจะตก
?ตอนดึกๆ ที่นี่จะมีสัตว์ป่า หรือพวกหมาจิ้งจอกออกมา เด็กน้อยที่ไร้ทางต่อสู้คงถูกมันเขมือบไม่เหลือแม้แต่ซี่โครง ....เจ้าถูกหักแขนขาแล้ว ดูซิว่าจะเอาชีวิตรอดได้ยังไง?
เด็กน้อยที่น้ำตาแห้งเหือดไปแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายผู้นั้น
ชายคนนั้น...แสยะยิ้มอย่.
?ใช่ คนที่ฆ่าครอบครัวที่เจ้ารักคือพวกเราเอง ของที่จะแปรเป็นเงินได้ก็เอาไปหมดแล้ว ส่วนแม่กับพี่สาวน้องสาวของเจ้าก็เช่นกัน ...เป็นไงล่ะ เกลียดข้าใช่ไหมล่ะ? อยากจะฆ่าข้าใช่ไหม? ฮะๆๆ ถ้างั้นก็ลองเอาชีวิตรอดให้ได้สิ?
เด็กชายขนลุกชันทั้งตัว หากนั่นไม่ใช่เพราะความกลัว
?ใช่แล้ว จำข้าให้ได้สักสิบปีก็แล้วกัน แค่นั้นคงเพียงพอแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้าผ่านไปเกิน 10 ปี ก็ลืมได้เลยนะ ลูกชายคนที่ 3 ของตระกูลโร... โรเอนเซ ข้าจะรอเจ้าจนกว่าจะถึงอายุ 15 เท่านั้น?
เด็กชายตะโกนออกมา ใช้คางคืบคลานตามชายผู้นั้นที่อยู่บนหลังม้าและกำลังหายลับไปพร้อมกับตะวันที่กำลังลับฟ้า
?.....แก...สักวัน... สักวันฉันจะต้องฆ่าแกให้ได้.....!?
...ตราบใดที่รอยแผลใต้ดวงตาข้างซ้ายที่ชายผู้นั้นฝากไว้ยังคงอยู่ เด็กชายจะไม่มีวันลืมความแค้นนี้ได้ **********

แม่เป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ และเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ แม้จะมีความงามเป็นอาวุธ แต่ก็ไม่มีจิตใจทะเยอทะยานเช่นเดียวกับเหล่าสนมคนอื่นๆ การได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเป็นภรรยาของชายธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายอยู่ต่างจังหวัดที่เงียบๆ สักแห่งอาจจะมีความสุขยิ่งกว่าการเป็นดอกไม้อยู่ในวัง
...แต่แม่ก็ต้องรับรักฮ่องเต้และตั้งท้อง จนให้กำเนิดเจ้าชายองค์ที่สอง ถ้าตัวเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทไม่ใช่เจ้าชายธรรมดา ที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าตาของเขาซึ่งเป็นคนที่ไร้อำนาจไม่โง่ถึงขนาดนั้น
...แล้วที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ...ถ้าตัวเขารู้ถึงความเฉลียวฉลาดและความโง่ของตนเองเร็วกว่านี้
สักวันเมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิบปี แม่อาจจะได้พบความสุขเล็กๆ แต่แม่ก็ไม่เคยฝันเรื่อยเปื่อยเช่นนั้น
เด็กน้อยมองดูใบหน้าของแม่ที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว แล้วหลับตาลง
...เมื่อถามว่ารักหรือไม่ แม่ก็ตอบแค่ว่า ?เอาน่า?
เพราะถ้าหากไม่มีเขา ถ้าแม่ไม่คลอดเขาออกมา แม่ก็ไม่ต้องเป็นผู้หญิงที่มีแต่ความเศร้า
วันหนึ่ง ที่มุมหนึ่งในอุทยาน เขาพบกับน้องชายคนสุดท้องซึ่งต้องประสบพบเจอในสิ่งที่คล้ายกับเขา แต่ถึงจะต้องเจอเรื่องร้ายๆ เพียงใด น้องชายของเขาก็ยังคงรักแม่ผู้ให้กำเนิดอยู่ดี
เขาได้รับความรักอันบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาจากน้องชายต่างมารดาพอๆ กับความชื่นชมบูชาที่น้องชายมีให้แม่ของเขา การได้พบกับน้องชายที่ยังเด็กอยู่ทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเองที่ถูกแช่แข็งมาเป็นเวลานานได้รู้จักกับความรักเป็นครั้งแรก จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ต่างจากความรู้สึกที่เขามีต่อแม่ เขาสงสารในความอ่อนแอของแม่ที่ได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น และบางครั้งก็รู้สึกดูถูก แต่ไม่ได้เกลียดชัง เพราะแม่คือผู้ที่ให้กำเนิดเขา และเพราะมันสายเกินไปแล้วที่จะปิดบังความสามารถที่มากเกินไปของตนเองจนกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาได้รับความเกลียดชังจากพี่น้องต่างมารดาและพระสนมคนอื่นๆ แต่ในทางตรงข้าม เขาต้องใช้ความสามารถของตัวเองเป็นอาวุธที่จะปกป้องตนเองและแม่
แต่บัดนี้ ความพยายามนั้นได้จบลงแล้ว
จะบอกว่าแผนการของพวกที่ส่งคนมาตามไล่ล่านั้นประสบความสำเร็จครึ่งหนึ่งก็ว่าได้
ตัวเขาแค่ถูกเนรเทศแต่ไม่ได้อดตาย การตัดสินใจของพระสนมคนอื่นๆ และพี่น้องที่อยากจะเล่นงานเขาให้หมดหนทางเป็นสิ่งที่ถูกต้อง รวมทั้งคำสั่งที่ให้ฆ่าทุกคนให้หมดแล้วโยนความผิดทุกอย่างให้โจรด้วย
เด็กน้อยกะพริบตาที่มีขนตางอนยาว เมื่อหลุดจากภวังค์ของความคิดอันเจ็บปวด
แม่ของเขาถูกพวกโจรล้อมและฆ่าตาย พวกทหารที่มาคุ้มกันก็ถูกฆ่าตายจนหมด เหลือเขาเพียงคนเดียว และในมือของเขาก็ไม่มีอะไรนอกจากเลือดของฝ่ายตรงข้ามที่ถูกเขาฟันจนกระเซ็นมาเปรอะเปื้อน เด็กชายขว้างดาบที่ใช้เอาชีวิตผู้คนมากมายจนใช้การไม่ได้แล้วทิ้ง และไม่พลาดจังหวะเดียวที่พวกโจรเผลอ เขากระโจนเข้าไปคว้าดาบที่อกเสื้อของโจรคนหนึ่งมาฟันแขนของโจรคนนั้นจนขาด
ถ้าเทียบกับดาบล้ำค่าที่ท่านพ่อเคยพระราชทานให้ แล้วดาบนั้นจัดเป็นของชั้นเลวจนถึงขั้นต้องสงสัยว่ามันจะสามารถตัดกระดาษขาดหรือไม่ แต่ถ้ามันมีคม แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขาฟันคอโจรสองคนด้วยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียว
?....ดูถูกข้างั้นเรอะ คิดว่าข้าเป็นใครกัน? ดวงตาทั้งคู่ที่งดงามนั้นไม่สูญเสียพลังไปแม้แต่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าน้ำเสียงดุดันท่ามกลางฤดูหนาวที่มีลมกระโชกจนแม้แต่ลมหายใจก็เกือบจะกลายเป็นน้ำแข็งนั้นจะเป็นของเด็กอายุ 13
?นามของข้าคือ เซเอน.... ที่ผ่านมาข้าฆ่าหัวหน้าโจรที่ถูกส่งมาไปเกินร้อยแล้ว ความสามารถในการเป็นนักฆ่าของข้าไม่แพ้พวกเจ้าแน่ ถ้าคิดจะเอาชีวิตนี้ก็เตรียมตัวตายพร้อมกันให้หมดเถอะ?
...หิมะที่เหมือนปุยนุ่นเริ่มโปรยปรายลงมา เมื่อดาบเริ่มทื่อเพราะคราบเลือดและน้ำมัน เด็กชายก็แย่งดาบของคู่ต่อสู้ที่ตายมาใช้ต่อสู้ต่อไป มันไม่ใช่ดาบที่มีความสวยงามอย่างที่ใช้แสดงการประลองต่อหน้าพระพักตร์เช่นที่ผ่านมา แต่เป็นเพียงดาบที่ใช้ฆ่าคนเพื่อให้เด็กชายได้มีชีวิตรอดอย่างแท้จริง
ท่ามกลางหิมะที่ถูกย้อมเป็นสีแดงจนค่อยๆ ละลายนั้น เด็กชายพิสูจน์คำพูดของตนเองด้วยการฆ่าพวกที่ตามมาทั้งหมด ศพของคนเหล่านั้นกองทับกันเหมือนสิ่งของอยู่บนที่ราบท่ามกลางความมืดสลัวและหิมะหนาที่ปกคลุม เด็กชายคุกเข่าลงเพราะตัวเองก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน แม้จะมีบาดแผลเต็มตัวแต่ก็รู้ตัวว่าไม่โดนจุดสำคัญ ลมหายใจเหนื่อยหอบนั้นร้อนจนถึงขนาดทำให้ละอองหิมะละลายได้ เด็กน้อยรู้สึกขำต่อความจริงที่ว่า ความร้อนที่อยู่ภายในกายของตัวเองหลั่งไหลออกมามากถึงเพียงนี้ แต่ที่รู้สึกขำยิ่งกว่านั้นก็คือสงสัยว่าทำไมตนเองถึงไม่ยอมให้พวกนั้นฆ่าโดยดีนะ
ถ้าหากไม่ฆ่าโจรร้ายเหล่านั้นก็ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ความตายคือความพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องฆ่าโจรเหล่านั้น แต่ว่าตอนนี้ล่ะ เขาไม่มีที่จะไป ไม่มีใครที่จะพึ่งพิงได้ แม้จะเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ก็รู้ดีว่าต่อไปนี้จะมีความมืดมนดังอเวจีรออยู่ จนสงสัยว่าทำไมตัวเองจะต้องฆ่าทุกคนด้วย
ทำไมไม่อาจมอบชีวิตของตนเองซึ่งบัดนี้เป็นองค์ชายที่ไม่มีอะไรเลยให้โจรพวกนั้น? ถ้าหากจบทุกอย่างด้วยน้ำมือของตัวเองในตอนนี้ที่นี่ได้ก็น่าจะเป็นเรื่องดี หรือเป็นเพราะคิดว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นไปตามที่พวกพี่น้องต่างมารดาซึ่งชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ต้องการได้?
...แต่ถ้าตายไปแล้วก็ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หรือ
ทำไมตัวเองถึงคิดว่า...อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ
เซเอนหัวเราะขำเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ แต่เมื่อหัวเราะก็มีอะไรบางอย่างสีแดงๆ ทะลักออกมาจากปาก ผืนดินที่กลายเป็นน้ำแข็งกำลังรอฤดูใบไม้ผลิมาเยือนถูกย้อมจนเป็นสีแดงฉาน ดูเหมือนว่าแผลที่ท้องจะลึกกว่าที่คิด
ท่ามกลางหิมะสุดท้ายของปีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เด็กน้อยผู้เป็นอดีตองค์ชายล้มลงตรงกองเลือดที่ชุ่มด้วยเลือดผสมกับหิมะ และท่ามกลางเงาหิมะขาวโพลนนั้น เด็กชายมองเห็นใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ก่อนที่เขาจะหมดสติไป หลังจากนั้นเขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นการเริ่มต้นของการตกนรกอย่างแท้จริง

บทนำ

?เอนเซจวนจะกลับมาแล้วสินะ?
เขาชะงักมือที่กำลังเขียน เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลนอกหน้าต่าง ที่เขายังคงนั่งอยู่เป็นเพราะขาไม่ค่อยจะดี เมื่อก่อนเขาเคยสิ้นหวังอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะมาคิดกลุ้มใจเรื่องนั้นแล้ว นั่นเป็นเพราะเจ้านายที่อายุน้อยกว่าตัวเขาเองมากนักซึ่งได้พบกันเพราะงานที่เขาทำอยู่ในตอนนี้
เอนเซกำลังจะกลับมาแล้ว และจะพาเจ้านายคนใหม่ของที่นี่มาด้วย
?เอ...จะเป็นเจ้านายแบบไหนนะ? เขายิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วหยิบจดหมายสองฉบับที่วางไว้ตรงมุมโต๊ะขึ้นมา
?ฮึๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่ได้รับจดหมายจากเรชินกับโฮจูที่ส่งมาบอกว่า ?ฝากด้วยนะ? ว่าแต่น่าจะถามสักคำนะว่า ?เจ้าสบายดีหรือเปล่า? น่ะ?
ความจริงเขาก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องถึงขนาดที่จะต้องถาม อีกฝ่ายจึงไม่ได้เขียนมา
เขาหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกวาดตามองเอกสารที่กองอยู่เป็นภูเขาอย่างรวดเร็วก็เริ่มจัดการไปทีละเล่ม เมื่อเสร็จแล้วจึงใช้หมึกสีแดงทาที่ตราประทับซึ่งวางไว้ด้านข้างแท่นหมึกแล้วประทับลงบนเอกสาร
นั่นเป็นตราประทับผู้แทนของผู้ว่าราชการประจำมณฑลซา และเป็นหลักฐานแสดงว่าเขาเป็นตัวแทนของผู้ว่าราชการประจำมณฑลซาอย่างแท้จริง ชื่อของเขาก็คือเทยูชุน รองผู้ว่าราชการประจำมณฑลซาซึ่งเป็นข้าราชการที่มีความสามารถและเป็นมือขวาของโรเอนเซมานาน
ยูชุนมองออกไปทางหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง เบื้องหน้าท้องฟ้าที่มองลอดออกไปมีรั้วเหล็กที่แข็งแรงกั้นอยู่

**********

?ไปแล้วสินะ? ลมต้นฤดูร้อนพัดผ่านมา ชูเอจ้องมองพวกชูเรที่ออกเดินทางไปจนหลับตา
โคยูมองดูสีหน้าอาลัยอาวรณ์ของเพื่อนรักที่ไม่ค่อยจะได้เห็นหนักแล้วหยุดงานที่กำลังทำอยู่
?ไม่สมเป็นเจ้าเลยนะ ชูเรก็มีเซรันและเอนเซไปด้วยแล้วนี่นา?
?เอ่อ... อือ เอ๊ย ที่จริงคนที่ข้าห่วงคือเซรันต่างหากล่ะ?
?เซรัน??
?ข้าเคยเล่าให้ฟังหรือยังว่าเมื่อ 9 ปีก่อน ข้าเคยไปตามหาร่องรอยขององค์ชายเซเอนที่หายตัวไป?
?....ข้าเพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ ตระกูลรันเคยมีแผนการงี่เง่าแบบนั้นด้วยเหรอ? คำตอบของโคยูที่สวนมาทำให้ชูเอหัวเราะออกมา
?แหม ตระกูลข้ามีเรื่องเยอะแยะเชียวล่ะ ฮึ้ย ใช่อย่างนั้นที่ไหนล่ะ? พวกพี่ๆ บอกว่าเราไม่คิดจะขยายความขัดแย้งภายในด้วยการยกให้องค์ชายเซเอนขึ้นเป็นฮ่องเต้หรอก เพียงแต่ตามหาเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครไปทำร้ายองค์ชายเซเอนเท่านั้น ข้าเองตอนนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มรูปงามหน้าใสอายุ 16 ปี จะทิ้งไว้คนเดียวก็ไม่ได้ พวกพี่ๆ ถึงได้ให้ตามไปด้วย?
?....นึกว่าหน้าหนาซะอีก?
?อ้าว ใครๆ ก็ยอมรับว่าข้าเป็นเด็กหนุ่มรูปงามนะ ...แหม แต่ที่จริงข้าเองก็อยากจะพบองค์ชายเซเอนเป็นการส่วนตัวเหมือนกัน ถึงได้กระตือรือร้นที่จะตามหา เพราะหวังว่าสักวันอยากจะรับใช้เขาน่ะ? ชูเอสบตากับเพื่อนที่เงยหน้าขึ้นมองโดยไม่พูดอะไรแล้วยิ้ม
?ความจริง ข้าควรจะถูกส่งไปอยู่ใกล้ชิดเขา เพื่อทำให้เขาได้เป็นฮ่องเต้นะ?
?....ชูเอ?
?มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วน่ะ องค์ชายเซเอนถูกเนรเทศไปก่อนที่องครักษ์ตระกูลรันจะได้ไปอยู่ด้วย ทุกอย่างจึงจบลง?
สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เซรันเป็นคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวที่ทำให้ชูเอต้องพ่ายแพ้ แต่องค์ชายผู้มีพรสวรรค์ในฐานะนักปกครองก็ต้องบอกลาบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์?
?แต่ว่าโคยูรู้หรือเปล่าล่ะว่าเขาถูกเนรเทศไปที่ไหน??
โคยูพยายามนึกทบทวนความทรงจำ แต่ก็นึกไม่ออก
ชูเอจ้องมองไปทางมณฑลซาที่อยู่ห่างไกล สถานที่ที่องค์ชายเคยถูกเนรเทศไป
?ช่วงปลายฤดูหนาวเมื่อ 10 ปีก่อนร่องรอยขององค์ชายหายไปกลางคัน และได้ยินว่าตอนที่ท่านโชกะเก็บเซรันมาเลี้ยงก็เป็นตอนต้นฤดูหนาวในปีต่อมา ช่วงครึ่งปีนั้นเขาทำอะไรอยู่ที่มณฑลซานะ??

**********

?ในที่สุด เราก็ทำให้ท่านเหลือตัวคนเดียวสินะ? ฮ่องเต้หนุ่มพึมพำขอโทษ
โชกะยิ้มอย่างอ่อนโยน
กลิ่นของเอกสารเก่าในหอหนังสือลอยขึ้นมาพร้อมกับลมต้นฤดูร้อนที่พัดมา
?เซรันก็บอกกับข้าแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าหวังเช่นกัน ข้าต้องการให้เด็กพวกนั้นเดินได้ด้วยตัวเอง และข้าก็จะต้องคอยปกป้องบ้านหลังนั้นด้วย?
เพราะบ้านหลังนั้นเป็นสถานที่ที่มีความทรงจำที่ยากจะมีอะไรมาทดแทน มันกำลังรอให้เด็กๆ เหล่านั้นกลับมา และมีเรื่องบางเรื่องที่สามารถทำได้ที่เมืองหลวงนี้เท่านั้น
?เด็กคนนั้นเป็นขุนนางแล้ว ข้าไม่คิดจะขัดขวางสิ่งที่เขากำลังจะทำหรอก? สีหน้าที่อ่อนโยนบ่งบอกว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่ว่าเรื่องนั้น....
?....นั่นเป็นความคิดของรัฐบุรุษแล้ว รู้หรือเปล่าล่ะ โชกะ?? ริวกิมองตรงไปยังโชกะที่เหลียวกลับมามอง

**********

ชายชราจุดกำยานกลิ่นโปรด ทำให้กลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว ควันที่ลอยขึ้นมาดูคล้ายสิ่งมีชีวิต จนบรรยากาศทั้งห้องค่อยๆ เงียบสงบ
?ถึงเวลาแล้ว?
ชายชราพึมพำออกมาขณะที่ค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้แกะสลักที่ดูดีมีราคา ภายในห้องที่หรูหรา
ซาเอนจุนได้ครอบครองทุกอย่างแค่เพราะอายุที่ต่างกับเขาเพียงปีเดียว ซาเอนจุนมาจากตระกูลสายย่อย แต่ฆ่าทายาทที่สืบเชื้อสายโดยตรง แล้วเข้ามาแทนที่ตระกูลหลัก ซาเอนจุนได้แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเฮียว มีฮ่องเต้องค์ก่อนหนุนหลังและมีอำนาจจากส่วนกลางอยู่ในมือ ...ซาเอนจุนคือพี่ชายของเขา ซาจูโช และตอนนี้จูโชก็ครองตำแหน่งอาวุโสสูงสุดเพราะเป็นน้องชายแท้ๆ ของประมุขตระกูลคนก่อน แต่ถ้าดูตามลำดับในครอบครัวแล้ว เขาซึ่งมาจากตระกูลสายย่อยถือว่ามีลำดับการเป็นทายาทต่ำที่สุด ดังนั้นจึงมักจะถูกนินทาลับหลัง
อยู่ๆ จูโชก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนแก้มที่มีแต่ริ้วรอย
เอนจุนซึ่งปกครองทุกอย่างเสียชีวิตไปโดยไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้เลย มันรวดเร็วมากจนจูโชไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าพี่ชายจะเสียชีวิตไปแล้ว? ...อือ ใช่ คนเราก็ต้องตาย
ไม่ว่าจะมีอำนาจแข็งแกร่งมากมายสักเพียงใด สุดท้ายก็ต้องสูญสลายไปกับกาลเวลา
?ข้าไม่ได้มีความเป็นอัจฉริยะอย่างท่าน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น...?
ข่าวการเสียชีวิตของเอนจุนทำให้เกิดความขัดแย้งแย่งการเป็นประมุขตระกูลขึ้นมาซึ่งก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว 1 ปีมานี้ไม่รู้ว่าเกิดคลื่นใต้น้ำมากมายสักเท่าไร แต่ว่าเรื่องนั้นก็คงจะจบลงพร้อมการมาถึงของผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนใหม่
ผู้ที่เป็นเจ้าของไฮเงียคุ* และตราสัญลักษณ์ประจำมณฑลซานั่นแหละที่จะเป็นประมุขตระกูลซาคนต่อไป...
?....ข้าจะเหนือท่านให้ได้ ท่านพี่?
เพราะพี่ชายไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว คนที่เขาจะต้องเหนือกว่าให้ได้ แท้จริงคือทายาทของผู้สืบเชื้อสายของพี่ชายที่มีหลานสาวเพียงคนเดียวจึงไม่เป็นปัญหา แต่ลูกชายที่ใช้ไม่ได้ของตัวเองต่างหากที่เป็นปัญหา ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีหลานชายที่สืบสายเลือดของจูโชอีก 3 คน
จูโชหลับตา นึกถึงใบหน้าของหลานๆ ถึงแม้จะมีคำว่า ?จุน? จากพี่ชายที่เป็นประมุขตระกูลอยู่ในชื่อ แต่พวกเขาก็เป็นสายเลือดของจูโชแน่นอน ทว่านอกจากโซจุน หลานชายคนโตแล้ว ทั้งซาคุจุน หลานชายคนรอง และโคคุจุนหลานชายคนที่ 3 ต่างก็ยังขาดความทะเยอทะยาน โดยเฉพาะหลานชายคนที่ 3 ซึ่งไม่มีความทะนงตนในความเป็นผู้มีสายเลือดตระกูลสีทั้งเจ็ด เพราะฉะนั้นในตอนนี้จูโชคิดว่ามีเพียงโซจุนเท่านั้นที่เหมาะสมจะเป็นทายาทของตน
?ต้องเริ่มจากการแย่งไฮเงียคุและตราสัญลักษณ์มาแล้วฆ่าโรเอนเซซะ แล้วป้ายความผิดว่าเป็นฝีมือ ?โจรดาบอำมหิต? เรื่องแค่นั้นโซจุนคงจัดการได้?
ที่นี่คือมณฑลซา ซึ่งตระกูลซาเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะซ่อนอยู่ที่ใด ตระกูลซาก็สามารถหาเจอได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ
?ผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนใหม่เหรอ ...เด็กที่ไม่มีใครหนุนหลัง ถึงฆ่าตายก็ไม่มีใครสนใจหรอก แต่ว่าอีกคนนี่สิ?
อีกคนที่ว่าก็คือโคชูเร ลูกสาวคนโตของผู้สืบเชื้อสายตรงของตระกูลโค เป็นเด็กที่โคเรชินหนุนหลัง
?จะฆ่าเด็กคนนั้นไม่ได้ ไม่งั้นจะกลายเป็นศัตรูกับตระกูลโค ...แต่ถ้าทำให้กลายเป็นพวกเดียวกับเราได้...?
ก็จะได้ครอบครองทั้งอำนาจของผู้ว่าราชการประจำมณฑลและอำนาจของผู้มีเชื้อสายหลักในตระกูลโค
?อืม ....งานนี้คงเหมาะสมกับซาคุจุนสินะ ถ้าหากเป็นคุณหนูตระกูลโค ให้รับมาเป็นภรรยาหลวง ก็คงไม่มีใครคัดค้าน เพราะเป็นคนที่สามารถยกระดับของตระกูลซาได้ด้วย ถ้าหากเป็นซาคุจุนหลานชายคนรอง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร?
แล้วใบหน้าของหลานชายคนที่ 3 ก็ลอยขึ้นมา จูโชขมวดคิ้วเล็กน้อย
?แล้วเจ้านั่นล่ะ?
หลานชายคนสุดท้องที่ไม่มีอะไรดี ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนพี่ชายคนโต และไร้เสน่ห์อย่างพี่ชายคนรอง
?....เฮ้อ ช่างเถอะ?
จูโชทิ้งตัวลงบนเก้าอี้มากกว่าเดิมแล้วถอนใจออกมา ในใจยังคงคิดถึงแต่เรื่องของพี่ชาย
?ข้าเป็นคนธรรมดา ต่างจากท่าน แต่ว่าแค่เป็นคนที่มีความพิเศษมาตั้งแต่เกิด ก็ทำให้ท่านได้ครอบครองทุกอย่างไปหมดแบบนั้น ข้ายอมรับไม่ได้หรอก?
ซาเอนจุนได้ขึ้นไปมีตำแหน่งเทียบเท่าตระกูลโคและตระกูลรัน ได้เป็นคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อนและได้เป็นประมุขของตระกูลซา ยิ่งกว่านั้นยังได้แต่งงานกับบุตรีของตระกูลเฮียว ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่และว่ากันว่ามีฐานะและความเป็นมายาวนาน เป็นรองเพียงตระกูลสีทั้งเจ็ดเท่านั้น
....ซาเอนจุนได้ครอบครองทุกสิ่งเพียงเพราะอายุที่ต่างกันปีเดียว และตัวเขาก็คอยเป็นผู้ช่วยอยู่ด้วย
?พี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน แต่แตกต่างกันขนาดนี้ แค่เพราะอายุต่างกันปีเดียวเหรอ ทั้งที่ข้าก็ต้องการอำนาจ ตำแหน่ง ชื่อเสียงเหมือนกัน แต่ทำไมสวรรค์จึงไม่ยุติธรรม ไม่มอบความโชคดีให้แก่ข้าบ้าง มันไม่ตลกเลยนะ?
นัยน์ตาของจูโชที่แก่ชราเปล่งประกายความทะเยอทะยานวาวโรจน์
?มันถึงเวลาแล้ว ที่ข้าจะได้ครอบครองทุกอย่างเสียที ข้าจะได้เป็นประมุขตระกูลซาบ้าง สายเลือดของท่านพี่ ถ้าเหลือแต่หลานสาวมันก็ไม่มีใครสืบทอดต่อ แต่ถ้าเป็นข้า ถึงข้าจะตายก็ยังมีสายเลือดเหลืออยู่ แล้วถึงตอนนั้น ข้าก็จะเหนือกว่าท่าน?
หึ....
จูโชรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของใครสักคนจึงเงยหน้าขึ้น แต่ก็ไม่มีใคร
สายลมพัดพากลิ่นหอมมาด้วย
(อาจจะเป็นท่านพี่ก็ได้) จูโชคิด
(หัวเราะเหรอ? ขำในความคิดที่วกไปเวียนมาของน้องชายผู้โง่เขลาเหรอ ไม่ว่าเมื่อไรพี่ก็มักจะหัวเราะแบบนั้นเสมอ คิดว่ามีแต่ตัวเองที่จะเป็นหนึ่งได้สินะ)
?....แต่ว่าคราวนี้แหละ?
(ซาเอนจุนที่ข้าเกลียดชัง พี่ชายผู้ยิ่งใหญ่และคอยปิดกั้นหนทางของข้าเสมอ แต่ท่านแพ้เพราะท่านตายไปก่อน ในที่สุดเส้นทางของข้าก็เปิดแล้ว ในตอนที่ข้ามีอายุขนาดนี้...)
(....เอาล่ะ หลานชายที่น่ารักของข้าไปต้อนรับผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนใหม่หรือยังนะ)
?คอยดูก็แล้วกัน?
(คราวนี้ข้าจะเดินไปตามเส้นทางที่เคยถูกท่านขวางกั้นบ้างล่ะ) ชายชราหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ตอนที่ 1 เมืองชายขอบมณฑล

?ทุกอย่าง ฉันเป็นคนทำ....? เด็กสาวที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากเมื่อ 1 ปีก่อนสารภาพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งแต่วันนั้นชูเรก็ไม่เคยเห็นสีหน้าอย่างอื่นของเธออีกเลย

**********

คณะเดินทางนั้นดูเผินๆ แล้วแปลกมาก เพราะประกอบด้วยชายหนุ่มที่ไว้หนวดไว้เคราท่าทางสบายๆ เด็กหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะมีอายุเลยสิบปีมาไม่กี่มากน้อย เด็กสาวที่น่ารักเหมือนเจ้าหญิงแต่ไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเจ้าชายที่ไหนสักแห่งตามมาด้วยอีกคนเหมือนเคย
(....แล้วก็ฉัน...สินะ)
นี่เป็นกลุ่มคน 5 คนที่ดูน่าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
....ชูเรถอนใจขณะนั่งอยู่บนรถม้าที่สั่นกึกๆ
หากจะให้คิดว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ดูจากองค์ประกอบและบรรยากาศรวมๆ แล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ การที่ไปไหนแล้วจะถูกสงสัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาที่น่าสงสัยของเอนเซแล้วก็น่าจะชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นโจรลักพาตัว และกำลังถูกตามล่า
อยู่ๆ ชูเรก็รู้สึกวิงเวียน จนต้องหลับตาลง ตั้งแต่ออกมาจากเมืองหลวง ชูเรก็รู้สึกว่าตัวเองอาการไม่ค่อยจะดี คงเพราะระยะนี้ไม่ค่อยได้พักผ่อน เมื่อเอียงศีรษะ ปิ่นปักผมที่เป็นเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวที่มีก็เกิดเสียงกระทบดังเป็นจังหวะ
?เป็นอะไรไป คุณหนู เหนื่อยเหรอครับ?? เอนเซที่ทำหน้าที่คนขับหันกลับมาถามชูเร
ชูเรจ้องมองใบหน้าที่มีหนวดเคราครึ้มนิ่ง ทำให้เอนเซรู้สึกโกรธที่ชูเรไม่พูด จึงดึงหนวดอย่างหงุดหงิด
?อย่าทำให้โกรธน่ะ เอาแต่เงียบทำไม พูดอะไรออกมาสักหน่อยก็ยังดี?
?....อย่าโกรธเลย เพียงแต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะเชื่อน่ะ?
ชายที่มาล้มลงหน้าประตูบ้านของชูเร ตอนฤดูร้อนเมื่อ 1 ปีก่อน และได้เข้ามาอยู่ร่วมชายคาบ้านเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน และยังเคยทำงานร่วมกับชูเรที่ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายเข้าไปช่วยงานในกรมคลังที่ตอนนั้นกำลังขาดแคลนบุคลากร...เมื่อเขาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าเป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑลซาในขณะนั้น ทำให้ตอนนั้นชูเรอ้าปากค้าง
?แหม ผมเองก็เหมือนกัน ถ้าผมเป็นคนอื่นก็คงหัวเราะเรื่องที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑลเหมือนกัน?
?เป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑล แล้วทำไมถึงได้ไว้หนวดไว้เคราอย่างนั้นล่ะ!?
?เอ๊ะ มันเป็นปัญหาด้วยเหรอ? ไว้หนวดไม่ได้เหรอ? ไม่เคยมีใครบอกมาก่อนเลยนี่?
?พอคิดว่าเจ้าเป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนก่อนแล้ว ฉันก็รับไม่ได้! ที่สำคัญ อย่างเจ้านี่ไม่ได้เรียกว่า ?ไว้หนวด? แต่ปล่อยให้มันยาวเฟื้อยเพราะขี้เกียจโกนมากกว่าใช่ไหมล่ะ! หน้าโหดอย่างนั้นฉันไม่ยอมให้เป็นผู้ช่วยหรอก! ไปโกนออกซะ!?
?อ๊ะ นี่เป็นคำสั่งแรกใช่ไหม แต่ว่าถ้าต้องโกนทุกวันคงลำบากแย่ ผมขอก็แล้วกัน...?
เมื่อได้ยินดังนั้น โคริน...เด็กสาวที่ดูเหมือนเจ้าหญิงที่นิ่งขรึมมาตลอดก็จับชายกระโปรงลุกขึ้นยืน
?ถ้าท่านชูเรบอกอย่างนั้น ฉันจะจัดการให้เอง? มือบอบบางที่ขาวผ่องหยิบใบมีดโกนขนาดเล็กขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแล้วขยับเข้าหาเอนเซ
ชูเรอึ้งเมื่อเห็นโครินอ้อมไปยังที่นั่งคนขับ เอนเซกระโดดลงจากรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ โครินใช้มือจับขอบรถม้าพยายามยื่นตัวออกไป จนชูเรต้องเข้ามาจับจากทางด้านหลัง
?อ๊ะ อันตรายนะ! ถ้าตกลงจากรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่จะทำยังไง?
?ไม่! ถ้าเพื่อท่านชูเร เรื่องแค่นี้ฉันทำได้?
?เอ่อ ไม่นะ ไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงเรื่องหนวดเครานั่นช่างมันก็ได้?
โครินที่บอบบางยิ่งกว่าชูเร เมื่อแสดงความตั้งใจอย่างนั้นกลับมีพลังแขนแข็งแรงเหลือเกิน
?เฮ้ย คุณโคริน นั่นมันอันตรายจริงๆ นะ ยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณเอนเซไม่คิดจะโกนหนวดล่ะก็ ส่วนสูงผิดกันแบบนั้นไม่มีทางที่จะโกนให้เขาได้อยู่แล้วล่ะ?
เอเงซึตะโกนพลางรีบช่วยชูเรดึงโครินกลับเข้ามา แม้ว่าเอเงซึจะเป็นเด็กหนุ่มอายุ 13 ปี แต่ก็มีกำลังของผู้ชายที่แข็งแกร่งจึงดึงโครินกลับเข้ามาในรถได้อย่างไม่มีปัญหา
โครินจ้องมองเอเงซึ
?กรุณาอย่าทำอะไรเกินหน้าที่สิคะ ไม่ต้องทำเป็นรู้ไปหมดถึงขนาดนั้นก็ได้...?
?ไม่ได้หรอก โคริน เพราะมันอันตรายจริงๆ ไปเก็บต้นซึคุชิ* ที่งอกอยู่ตรงนั้นยังดีกว่ามาโกนหนวดสกปรกของเอนเซอีกนะ อย่างน้อยก็เอาไปทำอาหารเย็นได้นะ?
เอนเซงงว่าทำไมหนวดของตัวเองถึงต่ำต้อยยิ่งกว่าต้นซึคุชิไปได้ แม้จะถูกว่ารุนแรง แต่ในเมื่อสรุปแล้วเป็นอันว่าไม่ต้องโกนหนวด เอนเซจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
โครินคอตกกับคำพูดของชูเร จนกัดริมฝีปากแน่น
?....เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเก็บต้นซึคุชิต้นใหญ่ๆ มาทำอาหารเย็นวันนี้นะ?
?............อะ...อือ?
โครินจริงจังเสมอ จนชูเรไม่กล้าบอกว่าแค่พูดเล่นๆ ?นี่มันเลยฤดูนั้นมาแล้ว? แต่เอเงซึคงจะสังเกตเห็นจึงพูดขึ้นมาแทน
?คุณโคริน นี่มันเลยฤดูของซึคุชิมาแล้วล่ะครับ ถ้าเป็นตอนนี้ต้องเป็นใบอุโดะ** หรือต้นโดคุดามิ*** น่าจะดีกว่า ว่ากันว่าถ้าเอาต้นโดคุดามิให้ม้ากินจะได้ผลดีมาก เวลาเดินทางไกล ม้าก็เหนื่อยล้า เราไปช่วยหาโดคุดามิกันเถอะ?
โครินนิ่วหน้าขึ้นมาทันทีแล้วหันขวับไปทางเอเงซึ
?ว่าไงนะ? เมื่อกี้เพิ่งจะเอาแต่ขัดขวางฉันแท้ๆ ฉันไม่มีทางทำตามที่เจ้าบอกหรอก กรุณาอย่ามาทำกร่างชี้นิ้วสั่งทั้งที่อายุน้อยกว่าฉันเลย?
?เอ๊ะ ทำกร่างเหรอ? ขะ...ขอโทษครับ?
?ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว? โครินพูดกับเอเงซึเหมือนกับสมัยเมื่อ 1 ปีก่อน ทำให้บรรยากาศระหว่างทั้งสองไหลลื่นตามประสาคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ชูเรรู้สึกอิจฉาเอเงซึขึ้นมาแวบหนึ่ง
?ว่าแต่คุณโครินครับ นี่?
โครินขมวดคิ้วเมื่อเห็นเอเงซึหยิบกระเป๋าออกมาจากอกเสื้อ
?...นั่นมันต้นอะไรน่ะ?
?ผมเห็นว่าคุณโครินท่าทางจะมีไข้ขึ้นมาจึงอยากให้กินยาแก้ไว้ก่อน นี่ก็เริ่มจะเข้าฤดูร้อนแล้ว เราก็ไม่ค่อยได้นอนหลับสบายๆ กันเลย พละกำลังก็คงอ่อนแรงลงด้วยใช่ไหมล่ะครับ??
โครินรู้แล้วว่าทำสีหน้าน่ากลัวออกไป ชูเรกับเอนเซอึ้งกับคำพูดของเอเงซึ
ชูเรรีบเอามือแตะหน้าผากของโคริน
(....ร้อนจริงๆ ด้วย)
?โคริน! ทำไมไม่รีบบอกล่ะ!?
?ฉะ...ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่นี้ไม่เป็นไรจริงๆ?
เอนเซทำหน้าผากย่น
?....ขอร้องล่ะ หนูโคริน สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดในการเดินทางก็คือเรื่องของสุขภาพนะ ถ้าหากคิดว่ารู้สึกแปลกๆ ก็ควรจะรีบบอกทันที ไม่งั้นจะแย่ ถ้าฝืนเดินทางต่อไปอาจจะรักษาไม่หาย ขนาดข้า ถ้าไม่มีแรงก็ไปไม่ไหวเหมือนกัน เพราะถ้าฝืนไปต่อแล้วอาการหนักขึ้น ตอนนั้นแหละที่จะเดือดร้อนหนัก ...แหม จะว่าไปแล้วข้าก็เคยฝืนมาเยอะ ไม่น่าทำปากดีเลยเนอะ?
เมื่อถูกดุ โครินก็หลุบตาลงต่ำ
?...ขอโทษ...ด้วยนะคะ...?
ตอนนั้นเองที่มีม้าตัวหนึ่งวิ่งฝุ่นตลบมาเทียบข้างรถม้า
?เซรัน!?
เซรันดึงบังเหียนหันหัวม้ามา ชูเรรู้สึกประทับใจต่อข้ารับใช้ผู้นี้เหมือนอย่างทุกครั้ง จนลืมไปว่าเซรันกำลังขี่ม้าอยู่ เมื่อสังเกตเห็นจึงตกใจ ผู้ที่สามารถขี่ม้าได้มีแต่ทหารที่มากความสามารถหรือผู้ที่อยู่ในตระกูลมั่งคั่งเท่านั้น
งั้นเขาเป็นใครกันแน่นะ....?
ถ้าหากจะบอกว่าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยก็จะเป็นการโกหก แล้วชูเรก็ให้เขาอยู่เคียงข้าง โดยไม่เคยถามอะไรเขาเลยด้วย
?อีกนานแค่ไหน กว่าจะถึงเมืองซาเคียว??
?ถ้าเป็นรถม้าก็ต้องใช้เวลาอีกนิดนึงนะ?
เซรันยิ้ม แล้วนำม้าที่ขี่มาผูกเทียมกับรถม้า แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ซาเคียว...เป็นเมืองสุดท้ายในมณฑลชิ
?แต่ว่าน่าจะไปถึงก่อนพระอาทิตย์ตกได้นะ ไปเตรียมเสบียงอาหารและน้ำกันเถอะ ....จะได้รีบหาที่พักดีๆ? เซรันเห็นหน้าของโครินที่ดูหงอยๆ เพราะอาการไม่ค่อยจะดี หน้าตาเริ่มแดงก่ำจนเห็นได้ชัดแล้วถึงกับถอนใจออกมา

**********

พวกชูเรออกจากเมืองคิโยซึ่งเป็นเมืองหลวงมาได้เกือบเดือนแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าหากขุนนางใหญ่ในส่วนกลางได้รับมอบหมายเป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนต่อไปจะมีทหารคุ้มกัน เด็กรับใช้และครอบครัวไปด้วย จึงเป็นขบวนใหญ่ที่จะได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกเมื่อเดินทางไปยังที่ต่างๆ... แต่พวกชูเรเดินทางไปยังมณฑลซาอย่างเรียบง่าย ไม่เป็นที่สะดุดตาของใคร จนคล้ายกับคนร้ายที่มีความผิดร้ายแรงมากกว่า
สมาชิกที่ร่วมขบวนทั้งหมดมีเพียงห้าคน มีรถม้าที่เก่าจนล้อแทบจะหลุดออกมาเป็นพาหนะ อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ไม่แตกต่างจากคนทั่วไปสักเท่าไร และเนื่องจากช่วงที่เดินทางเป็นช่วงฤดูร้อนจึงมีการเก็บผลหมากรากไม้ จับปลาในแม่น้ำมาทำเป็นอาหารรับประทานจนอิ่มท้อง ตกกลางคืนก็นอนกลางป่า แม้จะมีบางวันที่ได้นอนในเมืองหรือในหมู่บ้านก็เลือกที่จะประหยัดค่าที่พักให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้จะมีข่าวลือแพร่กระจายไปไกลว่ามีเด็กสาวถูกส่งไปเป็นผู้ว่าราชการประจำมณฑลซา ทำให้ชาวบ้านต่างพากันเล่าลือและคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่เมื่อเห็นขบวนน่าสงสัยที่ดูประหยัดค่าที่กินที่อยู่ก็ไม่มีใครคิดว่านี่คือคนที่เล่าลือกันอยู่ดี
ในภายหลังมีการบันทึกลงในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับขบวนของชูเรว่า ?ไม่รู้ว่าออกเดินทางเมื่อไร แต่อยู่ๆ ก็ไปปรากฏตัวที่มณฑลซาเหมือนเซียน? ที่จริงแล้วเป็นความตั้งใจผู้ว่าราชการประจำมณฑลซาคนใหม่ (โคชูเร) ซึ่งผู้ร่วมขบวนอีก 4 คนก็ยินดีทำตาม แม้ภายหลังนักประวัติศาสตร์จะรู้ความจริงแต่ดูเหมือนว่าจะไม่อยากบันทึกลงไปอยู่ดี จึงทำให้กลายเป็นเรื่องที่ดูเป็นจริงไป
ถ้าหากจะว่าไปแล้วการเดินทางอย่างเงียบๆ นี้ไม่ใช่แค่เพราะปัญหาเรื่องเงินทองเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลอีกประการหนึ่ง
?ดูเหมือนจะยอมแพ้แล้วสินะ?
ที่จริงตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองคิโย มณฑลชินั้น มีคนน่าสงสัยคอยติดตามขบวนของผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนใหม่
มณฑลซาที่พวกเขากำลังจะมุ่งไปนั้นมีด้านที่ต่างจากมณฑลที่เหลืออย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือมีตระกูลซา ซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลสีทั้งเจ็ดเป็นฐานที่มั่นสำคัญของมณฑลซา ตระกูลซามีความภาคภูมิใจในอำนาจที่ต่างไปจากอำนาจของฮ่องเต้ และมีอำนาจในการปกครองซึ่งเหนือกว่าอำนาจที่ตระกูลสีทั้งหกที่เหลือมีอยู่ในมณฑลอื่นๆ อย่างมาก เนื่องจากทุกตระกูลสีต้องยอมรับขุนนางที่ผ่านการสอบเข้ารับราชการระดับประเทศและได้รับพระราชทานอำนาจฮ่องเต้ที่ถูกส่งมา แต่ตระกูลซาไม่เป็นเช่นนั้น ตระกูลซามีพฤติกรรมประหนึ่งเป็นผู้ปกครองของมณฑลซา ผ่านพฤติกรรมข่มขู่ ไม่ยอมลงให้ใคร โรเอนเซ อดีตผู้ว่าราชการประจำมณฑลคนก่อนที่เคยมาอุทธรณ์ต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนโดยตรงก็เคยถูกพวกนักฆ่าที่ทางตระกูลซาส่งมาลอบโจมตีระหว่างทางด้วยวิธีการรบแบบกองโจรมาแล้ว

************************
การเดินทางมุ่งหน้าสู่มณฑลซา เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ชูเรจะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการมณฑลซา ได้สำเร็จหรือไม่ ติดตามอ่านได้ใน บุปผาคู่บัลลังก์ ตอน ความคิดถึงสู่มณฑลซาที่ห่างไกล ฉบับเต็ม หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป หรือเว็บไซต์
http://www.bongkoch.com/catalog/product ... ts_id=7224

ตอบกลับโพส

ย้อนกลับไปยัง “Bongkoch Books News & Activities”